การวิจัยอนาคต (Future Research)

Download Report

Transcript การวิจัยอนาคต (Future Research)

การวิจยั คุณภาพ (Qualitative Research)
โดย
รองศาสตราจารย์ ดร.สมาน งามสนิท
Fulbright Scholar, Ohio U. U.S.A.
กรรมการบริหารหลักสู ตรรัฐประศาสนศาสตร์ ม.ราชภัฎวไลยอลงกรณ์
ในพระบรมราชูปถัมภ์
หมายเหตุ อย่าให้เอกสารนี้หาย จนกว่าจะจบเป็ นด๊อกเตอร์ แล้ว
การวิจยั มี ๒ ประเภท คือการวิจยั ปริ มาณ (quantitative research) เป็ น
หาคาตอบให้กบั ปัญหาโดยใช้ตวั เลขยืนยันความถูกต้องและอธิบาย
ปรากฏการณ์
อีกวิธีหนึ่งแต่เดิมเรี ยกว่า การวิจยั คุณภาพ (qualitative research)
นักวิจยั ยุคใหม่ ไม่เรี ยกชื่อนี้ เพราะเมื่อเรี ยกว่า การวิจยั คุณภาพ ทาให้
นักวิจยั ปริ มาณถามทันทีวา่ ของเขาไม่ มีคณ
ุ ภาพตรงไหน นักวิจยั
คุณภาพยุคนี้จึงเรี ยกชี่อใหม่วา่ การวิจยั ที่ไม่ ใช่ ปริ มาณ (nonquantitative research)
ศัพท์เฉพาะทางเช่น ผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลัก(key informants) ก็เรี ยกว่า ผูม้ ีส่วน
ร่ วมในการวิจยั (research participants)
Basic Concept in Research แนวคิดหลักในการวิจัย
Concept
Meaning
Relevance
Theory
A set of explanatory Concepts Usefulness
Hypothesis
A testable proposition
Validity
Methodology
A general approach to
Studying research topics
Usefulness
Method
A specific research technique
Good fit with
theory, hypothesis &
methodology
Sman Ngamsnit
Basic Elements of Theory
1. Philosophical Assumptions
Basic beliefs that underlie the theory
2. Concepts or Building Blocks
3. Explanations or dynamic
connections made by the theory
4. Principles guideline for action
Three major types of Philosophical
Assumptions:
1. Assumptions about Epitemology
questions of knowledge. How knowledge
arise?
2. Assumptions about Ontology, questions of
existence
3. Assumptions about Axiology, questions of value
Epistemology:
1. To what extent can knowledge exist before
experience?
2. To what extent can knowledge be certain?
3. By what process does knowledge arise?
4. Is knowledge best conceived in parts or
wholes?
5. To what extent is knowledge explicit?
Ontology: ภาววิสัย ชีวภาวะ
Ontology เป็ นสาขาหนึ่งของปรัชญา ว่าด้วยธรรมชาติของ ภาวะ
ความเป็ น
Epistemology และ Ontology เป็ นศาสตร์คู่ขนานกัน กล่าวถึง องค์
ความรู้ ที่เรารู้ ในทางสังคมวิทยา Ontology กล่าวถึงธรรมชาติของ
ความเป็ น(ไม่ ตาย) ของมนุษย์ (nature of human existence)
ในทางการสื่ อสาร ontology ศึกษาปฏิสมั พันธ์ของมนุษย์กบั สังคม
ด้วยการสื่ อสาร
การแสวงความรู้ในระดับของ Ontology ประกอบด้วยชุดคาถามอย่าง
น้อย ๔ คาถามหลัก ดังนี้
1.To what extent do humans make real choices?
2. Whether human behavior is best
understood in terms of states or traits
States; temporary dynamic conditions
affecting people in the course of a day, year
and lifetime.
Traits; นิสยั สันดาน กรรมพันธุ์ do not change easily
3. Is human experience primarily individual
or social?
ใคร บุคคลหรื อกลุ่ม มีบทบาทในการกระทากิจกรรมต่างๆในสังคม
กลุ่มที่มองว่า บุคคลเป็ นผูม้ ีบทบาท จะใช้จิตวิทยาบุคคล เป็ นกรอบใน
การวิเคราะห์
กลุ่มที่มองว่า สังคมกาหนด เพราะถือว่า มนุษย์ไม่ได้อยูโ่ ดดเดี่ยว มี
ปฏิสมั พันธ์กบั สังคมตลอดเวลา
4.To what extent is communication contextual?
Universal and situational factors สาหรับวิเคราะห์หาความรู้
เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์
Axiology:
Axiology is a branch of philosophy concerned
with studying values.
Three axiological issues are especially important;
Can research be value free, what are the ends for
Which scholarship is conducted, and to what
extent should scholarship aim to effect the social
change?
Theories are intimately tied to action.
How we think, our theories guide how
to act, and how we act, our practices
guide how we think.
James Anderson “Theory…contains a
set of instructions for reading the
world and acting in it…….”
“What do I believe to be true…?”
การวิจยั สังคมศาสตร์ นิยมใช้ทฤษฎี ต่อไปนี้
Functionalism looks at functions of social institution
Behaviorism defines all behavior in term of ‘stimulus’ and ‘response’
Symbolic interactionism focuses on how we attach meanings to
interpersonal relations
หลักความจริ ง ทฤษฎี และสมมติฐาน ไม่มีผดิ หรื อ ถูก เพียงแต่มีประโยชน์
มากหรื อน้อยเท่านั้น Theories, methodologies cannot be true or false, only
more or less useful. (Silverman, Interpreting qualitative Data p.2)
Sman Ngamsnit
การวิจยั คุณภาพ (Qualitative Research)
คือการศึกษาปรากฏการณ์ พฤติกรรมมนุษย์ในสังคมในสิ่ งแวดล้อมที่
เป็ นจริ งโดยภาพรวม (Holistic) แล้วพรรณนาความรู้ที่ได้ดว้ ยภาษา
พูดหรื อภาษาเขียน มีลกั ษณะสาคัญดังนี้
1. เป็ นการค้นหาความจริ งในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติของสิ่ งที่
ศึกษา จึงเรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า การวิจยั ตามธรรมชาติ (naturalistic
research)
Sman Ngamsnit
2. การวิจัยประเภทนีผ้ ู้วจิ ัยเป็ นนักพรรณนา ศึกษาหาความจริงโดยใช้
เหตุการณ์ หนึ่งขึน้ มาวิเคราะห์ หาความสั มพันธ์ กบั เหตุการณ์อนื่ ๆโดยการ
สั มภาษณ์ สั งเกต สอบถามและจดบันทึกเร่ องราวเอง แล้วพรรณนาความตาม
แนวที่นักชาติพนั ธุ์วรรณาใช้ จึงเรียกอีกอย่ างหนึ่งว่ า Ethnographic research
3. ส่ วนใหญ่ เป็ นการวิจัยข้ อมูลทางสั งคม วัฒนธรรม อัตชีวประวัติ โลกทัศน์
ความคาดหวัง อุดมคติ ข้ อมูลทีเ่ ป็ นนามธรรม ทีไ่ ม่ สามารถวิจัยในรู ปปริมาณได้
เหมาะสม
4. การวิเคราะห์ ข้อมูลโดยความสามารถของผู้วจิ ัย เนื่องจากผู้วจิ ัยลงพืน้ ที่
อยู่ในสนามเอง ไม่ จาเป็ นต้ องใช้ สถิติช้ันสู ง แต่ ใช้ หลักตรรกวิทยาแบบอุปนัย
เป็ นสาคัญ
Sman Ngamsnit
ประเภทของการวิจยั คุณภาพทีน่ ิยมใช้
1. การวิจัยประวัติศาสตร์ บอกเล่า
เป็ นการศึกษา
คาบอกเล่าของบุคคลทีเ่ กีย่ วข้ องกับเหตุการณ์ ทศี่ ึกษาโดยตรง หรือรู้
เห็นเหตุการณ์ ผู้วจิ ัยเป็ นผู้สัมภาษณ์ เจาะลึกบุคคลเหล่ านั้นด้ วยตนเอง
วิธีวจิ ัยประวัติศาสตร์ บอกเล่า
1. เลือกกลุ่มเป้าหมาย 2. สั มภาษณ์ เจาะลึก 3. รวบรวมข้ อมูลเป็ น
ระบบ 4. วิเคราะห์ ข้อมูล
Sman Ngamsnit
2. การวิจยั แบบมีส่วนร่ วม(Participatory Action Research) มักนิยม
เรี ยกว่า PAR เป็ นการวิจยั เน้นบุคคลเป็ นสาคัญ เพื่อสร้างพลังอานาจ
ให้แก่ประชาชนด้วยกระบวนการพัฒนาอย่างมีส่วนร่ วมผ่านการวิจยั
เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า Action Research. ผูเ้ กี่ยวข้องกับการวิจยั
ประกอบด้วย นักวิชาการ นักวิจยั แกนนาชุมชน ร่ วมกันประเมินปัญหา
ร่ วมกันระบุปัญหา แสดงความต้องการของชุมชน หาแนวทางแก้ปัญหา
ร่ วมกันโดยใช้ทรัพยากรทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน
Sman Ngamsnit
วัตถุประสงค์ ของการวิจัยแบบมีส่วนร่ วม Action Research
๑. เพือ่ ปลุกจิตสานึกให้ ชุมชนรู้จักบทบาทหน้ าทีข่ องตนในการมีส่วนร่ วมใน
การแก้ปัญหา
๒. เพือ่ ร่ วมกับชุ มชนในการศึกษาพัฒนา เศรษฐกิจ สั งคมและการเมือง
๓. เพือ่ ส่ งเสริมการรวมกลุ่มและทางานร่ วมกันระหว่ างนักพัฒนาและชุ มชน
Sman Ngamsnit
คุณสมบัติของนักวิจัยแบบมีส่วนร่ วม
1. Empathy มีความรู้สึกร่ วมในการพัฒนา
2. Credible น่ าเชื่อถือ
3. Friendly เป็ นมิตร จริงใจ
4. Positive ness เชื่อในการทาดี มองโลกในแง่ ดี
5. Cooperative/Helpful ให้ ความร่ วมมือช่ วยเหลือผู้อนื่
6. Good listener/Open minded เป็ นผู้ฟังทีด่ ี ใจกว้ าง
7. Respectful เคารพผู้อนื่
S.Ngamsnit
การวิจัยกรณีศึกษา (Case Study Research)
มุ่งทีบ่ รรยายเรื่องราวทีส่ นใจ เน้ นการสื บสวนและวิเคราะห์ เจาะลึกปรากฏการณ์
สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ (Broomley 1990)
วิธีการและเครื่องมือในการวิจัยกรณีศึกษา
มีวธิ ีการวิจัยและเก็บข้ อมูลหลากหลาย ทีน่ ิยมกันมี ๕ วิธี ได้ แก่
๑. การวิจัยเอกสารหรือการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ แหล่งข้ อมูลเช่ น
รายงานการประชุ ม จดหมายเหตุ วัตถุ พยานหลักฐาน ของจริง
๒. สั มภาษณ์ เดี่ยวหรือสั มภาษณ์ กลุ่ม แบบมีโครงสร้ างหรือไม่ มี
โครงสร้ าง
S.Ngamsnit
๓. สั งเกต มีการสั งเกตโดยตรง และสั งเกตแบบมีส่วนร่ วม
๔. การสารวจ มุ่งหาข้ อมูลเบือ้ งต้ น สภาพแวดล้อม เหตุการณ์
โดยใช้ แบบสารวจ แบบสอบถามเป็ นเครื่องมือวิจัย
๕. การทดลอง โดยการสร้ างสถานการณ์ หรือเงื่อนไขต่ างๆขึน้ มา
ทดลอง
สมาน งามสนิท
การวิจัยอนาคต (Future Research)
เป็ นวิธีวจิ ัยที่ใช้ ในการศึกษาอนาคต( future studies) เพือ่ เป็ นเครื่องมือ
ทานาย คาดการ บ่ งชี้แนวโน้ มสิ่ งทีอ่ าจเกิดขึน้ ในอนาคต ได้ รับการ
พัฒนาขึน้ โดย Olaf Helmer และ Norman Dalkey แห่ งบริษัทแรนด์
(Rand Corporation) เมื่อ พ.ศ. 2505 ลักษณะสาคัญของอนาคตศึกษา
ประกอบด้ วย ๑. เวลา มีการระบุช่วงเวลา เช่ น ๕ ปี ๑๐ ปี ๒๕ ปี เป็ นต้ น
๒. ปัญหา ไม่ ใช่ ปัญหาในความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง
๓. ทฤษฎี เป็ นความพยายามที่จะใช้ และสร้ างทฤษฎีในการศึกษา
๔. เทคนิคการวิเคราะห์ ผสมผสานระหว่ างวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และ
เชิงพรรณนา
๕. การนาผลที่ได้ ไปใช้ เพือ่ ประกอบการวางแผนและการตัดสิ นใจ
เกีย่ วกับอนาคต
สมาน งามสนิท
วิธีการวิจัยอนาคต
การวิจัยอนาคตมีหลายวิธี ที่นิยมกัน มี
1. Delphi Technique เทคนิคเดลไฟ
2. Ethnographic Future Research, EFR แบบชาติพนั ธุ์วรรณา
3.
Ethnographic Delphi Future Research, EDFR ชาติพนั ธุ์วรรณาแบบเดลไฟ
4. Focus Group Technique เทคนิคโฟกัสกรุ๊ป
สมาน งามสนิท
Delphi Technique เป็ นการประมวลความคิดเห็นและการตัดสิ นใจ
ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในเรื่องทีศ่ ึกษาอย่ างมีระบบ โดยรวมกลุ่ม
ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องทีศ่ ึกษา ตั้งแต่ ๑๗ คนขึน้ ไป (Thomas T.
MacMillan) ออกแบบสอบถาม ๓รอบ หรือ จนกว่ าคาตอบจะนิ่ง
Victoria Dennington and the Psychology Subject Advisory
Committee(2004) เสนอขั้นตอนการวิจัยแบบเดลไฟ ๑๐ ขั้นตอน
ใช้ เวลา ประมาณ ๘ สั ปดาห์ ดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑-๓ ใช้ เวลาประมาณ ๑ สั ปดาห์ ได้ แก่
๑. เลือกคาถามวิจัย ๒. เลือกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ๓. ติดต่ อ
ผู้เชี่ยวชาญเพือ่ ยืนยันการเข้ าร่ วมการวิจัย
Sman Ngamsnit
ขั้นตอนที่ ๔-๕ ใช้ เวลา ประมาณ ๒ สั ปดาห์ ได้ แก่
๔. ส่ งคาถามให้ ผู้เชี่ยวชาญตอบ
๕. รับแบบสอบถามคืน
ขั้นตอนที่ ๖-๘ ใช้ เวลาประมาณ ๒ สั ปดาห์ ได้ แก่
๖. ประมวลและวิเคราะห์ คาตอบ
๗. ส่ ง
คาตอบทีป่ รับแล้วให้ ผ้เู ชี่ยวชาญตอบ
๘. รับ
คาตอบรอบที่ ๒ คืน เพือ่ วิเคราะห์ คาตอบ
Sman Ngamsnit
ขั้นตอนที่ ๙-๑๐ ใช้ เวลาประมาณ ๒ สั ปดาห์ ได้ แก่
๙. วิเคราะห์ คาตอบ
๑๐. เขียนรายงาน
เทคนิคเดลไฟ ใช้ ชุดแบบสอบถามเป็ นเครื่องมือวิจัย โดยการถามซ้าหลายรอบ
ต่ อเนื่อง
แบบสอบถามรอบที่ ๑ เป็ นแบบสอบถามเปิ ด เพือ่ ให้ ผู้เชี่ยวชาญแสดง
ความเห็นกว้ างๆ เพือ่ เก็บรวบรวมความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ
แบบสอบถามรอบที่ ๒ พัฒนาจากรอบที่ ๑ เพือ่ นามาสร้ างประโยคหรือประเด็น
ทีต่ ้ องการศึกษา เพือ่ ให้ ผ้ เู ชี่ยวชาญตอบในรู ปค่ าร้ อยละหรือ rating scale หรือ
รู ปแบบอืน่ ทีเ่ หมาะสม
Sman Ngamsnit
Ethnographic Future Research, EFR การวิจัยอนาคตแบบชาติพนั ธุ์วรรณา
Dr.Robert B. Textor ศาสตราจารย์ ด้านมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยสแตน
ฝอร์ ด สหรัฐ ได้ พฒ
ั นาขึน้ มีข้นั ตอนดังนี้
๑. กาหนดเรื่องทีจ่ ะศึกษาและกาหนดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทีจ่ ะสั มภาษณ์ อาจจะเป็ น
กลุ่มทีเ่ จาะจงหรือตามหลักสถิติ
๒. สั มภาษณ์ แบบเปิ ด ไม่ ชี้นา เป็ นแบบกึง่ โครงสร้ าง เตรียมคาถามล่วงหน้ า
๓. สั มภาษณ์ ให้ ภาพอนาคตทีเ่ ป็ นทางเลือก ๓ ภาพ คือภาพที่ดี ภาพที่ไม่ ดีและ
ภาพทีน่ ่ าจะเป็ นได้ มากทีส่ ุ ด ซึ่งมีแนวโน้ มทีผ่ ู้ให้ สัมภาษณ์ คาดว่ าจะเกิดได้ มาก
ทีส่ ุ ด
๔. ประมวลสรุปความคิดเห็นให้ ผ้ใู ห้ สัมภาษณ์ ฟังทั้งหมด เพือ่ ให้ ยนื ยันหรือ
เปลีย่ นแปลงเพิม่ เติมได้
Sman Ngamsnit
๕. วิเคราะห์ สั งเคราะห์ หาฉันทามติของแนวโน้ มแต่ ละประเด็น
๖. นาแนวโน้ มนั้นมาเขียนอนาคตภาพ(Scenario)
Ethnographic Delphi Future Research, EDFR การวิจัยอนาคตแบบชาติ
พันธุ์วรรณาด้ วยวิธีเดลไฟ
เป็ นวิธีการผนวกการวิจัยอนาคตแบบชาติพนั ธ์ วรรณากับเทคนิคเดลไฟเข้ า
ด้ วยกัน โดยนาจุดเด่ นของทั้งสองวิธีเข้ าด้ วยกัน เพือ่ ความเหมาะสมและ
ยืดหยุ่นมากขึน้
Focus Group Technique เทคนิคโฟกัสกรุ๊ป
เป็ นการใช้ ปฏิสัมพันธ์ กลุ่มเพือ่ ให้ ได้ ข้อมูลเจาะลึกซึ่งทาได้ ยากหาก
ไม่ มีปฏิสัมพันธ์ กลุ่ม Focus group discussion
Sman Ngamsnit
วิธีการเก็บข้ อมูลทางการวิจยั คุณภาพ
๑. การสั มภาษณ์ เจาะลึก (In-depth-interview)
เป็ นวิธีการเก็บข้ อมูลทางการวิจัยคุณภาพ มีลกั ษณะการสั มภาษณ์ เชิงลึก
ดังนี้
๑. ใช้ จานวนกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนาดเล็ก ประมาณ ๑๗ คน (Smaller
samples) (Thomas T. MacMillan)
๒. ผู้ตอบให้ คาตอบทีช่ ี้ชัดในแต่ ละประเด็น (specific answer)
๓.สั มภาษณ์ เป็ นรายบุคคล (personal interview)
๔. อาจกลับไปสั มภาษณ์ เพิม่ เติมอีกได้ แต่ ควรให้ เสร็จในครั้ งเดียว
Sman Ngamsnit
ขั้นตอนการสั มภาษณ์ เจาะลึก
๑. ขั้นตอนก่อนสั มภาษณ์ (pre-interview)
๑.๑ เลือกกลุ่มตัวอย่ างทีจ่ ะสั มภาษณ์ นัดหมาย ให้ ประเด็นคาถาม
๑.๒ เตรียมอุปกรณ์ บันทึกข้ อมูล เครื่องบันทึกเสี ยง กล้ องถ่ ายรูป
อุปกรณ์ การจดบันทึก
๑.๓ แต่ งกายให้ สุภาพ เหมาะสมกับกาลเทศะ
๒. ขั้นตอนการสั มภาษณ์ (Interview)
๒.๑ แนะนาตนเอง ให้ ความสาคัญแก่ผู้ให้ สัมภาษณ์ อ่อนน้ อม ถ่อมตน
๒.๒ บอกวัตถุประสงค์ ในการสั มภาษณ์ ให้ ชัดเจน บอกประโยชน์ ที่จะ
ได้ รับจากการให้ สัมภาษณ์
สมาน งามสนิท
๒.๓ สร้ างบรรยากาศเป็ นกันเอง ให้ ความมั่นใจว่ าข้ อมูลจะเก็บเป็ นความลับ ใช้
ในการศึกษาเท่ านั้น
๒.๔ ถ้ ามีการบันทึกเสี ยงหรือถ่ ายภาพ ถ่ านวีดิโอ ต้ องแจ้ งให้ ผู้ให้ สัมภาษณ์
รับทราบและต้ องได้ รับอนุญาตก่อน
๓. ขั้นปิ ดการสั มภาษณ์ (post interview)
๓.๑ ตรวจสอบคาถามว่ าครบถ้ วนหรือไม่ ตรวจสอบเครื่อง
บันทึกเสี ยงว่ าทางานหรือไม่
๓.๒ กล่าวขอบคุณ แสดงมารยาททีร่ ู้สึกซาบซึ้งในความร่ วมมือของ
ผู้ให้ สัมภาษณ์
๓.๓ มอบของทีร่ ะลึกหรือค่ าตอบแทนทีเ่ หมาะสม
สมาน งามสนิท
๒. การสนทนากลุ่มเฉพาะ (Focus group discussion)
เป็ นวิธีการเก็บข้ อมูลของการวิจัยคุณภาพวิธีหนึ่ง กลุ่มสนทนา
ประกอบด้ วยสมาชิกจากหลากหลายอาชีพ ต่ างวัย ต่ างการศึกษา กลุ่ม
หนึ่งประกอบด้ วยสมาชิกประมาณ ๖ ถึง ๑๒ คน มีข้นั ตอนการดาเนินการ
ดังนี้
1. Define the problem กาหนดประเด็นปัญหา
2. Select a sample เลือกกลุ่มตัวอย่ าง
3. Determine the number of group necessary กาหนดจานวน
กลุ่มที่จาเป็ น ปกติจะใช้อย่างน้อย ๒ กลุ่มสนทนาในหัวข้อ
เดียวกันเพื่อการเปรี ยบเทียบ
สมาน งามสนิท
4. Conduct the session ดาเนินการสนทนากลุ่ม ให้ มีผู้ดาเนินการสนทนา นา
การสนทนา ควบคุมไม่ ให้ สมาชิกคนใดคนหนึ่งพูดมากกว่ าคนอืน่ ให้ ทุกคน
แสดงความคิดเห็นเท่ าๆกัน ถ้ ามีการบันทึกเสี ยง ต้ องบอกกลุ่มเพือ่ ขออนุญาต
5. Analyze the data and prepare a summary วิเคราะห์ ข้อมูลและ
รายงานสรุป
การเตรียมการสนทนากลุ่ม
เตรียม ค่ าตอบแทน เตรียมสถานที่ เตรียมอาหาร ที่พกั สาหรับกลุ่ม
สมาน งามสนิท
การเลือกกลุ่มตัวอย่ าง
เลือกกลุ่มตัวอย่ างโดยไม่ ใช้ ทฤษฎีความน่ าจะเป็ น เป็ นการเลือกแบบเจาะจง
(purposive sampling) เช่ นกาหนดสมาชิกในกลุ่ม ๑๐ คน ก็แบ่ งเป็ นชาย ๕
คน เป็ นหญิง ๕ คน หรือ ผู้นิยมพรรคพลังประชาชน ๔ คน พรรค
ประชาธิปัตย์ ๔ คน ไม่ สังกัดพรรคอีก ๒ คน หรืออาจจะเลือกจาก การศึกษา
รายได้ อาชีพ ขึน้ อยู่กบั หัวข้ อทีศ่ ึกษา ไม่ ควรเลือกซ้ากับกลุ่มทีเ่ คยเลือกแล้ว
Snowball sampling เป็ นการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ที่หาได้ยาก เพียงจานวน
น้อย เมื่อสัมภาษณ์คนที่หนึ่งเสร็ จแล้ว ขอให้ท่านแนะนาต่อว่า เรื่ องนี้ ควร
จะถามใครต่อดี แล้วตามไปถามคนที่หนึ่งแนะนาในเรื่ องเดียวกัน และทา
อย่างนี้ไปจนกว่าคาตอบจะนิ่งหรื อเป็ นแนวเดียวกัน (Earl Babbie 2001:180)
สมาน งามสนิท
การวิเคราะห์ ข้อมูลการวิจัยคุณภาพ
เมื่อได้ ข้อมูลมาแล้ว ให้ ตรวจสอบข้ อมูล เพือ่ ลดปริมาณ ถ้ าจาเป็ น จากนั้น
จัดทาเรื่องที่ศึกษาให้ เป็ นระบบ(systemize) จัดทาระบบให้ เป็ น Data และ
จัดทาดาต้ าให้ เป็ นปริมาณ Quantity เพือ่ การอภิปรายเชิงปริมาณประกอบ
ความน่ าเชื่อถือและความเที่ยงตรงของการวิจัย(Reliability and Validity)
1.Reliability ความน่ าเชื่อถือ ครอบคลุม ความคงที่ ความเหมือนเดิม
และความแม่ นยา
2. Validity ความเทีย่ งตรง ครอบคลุม ความเทีย่ งตรงของข้ อมูล
ความเทีย่ งตรงของความหมาย ความเทีย่ งตรงตามการสุ่ ม ความ
เทีย่ งตรงตามวิธีการ และความเที่ยงตรงตามทฤษฎี
สมาน งามสนิท
Triangulation การตรวจสอบสามด้ าน
ได้ แก่การตรวจสอบความถูกต้ องของข้ อมูลจาก ๓ แหล่ง ได้ แก่ การสั งเกต
ศึกษาเอกสาร และสั มภาษณ์ (David Silverman,p.156)
Functionalism looks at functions of social institution
Behaviorism defines all behavior in term of ‘stimulus’ and ‘response’
Symbolic interactionism focuses on how we attach symbolic meanings
to interpersonal relations
Sman Ngamsnit
แหล่งข้อมูลในการมองปัญหา
ปรโตโฆสะ External
source
โยนิโสมนสิ การ internal
source
Bird eye view
Sman Ngamsnit
หลักการแก้ปัญหาอริ ยสัจ ๔
ทุกข์
ปัญหา
Problems
สมุทยั
นิโรธ
มรรค
สาเหตุของปัญหา สภาพทีห่ มดปัญหา วิธีการแก้ ปัญหา
Causes
solved
methods
นิโรธ Salvation
Sman Ngamsnit
การตั้งชื่อวิทยานิพนธ์
มีหลายหลักการ ขึ้นอยูก่ บั หัวข้อวิจยั และรู ปแบบการวิจยั
ถ้าเป็ นการวิจยั ปริ มาณ ที่ตอ้ งใช้สถิติ ตัวเลขเป็ นส่ วนประกอบในการอธิบาย
มักจะตั้งชื่อให้มีลกั ษณะตัวแปรต้นและตัวแปรตามให้ปรากฏในชื่อเรื่ อง ถ้า
เป็ นการวิจยั ที่ไม่ใช่ปริ มาณ มักจะเขียนเป็ นประโยคบอกเล่าหรื อวลีบอกเล่า
ให้เข้าใจได้วา่ เนื้อหาภายในเรื่ องจะเป็ นอย่างไร หัวข้อการวิจยั ทั้ง ๒ แบบ
มักจะตั้งชื่อตามแนวของ SOSE,
ได้แก่ S, Subject คาประธาน
O, Object คากรรมที่ถูกกระทา S, Setting บริ บทคือที่เกิดการวิจยั E, Effects
ผลของการวิจยั ตัวอย่างเช่น การซื้อสิ นค้าทางอินเทอร์เน็ต ภูมิคุม้ กัน
ด้านศีลธรรมกับการเปิ ดบ่อนกาสิ โนในประเทศไทย
การนาทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ไปใช้ในชุมชน ฯลฯ
พุทธธรรมกับการเปิ ดบ่อนการพนันในประเทศไทย
S, Subject คือพุทธธรรม O, Object คือบ่อนการพนัน
S, Setting คือประเทศไทย E, Effects คือผลที่คาดว่าจะตามมา อาจจะยัง
ไม่ปรากฏตอนตั้งชื่อ แต่จะปรากฏในตอนทาวิจยั แล้ว
หลังจากได้ชื่อแล้ว กาหนดกรอบ หรื อแผนที่ หรื อโครงสร้างของ
การวิจยั ในรู ปแบบของ Causal Model คือกาหนดให้ได้วา่ อะไร เป็ นเหตุ
อะไรเป็ นผล ตัวแปรเหตุ เรี ยกว่า Independent variables ได้แก่สิ่งที่เป็ น
ต้นเหตุแห่งปรากฏการณ์ ส่ วนผลที่เกิดจากสิ่ งที่เป็ นต้นเหตุเรี ยกว่าตัว
แปรตาม (Dependent Variables)
กรอบในการกาหนดตัวแปร
เราอาจใช้ Systems Model or Theory ทฤษฎีระบบซึ่งประกอบด้วย Input,
Process, Output and Feedback มาเป็ นกรอบได้เช่นการวิจยั เรื่ อง การศึกษา
กับการเลือ่ นชั้นทางสังคม Education and Social Mobility หรื อ
การศึกษามีผลต่ อการเลือ่ นชั้นทางสังคม Education Induces Social
Mobility
ทฤษฎีระบบ จะเป็ นดังนี้
Input
Process
Output
Education
Learning
Graduates
Good job, Good position
ส่ วนที่เป็ น Input เป็ นตัวแปรต้น ส่ วนที่เป็ น Output เป็ นตัวแปรตาม
โลกแห่งความรู ้ ความคิด กับโลกแห่งความจริ ง
โลกแห่งความรู้
องค์ความรู ้เดิม
วิธีการแสวงหาความรู ้จาก
แหล่งต่างๆ
โลกแห่งความจริ ง
สรรพสิ่ งมีความสัมพันธ์กนั หรื อ
ลวงตา
ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชาย
โปรดดูคาอธิ บายต่อไปนี้
ผูช้ ายเป็ นช้างเท้าหน้า ผูห้ ญิงเป็ นช้างเท้าหลัง
ผูช้ ายและ
ผูห้ ญิงเป็ นเสมือนล้อ ๒ ข้างของเกวียน
ชายเป็ นแห หญิงเป็ น
ข้อง ชายก่อ หญิงสาน
ผูห้ ญิงคือผูช้ ายที่ทาบุญมาน้อยกว่า
ผูช้ ายคือผูห้ ญิงที่ได้วิวฒั นาการ
มาจนอยูใ่ นขั้นที่สูงกว่า
แล้ วท่ านละ จะอธิบายอย่ างไร?
ระดับต่างๆของการอธิบายความจริ ง
4. ปัญญา Wisdom
3. ความรู้
Knowledge
2. สารสนเทศ Information
1. ข้อมูล
Data (Datum)
ระดับขององค์ความรู้
Body of Knowledge
4. ความคิดแม่แบบ/กระบวนทัศน์/ภูมิปัญญารู้แจ้ง
Paradigm*/Wisdom
3. 3.
ทฤษฎี
ทฤษฎี
Theory
2.แบบจาลอง/กรอบความคิด Model/Construct
1. สมมติฐาน Hypothesis
*Paradigm is a clear and typical example of
something, an example or model for something
which explains it or shows how it can be produced.
1. สมมติฐาน คือคาอธิ บายความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่ งหรื อหลายสิ่ ง โดยมีเงื่อนไข
เรื่ องเวลา สถานที่เข้ามาเกี่ยวข้อง (time and space bound) คือการคาดเดาที่เป็ นระบบ
(systematic guess)
2.แบบจาลอง กรอบความคิด ข้ อสั นนิษฐาน ได้แก่สมมติฐานที่ผา่ นการตรวจสอบและ
พิสูจน์มาหลายครั้ง ในหลายเวลาและสถานที่ จนสามารถกล่าวได้วา่ ความสัมพันธ์ของ
สองสิ่ งที่ศึกษานั้นเป็ นความจริ งในทุกเงื่อนไข เช่นพระจันทร์ ไม่วา่ จะอยูใ่ นที่ใดๆ มี
ข้างขึ้นข้างแรม มีความสัมพันธ์กบั น้ าทะเลขึ้น-ลง
3. ทฤษฎี คือคาอธิ บายที่สูงขึ้นกว่าแบบจาลอง แบบจาลองอธิ บายได้ในระดับอะไร
สัมพันธ์กบั อะไร ระดับ What ส่ วนทฤษฎีอธิ บายได้ในระดับสาเหตุ Why และ
ความสัมพันธ์จะดาเนินไปได้อย่างไร How
4. ภูมปิ ัญญารู้ แจ้ ง เป็ นองค์ความรู ้ระดับสู งที่เกิดจากทฤษฎี ได้ผา่ นการเวลาพิสูจน์มา
นานจนกลายเป็ นแม่บททางความคิด ความรู ้ยอ่ ยอื่นๆแตกตัวออกจากความรู ้แม่บทนี้
เช่นเรื่ องระบบโลกของเซอร์ ไอแซก นิวตัน หรื อ เรื่ องปฏิจจสมุปปบาท ที่กล่าวถึง
สรรพสิ่ งสัมพันธ์กนั ของพระพุทธเจ้า
องค์ประกอบของการวิจยั ที่นกั วิจยั ต้องมี
1. ต้องมีแนวคิดแม่แบบ Conceptual Model /paradigm
2.ต้องมีหลักหรื อระเบียบการศึกษา (methodology) จะใช้
วิธีการใดให้ได้ความจริ ง
3. ต้องมีวิธีหรื อเทคนิคศึกษา (method) ทา อย่างไรให้ได้ความจริ ง
4. ต้องมีเครื่ องมือในการศึกษา (artifacts) ต้องมีประเด็น
ปัญหา วัตถุดิบและมีเครื่ องมือในการเก็บรวบรวมความจริ ง
อ้างอิง: Earl Babbie, The Practice of Social Research, 9th Edition
David Silverman, Doing Qualitative Research
John W. Creswell, Research Design: Qualitative & Quantitative Approach
Etc.