Transcript dsdsdsdsd

ระบบคอมพิวเตอร์
ยุคของคอมพิวเตอร์
1. ยุคที่หนึ่ง (First Generation)
ยุคนี้เริ่ มตั้งแต่ ค.ศ. 1944 เป็ นต้นมา หรื อประมาณปี พ.ศ. 2494 – 2502
เทคโนโลยีที่ใช้สร้างคอมพิวเตอร์ ในยุคนี้จะใช้หลอดสู ญญากาศ
และ
วงจรไฟฟ้ า
ซึ่ งต้องใช้พลังความร้อนในขณะทางานสู ง
ดังนั้นเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ ในยุคนี้จึงมีขนาดใหญ่และต้องใช้เครื่ องปรับอากาศมาช่วยใน
การระบายความร้อน นอกจากนั้นยังมีการใช้เทปกระดาษหรื อบัตรเจาะรู ใน
การรับส่ งข้อมูล
สาหรับปั ญหาที่เกิดในยุคนี้จะเป็ นปั ญหาในด้านการ
บารุ งรักษา
และการซ่อมแซมเครื่ องเพื่อให้เครื่ องสามารถทางานได้
นอกจากนั้นการใช้คาสั่งในการสั่งงานก็ค่อนข้างยาก เพราะสวนมากแล้วใน
การทางานต้องสั่งงานโดยใช้ภาษาเครื่ อง (Machine Language) ซึ่ งจะถือเป็ น
ภาษาระดับต่า รหัสคาสั่งต่าง ๆ จะจดจาค่อนข้างยาก การใช้งานคอมพิวเตอร์
ในยุคนี้ส่วนใหญ่จะเป็ นงานทางด้านวิทยาศาสตร์ และคณิ ตศาสตร์ ส่ วนงาน
ทางด้านธุรกิจมีการเริ่ มใช้ในยุคนี้เช่นกัน แต่มีการใช้ที่คอ่ นข้างน้อย
ยุคของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
2. ยุคที่สอง (Second Generation)
ยุคนี้เริ่ มในปี ค.ศ. 1957 หรื อประมาณปี พ.ศ. 2502-2507 ในยุคนี้ได้มีการ
ริ เริ่ มนาเอาทรานซิ สเตอร์ (Transistor) และไดโอด (Diodes) มาใช้แทนหลอด
สูญญากาศ ซึ่ งมีขนาดเล็ก มีราคาถูกลงและทางานได้เร็ วขึ้น ขนาดของเครื่ อง
คอมพิวเตอร์จึงเล็กลงตามไปด้วย ในการทางานจะใช้วงแหวนแม่เหล็ก สาหรับเก็บ
ข้อมูลและใช้เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็กเป็ นสื่ อในการรับส่ งข้อมูล นอกจากนั้นยังมี
การเพิ่มอุปกรณ์ ในการรับข้อมูล และอุปกรณ์ในการแสดงผลลัพธ์อีกมากมาย มี
การใช้เครื่ องพิมพ์ จานแม่เหล็ก บัตรเจาะรู จอภาพ และแป้ นพิมพ์เป็ นเครื่ อง
ปลายทาง ในยุคนี้ได้เปลี่ยนจากการสั่งงานด้วยภาษาเครื่ องเป็ นการใช้สัญลักษณ์
แทนจึงทาให้การสั่งงานง่ายขึ้นและมีภาษาระดับสู งบางภาษาเกิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน
ยุคของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
3. ยุคที่สาม (Third Generation)
เริ่ มในปี ค.ศ. 1965 ในยุคนี้มีการนาเอาวงจรผนึกมาใช้แทน
ทรานซิสเตอร์ ทาให้คอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็กลงไปอีก ความเร็ วก็
สูงขึ้นและราคาก็ลดลงไปอีก มีการพัฒนาโปรแกรมกว้างขวางขึ้น และมี
การเริ่ มใช้ภาษาระดับสูงมาช่วยในการเขียนโปรแกรม จึงมีหลายบริ ษทั
เริ่ มผลิตโปรแกรมสาเร็ จรู ปมาใช้ในการทางาน
ยุคของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
4. ยุคที่สี่ (Fourth Generation)
เริ่ มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 มีการนาเอาแผงวงจรรวมมาใช้แทนวงจรผนึ ก
และมีการปรับปรุ งอุปกรณ์อื่น ๆ ให้มีความสามารถสู งขึ้น จึงทาให้
คอมพิวเตอร์ สามารถทางานได้เร็ วขึ้น
นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยน
หน่วยความจาจากวงแหวนแม่เหล็กมาเป็ นหน่วยความจาสารกึ่งตัวนา มีการ
ผลิตไมโครโพรเซสเซอร์ ข้ ึนทาให้มีการสร้างคอมพิวเตอร์ ขนาดกลาง
(Minicomputer) และขนาดเล็ก (Microcomputer) ขึ้นมาเพื่อขาย ความ
เหมาะสมในการใช้งานในแต่ละประเภท
ในยุคนี้มีประชาชนสนใจ
คอมพิวเตอร์ มากขึ้น ทาให้มีการใช้อย่างแพร่ หลายในหมู่ประชาชนทัว่ ไป ไม่
ว่าจะเป็ นนักเรี ยน นักศึกษา ครู อาจารย์ นายแพทย์ นักธุรกิจ เป็ นต้น
วิวฒ
ั นาการของคอมพิวเตอร์
นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปั จจุบนั จะพบว่าคอมพิวเตอร์ มีววิ ฒั นาการ
เปลี่ยนแปลงไปมากทั้งทางด้านฮาร์ ดแวร์ และทางด้านซอฟต์แวร์
เพือ่ ให้
ทันสมัยและรวดเร็ ว ทันต่อเหตุการณ์ สาหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้าน
ฮาร์ ดแวร์ น้ นั ได้มีววิ ฒั นาการหรื อการเปลี่ยนแปลงดังนี้
ปี ค.ศ. 1981 ได้ผลิตเครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ รุ่นไอบีเอ็มพีซีข้ ึน
โดย
บริ ษทั อินเทล ในรุ่ นนี้ ใช้ CPU เบอร์ 8088 ซึ่ งถือว่าเป็ นต้นกาเนิดของ
เครื่ องพีซีนปัจจุบนั
ปี ค.ศ. 1982 ได้พฒั นาเป็ นรุ่ นไอบีเอ็มพีซีเอ็กซ์ที (IBM PC/XT) มีการ
ออกแบบวงจรภายในใหม่ ให้มีขนาดเล็กลงและทางานรวดเร็ วขึ้น แต่ยงั คงใช้
CPU เบอร์ 8088 ของอินเทล เครื่ องรุ่ นนี้สามารถติดตั้งฮาร์ ดดิสก์ได้มีการ
เปลี่ยนไปจากเดิม คือ 8 เซกเตอร์ ต่อแทรก เป็ น 9 เซกเตอร์ ต่อแทรก ทาให้
สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นเป็ น 360 กิโลไบต์
วิวฒ
ั นาการของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
ปี ค.ศ. 1985 ได้พฒั นาเป็ นรุ่ นไอบีเอ็มพีซีเอที (IBM PC/AT) ในรุ่ นนี้ได้
เปลี่ยนไปใช้ CPU เบอร์ 80286 ซึ่ งเป็ นตัวใหม่ของบริ ษทั อินเทลในการเก็บข้อมูลก็
มีการเพิ่มฮาร์ ดดิสก์ ให้มีความจุเพิ่มขึ้นเป็ น 20 เมกะไบต์ ฟลอปปี้ ดิสก์กส็ ามารถ
เก็บข้อมูลได้ถึง 1.2 เมกะไบต์ ทาให้มีประสิ ทธิภาพสู งและทางานเร็ วกว่ารุ่ น
ไอบีเอ็มเอ็กซ์ที
ปี ค.ศ. 1987 บริ ษทั ไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์ รุ่น PS/2 ขึ้นมา ในรุ่ นนี้
ฮาร์ ดดิสก์จะมีความจุมากขึ้น
ฟลอปปี้ ดิสก์กเ็ พิ่มความจุจากเดิม 720 กิโลไบต์
เป็ น 1.44 เมกะไบต์ และเปลี่ยนเป็ นแผ่นดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว
วิวฒ
ั นาการของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
ปี ต่อมา
ได้พฒั นาเป็ นเครื่ องมือที่ใช้ไมโครโพรเซสเซอร์ เบอร์ 80386
ของอินเทล ซึ่ งมีขนาด 32 บิต และมีประสิ ทธิ ภาพสู งกว่าเครื่ องเอทีมาก แต่กม็ ี
ปัญหาหนึ่งของเครื่ อง 386 คือระบบปฏิบตั ิการและแอพพลิเคชัน่ ที่ผา่ นมาถูก
พัฒนาขึ้นมาบนเครื่ องพีซีธรรมดาเท่านั้น โปรแกรมเหล่านั้นจึงไม่สามารถใช้
ความสามารถของ ซี พียู 80386 ได้เต็มที่นกั จะมีกแ็ ต่ความเร็ วที่สูงขึ้นเท่านั้น
ปัจจุบนั
บริ ษทั อินเทล ได้พฒั นาเครื่ องพีซี 586 (Pentium) ขึ้นมา เพื่อ
การใช้งานกับแอพพลิเคชัน่ บนวินโดวส์โดยเฉพาะและรองรับความเร็ วของ
ซี พียไู ด้ สาหรับในปั จจุบนั รุ่ นนี้เป็ นรุ่ นที่กาลังได้รับความนิยมในการทางาน
ค่อนข้างสู ง
ประเภทของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ ที่ใช้กนั อยูท่ วั่ ไปในปั จจุบนั นี้ จะพบว่ามีหลายประเภทหลายแบบ
ซึ่ งผูใ้ ช้สามารถเลือกได้ตามความต้องการ แต่ถา้ ต้องการแบ่งประเภทของ
คอมพิวเตอร์ตามการสร้างแล้ว สามารถแบ่งออกได้เป็ น 3 ประเภท คือ
1.
2.
3.
ดิจิตอล (Digital Computer)
อนาลอก (Analog Computer)
ผสม (Hybrid Computer)
ประเภทของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
สาหรับการแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ น้ นั มักจะดูจากลักษณะการทางาน
มาเป็ นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่ งอาจจะดูจากประเภทของข้อมูลที่รับเข้ามาประมวลผล
ว่าเป็ นข้อมูลชนิ ดใด นอกจากนั้นยังดูถึงการเก็บข้อมูล การแสดงข้อมูล และการ
นาไปประยุกต์ใช้งานอีกด้วย สาหรับการทางานและข้อแตกต่างของคอมพิวเตอร์
ทั้ง 3 ประเภท มีดงั นี้
1.คอมพิวเตอร์ชนิดดิจิตอล (Digital computer)
คอมพิวเตอร์ ชนิดดิจิตอลเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ที่มีการคานวณโดยการนับ
จานวนโดยตรง ข้อมูลที่นบั ได้จะเก็บเป็ นรหัสตัวเลขฐาน 2 คือ มีเลข 0 กับเลข 1
การประมวลผลจะทางานต่อเนื่องกันไป และมีการเก็บข้อมูลไว้ให้อย่างถูกต้อง
แม่นยา ซึ่ งจะขึ้นอยูก่ บั งานที่นาไปใช้ดว้ ย เช่น ใช้ในการจองสายการบิน การ
ควบคุมการยิงขีปนาวุธ การพยากรณ์สภาพภูมิอากาศ เป็ นต้น
ประเภทของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
2. คอมพิวเตอร์ชนิดอนาลอก (Analog Computer)
คอมพิวเตอร์ ชนิดอนาลอกเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่ทางานโดยการรั บข้อมูล
แบบวัดจานวนที่ต่อเนื่องกัน ซึ่ งจะนาข้อมูลที่วดั ได้มาแปลงเป็ นค่าตัวเลข เช่น การ
วัดอุณหภูมิของอากาศ การวัดแรงดันไฟฟ้ า การวัดความดังของเสี ยงเครื่ องยนต์
การวัดปริ มาณอากาศที่เป็ นพิษ เป็ นต้น ซึ่ งผลจากการวัดที่ได้จะมีความละเอียด
ค่อนข้างมาก จึงเหมาะกับงานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และทางด้าน
คณิ ตศาสตร์ เนื่ องจากงานเหล่านี้จะต้องใช้ค่าตัวเลขที่ละเอียด มีจุดทศนิยมหลาย
ตาแหน่ง
ประเภทของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
3. คอมพิวเตอร์แบบผสม (Hybrid Computer)
คอมพิวเตอร์แบบผสม เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่นาลักษณะการทางานแบบ
ดิจิตอลและแบบอนาลอกมาผสมกัน ลักษณะการทางานของคอมพิวเตอร์ แบบนี้จะ
มีการรับข้อมูลเข้าเครื่ องหรื อมีการแสดงผลข้อมูลออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น
คอมพิวเตอร์ แบบนี้ยงั มีความสามารถในด้านการคานวณที่ถูกต้องแม่นยา
และ
สามารถทางานตามโปรแกรมที่ซบั ซ้อนได้
สาหรับงานที่จะใช้คอมพิวเตอร์แบบผสม หรื อไฮบริ ดนั้น มักจะเป็ นงานเฉพาะ
ด้าน เช่น งานทางด้านวิทยาศาสตร์ การฝึ กนักบิน ใช้ในการควบคุมการทางานด้าน
อุตสาหกรรม หรื ออาจจะใช้ในวงการแพทย์ เป็ นต้น
ขนาดของคอมพิวเตอร์
การแบ่งคอมพิวเตอร์ออกตามขนาดนั้น ไม่ได้แบ่งว่ามีขนาดใหญ่
หรื อเล็ก แต่จะแบ่งจากขนาดของหน่วยความจาและอุปกรณ์ที่ใช้ในการ
รับและแสดงข้อมูล ดังนั้นการที่จะเลือกคอมพิวเตอร์ขนาดใดมาใช้งาน
นั้น จะต้องคานึ่งถึงงานด้วยว่า มีความซับซ้อน ยุง่ ยาก ต้องใช้
หน่วยความจาในการเก็บข้อมูลมากหรื อไม่ ถ้าเรามีการเลือกขนาด
คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับงานแล้ว งานที่ได้กจ็ ะมีประสิ ทธิภาพสูงและ
ได้ผลรวดเร็ ว ถูกต้อง ขนาดของคอมพิวเตอร์น้ นั สามารถแบ่งออกได้
เป็ น 4 ขนาดดังนี้
ขนาดของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสามารถประมวลผล
ได้เร็ วที่สุด ซึ่งส่ วนมากแล้วจะผลิตมาใช้กบั งานเฉพาะด้านเท่านั้น เช่น
งานทางวิทยาศาสตร์ที่ยงุ่ ยากซับซ้อน และต้องมีการคานวณมาก งาน
ออกแบบเครื่ องบิน งานวิจยั ทางด้านนิวเคลียร์ ซึ่งเครื่ องคอมพิวเตอร์
ชนิดนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างแพงมาก ดังนั้นจึงมีใช้ไม่แพร่ หลายมากนัก
ขนาดของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Miainframe Computer)
เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิ ทธิภาพสูง มีความเร็ ว
ในการทางานและมีหน่วยความจาสูงมาก เหมาะกับหน่วยงานขนาด
ใหญ่ เช่น ธนาคาร
ขนาดของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)
เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ขนาดรองลงมา มีขนาดหน่วยความจาน้อย
กว่า 2 แบบแรก แต่กม็ ีความรวดเร็ วในการประมวลผลสูง มักจะใช้กบั
งานที่มีขอ้ มูลไม่มาก เช่น การควบคุมอุปกรณ์ในการทดลอง การควบคุม
เครื่ องจักรในโรงงาน เป็ นต้น
ขนาดของคอมพิวเตอร์ (ต่ อ)
4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)
เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กที่สุด แต่กม็ ีประสิ ทธิ ภาพสู ง ปัจจุบนั
เป็ นเครื่ องที่นิยมใช้กนั มาก เนื่องจากมีขนาดเล็ก มีน้ าหนักเบา ราคาไม่แพง
สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและสะดวก
บางรุ่ นมีลกั ษณะเป็ นกระเป๋ าหิ้ วหรอืที่
เรี ยกว่า Note Book สามารถพกพาได้ สาหรับงานที่จะใช้กบั เครื่ อง
ไมโครคอมพิวเตอร์ น้ นั ส่ วนมากแล้วจะเป็ นงานไม่ใหญ่มาก เช่น งานในสานักงาน
ทัว่ ไป งานเก็บข้อมูลต่าง ๆ ปั จจุบนั นี้เครื่ องไมโครคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนา
ออกแบบหลายแบบหลายรุ่ น เพื่อให้ผใู ้ ช้เลือกซื้ อได้และมีการพัฒนารุ่ นต่าง ๆ
ออกมาอยูต่ ลอดเวลา
ส่ วนประกอบของ Computer
เครื่ องคอมพิวเตอร์ ถา้ จะทางานได้น้ นั จะต้องประกอบไปด้วยส่ วนประกอบ
3 ส่ วน ใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ ส่ วนแรกนั้นจะเป็ นตัวเครื่ องหรื อที่เรี ยกกันว่า ฮาร์ ดแวร์
(Hardware) ซึ่ งประกอบไปด้วย จอภาพ ชุดซี พียู คียบ์ อร์ด เครื่ องพิมพ์ และ
แผ่นดิสก์ ส่ วนที่ 2 เรี ยกว่า ซอฟต์แวร์ (Software) ซึ่ งหมายถึงโปรแกรมต่าง ๆ ที่
ไว้ใช้สั่งให้คอมพิวเตอร์ ทางานตามที่เราต้องการ ส่ วนสุ ดท้าย เรี ยกว่า พีเพิลแวร์
(Peopleware) ซึ่ งส่ วนนี้จะหมายถึง บุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ไม่วา่
จะเป็ นพนักงานป้ อนข้อมูล นักเขียนโปรแกรม หรื อนักวิเคราะห์ออกแบบ
ระบบงานต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ ทั้ง 3 ส่ วนนี้เป็ นส่ วนประกอบที่สาคัญของ
Computer ถ้าขาดส่ วนหนึ่ งส่ วนใดไปแล้ว Computer ก็ไม่สามารถใช้งานได้เลย
สาหรับในบทนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดของฮาร์ ดแวร์ ซึ่ งมีส่วนประกอบดังต่อไปนี้
ส่ วนประกอบของ Computer (ต่ อ)
ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
หมายถึง ส่ วนที่เป็ นตัวเครื่ องคอมพิวเตอร์ ซึ่ งประกอบไปด้วยหน่วยต่าง ๆ
ดังต่อไปนี้ คือ
หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) ทาหน้าที่ในการรับข้อมูลที่บนั ทึกไว้ในสื่ อ
ต่าง ๆ เข้าไปเก็บไว้ในหน่วยความจา สาหรับอุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เป็ นหน่วยรับ
ข้อมูล ได้แก่ Keyboard, Disk Drive, Magnetic Tape, Card Reader, Mouse, Touch
Screen และ Scanner เป็ นต้น
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) ทาหน้าที่ในการ
คานวณและประมวลผล ซึ่ งถือว่าเป็ นส่ วนที่สาคัญที่สุดของคอมพิวเตอร์ สาหรับ
ในหน่วยนี้มีหน้าที่ 2 อย่างคือ ควบคุมการทางาน คานวณและตรรก อุปกรณ์ที่ทา
หน้าที่น้ ีได้แก่ CPU
ส่ วนประกอบของ Computer(ต่ อ)
หน่วยความจา (Memory Unit) ทาหน้าที่เก็บข้อมูล และคาสั่งต่ าง ๆ ที่
ส่ งมาจากหน่วยรับข้อมูลหรื อส่ งมาจากหน่วยประมวลผลกลางมาเก็บไว้ เพือ่ รอ
การเรี ยกใช้หรื อรอการประมวลผลภายหลัง
สาหรับหน่วยความจาแบ่งเป็ น
หน่วยความจาหลัก ซึ่ งในที่น้ ีคือ ROM กับ RAM และหน่วยความจาสารอง ซึ่ ง
ได้แก่ เทปแม่เหล็ก, Disk, Tape เป็ นต้น
หน่วยแสดงผลลัพธ์ (Output Unit) ทาหน้าที่ในการแสดงผลลัพธ์ที่ได้มา
จากกรประมวลผล อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เป็ นหน่วยแสดงผลลัพธ์ ได้แก่ Monitor,
Printer, Diskette, CD-ROM, Plotter, Disk Drive และ Magnetic Tape เป็ นต้น