บทที่ 4 - Krunungning

Download Report

Transcript บทที่ 4 - Krunungning

การเรียนรูเป็
่ บ
ั ซ้อน
้ นกิจกรรมทีซ
ซึง่ สามารถอธิบายไดแตกต
างกั
น
้
่
แลวแต
มุ
ง
้
่ มมองของแตละคนจึ
่
ทาให้มีทฤษฏีการเรียนรูต
ๆ
้ าง
่
เกิดขึน
้
มากมายทีน
่ าไปใช้ในการศึ กษา
จุดประสงคการเรี
ยนรู้
์
กรรมนิยม
การเรียนรูแนวพฤติ
1. เขาใจทฤษฎี
้
้
2. เขาใจทฤษฎี
การเรียนรูแนวปั
ญญานิยม
้
้
3. เขาใจทฤษฎี
การเรียนรูแนวคอนสตรั
คติวส
ิ ม์
้
้
4. ประโยชนของทฤษฎี
การเรียนรู้
์
1.ทฤษฎีการเรียนรูแนวพฤติ
กรรม
้
นิยม
• พฤติกรรมทุกอยางเกิ
ดขึน
้ โดยการเรียนรูและสามารถสั
งเกต
่
้
ได้
• พฤติกรรมทีเ่ กิดขึน
้ โดยสิ่ งเราเมื
่ มีส่ิ งเราพฤติ
กรรมตอบสนอง
้ อ
้
ก็จะเกิดขึน
้ จึงเกิดการเรียนรู้
• ถ้าการตอบสนองเกิดขึน
้ โดยไมได
่ ตั
้ ง้ ใจ หรือไมได
่ จงใจ
้
• ให้ตัวเสริมแรงกอน
แลวผู
่
้ ้เรียนจึงจะตอบสนอง
Behavior
Theories
แนวคิดของพาฟลอฟ Pavlov
ค้นพบการเรียนรูแบบ
Classical
้
Conditioning
โดยการทดลองทีท
่ าให้สุนข
ั น้าลายไหลเมือ
่ ไดยิ
้ นเสี ยงกระดิง่
1. สั้ นกระดิง่ กอนจะน
าอาหาร (ผงเนื้อ) แกสุ
ั
่
่ นข
เวลาระหวางสั
้ ชิดกัน
่ ่ นกระดิง่ และให้ผงเนื้อกระชัน
มาก
2. กระทาซา้ หลายๆ ครัง้
3. หยุดให้อาหาร เพียงแตสั
ยว
่ ้ นกระดิง่ อยางเดี
่
ปรากฏวาสุ
ั ยังคงมีน้าลายไหล
่ นข
เรียนรู
การเปลีย
่ นแปลงพฤติกรรมหรือเกิดการ
• แนวความคิดของวสั นต ์ (Watson)
วสั นตถื
้ าเป็
่ นบิดาของจิตวิทยาพฤติกรรม
์ อไดว
นิยม
เชือ
่ วาการศึ
กษาทีเ่ ป็ นวิทยาศาสตรอย
่
่
้จริงนั้นควรตอง
้
์ างแท
ศึ กษาพฤติกรรมทีส
่ ามารถวัดและสั งเกตไดเด
้ นชั
่ ดเทานั
่ ้น
วสั นตศึ์ กษาเรือ
่ งความกลัว โดยปลอย
่
ให้อัลเบิรต
์
เลนกั
่ ล
ั เบิรตเอื
้ มมือจะไปจับหนูขาว
่ บหนูขาว ในขณะทีอ
์ อ
ก็จะใช้ค้อนเคาะแผนเหล็
กให้เสี ยงดังขึน
้ หนูน้อยจะกลัว
่
ทาเช่นนี้เจ็ดครัง้ ปรากฏวา่ เมือ
่ อัลเบิรตเห็
นแตเพี
่ ยงหนูขาว
์
ก็จะแสดงความกลัวทันที
• แนวคิดของธอรนไดค
์
์
(Thorndike)
ไดชื
่ วาเป็
้ อ
่ นบิดาแหงจิ
่ ตวิทยาการศึ กษา
เป็ นผู้คิดทฤษฎี Connectionism ทีเ่ ชือ
่ วาการเรี
ยนรู้
่
เกิดจากการเชือ
่ มโยงระหวางสิ
่ ่ งเรากั
้ บการตอบสนอง
และให้ความสาคัญกับการเสริมแรง กลาวได
ว
่
้ าสิ
่ ่ งเราใด
้
ทีท
่ าให้เกิดการตอบสนองและการตอบสนองนั้นไดรั
้ บ
การเสริมแรงจะทาให้เกิดการเชือ
่ มโยงระหวางสิ
่ ่ งเรากั
้ บการตอบสนอง
นั้น
เพิม
่ มากขึน
้ โดยเน้นการให้รางวัลมากกวาลงโทษ
่
Thorndike เชือ
่ วาการเรี
ยนรูเกิ
่ มโยงระหวางสิ
่
้ ดจากการเชือ
่ ่ งเรากั
้ บ
การตอบสนองโดยการลองผิดลองถูก (Trial and Error) จนกวา่
จะค้นพบรูปแบบการเรียนรูที
้ เ่ หมาะสมกับตนเองและจะใช้รูปแบบ
นั้นตอบสนองตอไป
่
กฎแหงการเรี
ยนรู้
่
1. กฎแหงผล
(Low of Effect ) สิ่ งเร้าใดทีม
่ ก
ี ารกระตุนให
่
้
้เกิดการ
ตอบสนอง
แลวท
้ าให้ผู้เรียนพึงพอใจ จะเป็ นผลให้กระทา
พฤติกรรมนั้นซา้ ๆ
2. กฎแหงความพร
อม
(Law of Readiness) การเรียนรูเกิ
้ ไดดี
่
้
้ ดขึน
้
ถ้าผู้เรียนพรอมทั
ง้ รางกายและจิ
ตใจ
้
่
3. กฎแหงการฝึ
กหัด (Law of Exercise) การฝึ กหัดจะทาให้การ
่
เรียนรูนั
้ ้นคงทนถาวร
4. กฎแหงการใช
่
้ (Law of Used and Disuse) ถ้ามีการนาไปใช้
บอยๆ
การเรียนรูจะคงทน
่
้
• แนวคิดของสกินเนอร ์ (Skinner)
Skinner เชือ
่ วาการเชื
อ
่ มโยงจะเกิดขึน
้ ระหวาง
่
่
รางวัลกับการตอบสนอง กลาวได
ว
่
้ า่ “การกระทาใดๆ
ถ้าไดรั
้ บการเสริมแรง จะมีแนวโน้มให้เกิดการกระทา
นั้นอีกส่วนการกระทาใดๆ ทีไ่ มมี
่ การเสริมแรงยอมมี
่
แนวโน้มทีจ
่ ะทาให้ความถีข
่ องการกระทานั้น
คอย
ๆหายไปและหายไปในทีส
่ ุด”
่
การเสริมแรงการกก
เสริมแรงทางบวกและการเสริมแรงทางลบ
ตัวเสริมแรง
การกระทาใดๆ ถาได
รั
้
้ บการเสริมแรง จะทาให้เกิดการกระทานั้นได้
ส่วนการกระทาใดทีไ่ มมี
แนวโน้มทีจ
่ ะทาให้เกิด
่ การเสริมแรง ยอมมี
่
ความถีข
่ องของการกระทานั้น คอยๆหายไป
และหมดไปในทีส
่ ุด
่
Positive
Reinforce
ประเภทของตัว
เสริมแรง
Negative
Reinforce
ประโยชนที
้ บจากทฤษฎีนี้
์ ไ่ ดรั
• ใช้ในการปลูกฝังพฤติกรรม
• ใช้วางเงือ
่ นไขเพือ
่ ปรับปรุงพฤติกรรม
• ใช้ในการวางเงือ
่ นไขเกีย
่ วกับอารมณ ์
และเจตคติ
• ใช้ในการสรางบทเรี
ยนมัลติมเี ดีย
้
นามาประยุกตใช
์ ้ออกแบบบทเรียน
ออนไลน์
ให้มีองคประกอบดั
งนี้
์
– ระบบลงทะเบียน
– ชื่อผู้รับผิดชอบรายวิชา
– คาประกาศ / คาแนะนาการเรี ยนของบทเรี ยนออนไลน์
– วัตถุประสงค์การเรี ยนรู้
– รายละเอียดเนื ้อหา
– แบบฝึ กหัด
– เฉลยแบบฝึ กหัด
– แบบทดสอบหลังเรียน
– เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน
นามาประยุกตใช
์ ้ออกแบบบทเรียน
คอมพิวเตอรช
์ ่ วยสอนให้มีองคประกอบ
์
ดังนี้
– คาชีแ
้ จงสาหรับนักเรียน
–จุดประสงคการเรี
ยนรู้
์
–เนื้อหาการเรียนรู้
–แบบฝึ กหัด
–เฉลยแบบฝึ กหัด
–แบบทดสอบหลังเรียน
–เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน
2.ทฤษฎีการเรียนรูแนวปั
ญญานิยม(พุทธิ
้
ปัญญา)
Cognitivism
Theories
Piaget
ทฤษฎีพฒ
ั นาการเชาวน์
เชือ
่ วาการเรี
ยนรู้ เป็ นสิ่ งทีม
่ ากกวาผล
่
่
ของการเชือ
่ มโยงระหวางสิ
้ บ
่ ่ งเรากั
การตอบสนอง โดยให้ความสนใจ
ความรูความเข
าใจ
หรือการรูคิ
้
้
้ ด
ของมนุ ษย ์
เชือ
่ วาการเรี
ยนรูจะ
่
้
อธิบายไดดี
ี่ ุด
้ ทส
หากสามารถเขาใจกระบวนการ
้
ภายในซึง่ เป็ นตัวกลางระหวางสิ
่ ่ งเรา้
และ
การตอบสนองการเปลีย
่ นแปลง
Bruner
Ausubel
ความรูของผู
เรี
ยน
้
้
การจัดมโนมติลวงหน
ทฤษฎีการเรียนรูโดยการ
่
้า
้
กลุมพุ
ั ญา ให้ความสนใจเกีย
่ วกับกระบวนการคิด การให้
่ ทธิปญ
เหตุผลของผู้เรียน ซึง่ ตางจากทฤษฎี
การเรียนรูกลุ
กรรมนิยม
่
้ มพฤติ
่
ทีม
่ ุงเน
่ ั งเกตไดเท
บกระบวนการ
่ ้ นพฤติกรรมทีส
้ านั
่ ้น โดยมิไดสนใจกั
้
คิดหรือกิจกรรมทางสติปญ
ั ญาของมนุ ษย ์ ขอบเขตทีเ่ กีย
่ วข้องกับ
กระบวนการคิด(Cognitive process)
การคาดการณ ์
ลวงหน
่
้า
(Anticipating)
การตีความหมาย
การคิดอยางมี
่
เหตุผล
(Reasoning)
ความใส่ใจ (Attending)
การรับรู้
(Perception)
การจาได้
(Rememberin
g)
การตัดสิ นใจ (Decis
จินตนาการหรือการวาดภาพในใจ
Piaget ทฤษฎีการพัฒนาการดานสติ
ปญ
ั ญา
้
เพียเจต ์ เชือ
่ วามนุ
ษยเรามี
แนวโน้มพืน
้ ฐานมาตัง้ แตก
่
่ าเนิด
์
การจัดและรวบรวม (Organization)
หมายถึงการจัดรวบรวมกระบวนการตางๆ
ภายใน
่
เข้าเป็ นระบบและมีการปรับปรุงเปลีย
่ นแปลงตลอดเวลา
การปรับตัว
(Adaptation)
หมายถึง การปรับตัวให้เขากั
เพือ
่ อยูในสภาพสมดุ
ล
้ บสิ่ งแวดลอม
้
่
เพียเจตได
้
้ งล
่ าดับขัน
์ แบ
พัฒนาการ
ของเชาวปั
์ ญญาของมนุ ษยไว
์ ้
4 ขัน
้
ขัน
้ ที่ 1 Sensorimotor (แรกเกิด – 2 ขวบ) มีปฏิสัมพันธ ์
กับสิ่ งแวดลอมโดยประสาทสั
มผัส และการเคลือ
่ นไหว
้
ของอวัยวะตางๆ
ของรางกาย
่
่
ขัน
้ ที่ 2 Preoperational (อายุ 18 เดือน – 7 ปี ) เด็ก
วัยนี้มโี ครงสรางของสติ
ปญ
ั ญาใช้สั ญลักษณแทนวั
ตถุ
้
์
สิ่ งของทีอ
่ ยูรอบ
ๆ ตัวได้ มีพฒ
ั นาการทางดานภาษา
่
้
ขัน
้ ที่ 3 Concrete Operations (อายุ 7 – 11 ปี )
สามารถแบงกลุ
มโดยใช
ๆ อยางและ
่
่
้กฏเกณฑหลาย
่
์
คิดย้อนกลับได้
เข้าใจความสั มพันธของตั
วเลขก็เพิม
่
์
มากขึน
้
ขัน
้ ที่ 4 Formal Operations (อายุ 12 ปี ขึน
้ ไป) เริม
่ คิด
เป็ นผู้ใหญ่ สามารถคิดหาเหตุผล นอกเหนือไปจาก
ข้อมูลทีม
่ อ
ี ยู่
คิดเป็ นนักวิทยาศาสตร ์
สามารถ
• Bruner ทฤษฎีการเรียนรูโดยการค
นพบ
้
้
บรูเนอร ์
เชือ
่ วา่ การเรียนรูจะ
้
เกิดขึน
้ เมือ
่ ผูเรี
์ บสิ่ งแวดลอม
้ ปฏิสัมพันธกั
้ ยนไดมี
้
ซึง่ นาไปสู่การคนพบและการแก
้
้ปัญหา เรียกวา่
การเรียนรูโดยการค
นพบ
(Discovery
้
้
Approach) ซึง่ ผูเรี
้ ยนจะประมวลขอมู
้ ล
สารสนเทศจากการมีปฏิสัมพันธกั
์ บสิ่ งแวดลอม
้
และจะรับรูสิ
่ นเองเลือกและสนใจ
้ ่ งทีต
การเรียนรูแบบนี
้จะช่วยให้ผูเรี
้
้ ยนเกิดการคนพบ
้
เนื่องจากผูเรี
้ ยนมีความอยากรู้ อยากเห็ น
เจอรโรม
์
บรูเนอร ์ (Jerome
บรูเนอรได
์ แบ
้ งพั
่ ฒนาการทางปัญญา
หรือความรูความเข
าใจของมนุ
ษย ์ ไว้ 3
้
้
ประการ คือ
1. Enactive Representation (แรกเกิด - 2 ปี )
เด็กจะมีปฏิสัมพันธกั
้
์ บสิ่ งแวดลอมโดยการ
สั มผัสจับตองด
วยมื
อ ผลัก ดึง รวมทัง้ การ
้
้
ใช้ปากกับวัตถุส่ิ งของทีอ
่ ยูรอบ
ๆ ตัว
่
2. Iconic Representation เป็ นขัน
้ พัฒนาการ
ทางความคิดจะเกิดจากการมองเห็ นและใช้
ประสาทสั มผัส และเด็กสามารถถายทอด
่
ประสบการณต
ดวยการมี
ภาพในใจแทน
์ างๆ
่
้
3. Symbolic Representationผูเรี
้ ยนสามารถ
ถายทอดประสบการณ
หรื
ๆ
่
์ อเหตุการณต
์ าง
่
• Ausubel ทฤษฎีการเรียนรูอย
ความหมาย
้ างมี
่
ออซูเบลไดให
้ ้ความหมายของการเรียนรูอย
้ างมี
่
ความหมาย (Meaningful Learning)
วาเป็
่ เรี
่ นการเรียนทีผ
ู้ ยนไดรั
้ บมาจากการที่
ผู้สอนอธิบายสิ่ งทีจ
่ ะต้องเรียนรูให
้ ้ทราบ
และผู้เรียนรับฟังดวยความเข
าใจ
โดยผู้เรียน
้
้
เห็ นความสั มพันธของสิ
่ งทีเ่ รียนรู้
์
กับโครงสรางทางปั
ญญาทีไ่ ดเก็
้
้ บไว้
ในความทรงจาและจะสามารถนามาใช้
ในอนาคต
การเรียนรูแบบนี
้จะเกิดขึน
้ เมือ
่
้
ผู้เรียนไดเชื
่ มโยงสิ่ งทีจ
่ ะต้องเรียนรูใหม
้ อ
้
่
หรือขอมู
่ ม
ี ากอน
้ ลใหมกั
่ บความรูเดิ
้ มทีม
่
Ausubel
ประโยชนที
ไ
่
ด
รั
บ
จากทฤษฎี
น
ี
้
้
์
• ผูเรี
่ พลังทางสติปญ
ั ญา
้ ยนจะเพิม
• เน้นรางวัลทีเ่ กิดจากความอิม
่ ใจใน
ล
สั มฤทธิผลในการแกปั
่
้ ญหามากกวารางวั
หรือเน้นแรงจูงใจภายในมากกวาแรงจู
งใจ
่
ภายนอก
• ผูเรี
้ ยนจะจาสิ่ งทีเ่ รียนรูได
้ ดี
้ และไดนาน
้
• บทเรียนมัลติมเี ดีย
นามาประยุกตใช
์ ้ออกแบบบทเรียน
ออนไลน์
ใหยน้มีองคประกอบดั
งนี้
– ระบบลงทะเบี
์
– ชื่อผู้รับผิดชอบรายวิชา
– คาประกาศ / คาแนะนาการเรี ยนของบทเรี ยนออนไลน์
– วัตถุประสงค์การเรี ยนรู้
– รายละเอียดเนื ้อหา
– แบบฝึ กหัด
– เฉลยแบบฝึ กหัด
– แบบทดสอบหลังเรียน
– เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน
– แหลงเรียนรูเพิม
่ เติม กระดานเสวนา สถิตผ
ิ ู
ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอรช
์ ่ วยสอน
ทีม
่ ี
องคประกอบดั
งนี้
์
• คาชีแ
้ จงสาหรับนักเรียน
• จุดประสงคการเรี
ยนรู้
์
• เนื้อหาการเรียนรู้
• แบบฝึ กหัด
• เฉลยแบบฝึ กหัด
• แบบทดสอบหลังเรียน
• เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน
• แหลงเรี
่ เติม
่ ยนรูเพิ
้ ม
3. ทฤษฎีการเรียนรูคอนสตรั
คติวส
ิ ต์
้
1. ความรูของบุ
คคลใด คือ โครงสรางทางปั
ญญา
้
้
ของบุคคลนั้นทีส
่ รางขึ
น
้ จากประสบการณในการ
้
์
คลีค
่ ลายสถานการณที
์ เ่ ป็ นปัญหาและสามารถนาไปใช้
เป็ นฐานในการแก้ปัญหาหรืออธิบายสถานการณอื
่ ๆ
์ น
ได้
2. นักเรียนเป็ นผูสร
ด
ธก
ี ารทีต
่ าง
ๆ
้ างความรู
้
้ วยวิ
้
่
กัน โดยอาศั ยประสบการณและโครงสร
างทางปั
ญญา
์
้
ทีม
่ อ
ี ยูเดิ
่ ม ความสนใจและแรงจูงใจภายในตนเอง
เป็ นจุดเริม
่ ตน
้
3. ครูมห
ี น้าทีจ
่ ด
ั การให้นักเรียนได้
ปรับขยายโครงสรางทางปั
ญญาของ
้
นักเรียนเอง ดังตอไปนี
้
่
- สถานการณที
์ เ่ ป็ นปัญหาและปฏิสัมพันธทาง
์
สั งคมกอให
ญญา
่
้เกิดความขัดแยงทางปั
้
- ความขัดแยงทางปั
ญญาเป็ นแรงจูงใจภายใน
้
ให้เกิดกิจกรรมการไตรตรองเพื
อ
่ ขจัดความขัดแยง้
่
นั้น
- การไตรตรองบนฐานแห
งประสบการณ
และ
่
่
์
โครงสรางทางปั
ญญาทีม
่ อ
ี ยูเดิ
้
่ มภายใตการมี
้
ปฏิสัมพันธทางสั
งคม กระตุนให
์
้
้มีการสราง
้
Zone of Proximal Development
การพัฒนาดานพุ
ทธิปญ
ั ญาทีอ
่ าจมีขอจ
่ วกับช่วงของ
้
้ ากัดเกีย
การพัฒนาทีเ่ รียกวา่ Zone of Proximal Development ถา้
ผู้เรียนอยูต
่ า่ กวา่ Zone of Proximal Development จาเป็ น
ทีจ
่ ะตองได
รั
้
้ บการช่วยเหลือในการเรียนรู้
ทีเ่ รียกวา่ Scaffolding
เข้ าใจ
Zone of Proximal Development
ไม่เข้ าใจ
Scaffolding
เงือ
่ นไขการจัดกิจกรรม/สื่ อการเรียนรูตามแนวคิ
ด
้
ของตามกลุมแนวคิ
ดคอนสตรัคติวส
ิ ต์
่
(Constructivism)
1) การสรางการเรี
ยนรู้ (Learning constructed)
้
ความรูต
จะถูกสรางขึ
น
้ ดวยตั
วของผู้เรียนเอง จาก
้ างๆ
่
้
้
ประสบการณ ์ โดยใช้ขอมู
บขอมู
้ ลทีไ่ ดรั
้ บมาใหมร่ วมกั
่
้ ล
หรือความรูเดิ
่ อ
ี ยูแล
้ มทีม
่ ว
้ รวมทัง้ ประสบการณเดิ
์ ม มา
สรางความหมายในการเรี
ยนรูของตนเอง
้
้
2) การเรียนรูเป็
้ นผลทีเ่ กิดจากการแปลความหมาย
ตามประสบการณของ
์
แตละคน
่
เงือ
่ นไขการจัดกิจกรรม/สื่ อการเรียนรูตามแนวคิ
ด
้
ของตามกลุมแนวคิ
ดคอนสตรัคติวส
ิ ต์
่
(Constructivism) ตอ
่
3) การเรียนรูเกิ
้ ดจากการลงมือกระทา (Active
learning) การทีผ
่ ้เรี
ู ยนไดลงมื
อกระทาจะช่วยให้
้
ผู้เรียนไดสร
่ งทีต
่ นเรียนรู้ ทีพ
่ ฒ
ั นา
้ างความหมายในสิ
้
โดยอาศั ยพืน
้ ฐานจากประสบการณตนเอง
์
4) การเรียนรูที
อ (Collaborative
้ เ่ กิดจากการรวมมื
่
learning) การเรียนรูเป็
เน้นสภาพจริงและ
้ นองครวม
์
สิ่ งทีเ่ ป็ นจริง (Learning should be whole,
authentic, and "real" )
ประโยชนของการน
าทฤษฎีคอนสตรัคติวส
ิ ต์
์
มาใช้ในการจัดการเรียนรู้
• เพิม
่ แรงจูงใจ กิจกรรมในการเรียนรู้
• ส่งเสริมการคิดอยางมี
วจ
ิ ารณญาณ
ภาระกิจการ
่
เรียนรูที
่ านการ
้ ผ
่
ลงมือกระทาของผู้เรียนอยางตื
น
่ ตัว ภาระกิจการเรียนรู้
่
ตามสภาพจริง
และจัดให้ผู้เรียนควบคุมการเรียนดวยตนเอง
จะส่งเสริม
้
การคิดอยาง
่
มีวจ
ิ ารณญาณ ตลอดจนการสรางความรู
ด
้
้ วยตนเองให
้
้
มากกวาเดิ
่ ม
• มีการถายโอนความรู
การสร
างความหมายในการ
่
้
้
เรียนรูของตนเอง
้
• ส่งเสริมแบบการเรียนทีห
่ ลากหลาย โดยทัว่ ไปแลวจะ
้
นามาประยุกตใช
์ ้ออกแบบบทเรียน
ออนไลน์
ใหยน้มีองคประกอบดั
งนี้
– ระบบลงทะเบี
์
– ชื่อผู้รับผิดชอบรายวิชา
– คาประกาศ / คาแนะนาการเรี ยนของบทเรี ยนออนไลน์
– วัตถุประสงค์การเรี ยนรู้
– รายละเอียดเนื ้อหา
– แบบฝึ กหัด
– เฉลยแบบฝึ กหัด
– สถานการณปั
ิ ้เข
ู าชม
้
์ ญหา กระดานเสวนา สถิตผ
– แบบทดสอบหลังเรียน
– เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน
ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอรช
่ ี
์ ่ วยสอนทีม
องคประกอบ
์
–คาชีแ
้ จงสาหรับนักเรียน
–จุดประสงคการเรี
ยนรู้
์
–สถานการณปั
์ ญหา
–ภารกิจ
–ฐานความช่วยเหลือ
–เนื้อหาการเรียนรู้
–แบบฝึ กหัด
–เฉลยแบบฝึ กหัด
–แบบทดสอบหลังเรียน
–เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน
–แหลงเรี
่ เติม
่ ยนรูเพิ
้ ม
คิดวาพวกเราคงมี
อะไรใน
่
ใจทีส
่ งสั ย หรือสิ่ งที่
อยากจะถามคะ่