โรคหัวใจล้มเหลว : heart failure
Download
Report
Transcript โรคหัวใจล้มเหลว : heart failure
ACADEMIC IN SERVICE
CHRONIC HEART FAILURE
โดย นสภ. นภาลัย อมรเทพดารง มหาวิทยาลัยนเรศวร
โรคหัวใจล้มเหลว (heart failure)
คือ ภาวะที่หวั ใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ ยงอวัยวะหรือเนื้ อเยือ่ ต่างๆได้
เพียงพอตามความต้องการของร่างกาย อันก่อให้เกิดอาการแสดงออกทาง
คลินิกต่างๆที่เป็ นผลสืบเนื่ องมาจากการขาด oxygen หรือ สารอาหาร
รวมทั้งความบกพร่องในการกาจัดของเหลวและของเสียออกจากร่างกาย
เนื่ องจากมีการลดลงของเลือดที่ไปยังไต
โรคหัวใจล้มเหลว : heart failure (ต่อ)
ตัวอย่างของอาการที่เกิดขึ้ น เช่น
อาการหายใจลาบากเวลาออกกาลัง หรือเวลานอนราบ
เนื่ องจากการคัง่ ค้างของของเหลวที่ปอด
อาการบวมตามแขนขา เนื่ องจากมีของเหลวคัง่ ค้างอยูภ
่ ายนอก
หลอดเลือดโดยอยูใ่ นเนื้ อเยือ่ ระหว่างเซลล์ มากกว่าปกติ
อาการเปลี้ ยล้าและอ่อนเพลีย เนื่ องจากเนื้ อเยื่อขาด O2 และ
สารอาหาร เป็ นต้น
Symptoms of Heart Failure
การแบ่งประเภทโรคหัวใจล้มเหลว
1.
การแบ่งตามลักษณะการทางานที่ผิดปกติของห้องหัวใจ
Systolic heart failure : จะมีค่า EF< 40% ส่วนผูป้ ่ วยที่มคี ่า
EF ระหว่าง 40-60% นั้นจะจัดว่ามี mild systolic dysfunction.
Diastolic heart failure : ผูป้ ่ วยจะมี normal ejection
fraction (EF > 60%)
Combination of systolic and diastolic heart
failure
2. Functional classification
a. NYHA funcional class I ผูป้ ่ วยไม่มีอาการใดๆ สามารถกระทา
กิจกรรมปกติ ได้โดยไม่มีอาการหายใจลาบาก หอบเหนื่อย
b. NYHA functional class II ผูป้ ่ วยมีขอ้ จากัดบ้างเพียงเล็กน้อยในการ
กระทากิจกรรมปกติ โดยผูป้ ่ วยมักมีอาการเมื่อกระทากิจกรรมที่ตอ้ งออกแรง
มากๆ ซึ่งทาให้เกิดอาการหายใจลาบากหรือหอบเหนื่อย เปลี้ยล้า เป็ นต้น
c. NYHA functional class III ผูป้ ่ วยมีขอ้ จากัดมากพอสมควรในการ
กระทากิจกรรมปกติ โดยมีอาการหายใจลาบากหรือหอบเหนื่อยอย่างรวดเร็ว
เมื่อกระทากิจกรรมที่ไม่ตอ้ งออกแรงมาก แต่จะไม่มีอาการขณะพัก
d. NYHA functional class IV ผูป้ ่ วยมีขอ้ จากัดอย่างมากในการกระทา
กิจกรรมปกติ มีอาการเหนื่อยหอบขณะพัก
3. Staging of Disease Progression (AHA/ACC)
Stage A เป็ นผูป้ ่ วยยังไม่ได้รบั การวินิจฉัยด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ไม่มีความผิดปกติ
ของกล้ามเนื้ อหัวใจหรืออาการของภาวะหัวใจล้มเหลว แต่เป็ นผูป้ ่ วยที่มีความเสี่ยงสูง
ต่อการพัฒนาไปเป็ นโรคหัวใจล้มเหลว
Stage B เป็ นผูป้ ่ วยที่ยงั ไม่ได้รบั การวินัจฉัยด้วยโรคหัวใจล้มเหลว และไม่มีอาการ
ของภาวะหัวใจล้มเหลว แต่จะพบความผิดปกติของหัวใจ
Stage C เป็ นผูป้ ่ วยที่ได้รบั การวินิจฉัยด้วยโรคหัวใจล้มเหลว คือ มีอาการของภาวะ
หัวใจล้มเหลวปรากฎขึ้ น และมักมีความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจถูกตรวจพบด้วย
Stage D เป็ นผูป้ ่ วยที่ได้รบั การวินิจฉัยด้วยโรคหัวใจล้มเหลว โดยเป็ นผูป้ ่ วยที่มี
อาการหัวใจล้มเหลวในขัน้ รุนแรงเช่น มีอาการขณะพักทั้งๆ ที่ได้รบั การรักษาด้วยยา
อย่างเหมาะสมแล้ว จัดเป็ น Refractory HF รวมถึงผูป้ ่ วยที่จาเป็ นต้องอาศัย
เครื่องมือหรือวิธีการพิเศษที่ชว่ ยให้ดารงชีวติ อยูไ่ ด้
Causes
1. สาเหตุที่ทาให้เกิดพยาธิสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น
a. Ischemic heart disease โดยเฉพาะอย่างยิ่ง myocardial
infarction เนื่ องจากการสูญเสียเซลล์กล้ามเนื้ อหัวใจ สาเหตุนี้มักทาให้เกิด
systolic heart failure > diatolic heart failure
b. Cardiomyopathies เป็ นโรคของกล้ามเนื้ อหัวใจที่หาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้
หรือสาเหตุยงั ไม่ชดั เจน ที่ทาให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้เช่น Dilated
cardiomyopathy, Hypertrophic cardiomyopathy, Restrictive
cardiomyopathy
c. Myocarditis จากการติดเชื้ อ พิษของยา หรือสารเคมี เป็ นต้น
2. สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับลิ้นหัวใจ
ได้แก่ Valvular stenosis or regurgitation (aortic,
pulmonic, mitral, tricuspid valve) เป็ นภาวะที่ลิ้นหัวใจทางาน
บกพร่องไป
a. ในกรณีของ ‘stenosis’ หรือ ลิ้ นหัวใจตีบตัน :
เกิดได้ท้งั diastolic heart failure และ systolic heart failure
b. ในกรณีของ ‘regurgitation’ หรือ ‘insufficiency’
หรือ ลิ้ นหัวใจรัว่ : เกิด systolic heart failure
3. สาเหตุอื่นๆ
ที่ไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้ อหรือลิ้ นหัวใจ ที่ทาให้หวั ใจต้องทางานมากขึ้ น เพื่อส่ง
เลือดปริมาณเท่าเดิมไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย แบ่งเป็ น 2 สาเหตุหลักๆ คือ
pressure overload และ volume overload ตัวอย่างของสาเหตุเช่น
Systemic HT ซึ่งเป็ นสาเหตุสาคัญอันดับหนึ่ งของ HF
Pulmonary HT ทาให้การส่งเลือดไปยังปอดของหัวใจต้องใช้แรงในการบีบตัว
สูงขึ้ น
Shunt เช่น PDA, ASD, VSD พยาธิสภาพเหล่านี้ มีผลเพิ่มปริมาณเลือดที่
หัวใจต้องบีบตัวส่งไปยังส่วนต่างๆของร่างกายให้มากขึ้ น
4. สาเหตุที่เกี่ยวข้องกับจังหวะการเต้นของหัวใจ
อาจเป็ นได้ท้งั เต้นเร็วเกินไป เต้นช้าเกินไป หรือความไม่
คล้องจองของการเต้นของหัวใจห้องบนและล่าง เช่น
Ventricular fibrillation or tachycardia
Atrial fibrillation or tachycardia
Bradycardia
Complete heart block
Precipitating factors
ภาวะโลหิตจาง
ภาวะติดเชื้ อ
ภาวะไข้สงู
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่รุนแรง
การออกกาลังที่มากเกินไป
การตั้งครรภ์
ภาวะไตวายเฉียบพลัน
ภาวะที่มีการอุดตันของเส้นเลือดภายในปอด ทาให้เกิด pulmonary HT
ภาวะที่มีการคัง่ ของน้ าและเกลือจากการใช้ยา เช่น Corticosteroids or NSAIDs
ภาวะที่มีการคัง่ ของน้ าและเกลือจากการไม่ควบคุมอาหาร
การใช้ยาที่มีผลลด myocardial contractility จาพวก β-blocker เช่น
propranolol, metoprolol หรือ nondihydropyridine - CCB เช่น
verapamil, diltiazem
ACUTE EXACERBATION OF CHRONIC
SYSTOLIC HEART FAILURE
1. non-pharmacological therapy
ค้นหาและกาจัดปั จจัยชักนา
จากัดการออกกาลังในช่วงหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ให้ O2แก่ผป
ู้ ่ วย เพื่อรักษาระดับ O2 ภายในกระแสเลือด
จากัดปริมาณ Na ลงเหลือ≤ 2 กรัมต่อวัน
non-pharmacological therapy (ต่อ)
จากัดปริมาณของเหลวและน้ าที่ผปู้ ่ วยจะได้รบั ให้เหมาะสมกับปริมาณ
ของเหลวที่ผปู้ ่ วยกาจัดออก
หากผูป
้ ่ วยมีภาวะไตวายและไม่สามารถกาจัดน้ าทางไต อาจจาเป็ นต้อง
ทา dialysis
หากผูป
้ ่ วยมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบเร็วเกิน อาจจาเป็ นต้อง
shock ผูป้ ่ วยด้วยไฟฟ้ าเพื่อรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น
หากผูป
้ ่ วยมีภาวะการหายใจล้มเหลว จาเป็ นต้องใช้ช่วยเครื่องหายใจแก่
ผูป้ ่ วย
2. pharmacological therapy
CI
2.2
WARM & DRY
WARM & WET
COLD & DRY
COLD & WET
20
PCWP
แนวทางต่อการเลือกใช้ยาแก่ผปู ้ ่ วยด้วยภาวะหัวใจ
ล้มเหลวเฉียบพลัน
1. ผูป้ ่ วยที่มี CI > 2.2 L/min/m2 และ PCWP 12-20
mmHg จัดว่าอยูใ่ นภาวะที่มีความเหมาะสมของ cardiac output
และ ventricular filling pressure (preload)
2. ผูป้ ่ วยที่มี CI > 2.2 L/min/m2 และ
PCWP > 20 mmHg ผูป้ ่ วยอยูใ่ นภาวะ intravascular
volume overload การรักษาทาโดยให้ ยาที่ลด preload
(diuretics ± vasodilators)
แนวทางต่ อการเลือกใช้ ยาแก่ ผ้ ูป่วยด้ วยภาวะหัวใจล้ มเหลว
เฉียบพลัน (ต่ อ)
3. ผูป้ ่ วยที่มี CI < 2.2 L/min/m2 และ PCWP > 20 mmHg
ผูป้ ่ วยอยูใ่ นภาวะ hypoperfusion และ intravascular volume
overload การรักษาทาโดยให้ยาที่ลด preload (diuretics ±
vasodilators) และ ยาที่เพิ่ม cardiac contractility หรือยา
vasodilators ที่มีฤทธิ์ลด afterload (ไม่ใช้ในผูป้ ่ วย BPตา่ )
4. ผูป้ ่ วยที่มี CI < 2.2 L/min/m2 และ PCWP 12-20 mmHg
ผูป้ ่ วยอยูใ่ นภาวะ hypoperfusion แต่ไม่มี intravascular
volume overload การรักษาทาโดยให้ยาที่เพิ่ม cardiac
contractility หรือ vasodilators ที่มีฤทธิ์ลด afterload
ยาที่ใช้ในภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังที่มีอาการกาเริบ
เฉียบพลัน
1. ยาที่มีผลลด preload
a. Diuretics
1. Thiazides และ thiazide-like diuretics
2. Loop diuretics : นิ ยมใช้มากกว่า thiazide
b. vasodilators
1.
2.
3.
4.
ACEIs : มีฤทธิ์ลดทั้ง preload และ afterload
Sodium nitroprusside : มีฤทธิ์ลดทั้ง preload และ afterload
IV nitroglycerin และ Nitrates : มีฤทธิ์ลด preload > afterload
Hydralazine : มีฤทธิ์ลด afterload > preload
2. ยาที่มีผลเพิ่ม cardiac contractility
(positive inotropic agents)
a. Digoxin : ขนาดที่ใช้ 0.8-1.2 ng/mL
b. Catecholamines
(1) Dopamine : ในภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน มักเลือกใช้ dopamine ใน
ขนาดตา่ ๆ เพื่อเพิ่ม renal perfusion หรือ ≤ 10 mcg/kg/min เพื่อเพิ่ม
cardiac contractility
(2) Dobutamine : ขนาดที่ใช้ 1-10 mcg/kg/min
c. Phosphodiesterase inhibitors : ไม่ค่อยใช้ยากลุ่มนี้ มากนัก เนื่ องจาก
ประสิทธิภาพในการเพิ่ม cardiac contractility ไม่เทียบเท่า dopamine
หรือ dobutamine
d. Nesiritide
Chronic systolic heart failure
Non-pharmacologic therapy
รักษาต้นเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว ถ้าสามารถรักษาได้
กาจัดและควบคุมปั จจัยชักนาถ้ามี
จากัดปริมาณ Na ให้ได้ < 3 กรัมต่อวัน
แนะนาให้ออกกาลังกายอย่างเหมาะสม และพยายามลดน้ าหนั ก
Pharmacologic therapy
a. Vasodilators สามารถลด preload และ/หรือ afterload ทา
ให้ภาระในการทางานของหัวใจลดลง และเพิ่ม cardiac output
(1) ACEIs : เป็ นยาที่ควรใช้เป็ นอันดับแรกคือยากลุ่มยา
กลุ่มนี้ ออกฤทธิ์ขยายทั้งหลอดเลือดดาและแดง จึงช่วยลด ทั้ง
preload และ afterload ผลคือ ลดการกระตุน้
sympathetic nervous system และผลอื่นๆ ของ
angiotensin II ซึ่งรวมถึงการเกิด ventricular
hypertrophy และช่วยลดการคัง่ ของน้ าและเกลือ
ACEIs (ต่อ)
ยากลุ่ม ACEIs เป็ นยากลุ่มเดียวที่ AHA/ACC แนะนาให้ใช้ใน
ผูป้ ่ วย stage A ซึ่งเป็ นผูป้ ่ วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ล้มเหลว แต่ยงั ไม่พบความผิดปกติใดๆ ของหัวใจ นอกจากนี้ ในผูป้ ่ วย
stage B, C และ D ก็ควรได้รบั ยา ACEIs ด้วยถ้าไม่มีขอ้ ห้ามใช้
(2) Angiotensin receptor blockers
เป็ นยาที่ให้พิจารณาใช้หากผูป้ ่ วยทนต่อยา ACEIs ไม่ได้
เนื่ องจากผลไม่พึงประสงค์ หรือมีขอ้ ห้ามใช้ เช่น อาการไอ
รุนแรง หรือ angioneurotic edema เป็ นต้น อย่างไรก็
ตามหลักฐานทางคลินิกด้านประสิทธิภาพของยา ACEIs ใน
ผูป้ ่ วยหัวใจล้มเหลวมีอยูม่ ากกว่า ARBs ดังนั้นจึงแนะนา
ACEIs เป็ นยาอันดับแรกก่อน ARBs
ARBs (ต่อ)
นอกจากนี้ ในผูป้ ่ วย chronic HF stage C ที่ได้รบั ยา ACEIs,
diuretics และ beta-blockers แล้ว ยังคงมีอาการของภาวะ
หัวใจล้มเหลวอยู่ อาจพิจารณาเพิ่มยากลุ่ม ARBs ให้แก่ผปู้ ่ วยได้ เพื่อ
ช่วยลดอัตราการเข้ารับรักษาตัวในโรงพยาบาล และอาจช่วยลดอัตรา
การตายของผูป้ ่ วยได้ดว้ ย
AHA/ACC ไม่แนะนาให้ใช้ ARBs ร่วมกับ ACEIs และ
aldosterone antagonist (ยา 3 ชนิ ดร่วมกัน) เนื่ องจาก
อัตราการเกิด hyperkalemia เพิ่มขึ้ นอย่างมาก
(3) Hydralazine ร่วมกับ oral nitrate
จากการทดลองทางคลินิก พบว่าการใช้ hydralazine ร่วมกับ oral
nitrates สามารถลดอัตราการตายของผูป้ ่ วยได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับ
ACEIs แล้ว ACEIs สามารถลดอัตราการตายได้ดีกว่า hydralazine และ
nitrate combination ดังนั้น ไม่ควรใช้ hydralazine + oral
nitrate ก่อนใช้ ACEIs และไม่ใช้ hydralazine หรือ oral nitrate
เดี่ยวๆ เพื่อลดอัตราการตายในผูป้ ่ วยภาวะหัวใจล้มเหลว เนื่ องจากใน clinical
trials นั้น ต้องใช้ท้งั hydralazine และ oral nitrates นอกจากนี้ ควร
เลือกใช้ ARBs ก่อน hydralazine + oral nitrate
Hydralazine + oral nitrate (ต่อ)
อาจพิจารณาใช้ hydralazine ร่วมกับ nitrate ในผูป้ ่ วย
stage C ที่ได้รบั ACEIs, beta-blocker และ
diuretics แต่ยงั คงมีอาการกาเริบอยูบ่ ่อยๆ หรือ ตลอดวลา
โดยต้องระวังการเกิดภาวะความดันเลือดตา่ จากยาทั้งสอง และ
การไม่ร่วมมือในการใช้ยาของผูป้ ่ วย เนื่ องจากจาเป็ นต้องกิน
ยาวันละหลายๆ ครั้ง
b. Diuretics
ลด preload และช่วยควบคุมสมดุลของน้ าและเกลือในร่างกาย ควรใช้ใน
ผูป้ ่ วยที่มีแนวโน้มของการสะสมเกลือและน้ าในร่างกาย โดยผูป้ ่ วยเหล่านี้ มัก
มีประวัติการบวมเกิดขึ้ นอยูบ่ ่อยๆ
ผูป
้ ่ วยโรคหัวใจล้มเหลวไม่ทุกคนที่มีแนวโน้มในการสะสมน้ าและเกลือใน
ร่างกาย ดังนั้น diuretics อาจไม่จาเป็ นในทุกคน และการใช้ diuretics
โดยไม่จาเป็ น ผลที่เกิดขึ้ นคือ intravascular volume depletion
ทาให้เกิด tissue hypoperfusion, prerenal renal failure,
ทาให้เกิดreflex tachycardia และเสี่ยงต่อการเกิด myocardial
infarction ได้
b. Diuretics
ไม่ควรใช้เป็ นยาเพียงตัวเดียวในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
เนื่ องจากไม่ได้ชะลอการดาเนิ นไปของโรค หรือลดอัตราการตาย
ของผูป้ ่ วย มักให้ร่วมกับ ACEIs และ beta-blocker ผูป้ ่ วยที่มี
สภาวะไหลเวียนของโลหิต stable แล้ว ยาที่เลือกใช้คือ
thiazide หรือ loop diuretics ขึ้ นกับการตอบสนองของ
ผูป้ ่ วย และการทางานของไต (thiazides มักใช้ไม่ได้ผลถ้า
creatinine clearance < 30 ml/min)
c. Beta-blockers
ลดผลของการกระตุน้ sympathetic nervous system และ RAAS
สามารถลดอัตราการตาย การดาเนิ นไปของโรค และลดอาการของภาวะหัวใจ
ล้มเหลวได้ โดยในระยะยาวมีผลเพิ่ม EF ได้
ควรเริ่มยากลุ่ ม beta-blockers ในผูป
้ ่ วยที่ไม่อยู่ในภาวะ acute HF
เนื่ องจากยามีฤทธิ์ลด myocardial contractility ซึ่งจะมีผลทาให้
decompensation รุนแรงขึ้ นได้ ต้องติดตาม BP, HR, signs and
symptoms of worsening heart failure และ ผลข้างเคียงอื่นๆ
เช่น bronchospasm ในผูป้ ่ วย asthma หรือ COPD
c. Beta-blockers
d. Digoxin
เพิ่ม cardiac contractility และช่วยลดการกระตุน้
sympathetic system จากการลดลงของ preload โดย
การศึกษาทางคลินิกพบว่า ช่วยลดอัตราการป่ วยหรืออัตราการ
เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของผูป้ ่ วยภาวะหัวใจล้มเหลว
stage C โดยแนะนาให้ใช้เฉพาะในกรณีที่ผปู้ ่ วยยังมีอาการ
หลังได้รบั ACEIs และ diuretics และ beta-blocker
เนื่ องจากเป็ นยาที่มีผลข้างเคียงสูงและไม่ช่วยชะลอการดาเนิ น
ไปของโรค
d. Digoxin (ต่อ)
Pt normal renal function dose = 0.125
mg/day
Pt with decreased renal function, the elderly,
or those receiving interacting drugs (e.g.,
amiodarone) should receive 0.125 mg every
other day
ระดับความเข้มข้นของยา digoxin ควรอยูใ่ นช่วง 0.8-1.2
ng/mL
e. Spironolactone และ Eplerenone
มีฤทธิ์เป็ น aldosterone antagonist จึงลดผลที่เกิดขึ้ น
จาก การทางานของaldosterone เช่นการสะสมของเกลือ
และการกระตุน้ ventricular wall remodeling
ผลการทดลองทางคลินิกในผูป
้ ่ วย heart failure ที่มีอาการ
ปานกลางถึงรุนแรง (ผูป้ ่ วย stage C และมี NYHA
functional class III-IV) พบว่าลดอัตราการตายของผูป้ ่ วย
ได้ในผูป้ ่ วยที่มีประวัติกล้ามเนื้ อหัวใจตาย และ มีภาวะหัวใจ
ล้มเหลว หรือ EF < 40%
e. Spironolactone และ Eplerenone
AHA/ACC แนะนาให้ใช้ aldosterone antagonist
ขนาดตา่ ๆ เพื่อลดอัตราการตายจากภาวะแทรกซ้อน
ไม่แนะนาให้ใช้ aldosterone antagonists ในผูป
้ ่ วยที่มี
renal failure (serum creatinine >2.5 mg/dL
สาหรับผูช้ าย และ >2.0 mg/dL ในผูห้ ญิง) หรือ
hyperkalemia (serum K > 5.0 mEq/L) เนื่ องจาก
เสี่ยงต่อการเกิดการสะสมของ K อย่างรวดเร็ว นาไปสู่
ventricular tachycardia หรือ fibrillation ได้
e. Spironolactone และ Eplerenone
f. Calcium channel blockers
ไม่ใช้ในผูป้ ่ วย systolic heart failure การทดลองทางคลินิกไม่
พบผลประโยชน์จากการใช้ CCB ในผูป้ ่ วย heart failure โดย
ทาให้เกิดผลเสียได้เนื่ องจากเพิ่ม sympathetic nervous
system stimulation ได้ และเพิ่มอัตราการตายจาก ischemic
heart disease ได้
หากจาเป็ นต้องใช้ CCB ในผูป
้ ่ วย systolic heart failure ให้
เลือกใช้ amlodipine ซึ่งมีผลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า
ไม่เพิ่มอัตราการตายในผูป้ ่ วย systolic heart failure และ
สามารถลดอัตราการตายได้ในกลุ่มผูป้ ่ วยภาวะหัวใจล้มเหลวที่ไม่มี
ความเกี่ยวข้องกับ ischemic heart disease
f. Calcium channel blockers
สาหรับ diastolic heart failure นั้นยาที่ใช้ควรเป็ น nondihydropyridines เช่น verapamil หรือ diltiazem
เนื่ องจากทั้ง 2 ตัวลด heart rate ทาให้ ventricular filling
time เพิ่มขึ้ นจึงเพิ่ม preload ขึ้ นได้ และอาจมีผลทาให้การคลาย
ตัวของเซลล์กล้ามเนื้ อหัวใจดีขึ้นด้วย (ยาที่ใช้ใน diastolic heart
failure มักใช้ beta-blocker หรือ calcium channel
antagonist โดยไม่ใช้ยาที่เพิ่ม cardiac contractility)
Heart failure - warfarin
ถ้าอาการของ Chronic Heart Failure แย่ลง จะ
ส่งผลเพิ่มฤทธิ์ตา้ นการแข็งตัวของเลือดโดยยา
Warfarin ได้เนื่ องจาก ลด blood flow ไปยังตับทา
ให้การเปลี่ยนแปลงยา Warfarin ที่ตบั ลดน้อยลง
(decrease warfarin elimination ) ยาออกฤทธิ์
ได้มากขึ้ น ดังนั้นค่า INR จะสูงขึ้ น