บทที่ 7 การเคลื่อนที่ของสิ

Download Report

Transcript บทที่ 7 การเคลื่อนที่ของสิ

บทที่ 10
พฤติกรรมของสั ตว์
Biology (40243)
Miss Lampoei Puangmalai
บทที่ 10 พฤติกรรมของสั ตว์
 10.1
กลไกการเกิดพฤติกรรมของสัตว์
 10.2 ประเภทพฤติกรรมของสัตว์
 10.3 ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับการตอบสนองของ
ระบบประสาท
 10.4 การสื่ อสารระหว่างสัตว์
จุดประสงค์ การเรียนรู้





1. สื บค้นข้อมูล และสรุ ปความหมายและวิธีการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์
2. สื บค้นข้อมูล สารวจตรวจสอบ และสรุ ปกลไกการเกิดพฤติกรรมของสัตว์
3. สื บค้นข้อมูล อภิปราย และจาแนกพฤติกรรมที่มีมาแต่กาเนิ ด และพฤติกรรมการ
เรี ยนรู ้พร้อมทั้งยกตัวอย่าง
4. สื บค้นข้อมูล อภิปราย และสรุ ปความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับการ
พัฒนาการของระบบประสาท
5. สื บค้นข้อมูล อภิปราย และเปรี ยบเทียบการสื่ อสารระหว่างสัตว์แบบต่าง ๆ
พร้อมทั้งยกตัวอย่าง
พฤติกรรมของสั ตว์
พฤติกรรม (behavior) หมายถึง กิริยาที่สิ่งมีชีวิตแสดงออกมา
เป็ นการตอบสนองต่อสิ่ งที่มากระตุน้ เช่น การกิน การวิ่งหนีศตั รู เป็ น
ต้น
 สิ่ งเร้าที่มากระตุน
้ ทาให้เกิดพฤติกรรมขึ้น แบ่งเป็ น

สิ่ งเร้าภายนอก ได้แก่ อุณหภูมิ แสงสว่าง เสี ยง สิ่ งมีชีวติ ชนิดอื่น เป็ นต้น
 สิ่ งเร้าภายใน ได้แก่ ฮอร์ โมน ความรู ้สึก อารมณ์ เป็ นต้น

10.1 กลไกการเกิดพฤติกรรมของสั ตว์
การศึกษาพฤติกรรมของสิ่ งมีชีวิต ทาได้ 2 วิธี คือ
 1. วิธีการทางสรี รวิทยา (physiological approach) เพื่อ
อธิบายพฤติกรรมในรู ปของกลไกการทางานของระบบประสาท
 2. วิธีการทางจิตวิทยา (phychological approach) เป็ น
การศึกษาถึงผลของปัจจัยต่าง ๆ รอบตัวและปัจจัยในร่ างกายที่มีผลต่อ
การพัฒนาและการแสดงออกของพฤติกรรมที่มองเห็นชัดเจน

แผนภาพแสดงการเกิดพฤติกรรมของสั ตว์
External
stimulus
receptor
C.N.S
effector
behavior
Internal
stimulus
10.2 ประเภทพฤติกรรมของสั ตว์


พฤติกรรมมี 2 ชนิด คือ
1. พฤติกรรมที่มาแต่เกิด (inherited behavior)
พฤติกรรมแบบรี เฟล็กซ์ (reflexes)
 พฤติกรรมแบบรี เฟล็กซ์ต่อเนื่ อง (chain of reflexes)


2. พฤติกรรมการเรี ยนรู้ (learned behavior)





แฮบบิชูเอชัน (habituation)
การฝังใจ (imprinting)
การมีเงื่อนไข (conditioning)
การลองผิดลองถูก (trial and error)
การใช้เหตุผล (reasoning)
พฤติกรรมที่มาแต่ เกิด (inherited behavior)
1. พฤติกรรมที่มาแต่เกิด (inherited behavior) หรื อ
สัญชาตญาณ
 ไม่ได้เกิดจากการเรี ยนรู ้ มีมาแต่กาเนิ ดจะคงไม่เปลี่ยนแปลง (สามารถ
เปลี่ยนแปลงไปได้เมื่อได้รับประสบการณ์เพิ่มเติมขึ้น)
 มีแบบแผนที่แน่ นอนในสัตว์แต่ละสปี ชีส์ สามารถถ่ายทอดทาง
กรรมพันธุ์ได้ เช่น

พฤติกรรมแบบรี เฟล็กซ์ (reflexes)
 พฤติกรรมแบบรี เฟล็กซ์ต่อเนื่ อง (chain of reflexes)

พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ (reflexes)
หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงอาการตอบสนองต่อสิ่ งเร้าได้ทนั ที
พฤติกรรมที่แสดงออกด้วยการที่ส่วนใดส่ วนหนึ่งของร่ างกายตอบสนอง
ต่อสิ่ งเร้าที่มากระตุน้ ได้อย่างรวดเร็ ว เช่น การกระตุกของขา
 พบในสัตว์ช้ น
ั สูงที่มี CNS เจริ ญดี
 พฤติกรรมแบบง่ายที่สุด แต่สาคัญต่อการตารงชีวิต ได้แก่

 Orientation
 Kinesis
 Taxis
Reflexes
http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/imagepages/17234.htm
Orientation
หมายถึง พฤติกรรมที่สตั ว์ตอบสนองต่อปัจจัยทางกายภาพทาให้เกิดการ
วางตัวที่สอดคล้องกับกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดารงชีวิต
 เช่น การว่ายน้ าของปลาตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ เพื่อพลางศัตรู , การ
เคลื่อนที่ของพารามีเซียมออกจากสารละลายโซเดียมคลอไรด์ เป็ นต้น
 พบใน สิ่ งมีชีวิตเซลล์เดียว และสัตว์ช้ น
ั ต่า ระบบประสาทยังไม่เจริ ญดี
หรื อในโพรทีสต์ซ่ ึงไม่มีระบบประสาท

Kinesis
หมายถึง พฤติกรรมที่สิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสิ่ งเร้า ด้วยการเคลื่อนที่
แบบมีทิศทางไม่แน่นอน
 เช่น การเคลื่อนที่ตอบสนองต่ออุณหภูมิ, CO2 ของพารามีเซี ยม,
การเคลื่อนที่ของแมลงสาบในที่โล่งไม่สมั ผัสกับของแข็ง เป็ นต้น
 พบใน โพรโทซัว หรื อสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่าที่ระบบประสาทไม่
เจริ ญดีจริ ญดี หรื อในโพรทีสต์ซ่ ึงไม่มีระบบประสาท

Taxis
หมายถึง พฤติกรรมที่สิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสิ่ งเร้า ด้วยการเคลื่อนที่
สัมพันธ์กบั ทิศทางของสิ่ งเร้า
 เช่น การเคลื่อนที่ของจิ้งหรี ดเพศเมียต่อแหล่งกาเนิ ดเสี ยง, การบินของ
ผีเสื้ อกลางคืนทามุม 80 องศา กับแสงเทียงทาให้ถูกไฟไหม้ เป็ นต้น
 พบใน สิ่ งมีชีวิตที่มีหน่ วยรับความรู ้สึกเจริ ญดี สามารถรับรู ้สิ่งเร้าที่อยู่
ไกลตัวได้ ทาให้มีการรวมกลุ่มได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ

Response of Pill Bugs to High
and Low Humidity Environments
High humidity
Low humidity
http://cas.bellarmine.edu/tietjen/Animal%20Behavior/AB%20Movies.htm
One animal was placed in a moist habitat, the
other in a dry environment.
Note the obvious differences in their rate of
movement (Original: 1 frame / 5 sec)
http://cas.bellarmine.edu/tietjen/Animal%20Behavior/AB%20Movies.htm
พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ ต่อเนื่อง (chain of
reflexes)
เป็ นพฤติกรรมโต้ตอบสิ่ งเร้าที่มีข้นั ตอนซับซ้อนแต่แน่นอน มีแบบแผน
มากกว่าพฤติกรรมรี เฟล็กซ์ อาจเปลี่ยนแปลงได้ จากประสบการณ์ของ
สิ่ งมีชีวิตนั้น ๆ
 พบใน สัตว์ที่มีระบบประสาท
 เช่น การสร้างรังนก, การฟั กไข่ของแม่ไก่ เป็ นต้น

Chain of reflexes
http://www.rspb.org.uk/youth/learn/adaptation/together/build.asp
http://www.gla.ac.uk/ibls/DEEB/teg/projects/brood.htm
Chain of reflexes
http://www.iowight.com/jeffbrett/
พฤติกรรมการเรียนรู้ (learned behavior)

2. พฤติกรรมการเรี ยนรู ้ (learned behavior) พฤติกรรม
การเรี ยนรู ้ เป็ นพฤติกรรมที่จะต้องอาศัยประสบการณ์ ส่ วนใหญ่พบ
พฤติกรรมแบบนี้ในสัตว์ช้ นั สูงที่มีระบบประสาทเจริ ญดี เช่น





แฮบบิชูเอชัน (habituation)
การฝังใจ (imprinting)
การมีเงื่อนไข (conditioning)
การลองผิดลองถูก (trial and error)
การใช้เหตุผล (reasoning)
แฮบบิชูเอชัน (habituation)





ความเคยชิน (habituation) เป็ นการเรี ยนรู ้แบบที่ง่ายที่สุด
สิ่ งเร้าครั้งแรก
มีพฤติกรรมโต้ตอบได้มาก
สิ่ งเร้าครั้งต่อมา
มีพฤติกรรมโต้ตอบออกมาเลย จนกระทัง่ ในที่สุดไม่
แสดงพฤติกรรมโต้ตอบออกมาเลย
คือ การเรี ยนรู ้ที่จะไม่สนใจต่อสิ่ งเร้าที่ไม่มีผลเป็ นรางวัล หรื อการลงโทษ
ดังนั้น การตอบสนองต่อสิ่ งเร้านั้นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่ อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป
การฝังใจ (imprinting)
เป็ นพฤติกรรมที่แสดงออกมาในสัตว์ที่มีอายุนอ้ ย ๆ
 โดยความฝังใจต่อสิ่ งเร้าแรกที่กระตุน
้ และรับรู ้ได้
 ศึกษาครั้งแรกโดย Konrad Lorens
 พบว่า ลูกห่ านจะเคลื่อนที่ตามวัตถุอน
ั แรกที่เคลื่อนที่ได้ เมื่อมันเห็นครั้ง
แรก หรื อวัตถุที่ทาให้เกิดเสี ยงให้มนั ได้ยนิ ครั้งแรก

การฝังใจ (imprinting)




imprinting เป็ นการเรี ยนรู ้ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ งของชีวติ ซึ่ ง เรี ยกว่า
critical period ถ้าเลยระยะเวลานี้ไปแล้ว การเรี ยนรู ้กจ็ ะไม่ดี
ศึกษามากในพวกนก โดย Konrad Lorenz ได้ศึกษา parental
imprinting ลูกนกแรกเกิดจะมีความฝังใจและคอยติดตามวัตถุแรกที่เคลื่อนที่
และส่ งเสี ยงได้ ซึ่ งมันเห็นครั้งแรกหลังจากฟั กออกจากไข่ (จึงเป็ นพฤติกรรมเพื่อ
survival)
สาหรับลูกห่านพฤติกรรมนี้มี critical period อยูใ่ นช่วง 36 ชัว่ โมงหลังฟัก
ออกจากไข่
นอกจากนั้นพบว่า sound pattern ของนกก็เป็ น imprinting
behavior โดยมี critical period อยูใ่ นช่วง 10 - 50 วันหลังฟักออก
จากไข่
Imprinting
http://salmon.psy.plym.ac.uk/year3/PSY339EvolutionaryPsychologyroots/EvolutionaryPsychologyroots.htm
Imprinting
http://www.behav.org/behav/attach/default.htm
http://cas.bellarmine.edu/tietjen/Ethology/ethologyy_pix.htm
การมีเงื่อนไข (conditioning)
มีสิ่งเร้า 2 ชนิด กระตุน้ ในเวลาใกล้เคียงกัน
 สิ่ งเร้าชนิ ดแรก คือ สิ่ งเร้าที่แท้จริ ง (key stimulus)
 สิ่ งเร้าชนิ ดที่ 2 คือ สิ่ งเร้าที่ไม่แท้จริ ง (conditioned
stimulus)
 ผูท
้ ี่ศึกษาพฤติกรรมนี้คนแรก คือ Pavlov
 ครั้งแรก อาหาร + เสี ยงกระดิ่ง
น้ าลายไหล
 ภายหลัง
เสี ยงกระดิ่ง น้ าลายไหล

Ivan Pavlov
จากผลงานการศึกษาของ Ivan Pavlov นักจิตวิทยา ชาวรัสเซีย
 ซึ่ งจัดเป็ น classical conditioning เป็ นการที่สัตว์ได้รับการ
กระตุน้ จากสิ่ งเร้า 2 ชนิดที่มาสัมพันธ์กนั

Pavlov’s Dogs
http://evolution.massey.ac.nz/assign2/KD/finalpavlov.html
Conditioning
http://www.northern.ac.uk/NCMaterials/psychology/lifespan%20folder/Learningtheories.htm
การลองผิดลองถูก (trial and error)
เป็ นพฤติกรรมโต้ตอบกับสิ่ งเร้าซึ่งในครั้งแรกสัตว์ยงั ไม่ทราบว่ามีผลดี
หรื อผลเสี ยต่อตัวเอง
 เมื่อได้มีโอกาสลองผิดลองถูกแล้ว สัตว์จะเลือกแสดงพฤติกรรมโต้ตอบ
เฉพาะสิ่ งเร้าที่เกิดผลดีต่อตัวเอง
 นัน
่ คือ ถ้าผลจากการแสดงพฤติกรรมเป็ นรางวัล จะทาซ้ าอีก
 ถ้าผลจากการแสดงพฤติกรรมถูกทาโทษหรื อไม่ได้รับรางวัล จะเลิกทา

การลองผิดลองถูก (trial and error)





จัดเป็ น operant conditioning คือ เรี ยนรู้จากประสบการณ์โดยการ
ตอบสนองต่อสิ่ งเร้าที่เป็ นเงื่อนไขหลายๆ ครั้ง จนกว่าจะตอบสนองถูกต้อง
โดยมีรางวัลและการลงโทษ (ซึ่ งเป็ นสิ่ งเร้าแท้)
เช่น การทดลองการให้อาหารกับหนูที่เลี้ยงในกล่องที่ทาขึ้นเฉพาะเรี ยกว่า
Skinner box ซึ่ งมีช่องให้อาหารผ่านลงมาได้ทุกครั้งที่คานถูกกด
นาหนูที่กาลังหิ วมาปล่อยไว้ในกล่องนี้ หนูจะไปดันคานโดยบังเอิญ ทาให้อาหาร
ถูกปล่อยลงมา ในไม่ชา้ หนูกจ็ ะเรี ยนรู ้วา่ จะต้องกดคานเมื่อต้องการอาหาร
operant conditioning เป็ นวิธีที่ใช้ในการฝึ กสัตว์เลี้ยงให้ทาตามที่
เราต้องการ
Skinner Box
http://www.juliantrubin.com/bigten/skinnerbox.html
พฤติกรรมการใช้ เหตุผล (reasoning)
พบในสัตว์ที่มี cerebrum เจริ ญดี มีการใช้เหตุผล
 พัฒนามาจากการลองผิดลองถูก
 สัตว์นาประสบการณ์เก่า มาใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

พฤติกรรมการใช้ เหตุผล (reasoning)



reasoning หรือ insight learning เป็ นพฤติกรรมที่พฒั นาจาก
การลองผิดลองถูก กระบวนการเรี ยนรู ้จะค่อยๆ เกิดขึ้น โดยการใช้ประสบการณ์ที่
ผ่านมา นามาปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาใหม่ที่กาลังเผชิญ
พฤติกรรมนี้จึงพบใน mammal เท่านั้นโดยเฉพาะพวก primate เช่น ลิง
chimpanzee สามารถคิดวิธีนากล่องมาซ้อนกันเพื่อขึ้นไปหยิบกล้วยที่ผกู
ไว้ที่เพดาน ทั้งๆ ที่ลิงไม่เคยพบปั ญหานี้มาก่อน
สัตว์ช้ นั ต่าไม่สามารถแก้ปัญหาที่เผชิญได้ เช่น
 ไก่ไม่รู้วธิ ี เดินอ้อมรั้วมายังอาหาร
 แมวไม่รู้วธิ ี ที่จะเดินให้ถึงอาหาร เมื่อถูกล่ามโยงด้วยเชือกที่ถูกรั้งให้ส้ น
ั อ้อมเสา 2 เสา เป็ น
ต้น
พฤติกรรมการใช้ เหตุผล (reasoning)




การที่จะบอกว่า พฤติกรรมใดถูกกาหนดโดย gene อย่างเดียว หรื อมี
ประสบการณ์การเรี ยนรู ้อยูด่ ว้ ยนั้น ค่อนข้างยาก
ดังนั้น จึงอาจจะบอกได้เพียงว่า พฤติกรรมนั้นมีการเรี ยนรู ้หรื อฝึ กฝนมามากน้อย
เพียงใด สัตว์ที่มีววิ ฒั นาการของระบบประสาทเจริ ญดีเท่าไร ก็ยงิ่ มีพฤติกรรมการ
เรี ยนรู ้ได้มากเท่านั้น
และสามารถดัดแปลงพฤติกรรมการตอบสนองต่อประสบการณ์ต่างๆ ในอดีต เพือ่
ปรับปรุ ง survival และ reproduction ให้เหมาะสมยิง่ ขึ้น
การเรี ยนรู ้จึงถ่ายทอดทางพันธุกรรมไม่ได้ สัตว์แต่ละตัวจึงต้องมาฝึ กฝนเอาเอง
ภายหลัง ขึ้นกับเวลาที่ผา่ นไป คือ อายุ และสภาพทางสรี รวิทยาของร่ างกาย
การร้ องเพลงของนก
การร้ องเพลงของนก เป็ นพฤติกรรมการเรี ยนรู ้ และ bird song
ของนกแต่ละ species มีแบบฉบับเฉพาะตัว
 จากการศึกษารู ปแบบของเสี ยงร้องเพลงของนกแก้วตัวผูช้ นิ ดหนึ่ง ที่อยู่
ในป่ าตามธรรมชาติ
 พบว่า จะแตกต่างจากพวกที่นามาเลี้ยงตั้งแต่เกิด โดยไม่เคยได้ยน
ิ เสี ยง
ร้องเพลงของพวกเดียวกันมาก่อน

reasoning
http://pirun.ku.ac.th/~fscibov/behavior.pdf
10.3 ความสั มพันธ์ ระหว่ างพฤติกรรม กับการ
ตอบสนองของระบบประสาท
จากการศึกษาพฤติกรรมแบบต่าง ๆ
 พบว่า พฤติกรรมแบบหนึ่ ง ๆ ไม่ได้พบในสิ่ งมีชีวิตทุกชนิ ด
 สิ่ งมีชีวิตต่างชนิ ดกัน อาจตอบสนองต่อสิ่ งเร้าอย่างเดียวกัน ด้วย
พฤติกรรมที่แตกต่างกัน

ตารางที่ 10.1 แสดงความสั มพันธ์ ระหว่ างระบบประสาทกับ
พฤติกรรมของสั ตว์ (หน้ า111)
ชนิดของสิ่งมีชีวติ
ระบบประสาท
พฤติกรรมที่สาคัญ
Human
- สมองส่ วนหน้าเจริ ญดี
- การใช้เหตุผลซับซ้อน
Mammal
- สมองส่ วนหน้าเจริ ญขึ้น
- การเรี ยนรู ้ที่ซบ
ั ซ้อน
- สมองส่ วนกลางลดขนาดลง
- ใช้เหตุผลบ้าง
Lower vertebrate
- สมองส่ วนหน้ายังไม่พฒ
ั นา เมื่อเทียบกับ
- การเรี ยนรู ้แบบง่าย
Invertebrate
- ไม่มีสมองที่แท้จริ ง
สมองส่วนกลาง
- พฤติกรรมที่มีมาแต่กาเนิ ด
- ระบบประสาทไม่ซบ
ั ซ้อน มีปมประสาท
อยูบ่ า้ ง และเซลล์ประสาทต่อกันเป็ นร่ างแห
protist
- ไม่มีระบบประสาท
taxis
- kinesis
- reflex
-
Summary






ขอบเขตของการตอบสนองต่อสิ่ งเร้าขึ้นกับสภาพความสามารถในการรับรู ้การ
กระตุน้ จากสิ่ งเร้า
1. ในสิ่ งมีชีวติ เซลล์เดียว ไม่มีระบบประสาท มีพฤติกรรมเฉพาะแบบ
inherited behavior ได้แก่ kinesis taxis, simple reflex
2. ในสั ตว์ หลายเซลล์ ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง มี nerve net, nerve
ganglion มีพฤติกรรมแบบ kinesis, taxis, simple reflex,
chain of reflex
3. ในสั ตว์ มกี ระดูกสั นหลังชั้นตา่ มี mid brain เจริ ญดี แต่ forebrain
ยังไม่เจริ ญ เริ่ มมีการเรี ยนรู ้แบบง่าย ๆ
4. ในสั ตว์ เลีย้ งลูกด้ วยนา้ นม มี cerebrum เจริ ญมากขึ้น เริ่ มมีการใช้
เหตุผล
5. ในมนุษย์ มี cerebrum เจริ ญดีมาก มีการใช้เหตุผลซับซ้อน
10.4 การสื่ อสารระหว่างสั ตว์
1. การสื่ อสารด้วยเสี ยง (sound signal)
 2. การสื่ อสารด้วยท่าทาง (visual signal)
 3. การสื่ อสารด้วยสารเคมี (chemical signal)
 4. การสื่ อสารด้วยการสัมผัส (physical signal)

พฤติกรรมทางสั งคม (social behavior)
สัตว์จะต้องอยูใ่ นสังคมร่ วมกันไม่มากก็นอ้ ย โดยเฉพาะพวกสัตว์สังคม
เช่น แมลง และสัตว์มีกระดูกสันหลังทั้งหลาย
 จึงต้องมีการติดต่อสื่ อความหมายระหว่างกันและกัน (animal
communication)
 มีท้ งั sexual communication เพื่อ reproduction
เป็ น innate behavior และ
 social communication เพื่อ survival

1. การสื่ อสารด้ วยเสี ยง (sound signal)

การสื่ อสารด้วยเสี ยง (auditory communication) เช่น
 แม่ไก่จะตอบสนองต่อลูกไก่ต่อเมื่อมันได้ยน
ิ เสี ยงร้องของลูกไก่ แต่จะไม่ตอบสนอง เมื่อ
เห็นท่าทางของลูกไก่ โดยไม่ได้ยนิ เสี ยง
 การที่นกนางนวลพ่อแม่ร้องเตือนอันตราย ซึ่ งเป็ น sign stimulus ที่ลูกนกจะ
ตอบสนองโดยการหลบซ่อนตัว




แบบแผนพฤติกรรมที่สัตว์ตวั หนึ่ งยอมเสี่ ยงชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยสมาชิกในกลุ่ม
ให้ได้ประโยชน์เรี ยกว่า altruism
เชื่อว่า altruitic behavior จะพบได้บ่อยใน kin selection เช่น
การคุม้ ครองราชินีผ้ งึ โดยผึ้งทหาร การดูแลรวงผึ้งโดยผึ้งงาน
สัตว์บางชนิด เช่น ปลาโลมา และค้างคาว สามารถส่ งเสี ยงไปกระทบกับวัตถุ แล้ว
รับเสี ยงสะท้อนกลับ (echolocation) เป็ นการกาหนดสถานที่ของวัตถุ
หรื อแหล่งอาหาร จึงเป็ นการสื่ อสารบอกตัวเอง
ในคนเราใช้การสื่ อสารด้วยเสี ยงคือ ภาษาพูด และโดยการเห็นท่าทางเป็ นสาคัญ
Niko Tinbergen (1907-1988)
http://www.lifeofgaia.com/phpBB2/viewtopic.php?t=176&sid=7081ea6bfb33fe1477ebf508a79859e1
2. การสื่ อสารด้ วยท่ าทาง (visual signal)




การสื่ อสารด้วยท่าทาง หรื อการสื่ อสารโดยการมองเห็น (visual
communication) agonistic behavior
เช่น การแสดงท่าทางของนกนางนวลหัวดาตัวผู ้ เพื่อครอบครองอาณาเขต
(territoriality) เมื่อมีนกนางนวลตัวอื่นบินลงมาในบริ เวณครอบครองของ
มันโดยบังเอิญ
ในสภาพที่เกิดการขัดแย้งระหว่างการโจมตี และการหนี สัตว์ที่หนีมกั จะแสดง
พฤติกรรมแปลกประหลาดมาทดแทน (displacement activity) เพื่อ
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการขัดแย้งของทั้งสองฝ่ าย
เช่น ไก่ชนมักจะหยุดต่อสู ้ชว่ั ขณะ แล้วก้มลงจิกดินหาอาหาร
2. การสื่ อสารด้ วยท่ าทาง (visual signal)




แบบแผนพฤติกรรมที่สัตว์แสดงท่าทางต่างๆ เรี ยกว่า พฤติกรรมแบบมีพธิ ีรีตอง
(ritual behavior) courtship behavior เช่น
การราแพนของนกยูงตัวผูเ้ พื่ออวดตัวเมีย
การชูกา้ มของปูกา้ มดาบตัวผู ้
พฤติกรรมการผสมพันธุ์ของปลา stickleback
 โดยท่าทางของตัวเมีย
คือ การว่ายเชิดหัวขึ้น และการมีทอ้ งป่ อง เป็ น sign stimulus
สาหรับตัวผู้
 ในขณะที่ท่าทางของตัวผู ้ คือ การว่ายซิ กแซกเข้าหาตัวเมียและท้องสี แดง เป็ น sign
stimulus สาหรับตัวเมีย
http://salmon.psy.plym.ac.uk/year1/ETHEXPT.HTM
http://www.akvariumas.lt/zuvys/belontiidae/betta/betta_splendens.shtml
mating system




ระบบการจับคู่ (mating system) ของตัวผู้และตัวเมียมี 3 แบบด้ วยกัน
คือ
1. พวกสาส่ อนจับคู่ไม่เลือกหน้า (promiscuous) พบมากในพวก
mammal
2. พวกผัวเดียวเมียเดียว (monogamous) คือ 1 male + 1 female
เช่น นกหลายชนิด เชื่อว่าพฤติกรรมการเลือกคู่ (sexual selection) ของ
พวกนี้จะมีความรุ นแรง
3. พวกหลายเมียหรื อหลายสามี (polygamous) พบในพวก mammal
คือ
 1 male +
 1 female
หลาย female เรี ยกว่า polygyny โดยอยูเ่ ป็ น harem
+ หลาย male เรี ยกว่า polyandry
3. การสื่ อสารด้ วยสารเคมี (chemical signal)



การสื่ อสารด้วยสารเคมี (chemical communication) ได้แก่ การใช้
กลิ่น หรื อรส เป็ นการสื่ อสารแบบดัง่ เดิมในสายวิวฒั นาการ ที่มีความจาเพาะใน
ระหว่าง species
เช่น pheromone ซึ่ งเป็ นฮอร์ โมนที่สร้างจากต่อมในร่ างกาย แล้วส่ งออก
ไปให้ตวั อื่นใน species เดียวกัน
ตัวอย่างคือ
 การปล่อยกลิ่นของผีเสื้ อตัวเมียไปกระตุน
้ ตัวผู ้
 การจากลิ่นพวกเดียวกันของพวกผึ้ง
 การเดินตามรอยกลิ่นของพวกมด (trail
marking)
 การใช้กลิ่นกาหนดอาณาเขต (territory marking)
territory marking
http://www.animalpicturesarchive.com/ArchOLD/1087835548.jpg
Ring-tailed lemur marking
territory
http://photos.wildmadagascar.org/images/ringtails_isalo044.shtml
4. การสื่ อสารด้ วยการสั มผัส (physical
signal)




การสื่ อสารด้วยการสัมผัส (tactile communication) เช่น
ลูกนกนางนวลบางชนิ ดจะใช้จะงอยปากจิกที่จะงอยปากของแม่ เพื่อกระตุน้ ให้แม่
หาอาหารมาให้
การศึกษาพฤติกรรมการหาอาหาร (foraging behavior) ของผึ้งงาน
โดย Frisch , Lorenz และ Tinbergen ทาให้ได้รับรางวัลโนเบล
พบว่า เมื่อผึ้งงานออกไปหาอาหาร แล้วกลับมารัง สามารถบอกแหล่งอาหารด้วย
การเต้นระบาให้ผ้ งึ ตัวอื่นสัมผัสรู ้ได้ (dance language)
dance language



dance language ซึ่ งมีการเต้น 2 แบบ คือ
เต้นแบบวงกลม หรื อ round dance แสดงว่าแหล่งอาหารอยูใ่ กล้กบั รัง แต่
ไม่บอกทิศทาง คือหมุนตัวเป็ นวงกลมไปทางขวา แล้วไปทางซ้าย ทาซ้ าๆ กันอย่าง
รวดเร็ ว
เต้นแบบเลขแปด หรื อ waggle dance เป็ นการเต้นแบบส่ ายตัว แสดงว่า
แหล่งอาหารอยูไ่ กล จากรังและบอกทิศทางด้วยคือ
่ ิศเดียวกับดวงอาทิตย์
 วิง่ ตรงขึ้นไปตามรังผึ้ง แสดงว่า อาหารอยูท
่ ิศตรงข้ามกับดวงอาทิตย์
 วิง่ ลงมาตามรังผึ้ง แสดงว่า อาหารอยูท
 วิง่ ทามุม แสดงว่า แหล่งอาหารจะทามุมตามนั้นกับดวงอาทิตย์
http://www.anselm.edu/homepage/jpitocch/genbios/animbeh.html
4. การสื่ อสารด้ วยการสั มผัส (physical
signal)
Harry F. Harlow ได้ศึกษาพฤติกรรมของลิซีรัส
 โดยสร้างหุ น
้ แม่ลิงขึ้นมา 2 ตัว ซึ่งทาด้วยไม้และลวดตาข่าย
 หุ่ นตัวแรก มีผา้ หนานุ่มห่ อหุ ม
้ ไว้
 หุ่ นตัวที่ 2 ไม่มีผา้ ห่ อหุ ม
้
 แต่ละตัวมีขวดนมวางไว้บริ เวณอก
ั หุ่นตัวที่มีผา้ หนานุ่ม
 พบว่า ลูกลิงชอบเข้าไปซบและคลุกคลีกบ
 ลิงที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่ลิงหรื อหุ่ นลิงที่ทาด้วยผ้า ไม่สามารถผรับ
ตัวให้เข้ากับลิงตัวอื่น ๆ ได้

Harry F. Harlow, Monkey Love
Experiments
http://www.emory.edu/OXFORD/HistSocSci/Psychology/
References

สถาบันส่ งเสริ มการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี. หนังสื อเรียนสาระการ
เรียนรู้ พนื้ ฐานและเพิม่ เติม ชีววิทยา เล่ม 3. กระทรวงศึกษาธิการ. กรุ งเทพฯ
: 2547. 156 หน้า.

http://pirun.ku.ac.th/~fscibov/behavior.pdf
http://members.thai.net/m6141/Lesson22.htm
http://school.obec.go.th/saneh/bio/indexk.html
http://classroom.psu.ac.th/users/rsuwarap/330_101/
chapter11/chapter11_3.htm



Thank you
Miss Lampoei Puangmalai
Major of biology
Department of science
St. Louis College Chachoengsao