การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning: BBL) กับการสร้าง

Download Report

Transcript การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning: BBL) กับการสร้าง

ดำเนินงำนโดย ทีมงานจัดการความรู้
ร่วมกับส่วนฝึ กอบรม สานักพัฒนาโครงสร้ างและระบบบริหารงานบุคคล
วิทยำกร อ. นิพัทธ์ กานตอัมพร
ผู้อำนวยกำรสถำบันเมธำฟอรั่ม (Meta Forum)
ผู้อำนวยกำรศูนย์ฝึกอบรมและวิจยั เพื่อกำรพัฒนำภำคพื ้นเอเชียและแปซิฟิก
การจัดการสมัยใหม่
New Public Management
เชิงกลยุทธ์
การจัดการ
ความรู้
คุณภาพ
7 หมวดของการจัดการที่ดี
โครงร่ างองค์ กร
สภาพแวดล้อม ความสั มพันธ์ และความท้ าทาย
2. การวางแผนเชิง
ยุทธศาสตร์
และกลยุทธ์
5. การมุ่งเน้ น
ทรัพยากรบุคคล
7. ผลลัพธ์
การดาเนินการ
1. การนาองค์ กร
3. การให้ ความสาคัญ
กับผู้รับบริการและ
ผู้มสี ่ วนได้ ส่วนเสี ย
6. การจัดการ
กระบวนการ
4. การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้
KM and PMQA
การจัดการสารสนเทศและความรู้
การจัดการข้ อมูล สารสนเทศ และองค์ ความรู้
(1) องค์ กรมีวธิ ีการอย่ างไรในการทาให้ ม่ นั ใจว่ า ข้ อมูล
สารสนเทศ และองค์ ความรู้ขององค์ กรมีคุณสมบัตดิ ังนี ้
- มีความแม่ นยา
- ความถูกต้ องและเชื่อถือได้
- ความทันเหตุการณ์
- การรักษาความปลอดภัยและความลับ
KM and PMQA
(2) องค์ กรมีวธิ ีการอย่ างไรในการจัดการความรู้
ขององค์ กร เพื่อให้ บรรลุผลดังต่ อไปนี ้
• การรวบรวมและถ่ ายทอดความรู้ ของบุคลากร
• การถ่ ายทอดความรู้ ท่ เี กี่ยวข้ องกับองค์ กร ระหว่ าง
องค์ กรกับลูกค้ า ผู้ส่งมอบ คู่ค้า และคู่ความร่ วมมือ
• การค้ นหาและระบุ การแบ่ งปั น และการนาวิธีปฏิบัติ
ที่เป็ นเลิศไปปฏิบัตอิ ย่ างรวดเร็ว
• การรวบรวมความรู้ และถ่ ายทอดความรู้ท่ เี กี่ยวข้ องไป
ใช้ ในกระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์
ทำไมต้องจัดกำรควำมรู ้
ผลดีต่อองค์กร
 ช่วยขับเคลื่อนให้ องค์กรบรรลุเป้ าหมายเชิงกลยุทธ์
 แก้ ไขปัญหาต่างๆ ได้ รวดเร็วขึ้น
 แพร่กระจายแนวปฏิบตั ทิ ่ดี เี ยี่ยม
 เพิ่มโอกาสในการสร้ างนวัตกรรมใหม่ๆ ในองค์กร
 พัฒนาองค์ความรู้ท่มี ีพลวัตขององค์กร
ทำไมต้องจัดกำรควำมรู ้
ผลดีต่อผู้ปฏิบัติ
 ได้ ร้ จู ักเพื่อนใหม่ท่มี ีหลายสิ่งคล้ ายกับเรา และรู้ว่า
เขาก็กาลังพบปัญหาเช่นเดียวกับเรา
 ช่วยกันพัฒนาความรู้ใหม่ๆ ที่สามารถนาไปใช้ ใน
การปฏิบัติงาน
 ได้ รับความช่วยเหลือให้ ทางานได้ ง่ายขึ้น
 เกิดการเรียนรู้มากขึ้น
 เกิดความภูมิใจในงาน
 เกิดความรู้สกึ ว่าตนเองได้ รับการยอมร้ บนับถือ
ควำมยำกของกำรจัดกำรควำมรู ้
1. ความร้ ู เป็ นเรื่องทีพ่ ูดง่ าย แต่ ทาให้
ชัดเจนยาก
2. ความร้ ู ทสี่ าคัญทีส่ ุ ดเป็ นสิ่ งที่
แลกเปลีย่ นได้ ยาก
3. วัดคุณค่ าทีแ่ ท้ จริงของทรัพย์ สิน
ความร้ ู ได้ ยาก
ควำมรูค้ ืออะไร
ความรู้คือสิ่งที่เมื่อนาไปใช้ จะไม่หมดไปหรือสึกหรอแต่จะยิ่งงอกเงย
หรืองอกงามมากยิ่งขึ้น ความรู้เป็ นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เกิดขึ้น ณ จุดที่
ต้ องการใช้ ความรู้น้นั ความรู้จึงเป็ นสิ่งที่ข้ นึ กับบริบทและกระตุ้นให้
เกิดขึ้นโดยความต้ องการ
ข้อมูล (Data)
ประมวลผล (Processing)
ข่ำวสำรหรือสำรสนเทศ
(Information)
ปั ญญำ (Wisdom)
ปฏิบตั ิได้
ควำมรู ้
(Knowledge)
องค์ความรู้
 คือ สารสนเทศที่ได้ รับมา และกลั่นกรองมาจนตกผลึก
และเลือกที่จะหยิบมาเป็ นองค์ ความรู้ ในเรื่ องนัน้ ๆ
ที่จะใช้ เป็ นมุมมองของตนเอง
 เป็ นกรอบความคิดที่จะอธิบายปรากฏการณ์ ต่าง ๆ
ที่เกิดขึน้ ในสังคม เช่ น องค์ ความรู้ เรื่ องชุมชนเข้ มแข็ง
ถ้ าเราเห็นปรากฏการณ์ ต่างๆ ที่มีเรื่ องเหล่ านี ้
เราก็จะหยิบองค์ ความรู้ เหล่ านีม้ าใช้
วัฒนธรรมขององค์ กรต้ องเอือ้ ต่ อ
การจัดการความร้ ู
 ไว้ เนื ้อเชื่อใจกัน
 อิสระทำงด้ ำนควำมคิดและกำรทำงำน
 แลกเปลี่ยนเรี ยนรู้เป็ นส่วนหนึง่ ของงำน
ลักษณะขององค์ กรการเรี ยนรู้
Peter M. Senge ผู้ท่มี ีความสาคัญในการ
ผลักดันแนวคิดเรื่อง องค์ การที่เรียนรู้ได้ เสนอไว้ ว่า
องค์ การที่เรียนรู้นัน้ จะต้ องปฏิบัตติ ามข้ อบัญญัติ 5
ประการ คือ
1. มีความสามารถในการคิดเชิงระบบ
(System Thinking)
2. มีความสามารถในการตระหนักถึงกรอบความคิด
(Mental Model)
ลักษณะขององค์ กรการเรี ยนรู้
Peter M. Senge
3. องค์ การที่เรียนรู้ต้องสามารถส่ งเสริมให้ คนใน
องค์ การสามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเองไปสู่ความเป็ น
เลิศในด้ านต่ างๆ ได้ (Personal Mastery) ซึ่งหมายถึง
การจัดกลไกต่ างๆ ในองค์ การ
4. องค์ การที่เรียนรู้จะต้ องมีการกาหนดวิสัยทัศน์ ร่วม
(Shared Vision)
5. ในองค์ การที่เรียนรู้ จะต้ องมีการเรียนรู้ร่วมกันเป็ น
ทีม (Team Learning)

KM เป็ นเครื่องมือพัฒนา Learning Organization.
 KM มีเป้าหมาย 3 ประการ
– พัฒนางานให้ มีคุณภาพและผลสัมฤทธิ์
– พัฒนาคน/ผู้ปฏิบตั งิ าน
– พัฒนา “ฐานความรู้” ขององค์ กร/
หน่ วยงาน (สร้ างทุนทางปั ญญา)
การสร้ างความร้ ู
 เป็ นการสังเคราะห์ หรื อ
หลอมรวมความร้ ู ท่ เี ด่ นชัด
กับความร้ ู ท่ ฝี ั งลึก
ยกระดับขึน้ ไปเป็ นความร้ ู ท่ สี ูงขึน้
องค์ กรต้ องสร้ างกระบวนการ การจัดการความรู้
(Knowledge Management)
1. กำรบ่งชี ้ควำมรู้ (Knowledge Identification)
2. กำรสร้ ำงและแสวงหำควำมรู้ (Knowledge Creation and
Acquisition)
3. กำรจัดควำมรู้ให้ เป็ นระบบ (Knowledge Organization)
4. กำรประมวลและกลัน่ กรองควำมรู้ (Knowledge Codification
and Refinement)
5. กำรเข้ ำถึงควำมรู้ (Knowledge Access)
6. กำรแบ่งปั นแลกเปลีย่ นควำมรู้ (Knowledge Sharing)
7. กำรเรี ยนรู้ (Learning)
การจัดการความรู้ ในองค์ กร
7. การเรียนรู้ (Learning)
1. การบ่ งชี้ความรู้ (Knowledge
Identification)
6. การแบ่ งปัน แลกเปลีย่ น
ความรู้ (Knowledge
sharing)
5. การเข้ าถึงความรู้
(Knowledge Access)
4. การประมวลและกลัน่ กรอง
ความรู้ (Knowledge
Codification and
Refinement)
3. การจัดความรู้ให้ เป็ นระบบ
(Knowledge Organization)
2. การสร้ างและแสวงหาความรู้
(Knowledge Creation and Acquisition)
ชนิดของความรู้
 Explicit Knowledge ควำมรู้ที่เป็ นวิทยำกร เป็ นหลักวิชำ
หลักกำร ทฤษฎี ได้ จำกกำรศึกษำค้ นคว้ ำแล้ วนำมำบันทึก
เช่น หนังสือ สื่อ สิง่ พิมพ์ อิเลคทรอนิคส์
 Tacit Knowledge ควำมรู้ที่เป็ นภูมิปัญญำและ
ประสบกำรณ์ เป็ นควำมรู้จำกประสบกำรณ์กำรปฏิบตั ิงำน
ขันตอนวิ
้
ธีกำรปฏิบตั ิงำน กำรแก้ ปัญหำ
1. ความรู้ ฝังลึกในคน (Tacit Knowledge)
ในหัวสมอง เป็ น ความคิด
ในใจ
เป็ น ความเชื่อ ความนิยม
ในมือ
เป็ น ทักษะ: ความสามารถในการปฏิบัติ
* เชื่อมโยงกับประสบการณ์
* ไม่ สามารถถ่ ายทอดออกมาเป็ นถ้ อยคาตัวหนังสือได้
ทัง้ หมด
* เป็ นความรู้ ท่ เี ชื่อมโยงกับบริบท
2.ความรู้ ชัดแจ้ ง (Explicit Knowledge)
 อยู่ในตำรำ คูม่ ือ VCD Computer Internet ฯลฯ
 เป็ นควำมรู้ที่ยกระดับเป็ นนำมธรรมไร้ บริบท
 ถ่ำยทอดได้ ไม่หมด (ไม่มีชีวิต)
 อำจไม่เชื่อมโยงกับประสบกำรณ์
สร้ าง
ความรู้
ค้ นคว้ า
ความรู้ เด่ นชัด
รวบรวม
Explicit
Knowledge
เรียนรู้
พัฒนา
ความรู้ ซ่อนเร้ น
ปรับใช้
Tacit
Knowledge
แลกเปลีย่ น
เรียนรู้
ชนิดของความรู้
การพัฒนาบุคลากร ; การพัฒนาความรู ้
Organization Knowledge
Team Knowledge
Individual Knowledge
Tacit Knowledge
Explicit Knowledge
Knowledge Based System ระบบฐานความรู้
 Working Knowledge ความรู้ ในการปฏิบัตงิ าน
 Book Brief สรุ ปสาระสาคัญขององค์ ความรู้ ในการ
ปฏิบัตงิ าน
 Ask an Expert ความรู้ จากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญ
 E-Knowledge ความรู้ จากสื่ออิเลคทรอนิคส์
 Knowledge Sharing ความรู้ จากการแลกเปลี่ยน
เรี ยนรู้
 Best Practices ความรู้ จากการปฏิบัตทิ ่ เี ป็ นเลิศ
รูปแบบหรือเทคนิคในกำรแลกเปลีย่ นเรียนรู ้
1. ชุมชนนักปฏิบตั ิ Community of practice : Co P
2. Peer Assist : เชิญทีมอืน่ มาแบ่ งปันประสบการณ์
3. การทบทวนหลังปฏิบัติการหรือการถอดบทเรียน AAR
4. การเรียนรู้ ร่วมกันหลังงานสาเร็จ Retrospect
5. เรื่องเล่ าเร้ าพลัง Springboard Storytelling
6. การค้ นหาสิ่ งดีๆรอบๆตัว Appreciative Inquiring
7. เวทีเสวนา Dialogue : จัดกลุ่มพูดคุยกันทาความเข้ าใจ
การถอดบทเรียน
KNOWLEDGE CAPTURE
ปัจจัยความสาเร็จของทา TK ไปสู่ EK
การสกัดความรู้
การกลัน่ (กรอง) ความรู้
การสรุปบทเรียน
การถอดบทเรียน
การถอดบทเรียน
- วิธก
ี ารจัดการความรู ้รูปแบบหนึง่
ื ค ้นความรู ้จากการปฏิบต
- เพือ
่ สบ
ั งิ าน
- โดยใชวิ้ ธก
ี ารสกัดความรู ้และประสบการณ์ทฝ
ี่ ั งลึกจาก
กลุม
่ เป้ าหมายทีไ่ ด ้ร่วมปฏิบต
ั งิ าน
- บันทึกรายละเอียดขัน
้ ตอนการปฏิบต
ั ิ ผลการปฏิบต
ั งิ าน และ
ความรู ้ใหม่ ๆ ทีเ่ กิดขึน
้ ระหว่างการปฏิบต
ั งิ าน
- ทัง้ ทีส
่ าเร็จหรือล ้มเหลวจากการปฏิบต
ั งิ าน
- เพือ
่ เป็ นแนวทางในการปรับปรุงการปฏิบต
ั งิ านให ้บรรลุ
เป้ าหมาย
ึ ษาเรียนรู ้ได ้
- สามารถเผยแพร่ ศก
ั ภาษณ์ เล่าเรือ
- เน ้นการพูดคุยสม
่ ง จับประเด็น
- ให ้ได ้ กระบวนการวิธด
ี าเนินงาน ในเชงิ บทเรียนหรือ
ประสบการณ์ ไม่เน ้นรูปแบบวิธก
ี ารวิจัย
KNOWLEDGE CAPTURE
LESSON LEARNED
เชิงกลยุทธ์ /หลักการ
ถอดบทเรียน
ขัน้ ตอน
วิธีการ
เทคนิคการสกัดความรู้จากบุคคล
1. ใช้ การฟั งอย่ างลุ่มลึก พร้ อมการสังเกต
2. ใช้ การถามเมื่อจาเป็ น
3. ใช้ ภาษากายได้ อย่ างเหมาะสม
4. ใช้ การบันทึกที่ดี ที่เหมาะสม
บทบาทของ “คุณอานวย”
 สร้ างความคุ้นเคยให้ กับสมาชิกในกลุ่ม
 ช่ วยอานวยให้ การประชุมกลุ่มราบรื่ น
 สร้ างบรรยากาศของความชื่นชมยินดี ความรู้ สึกเชิงบวก
 เชิญให้ สมาชิกกลุ่มได้ เล่ าเรื่ อง(ทีละคน) บริหารเวลา
 อาจช่ วยตัง้ คาถาม เพื่อช่ วยให้ ความรู้ ฝังลึกหรื อความรู้
ปฏิบัตไิ ด้ ถูกปลดปล่ อยออกมา
 กระตุ้นให้ สมาชิกกลุ่มช่ วยกัน “ถอด”ความรู้ ท่ ไี ด้ จากเรื่ อง
เล่ าตาม โดยทบทวนวิธีปฏิบัติ (How to) ร่ วมกันกับทีม
เมื่อจบ
บทบาทหน้ าที่ของคุณลิขิต
1. สรุปประเด็นให้ สมำชิกทุกคนเห็นโดยไม่มีกำร
ปรับเปลี่ยนคำพูด
2. ตรวจสอบสิง่ ที่จดบันทึกเป็ นระยะ
3. ช่วยผู้นำกลุม่ เพื่อทำให้ เกิดควำมต่อเนื่องของ
ข้ อมูล
4. จัดทำสรุปสิง่ ที่บนั ทึกได้
5. นำเสนอให้ กลุม่ พิจำรณำ
บูรณาการ “ทักษะคุณอานวยสู่การปฏิบัต”ิ
 ให้ กลุม่ นำควำมรู้ที่ได้ มำบูรณำกำร เพื่อ
สร้ ำงคลังควำมรู้
- เล่ำเรื่ อง
- จดบันทึก
- จัดทำคลังควำมรู้
 นำเสนอคลังควำมรู้ตอ่ ที่ประชุมใหญ่
ขัน้ ตอนการถอดบทเรียน
ขัน้ เตรี ยมการก่ อนปฏิบัตกิ าร
1. เตรี ยมทีมงำน 2-3 คน หำคนที่มีทกั ษะสนใจ อยำกรู้ อยำกทำ
แบ่งหน้ ำที่ คุณอำนวยในทีม เดินเรื่ อง พูดคุย จดบันทึก
จับประเด็น ซึง่ ต้ องเข้ ำใจงำนซึง่ กันและกัน
2. เตรี ยมอุปกรณ์ สื่อ กล้ องถ่ำยรูป อื่น ๆ ตำมประเด็นที่ต้องกำร
ศึกษำ
3. เตรี ยมกรอบเนื ้อหำ ประเด็น ศึกษำเนื ้อหำ พื ้นที่ โครงกำรที่
เกี่ยวข้ อง
4. เตรี ยมกรอบ แนวทำงขันตอนกำรศึ
้
กษำและกรอบคำถำม
เตรี ยมประเด็นพูดคุย
5. เตรี ยมบุคคล/กลุม่ เป้ำหมำยที่จะพูดคุย
6. นัดหมำยวัน เวลำ สถำนที่
ขัน้ ปฏิบัตกิ ารถอดบทเรียน
1. กำรเริ่มต้ น : แนะนำตัว แนะนำวัตถุประสงค์ ควำม
เป็ นมำ
- สร้ ำงบรรยำกำศอุ่นเครื่ อง
2. เปิ ดประเด็นคำถำม “ผู้ร้ ูเล่ำ ผู้ศกึ ษำฟั ง/ถำม ผู้ร้ ูเล่ำ”
ผู้จดบันทึกตำมรูปแบบ เทคนิค ที่จะใช้ สงั เกต
บรรยำกำศ เนื ้อหำ สำระ ตำมลำดับขันตอนดั
้
งนี ้
- เล่ำประสบกำรณ์จำกวิธีกำรปฏิบตั ิงำนของผู้ร่วม
ถอดบทเรี ยน
ขัน้ ประมวลสรุ ปข้ อมูล
• ทีมงำนต้ องนำข้ อมูลที่ได้ มำรวบรวม ทบทวนควำม
ถูกต้ อง เทียบเคียงข้ อมูลที่ได้ สร้ ำงกำรเรี ยนรู้ร่วมกัน
• กำรทำอยู่คนเดียวจะเป็ นจุดอ่อนของทีม ทุกคนต้ อง
ช่วยเติมเต็มร่วมกัน
• ขันวิ
้ เครำะห์ สังเครำะห์ สรุปควำม กำรอธิบำยตีควำม
• อะไรที่เกิดขึ ้น เกิดขึ ้นได้ อย่ำงไร เบื ้องหลังควำมเป็ นมำ
กำรแก้ ไขปั ญหำ
• อุปสรรค วิธีคิดและรูปแบบ
• เชื่อมโยง เพื่อสร้ ำงควำมสมบูรณ์และสร้ ำงคุณค่ำ
ให้ กบั บทเรี ยน
AAR การทบทวนหลัง สกัดความร้ ู
 นัง่ ล้ อมวงเป็ นวงกลม
 ทำทันทีหลังจำกเสร็จสิ ้นกิจกรรม
 วัตถุประสงค์กิจกรรมครัง้ นี ้
 ผลจำกกำรทำงำนครัง้ นี ้ สำเร็จ/ข้ อปรับปรุง
 จดบันทึกสิ่งที่ได้ เรี ยนรู้ในกำรสกัดควำมรู้
การจัดการความรูใ้ นตัวบ ุคคลด้วยเรือ่ งเล่าเร้าพลัง
การแลกเปลีย่ นเรียนรู้
Knowledge
Sharing
KV
Knowledge
Vision
KS
ประเด็นในการจัดการความรู้
KA
Knowledge
Assets
การสร้ างความรู้
การจ ัดการความรู ้
เรื่องเล่ า (ประสบการณ์ )
KM Model “ปลาทู” Knowledge
• Knowledge Vision (KV) Sharing
• Knowledge Sharing (KS)
• Knowledge Assets (KA)
KV
Knowledge
Vision
KS
ขุมความรู้ (สรุป/รวบรวม)
แก่ นความรู้ (จัดหมวดหมู่)
KA
Knowledge
Assets/
Utilization
แก่นความรู้
ขุมความรู้
เกร็ดความรู้
(จากเรื่องเล่า)
จาก Tacit K
ตัง้ ประเด็น
จากระบบ
KV
KV
วิธีปฏิบตั ิ
KS
KS KA
จัดเรื่องเล่ าเร้ าพลังจากคุณกิจที่
มีประสบการณ์ ในระบบ
KA
สร้ างแก่ น / ขุม /
เกร็ดความรู้ / นาไปสู่ วธิ ี
ปฏิบัติ
เรื่องเล่าเร้ าพลัง
ใช้ เพื่อสื่อสำรควำมคิดให้ เกิดผลทำงบวกต่อผู้ฟัง คือ
ผู้ฟังเกิดควำมคิดที่จะนำไปใช้ ในกำรทำงำน หรื อ
ปรับปรุงงำนของตนเอง
วิธีการเล่ า
Face to Face : F2F
Blog to Blog : B2B
เวทีเล่ำสู่กนั ฟัง
1. เวทีจริง(Forum)
- การสนทนา ซักถาม พูดคุย
- การเล่ าเรื่องจากประสบการณ์
เวทีเล่ำสู่กนั ฟัง
2. เวทีเสมือน(Virtual) ใช้ ICT
2.1 ในองค์ การเช่ น,เว็บไซต์ ,Intranet
2.2 นอกองค์ การผ่ านเว็บไซต์ www เช่ นwww ที่
เกีย่ วข้ องกับงานของเราหรือตั้งกระทู้ในเว็ปไซด์
ต่ างๆ
1. เป็ นเรื่องความสาเร็จที่เกิดขึ้นจริง
2. เจ้าของเรื่องเป็ นผูเ้ ล่าและเล่าจากมุมมองของตนเอง
3. มีโครงเรื่อง เริ่มต้น กลางเรื่อง และตอนจบ
4. บอกวิธีการทางานที่ทาให้เกิดความสาเร็จ
5. เชื้อเชิญให้คนอืน่ ซักถามวิธกี ารทางานของตน
- สือ่ สารความรูฝ้ งั ลึกออกมาได้งา่ ย
- ถ่ายโยงความรูแ้ ละขยายได้เร็ว
- ใช้ได้ดีกบั ชุมชนผูป้ ฏิบตั ิ (CoP)
- พัฒนาการปฏิบตั งิ านโดยแลกเปลี่ยนเรียนรูจ้ ากผูอ้ น่ื ได้ดี
STORY TELLING แบบB2B
- เรื่ องต้ องสัน้ กระชับ ไม่ ยาวมาก
- เป็ นขัน้ ตอน ชัดเจน
- มีสาระ/วิธีการ (HOW TO)
- มีการบันทึกผลสาเร็จ
สิ่งเหล่ านีไ้ ม่ ใช่ STORY TELLING
- เก็บข่ำวจำกหนังสือพิมพ์/สื่อต่ำงๆมำเล่ำ
- ได้ ยินเรื่ องของคนอื่นแล้ วนำมำเล่ำต่อ
- ควำมรู้สกึ ของตนที่มีตอ่ เหตุกำรณ์
- จินตนำกำรถึงกำรกระทำที่ยงั ไม่เกิดขึ ้น
- กำรวิเครำะห์สถำนกำรณ์ที่ยงั ไม่เกิด
ข้ อควรระวังในการใช้ เรื่ องเล่ า
- ไม่เหมาะกับงานที่กาหนดแบบปฏิบตั ิไว้ ตายตัว
มีข้อมูลไว้ เป็ นปรนัย/สาเร็จรูป
- ไม่เล่าเรื่ องในสถานการณ์มีความเสี่ยงเชิงลบสูง
- หากจะใช้ เรื่ องเล่าคนอื่นมาตัดสินใจปฏิบตั ิต้อง
พิจารณาความสมดุลระหว่างองค์ความรู้ที่ได้ กบั
ข้ อมูล บริบท
องค์ประกอบของ Story Telling





มีการระบุ/เป้าหมายของความรู้
มีทีมงานสกัดความรู้
มีบคุ คลผู้เป็ นเจ้ าของเรื่ องเล่า
มีเวทีในการพบกัน
มีเครื่ องมือในการบันทึกความรู้
ปัจจ ัยความสาเร็จของ Story Telling





ทีมงานสกัดความรู้ที่มีความสามารถ
เจ้ าของเรื่ องเล่ามีความรู้ ประสบการณ์
มีเวทีและบรรยากาศที่เหมาะสม
บริ หารเวลาได้ ดี
ได้ ความรู้ที่เป็ นรูปธรรม
ผู้เล่ า
ผู้ฟัง
การประสบความสาเร็จ
ของการเล่าเรื่อง
บรรยากาศของการประชุม
แหล่งข้อมูล: วิจารย์ พานิช การจัดการความรู ้ฉบับนักปฏิบตั ิ
ผู้เล่ า
ผู้ฟัง
• ทบทวนเรื่องเล่ามาอย่างดี
• มีประสบการณ์ ตรง
• แจ่ มใส care ต่ อผู้รับฟัง
• ภูมใิ จในความสาเร็จ
•รู้ สึกว่ าผู้ฟังเป็ นกัลยานมิตร
• เล่ามาจากใจ/ไม่ ตีความ
• แสดงออกมาทางหน้ าตา
แววตา ท่ าทาง นา้ เสี ยง
การประสบความสาเร็จ
ของการเล่าเรื่อง
บรรยากาศของการประชุม
แหล่งข้อมูล: วิจารย์ พานิช การจัดการความรู ้ฉบับนักปฏิบตั ิ
ผู้เล่า
ผู้ฟัง
การประสบความสาเร็จ
ของการเล่าเรื่อง
• ฟั งอย่างตังใจ
้
active/deep listening
• คาถามที่แสดงความ
สนใจ/ชื่นชม
บรรยากาศของการประชุม
แหล่งข้อมูล: วิจารย์ พานิช การจัดการความรู ้ฉบับนักปฏิบตั ิ
ผู้เล่า
ผู้ฟัง
การประสบความสาเร็จ
ของการเล่ าเรื่อง
บรรยากาศของการประชุม
ห้ องประชุมสงบ เงียบ บรรยากาศเป็ นอิสระ
ผ่ อนคลาย บรรยากาศของกัลยาณมิตร
แหล่งข้อมูล: วิจารย์ พานิช การจัดการความรู ้ฉบับนักปฏิบตั ิ
Story Sharing
ใช้ เครื่ องมือเรื่ องเล่ าเร้ าพลัง (Storytelling)
ให้ ช่วยกันหาประเด็นหรื อหัวข้ อการแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้
 ต้ องเป็ นเรื่ องที่เกี่ยวข้ องกับทุกคน และเกี่ยวข้ องกับงาน
 ทุกคนยินดีและมีเรื่ องเล่ าที่จะแลกเปลี่ยนกัน
 ประเด็นไม่ กว้ างเกินไป
ผ้ ูเล่ าเรื่ อง
• เล่าประสบการณ์ หรื อเหตุการณ์ที่ประทับใจ
ความสาเร็จหรื อเทคนิควิธีการเกี่ยวกับหัวข้ อหรื อ
หัวปลาที่กลุม่ ได้ เลือกไว้
• เริ่มเล่าด้ วยความสาเร็จของเรื่ องคืออะไร? มีอะไร
เกิดขึ ้น? เกิดขึ ้นได้ อย่างไร? เพราะเหตุใด? ทาไมจึง
ทาเช่นนัน?
้
• อย่าพะวงว่าสิง่ ที่เล่านัน้ เป็ นเรื่ องผิดหรื อถูก เพราะ
เป็ นเหตุการณ์ผา่ นมาแล้ ว
• เล่าให้ เห็นความรู้สกึ นึกคิดในขณะนัน้ เล่าให้ กระชับ
“คุณอานวย”
•
•
•
•
•
สร้ างบรรยากาศเป็ นกันเอง สนุกสนาน
กระตุ้นให้ ผ้ ูเล่ า เล่ าเรื่องตามข้ อเท็จจริง ไม่ ตีความ
คุมให้ อยู่ในประเด็นเป้าหมาย ไม่ นอกเรื่อง
ไม่ ชีน้ า หรือตัดสิน
ให้ ทุกๆ คนได้ ร่วมแลกเปลี่ยน
ผ้ ูฟัง
ฟั งอย่างตังใจ
้ ฝึ กทักษะ Deep Listening
ฝึ กตังค
้ าถามเชิงชื่นชม ไม่ถามแย้ งระหว่างการเล่า
จับประเด็น สาระสาคัญของเรื่ องเล่าคืออะไร? ได้ แง่คิด
อะไรจากเรื่ องเล่านันบ้
้ าง?
ระวังสิ่งที่จะทาให้ บรรยากาศของการเล่าเรื่ องสะดุด
อาทิ เสียงมือถือ, ลุกเข้ าออก ฯลฯ
 One Meeting
ผู้บนั ทึก หรื อ “คุณลิขิต”
 จับประเด็นของเรื่ องเล่ า
 บันทึกเรื่องเล่ าตามความเป็ นจริง ไม่ ต่อเติมเสริ มแต่ ง
ด้ วยความคิดของตนเอง
 รั กษาสานวนเดิมของผู้เล่ าไว้ ให้ มากที่สุด
 คานึงอยู่เสมอว่ า คนอื่นอ่ านแล้ วต้ องเข้ าใจ
 ขอขัดจังหวะการเล่ าเรื่ องได้ หากบันทึกไม่ ทันหรื อให้
ผู้เล่ าเล่ ารายละเอียดบริบท หรื อ เทคนิคเพิ่มเติม
 บันทึกให้ เห็นเส้ นทางสู่ความสาเร็จ วิธีก้าวข้ ามอุปสรรค
ปั ญหา
 ลาดับของแหล่ งอ้ างอิง
การบันทึกเรือ
่ งเล่า
•เทคนิค วิธีการ How to ที่ได้ จากวง ลปรร. เป็ น
ความรู้มือหนึง่ ของคนเล่าเรื่ องนันๆ
้
•แต่ถ้าเราเอา เทคนิค วิธีการ How to นี ้ไปใช้ โดย
ไม่มีการดัดแปลง ความรู้นี ้ถือเป็ นความรู้มือสอง แต่ถ้า
มีการดัดแปลง ประยุกต์เพิ่มเติมเพื่อให้ เหมาะสมกับ
บริบทของเรา วิธีการที่ดดั แปลงหรื อประยุกต์ใหม่นนั ้ คือ
ความรู้มือหนึ่งของเรา
สรุ ปกติกาสาหรับ Storytelling
• พู ด เล่า ออกมาจากใจ ท าให้เ ป็ นธรรมชาติ ไม่ต อ
้ ง
เสแสร้ง แกล้ง ท าให้ดู ด ี ถึง เรื่อ งราวความส าเร็ จของ
ี
ประสบการณ์วช
ิ าชพ
ิ ประเด็ น ความ
• ฟัง อย่า งต งใจ
ั้
ไม่ต อ
้ งตอบโต้ ไม่ต ด
ั สน
ิ ผูอ
ไม่ต ัดสน
้ น
ื่ เสร็ จแล้วให้ช่วยก ันตีความว่า ความสาเร็ จ
้ ได้อย่างไร
นนเกิ
ั้
ดขึน
ิ บวก ชน
ื่ ชมยินดี เคารพความ
• สร้างบรรยากาศ เชง
แตกต่าง สร้างความเป็นอิสระ ให้ความเท่าเทียม ไม่เอา
เรือ
่ งคุณวุฒวิ ัยวุฒ ิ หรือตาแหน่งมาขวางกน
ั้
• จดบ ันทึก โดยย่อ เน้นวิธป
ี ฏิบ ัติ ไม่เน้นทฤษฎี
หลักการเล่ าเรื่ อง
1. กาหนดกรอบ/แนวคิดของเรื่ อง
2. เน้ นประสบการณ์ตรง
3. ลาดับขันตอนให้
้
ชดั เจน
เกิดอะไรขึ ้น / ใครทาอะไร / ที่ไหน / อย่างไร
4. บอกผลลัพธ์/ความสาเร็จที่เกิดขึ ้น
5. มีการย ้าประเด็นความสาเร็จและวิธีการ
อยูม่ าวันหนึ่ง...
•การแสดงสถานะว่า
เรื่ องเล่าได้เริ่ มต้น
•สถานการณ์
ด้วยเหตุน้ ีเอง......
•ทิศทางการรับมือ
จึงเริ่ มต้นด้วย...
•การเริ่ มต้นทา
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
•เกิดผลอะไรบ้าง
นานมาแล้ว......
ข้อคิด/วิธีการ
•การเรี ยนรู้ที่เกิดขึ้น
สิ่งที่ทาให้ เรื่ องเล่ าน่ าสนใจ
 ใช้ ภาษาง่าย/สนุกสนาน
 น ้าเสียง/จังหวะลีลา/ ท่าทาง
 มีวิธีการเล่าที่ชดั เจน เป็ นขันตอน
้
 ชวนติดตามและไม่เครี ยด
แบบบันทึกการจัดการความรู ้ “เรือ่ งเล่าเร้าพลัง”
ผู ้เล่า(คุณกิจ)/เรือ
่ งเล่า
Story telling
ความรู ้ทีไ่ ด ้(ขุมความรู ้)
Knowledge sharing
สงั เคราะห์ความรู(แก่
้ นความรู ้)
Knowledge asset
การถอดบทเรียนจากการสังเกต




เป็ นเครื่ องมือที่อยู่ในตัวทุกคน
ทาได้ ง่าย แต่ ต้องมีสมาธิและความละเอียดรอบคอบ
ต้ องมีมุมมองที่ชัดเจนในหัวข้ อความรู้ นัน้
มีความยินดีท่ จี ะให้ หรื อ แลกเปลี่ยนกัน
Observation is the best Learning
การสังเกตคือ...
• การเฝ้ าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใส่ ใจ
• มีระเบียบวิธี
• เพื่อวิเคราะห์หรื อหาความสัมพันธ์ของ
สิ่ งที่เกิดขึ้นนั้นกับสิ่ งอื่น
(สุ ภางค์ จันทวานิช, 2549)
เป้ าหมายการสั งเกตเพือ่ การเรียนรู้
1. บุคคล
2. กลุ่มบุคคล
3. สถานที่และสิ่ งแวดล้อม
4. เครื่ องจักรอุปกรณ์
5. เทคโนโลยี
6. วิธีปฏิบตั ิงาน/บริ หารงาน
ทักษะของนักสั งเกตการณ์ มืออาชีพ
1. การดู/มองดู
2. การฟัง
3. การดมกลิ่น
4. การสัมผัส
5. การลิ้มรส
6. การคิดวิเคราะห์
ประเภทของการสั งเกต
การสังเกตที่ใช้ในการเรี ยนรู ้ มี 2 แบบ คือ
1. การสั งเกตแบบมีส่วนร่ วม
(Participant Observation)
2. การสั งเกตแบบไม่ มีส่วนร่ วม
(Non-Participant Observation)
1. การสั งเกตแบบมีส่วนร่ วม
(Participant Observation)
คือ การที่ผสู ้ งั เกตเข้าไปใช้ชีวติ ร่ วมกับกลุ่มคนที่
ถูกศึกษา มีการทากิจกรรมร่ วมกัน จนผูถ้ ูกศึกษายอมรับ
ว่าผูส้ งั เกตมีสถานภาพบทบาทเช่นเดียวกับตน ผูส้ งั เกต
จะต้องปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มคนที่ศึกษา โดยเข้าไปฝังตัว
อยูใ่ นเหตุการณ์
ข้ อดีของการสั งเกตแบบมีส่วนร่ วม
- ได้รับการยอมรับและสนิทสนม
- ผูถ้ ูกสังเกตมีพฤติกรรมที่เป็ นไปตามธรรมชาติ
ทาให้ได้ขอ้ มูลที่เป็ นจริ ง
- เห็นภาพรวมของเหตุการณ์เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย
- สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ซ้ า
ข้ อจากัดของการสั งเกตแบบมีส่วนร่ วม
- ใช้ได้กบั การศึกษากลุ่มเล็กๆ
- ผูส้ งั เกตต้องระวังมิให้ตนเองเข้าไปมีความรู้สึกร่ วม
และผูกพันทางอารมณ์จนขาดความเที่ยงตรง อาจเป็ นเหตุ
ให้มีอคติ หรื อเข้าข้างกลุ่มที่กาลังศึกษาได้ ข้อมูลก็จะขาด
ความเที่ยงตรง
- การจดบันทึกเหตุการต่างๆ ทาได้ลาบากขณะอยูร่ ่ วม
กิจกรรมกับกลุ่ม
2. การสั งเกตแบบไม่ มีส่วนร่ วม
(Non-Participant Observation)
คือ การสังเกตที่ผศู ้ ึกษาเฝ้ าสังเกตอยูว่ งนอก
ไม่เข้าไปร่ วมในกิจกรรมที่ทาอยู่
ข้ อดีของวิธีการสั งเกตแบบไม่ มีส่วนร่ วม
• มักใช้ในการเริ่ มต้นเก็บข้อมูล ทาได้ง่าย
• เก็บข้อมูลในระยะเวลาสั้นและสิ้ นเปลืองค่าใช้จ่าย
น้อยกว่าวิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่ วม
• ไม่ตอ้ งเสี ยเวลาให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มศึกษา
เพราะมีบทบาทเป็ นคนนอก ทาให้มีโอกาสเกิดอารมณ์
ร่ วมน้อย
ข้ อจากัดของวิธีการสั งเกตแบบไม่ มีส่วนร่ วม
• ถ้าผูส้ งั เกตรู ้วา่ ถูกสังเกต อาจทาให้ไม่แสดงพฤติกรรม
ที่เป็ นธรรมชาติออกมา
• ข้อมูลที่ได้ไม่ละเอียดหรื อสมบูรณ์เท่าวิธีการสังเกต
แบบมีส่วนร่ วม
ปัจจัยความสาเร็จของการสั งเกตการณ์
1. วิธีการสังเกตที่เหมาะสม
2. ความชัดเจนของข้อมูลความรู ้ที่ได้รับ
3. ความสามารถของ(ทีม)ผูส้ งั เกตการณ์
ผลการเรียนรู้ จากการสั งเกต
1. ได้วธิ ีการทางานที่สามารถปรับใช้ได้
2. ได้เรี ยนรู ้วธิ ีคิด/วิธีบริ หารของบุคคล
3. ได้เรี ยนรู ้จุดอ่อน ข้อควรปรับปรุ ง
4. ได้ความรู ้ที่ชดั แจ้งเข้าสู่ องค์กร
การถอดบทเรียนจากการทัศนศึกษา
คือ การเดินทาง + สังเกต + เรี ยนรู ้
- เป็ นการเรี ยนรู ้ที่ไม่น่าเบื่อ มีชีวติ ชีวา
- ได้เห็นของจริ ง สถานที่จริ ง
- เกิดความสัมพันธ์ที่ดี
Field Trip/Study Tour
ข้ อจากัด
• อาจจะได้ความรู้ไม่ครบ
• บางข้อมูลอาจเป็ นข้อมูลเทียม
• ต้องอาศัยความสัมพันธ์เป็ นปัจจัยหลัก
• ระวังทัศนคติของผูต้ อ้ นรับ
แจ็ค เวลซ์ (Jack Welch) “สิ่ งที่ทาให้ จีอแี ตกต่ างออกไป
คือวัฒนธรรมที่ให้ ความหลากหลาย อันไม่ จากัดโอกาสใน
การเรียนรู้ เป็ นขุมทรัพย์ ของแนวความคิดทีม่ คี วาม
กว้ างขวางและอุดมสมบูรณ์ ซึ่งไม่ มคี ู่แข่ งในโลกธุรกิจ
ศูนย์ กลางของวัฒนธรรมคือความเข้ าใจว่ าความสามารถ
ขององค์ การที่เรียนรู้และแปรเปลีย่ นการเรียนรู้ น้ันให้ เป็ น
การกระทาได้ อย่ างรวดเร็ว ถือว่ าเป็ นข้ อได้ เปรียบสุ ดยอด
ของธุรกิจทีม่ ีการแข่ งขันกัน”
เอกสารอ้ างอิง
 ศ. นพ. วิจำรณ์ พำนิช, บันทึกควำมรู้ ควำมเข้ ำใจ
และวิธีกำรดำเนินกำรจัดกำรควำมรู้
 วิจำรณ์ พำนิช, กำรจัดกำรควำมรู้ฉบับนักปฏิบตั ิ
 ดร.วิภำดำ เวทย์ประสิทธิ์, KM อย่ำงง่ำย คณะวิทยำศำสตร์
มหำวิทยำลัยสงขลำนคริ นทร์
 พูนลำภ อุทยั เลิศอรุณ, ชุมชนแนวปฏิบตั ิ กำรจัดกำรควำมรู้
สำยพันธุ์ใหม่ Cultivating Communities of Practice We
Learn Co, Ltd.
 ภก.ประชำสรรณ์ แสนภักดี, กำรจัดกำรควำมรู้ในองค์กร