การจัดทำแผนประกอบสื่อ

Download Report

Transcript การจัดทำแผนประกอบสื่อ

แผนฯ(ประกอบสื่ อ นวัตกรรม)
๑. แผน คือเครื่ องมือใช้สื่อ นวัตกรรม หนังสื อเรี ยน แผนจึงคือลายแทงพาผูเ้ รี ยนเข้า
ไปสู่ ขมุ มหาสมบัติ เข้าสู่ แหล่งเรี ยนรู ้อย่างสนุก ตื่นเต้น...
๒.
แผนประกอบสื่ อ นวัตกรรม หนังสื อเรี ยน คือฉลาก ใบกากับการใช้ลายแทงเพื่อนาผูเ้ รี ยนไปสู่
ขุมมหาสมบัติ.....
๓. ลักษณะของ
แผนที่ดี
๓.๑ มีสื่อทันสมัย เร้า
ใจ
เป็ นสื่ อในท้องถิ่นได้กด็ ี
๓.๒ มีกิจกรรม
หลากหลาย ตื่นเต้น เร้าใจ มีการเคลื่อนไหว มีชีวิตชีวา
๓.๓ เน้นการกระทา
ของผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ
๓.๔ เน้นทักษะ
กระบวนการให้ผเู้ รี ยนค้นหาความรู้ คาตอบ สร้างองค์ความรู้และสรุ ปองค์ความด้วยตนเองได้
๓.๕ ทาให้ผเู ้ รี ยนเกิด
ความรู ้ที่ยงั่ ยืน.......
๔. ประโยชน์ของแผน(ประกอบสื่ อ นวัตกรรมหนังสื อเรี ยน)
๑. ทาให้มีการเตรี ยมพร้อมก่อนสอน/เรี ยน
๒. ทาให้ครู ใช้สื่อ นวัตกรรมอย่างมีทิศทาง ให้คาตอบในการทาสอน/ใช้สื่อได้ ๓. เป็ น
เครื่ องมือ ตัวชี้วดั แสดงความสามารถและผลงานของครู
๕. ขั้นตอนการจัดทาแผน(ประกอบสื่ อ นวัตกรรม หนังสื อเรี ยน)
ศึกษาหลักสูตร
๒. กาหนด มฐ./ระบุตวั บ่งชี้ให้ชดั เจน
จัดทาคาอธิบายรายวิชา
๔. กาหนดจุดประสงค์การเรี ยนรู ้
เทคนิค กลวิธีการสอน
๖. จัดทาสื่ อประกอบเพิ่มเติม/แบบทดสอบ
กาหนดโครงสร้างสาหรับ ๑ เรื่ อง/นวัตกรรม
จัดทาหน่วยการเรี ยนรู ้
๙.จัดทากาหนดการจัดการเรี ยนรู ้
ออกแบบกิจกรรมการเรี ยนรู ้ ๑๑.เขียนแผนการจัดการเรี ยนรู้
๑.
๓.
๕.หา
๗.
๘.
๑๐.
หลักการออกแบบแผนฯ(ประกอบหนังสื อ/สื่ อนวัตกรรม)
๑. หลักการนาไปใช้ ให้ถือประโยชน์ของผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ
๒.
หลักความสาเร็ จ ให้ถือเอาความสาเร็ จของการใช้สื่อ โดยคานึงถึงความสาเร็ จของเด็กเป็ น
สาคัญ...
๓. หลักการ
จัดการเรี ยนรู้ที่ถือเอาผูเ้ รี ยนเป็ นสาคัญ โดยคานึงธรรมชาติของผูเ้ รี ยน
๔. ควรใช้เทคนิค
ที่หลากหลาย ไม่ควรใช้เทคนิคเดียวตลอด
๕. ควรจัดการเรี ยนรู้ให้
สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ
๖. ควรให้ผเู ้ รี ยนมีส่วนร่ วม
ให้มากที่สุด ผูเ้ รี ยนเป็ นผูป้ ฏิบตั ิ ลงมือกระทาจริ ง
ถือผูเ้ รี ยนเป็ นตัวตั้ง/ปลายทางอยูท่ ี่
ผูเ้ รี ยน.....
องค์ประกอบของแผนฯ(ประกอบหนังสื อ/สื่ อ นวัตกรรม)
๑. หัวแผน ประกอบด้วย
-แผนฯที่เท่าไร
-กลุ่มสาระอะไร
-ใช้ประกอบเรื่ องอะไร
-ใช้เวลาเท่าไร
-ใช้สอนวันที่เท่าไร เวลาไหน
๒. ส่ วนที่เกี่ยวข้องกับหลักสู ตร
๒. ส่ วนที่เกี่ยวข้องหรื อสอดคล้องกับหลักสู ตร(ต่อ)
-สาระอะไร
-มาตราอะไร
-ตัวบ่งชี้อะไร
๓. สาระสาคัญ
๔. จุดประสงค์
๕. สาระการเรี ยนรู้(เนื้อหา)
๖. กระบวนการจัดการเรี ยนรู้(ใช้เทคนิคอะไร)
๗. สื่ อ/แหล่งเรี ยนรู ้
๘. การวัดผลและประเมินผล
๙. กิจกรรมเสนอแนะ -ผูบ้ ริ หาร -ผูส้ อน
๑๐. บันทึกท้ายแผนฯ
-ผูส้ อน
๑๑. ภาคผนวก
-สื่ อ -ใบกิจกรรมเสริ ม -ใบงาน -แบบทดสอบ -เกม -เพลง
-เอกสารอ้างอิง
ตัวอย่างการเขียนคาอธิบายรายวิชา
คาอธิบายรายวิชา
ประกอบแบบฝึ กการอ่ านและเขียนคาควบกลา้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
ชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๒
รายวิชาภาษาไทย
จานวน ๑๒ ชั่วโมง
..............................................
การอ่าน
อ่านคาควบกล้ า กลุ่มคา ประโยคและเรื่ องที่มีคาควบกล้ าได้ถกู ต้อง เข้าใจความหมาย
ของคา กลุ่มคา ประโยคและที่เป็ นคาควบกล้ า อ่านในใจและอ่านออกเสี ยงบทร้อยแก้วและร้อย
กรองที่มีคาควบกล้ า มีมารยาทในการอ่านและรักการอ่าน
การเขียน
การเขียนคา กลุม่ คา และประโยคที่มีคาควบกล้ า นาคาควบกล้ าไปใช้ประโยคในการ
เขียนสื่ อความในรู ปแบบต่าง ๆ เห็นความสาคัญของการเขียนและมีมารยาทในการเขียน
หลักภาษา
สะกดคา เขียนคา กลุ่มคาและประโยคที่มีคาควบกล้ าถูกต้องตามความหมายของคา
ควบกล้ าและหลักเกณฑ์ของภาษา นาคา กลุ่มคาควบกล้ ามาแต่งประโยคเพื่อการสื่ อสาร
วรรณคดี
อ่านหนังสื อส่ งเสริ มการอ่านทั้งบทร้อยแก้ว บทร้อยกรองที่มีคาควบกล้ า ชื่นชมใน
การอ่านเรื่ องที่มีคาควบกล้ า มีนิสัยรักการอ่าน
คาอธิบายรายวิชา
ประกอบเรื่องอ่านเพือ่ พัฒนาการคิดวิเคราะห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6
เรื่อง นิทานพืน้ บ้ าน
จานวนเวลา 4 ชั่วโมง
..........................................................................................
การอ่าน
อ่านในใจนิทานพื้นบ้านอีสานที่กาหนด เข้าใจความหมายของคาว่านิทาน สาระสาคัญของ
นิทาน ข้อคิดของนิทาน มีมารยาทในการอ่านและรักการอ่าน
การเขียน
การเขียนสื่ อสาร เขียนแสดงความคิดเห็น เขียนตอบคาถาม เห็นความสาคัญของการ
เขียนและมีมารยาทในการเขียน
หลักภาษา
การเขียนคา กลุ่มคาและประโยคเพื่อการสื่ อสาร และเขียนแสดงความคิดเห็น
วรรณคดี
อ่านหนังสื อนิทานพื้นบ้านอีสาน ทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรองที่มีเนื้อหาตามที่กาหนด
ในนิทาน ชื่นชมในการอ่านนิทานพื้นบ้าน มีนิสัยรักการอ่าน
คาชี้แจง ให้ท่านเขียนคาอธิบายรายวิชาเกี่ยวกับการสอนคิด ๑ เรื่ อง
คาอธิบายรายวิชา
ประกอบเรื่อง.................
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที่ ..................
เรื่อง .......................
จานวนเวลา....ชั่วโมง
การอ่าน
อ่านในใจ................ที่กาหนด เข้าใจความหมายของคาว่า......... สาระสาคัญของ...........
ข้อคิดของ........... มีมารยาทในการอ่านและรักการอ่าน
การเขียน
การเขียน.......... เขียน............ เขียน..........ความสาคัญของการเขียนและมีมารยาท
ในการเขียน
หลักภาษา
การ.........................................................................................................................
วรรณคดี
อ่าน...........................................................................................................................
การเขียนสาระสาคัญ
สาระสาคัญมีการเขียนได้หลายแนวแต่การเขียนที่สาระสาคัญสมบูรณ์สามารถบ่งบอก
ถึงเป้ าหมายการเรี ยนรู ้ หัวข้อเรื่ องและแก่นของเนื้อหาต้องเขียนให้ครบ 3 ส่ วนคือ
1. หลักการ คือแก่นของเนื้อหา หรื อคาจากัดความ หรื อความหมาย(K)
2. เนื้อหาสาระ กระบวนการ คือชื่อหัวข้อเรื่ องที่ใช้เรี ยน/สอน(P)
3. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ คือส่ วนที่เป็ นเป้ าหมาย(A)
ตัวอย่างที่ 1 นิทานพื้นบ้านเป็ นเรื่ องที่เล่าสื บต่อกันมาเป็ นเวลานาน การศึกษานิทานพืน้ บ้ าน ทำ
ให้ เกิดควำมรู้ ควำมเข้ ำใจเกี่ยวกับภูมิปัญญำท้ องถิ่น เห็นคุณค่ ำควำมสำคัญของนิทำนพืน้ บ้ ำน
ส่ วนทีข่ ีดเส้ นใต้ เป็ นหลักการ
ส่ วนทีเ่ ป็ นตัวหนา เป็ นเนือ้ หาสาระหรือเรื่องทีจ่ ะเรียน
ส่ วนทีเ่ ป็ นตัวเอน เป็ นคุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์
ตัวอย่างที่ 2 สระเปลี่ยนรู ปลดรู ปเป็ นสระที่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีตวั สะกด การอ่านและเขียน
สระเปลีย่ นรู ปลดรู ป ทำให้ เกิดควำมรู้ ควำมเข้ ำใจและทักษะเกี่ยวกับกำรอ่ ำน กำรเขียน
เกิดควำมรั กในกำรอ่ ำน กำรเขียน และมีมำรยำทในกำรอ่ ำนและเขียน
ตัวอย่างที่ 3 ตัวสะกดไม่ตรงมาตราคือตัวสะกดอื่น ๆ ที่อ่านออกเสี ยงเหมือนตัวสะกดตรงมาตรา
การอ่านและเขียนตัวสะกดตรงมาตรา ทำให้ เกิดควำมรู้ ควำมเข้ ำใจและทักษะกำรอ่ ำนกำรเขียน
ตัวสะกดไม่ ตรงมำตรำ เกิดควำมรั ก ภูมิใจในภำษำไทยและมีมำรยำทในกำรอ่ ำน
และเขียน
ตัวอย่างที่ 4 อักษรนา คือคาที่อ่านออกเสี ยงเหมือนมี ห นา และคาที่มี ห นาโดยตรง
การอ่านและเขียนคาที่อกั ษรนา ทำให้ เกิดควำมรู้ ควำมเข้ ำใจและทักษะกำรอ่ ำนและเขียน มีควำม
รั ก พอใจในภำษำไทย และมีนิสัยใฝ่ รู้ ใฝ่ เรี ยน
ตัวอย่างที่ 5 คาซ้อนเป็ นคาที่สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มจานวนคาในภาษาไทยสาหรับใช้ในการสื่ อสาร
การศึกษาเรื่องคาซ้ อน ทำให้ เกิดควำมรู้ ควำมเข้ ำใจเกี่ยวกับหลักกำรสร้ ำงคำซ้ อน
ตัวอย่างที่ 6 พุทธจริ ยาหมายถึงแนวทางการปฏิบตั ิหน้าที่อย่างสมบูรณ์ของพระพุทธเจ้า
การศึกษาเรื่องพุทธจริยา ทำให้ เกิดควำมรู้ ควำมเข้ ำใจเกี่ยวกับควำมหมำยและประเภทของ
พุทธจริ ยำ
ตัวอย่างที่ 7 ความสาเร็ จของการปั้ นรู ปขึ้นอยูก่ บั ความรู ้เกี่ยวกับหลักการปั้ นและความพร้อมของ
วัสดุ อุปกรณ์และเครื่ องมือที่ใช้ในการปั้ น การศึกษาเรื่องการปั้นรู ป ทำให้ เกิดควำมรู้ ควำม
เข้ ำใจเกี่ยวกับหลักกำรปั้ นรู ป วัสดุที่ใช้ ในกำรปั้ นรู ป อุปกรณ์ และเครื่ องมือที่ใช้ ในกำรปั้ นรู ป
ตัวอย่างที่ 8 การอ่านออกเสี ยงร้อยแก้วที่ถูกต้องตามหลักการอ่านมีความสาคัญต่อการคุณภาพ
ของการอ่าน การศึกษาเรื่องการอ่ านออกเสี ยงร้ อยแก้ ว ทำให้ เกิดควำมรู้ ควำมเข้ ำใจเกี่ยวกับ
หลักกำรอ่ ำนออกเสี ยงและสำมำรถอ่ ำนออกเสี ยงร้ อยแก้ วถูกต้ องตำมหลักกำรอ่ ำน
การออกแบบหน่ วยการเรียนรู้องิ มาตรฐาน (Backward Design)
เมื่อครู ผสู ้ อนได้ศึกษาและมีความเข้าใจในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็ นเบื้องต้นแล้วว่า เป้าหมายของชาติน้ันต้ องการ
พัฒนาผู้เรียนอย่ างไร และท่านเป็ นครู ผสู ้ อนกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้อะไร ต้องทาความ
เข้าใจอย่างถ่องแท้ในธรรมชาติของวิชานั้นๆ โดยทาการศึกษาลักษณะของมาตรฐาน
การเรียนรู้และตัวชี้วดั แล้วนามาวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วดั ของกลุ่มสาระการ
เรี ยนรู ้ที่ตนเองรับผิดชอบอย่างถูกต้อง โดยทาความเข้าใจว่า มาตรฐานและ
ตัวชี้วดั ต้ องการให้ นักเรียนรู้อะไร ทาอะไรได้ จึงจะทาให้ท่านสามารถจัดการเรี ยน
การสอนเพื่อพานักเรี ยนให้ไปถึงเป้ าหมายได้
หน่ วยการเรียนรู้ เป็ นหัวใจของหลักสู ตรอิงมาตรฐาน เพราะเป็ นขั้นตอนที่ครู นา
มาตรฐานสู่การเรี ยนการสอนในห้องเรี ยน นักเรี ยนจะบรรลุ(ไปถึง) มาตรฐานที่กาหนด
หรื อไม่กอ็ ยูท่ ี่ข้นั ตอนนี้ ฉะนั้น หน่ วยการเรียนรู้ จึงหมายถึง กลุ่มของสาระการเรี ยนรู ้หรื อ
องค์ความรู ้ที่มีลกั ษณะเดียวกันหรื อสัมพันธ์กนั นามารวมกันเป็ นหมวดหมู่ เพือ่ สะดวกต่อ
การจัดกิจกรรมการเรี ยนการสอน โดยครูผู้สอนจะต้ องพิจารณาเลือกตัวชี้วดั ที่มีความ
เชื่อมโยงสั มพันธ์ กนั ทั้งมาตรฐานและตัวชี้วดั สาระ/เนือ้ หา และกระบวนการเรียนการสอน
ซึ่งไม่ ควรใหญ่ หรือเล็กเกินไป เพราะถ้ าจัดกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือองค์ ความรู้จานวนมาก
จะเป็ นหน่ วยที่ใหญ่ ซึ่งทาให้ ย่ งุ ยากต่ อการจัดกิจกรรมและการประเมินผล แต่ ถ้าเล็กเกินไปก็
อาจทาให้ นักเรียนไม่ สามารถสร้ างความคิดรวบยอดในการเรียนได้ และการตั้งชื่ อหน่ วยการ
เรียนรู้ควรให้ น่าสนใจ สื่ อถึงเนือ้ หา/เรื่องราวที่จะเรียนในหน่ วยนั้น ๆ
การออกแบบหน่วยการเรี ยนรู ้อิงมาตรฐาน ที่ครู ควรคานึงและถามตัวเองให้ได้ เสมอ คือ
1. ทาการวางเป้าหมาย ในการเรี ยนรู ้ของหน่วยเชื่อมโยงกับมาตรฐาน/ตัวชี้วดั หรื อไม่
2. ได้ กาหนดชิ้นงาน/ภารงาน รวมทั้ง การประเมินชิ้นงาน/ภารงาน ที่สะท้อนว่า
นักเรี ยนบรรลุมาตรฐาน/ตัวชี้วดั หรื อไม่
3. ได้ จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่สามารถนาพาให้นกั เรี ยนทุกคนทาชิ้นงาน/ภาร
งานได้หรื อไม่ และนักเรี ยนจะเกิดคุณภาพได้ตามเป้ าหมายที่วางไว้หรื อไม่
ดังนั้นการออกแบบหน่วยการเรี ยนรู ้อิงมาตรฐาน ตามหลักสู ตรแกนกลางการศึกษา
พุทธศักราช 2551 จึงได้นาแนวคิด Backward Design มาใช้ ซึ่ งเป็ นการออกแบบการเรี ยนรู้ที่
นาเป้ าหมายสุ ดท้ายของผูเ้ รี ยนมาเป็ นจุดเริ่ มต้นในการออกแบบ นัน่ ก็คือ มาตรฐานการเรี ยนรู้
หรื อตัวชี้วดั แล้วนามาวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อเป็ นเครื่ องมือที่นาไปสู่ การสร้างผลงาน
หลักฐาน/ร่ องรอยแห่งการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนนัน่ เอง จากแนวคิดของ Wiggins และ McTighe
ได้แก้ปัญหาความไม่เชื่อมโยงระหว่างหลักสู ตรกับการประเมินผลของผูเ้ รี ยนว่า จะวัดและ
ประเมินผลผู้เรียนอย่ างไรจึงจะแสดงถึงความเข้ าใจทีล่ กึ ซึ้ง(Enduring Understanding) ตามที่
หลักสู ตรกาหนดได้
ความเข้าใจที่ลึกซึ้ ง (Enduring Understanding) ที่ Wiggins และ McTighe ได้เขียนไว้วา่
เมื่อผูเ้ รี ยนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ งแล้วจะสามารถทาในสิ่ งต่อไปนี้ได้ มี 6 ด้าน* คือ
1. สามารถอธิบาย (Can explain) สามารถอธิบายเหตุการณ์ หรื อปรากฏการณ์โดยใช้
ข้อมูล ทฤษฎี และองค์ความรู ้ที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีการและด้วยเหตุและผล (Why and How)
2. สามารถแปลความ (Can interpret) โดยผูเ้ รี ยนสามารถแปลความหมายของข้อมูล
ได้ชดั เจนตรงประเด็น ชี้ให้เห็นคุณค่า แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงสู่ ชีวิตจริ ง
3. สามารถประยุกต์ ใช้ (Can apply)โดยผูเ้ รี ยนสามารถนาความรู ้สู่ การปฏิบตั ิใน
สถานการณ์ใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากที่เรี ยนมาได้อย่างมีทกั ษะ
4. สามารถมีมุมมองทีห่ ลากหลาย (Can perspective) โดยผูเ้ รี ยนเป็ นผูท้ ี่มีมุมมองที่มี
ความน่าเชื่อถือ พิจารณาถึงข้อดี ข้อเสี ย ความเป็ นไปได้ ความแปลกใหม่ ความลึกซึ้ งแจ่มชัด
5. สามารถเข้ าใจผู้อนื่ (Can empathize) โดยผูเ้ รี ยนเป็ นผูท้ ี่เข้าใจผูอ้ ื่น สนองตอบและ
ยอมรับความคิดเห็นของผูอ้ ื่น เป็ นผูท้ ี่มีความละเอียดอ่อนรู ้สึกถึงความรู ้สึกนึ กคิดของผูเ้ กี่ยวข้อง
6. สามารถรู้ จักตนเอง (Can self-knowledge) โดยผูเ้ รี ยนเป็ นผูเ้ ข้าใจแนวคิด ค่านิยม
อคติ และจุดอ่อนของตนเอง สามารถปรับตัวและแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างชาญฉลาด
ขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้ ตามแนว Backward Design
ขั้นที่ ๑ กาหนดสิ่ งทีจ่ ะให้ ผ้ เู รียนรู้ หรือเป้ าหมาย โดยกาหนดสิ่ งต่อไปนี้
๑.๑ กาหนดสาระและมาตรฐาน(สาระและมฐ.ที่เท่าไร เรื่ องอะไร
๑.๒ กาหนดตัวชี้วดั (ตัวชี้วดั อะไรข้อที่เท่าไร)
๑.๓ กาหนดเป้ าประสงค์/เป้ าหมาย(จุดประสงค์)
ท่านจะต้องวิเคราะห์หาคาสาคัญให้ได้วา่ หลักสู ตร/สาระ มาตรฐานการเรี ยนรู้ของ
หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ออกแบบ ตัวชี้วดั กาหนดไว้วา่ ผู้เรียนต้ องรู้ อะไร ทาอะไรได้ ที่ควรเป็ นความ
เข้าใจคงทนที่ติดตัวผูเ้ รี ยนไปเป็ นเวลานาน(Enduring understandings) ในการจัดทาหน่วยการ
เรี ยนรู ้ และกาหนดความรู ้ความสามารถของผูเ้ รี ยนที่ตอ้ งการให้เกิดขึ้นนี้ ท่านต้องพิจารณา
พันธกิจ เป้ าประสงค์และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสู ตรสถานศึกษา และพิจารณา
มาตรฐานการเรี ยนรู ้ของหน่วยการเรี ยนรู ้ที่กาลังออกแบบการจัดการเรี ยนรู ้ประกอบด้วย
ในขั้นนี้ มีวธิ ี การพิจารณาเพื่อการเตรี ยมการจัดการเรี ยนรู ้โดยใช้กรอบความคิด 3 วง
เป็ นเกณฑ์การพิจารณาเพื่อการจัดลาดับเนื้อหาสาระที่จะให้กบั ผูเ้ รี ยนได้เรี ยนรู้ ดังแผนภูมิ
ความรู้ ทจี่ ะให้ ผ้เู รียนคุ้นเคย
(Worth being familiar with)
สิ่งสาคัญทีต่ ้ องรู้ และต้ องทา
(ความรู ้ และทักษะที่สาคัญ)
(Important to know and do)
ความเข้ าใจทีค่ งทน
(
ความรู้ ทจี่ ะให้ ผ้ เู รียนคุ้นเคย
(Worth being familiar with)
สิ่ งสาคัญทีต่ ้ องรู้ และต้ องทา
(ความรู้ และทักษะที่สาคัญ)
(Important to know and do)
“Enduring” understanding)
ความเข้ าใจทีค่ งทน
(Enduring understanding)
ในการจัดการเรี ยนรู้ 1 หน่วยการเรี ยนรู ้น้ นั ท่านควรจัดลาดับเนื้อหาสาระให้เป็ น
ลาดับอย่างเหมาะสม โดยอาจใช้กรอบความคิด 3 วงดังแผนภูมิ
ในการพิจารณาการเตรี ยมการจัดการเรี ยนรู้เพื่อให้การจัดการเรี ยนรู้มีประสิ ทธิภาพ
ยิง่ ขึ้น คือวงกลมวงใหญ่ แทนความรู้ที่จะให้ผเู้ รี ยนคุน้ เคย เป็ นสาระ/เรื่ องที่จะให้ผเู ้ รี ยน อ่าน
ศึกษา ค้นคว้าประกอบ หรื อเพิ่มเติมด้วยตนเอง ตลอดการศึกษาหน่วยการเรี ยนรู ้น้ ี เพื่อให้ผเู้ รี ยน
มีความรู ้ ความเข้าใจหน่วยฯ ที่เรี ยนมากขึ้น วงกลมกลางแทนความรู้(ข้อเท็จจริ ง หรื อความคิด
รวบยอด หรื อหลักการ) และทักษะสาคัญ(ทักษะกระบวนการวิธีการ หรื อ ยุทธศาสตร์ )ที่ผเู้ รี ยน
จาเป็ นต้องใช้ระหว่างเรี ยนในหน่วยฯ เพื่อให้มีความรู ้ความสามารถตามที่กาหนดไว้ วงกลมใน
สุ ด เป็ นความคิดหลักหรื อหลักการที่สาคัญของหน่วยการเรี ยนรู ้ ที่ตอ้ งการให้เป็ นความเข้ าใจที่
คงทนฝังอยูใ่ นตัวของผูเ้ รี ยนเป็ นเวลานานและยัง่ ยืน
หลักการในการพิจารณากาหนดความเข้ าใจที่คงทน(Enduring understanding) ของหน่วย
การเรี ยนรู ้ที่เป็ นประโยชน์ต่อผูเ้ รี ยน มีเกณฑ์การพิจารณา 4 ข้อ คือ
1.1 เป็ นความรู้ที่ผเู้ รี ยนสามารถนาไปใช้ ได้ ในสถานการณ์ ใหม่ ทหี่ ลากหลาย
1.2 เป็ นความรู้ที่เป็ นหัวใจสาคัญของหน่ วยที่เรี ยนโดยผูส้ อนจัดกิจกรรมให้ผเู้ รี ยนได้เรี ยนรู้
อย่างเป็ นกระบวนการ และค้นพบหลักการ แนวคิดที่สาคัญนี้ดว้ ยตนเองจึงจะเป็ นความรู้ ที่คงทน
และยัง่ ยืน
1.3 เป็ นความรู ้ที่อาจไม่เป็ นรู ปธรรมที่ชดั เจนหรื อค่อนข้างจะเป็ นนามธรรม เป็ นความรู้ที่
ผูเ้ รี ยนเข้าใจค่อนข้างยาก และมักจะเข้าใจผิด แต่ความรู ้น้ ีเป็ นหลักการแนวคิด/เรื่ อง/ที่เป็ นหัวใจ
ของหน่วยการเรี ยนรู ้ เช่น ในวิชาฟิ สิ กส์ กฎของแรง กฎของการเคลื่อนที่ แรงโน้มถ่วงของโลกมี
ความสาคัญ และเป็ นเรื่ องที่ผเู ้ รี ยนเข้าใจค่อนข้างยาก ครู ผ้ สู อนต้ องนาเรื่องดังกล่าว มาจัด
กิจกรรม/ประสบการณ์ การเรียนรู้ ให้ ผ้ เู รียนมีความรู้ ความเข้ าใจเรื่องนั้นทีถ่ ูกต้ องและชัดเจน
1.4 เป็ นความรู้ที่เปิ ดโอกาสให้ผเู้ รี ยนได้ปฏิบตั ิจริ งในการศึกษา ค้ นคว้ าหาหลักการ/
แนวคิด/เรื่อง/กระบวนการสาคัญนั้น และเป็ นความรู ้ที่สอดคล้องกับความสนใจของผูเ้ รี ยน จึงจะ
ทาให้ผเู ้ รี ยนมีความสนใจ ตั้งใจที่จะทากิจกรรมเพื่อให้เกิดความรู ้ตลอดหน่วยการเรี ยนรู ้ โดยไม่
เกิดความเบื่อหน่าย
ขั้นที่ 2 กาหนดหลักฐาน/ร่ องอยทีแ่ สดงว่ าผู้เรียนมีความรู้ ความเข้ าใจอย่ างแท้ จริง ทีเ่ ป็ น
หลักฐานทีช่ ัดเจนและยอมรับได้ ว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถตามทีก่ าหนดไว้ ในขั้นที่ 1
หลังจากได้เรี ยนรู ้หน่วยฯ ที่กาหนดให้แล้ว คาถามสาหรับครู ผอู ้ อกแบบการจัดการเรี ยนรู้ตอ้ งหา
คาตอบให้ได้สาหรับขั้นตอนนี้ คือ ครู ผ้ สู อนจะรู้ ได้ อย่ างไรว่ า ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้ าใจตาม
มาตรฐาน หรือตัวชี้วดั ของหน่ วยการเรียนรู้ ทกี่ าหนดไว้ ? การแสดงออกของผู้เรียนควรมี
ลักษณะอย่ างไร จึงจะยอมรับได้ ว่า ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้ าใจตามทีก่ าหนดไว้ ? ดังนั้นครู ผ้ สู อน
จึงต้ องประเมินผลการเรียนรู้ โดยการตรวจสอบการแสดงออกของผู้เรียนเป็ นระยะ ๆ ด้ วย
โดยมีชิ้นงาน(ผลงาน)และภาระงาน(การแสดงออก)เป็ นที่ประจักษ์ ด้วย
วิธีการที่หลากหลาย ทั้งเป็ นทางการ และไม่เป็ นทางการ จะต้องสะสมตลอดหน่วยการ
เรี ยนรู ้ จึงไม่ควรใช้วธิ ี การประเมินผลการเรี ยนรู ้เพียงครั้งเดียวแล้วตัดสิ นเป็ นผลการเรี ยนรู้ของ
ผูเ้ รี ยนใน 1 หน่วยการเรี ยนรู ้ วิธีการประเมินผลการเรี ยนรู ้ที่ดีเหมาะสมในแต่ละวงของกรอบ
ความคิด 3 วง ดังแผนภูมิควรเป็ นดังนี้
ความรู้ ทจี่ ะให้ ผ้เู รียนคุ้นเคย
(Worth being familiar with)
ประเมินด้ วยการทดสอบ
(ปรนัยเลือกตอบอัตนัย)
สิ่งสาคัญทีต่ ้ องรู้ และต้ องทา
(ความรู ้ และทักษะที่สาคัญ)
(Important to know and do)
ความเข้ าใจทีค่ งทน
(
“Enduring” understanding)
การสั งเกตพฤติกรรม หรือ
การทาโครงงาน หรือ
การประเมินตามสภาพจริง
จากแผนภูมิการวัด และประเมินผลการเรี ยนรู้ตามลักษณะความรู้ ความเข้าใจจะเห็นได้วา่
ถ้าวัดและประเมินผลการเรี ยนรู้ที่เป็ นความเข้าใจที่คงทน(Enduringunderstanding) ของผูเ้ รี ยนวิธี
ที่เหมาะสมที่สุดคือ การประเมินตามสภาพจริง ส่ วนความรู ้ควรเป็ นการทดสอบประเภทเขียน
ตอบ เพื่อจะได้แน่ใจว่าผูเ้ รี ยนมีความรู ้และทักษะที่สาคัญอย่างแท้จริ ง
การประเมิน เป็ นการตัดสิ นว่าเมื่อผูเ้ รี ยนสร้างชิ้นงาน/ภาระงานในลักษณะที่เกิดจากการ
ปฏิบตั ิกิจกรรมในขณะเรี ยนรู ้วา่ ชิ้นงาน/ภาระงานนั้นมีคุณภาพหรื อไม่ การประเมิน
ดังกล่าวจึงต้องใช้เกณฑ์ที่กาหนดตามธรรมชาติของงานที่ปฏิบตั ิจึงเรี ยกว่า เกณฑ์การ
ประเมิน หรื อ ระดับคุณภาพ (rubric) ซึ่ งมีลกั ษณะดังนี้
๑.มีเกณฑ์ประเมินที่เชื่อมโยงกับตัวชี้วดั ที่กาหนดในหน่วยการเรี ยนรู ้
๒.อธิ บายลักษณะชิ้นงานหรื อภาระงานที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน
๓.มีคาอธิ บายคุณภาพชิ้นงานที่ชดั เจนและบ่งบอกคุณภาพงานในแต่ละระดับ
ขั้นที่ 3 ออกแบบการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ หลังจากที่ครู ผสู ้ อนได้กาหนด “ความเข้ าใจที่
คงทน” และกาหนดหลักฐานการแสดงออกของผูเ้ รี ยนที่แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนมีความรู้ และ
ทักษะสาคัญ และมีความเข้ าใจทีค่ งทนแล้ ว ครู ผสู้ อนควรออกแบบการจัดการเรี ยนรู้ หรื อจัดทา
แผนการจัดการเรี ยนรู ้ โดยกาหนดกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผเู ้ รี ยนปฏิบตั ิ ดังนี้
1. กาหนดหลักฐานการแสดงออกของผูเ้ รี ยนที่แสดงให้เห็นว่า ผูเ้ รี ยนมีความรู ้ ทักษะ
และจิตพิสัย ตามเป้ าหมายที่กาหนด ที่สอดคล้องกับขั้นที่ 2 ที่กาหนดไว้
2. กาหนดกิจกรรมการจัดการเรี ยนรู ้ที่จะช่วยให้ผเู ้ รี ยนมีความรู ้(ข้อเท็จจริ ง ความคิดรวบยอด
และหลักการต่าง ๆ) และมีทกั ษะ ตามมาตรฐาน/ผลการเรี ยนรู ้ที่คาดหวังของหน่วยการเรี ยนรู้
3. กาหนดสื่ อ อุปกรณ์ และแหล่งการเรี ยนรู ้ที่เหมาะสม ที่จะทาให้ผเู ้ รี ยนพัฒนาตามเป้ าหมาย
การเรี ยนรู ้ที่กาหนด
4. กาหนดจานวนชัว่ โมงที่ใช้ในการพัฒนาผูเ้ รี ยนในแต่ละชุดของกิจกรรมการเรี ยนรู้
5. จัดทาแผนการจัดการเรี ยนรู้โดยนาข้อมูลจากการออกแบบการจัดการเรี ยนรู้มาจัดทา
แผนการจัดการเรี ยนรู ้ครู ผสู ้ อน ควรตรวจสอบหน่วยการจัดการเรี ยนรู ้ท้ งั หมด โดยให้เพื่อนครู
ช่วยตรวจสอบให้วา่ แต่ละส่ วนของหน่วยการจัดการเรี ยนรู ้ที่กาหนด มีความเหมาะสม และมี
ความเป็ นไปได้ที่จะทาให้ผเู้ รี ยนมีความรู้ มีทกั ษะ จิตพิสัย และมีความเข้ าใจทีค่ งทน(Enduring
understanding) ตามเป้ าหมายการเรี ยนรู ้ที่กาหนดหรื อไม่ ก่อนที่จะนาไปจัดการเรี ยนรู ้จริ งกับ
ผูเ้ รี ยน
การออกแบบเพื่อจัดทาแผนฯตามแนว Backward Design
1. กาหนดชื่อหน่ วยการเรียนรู้/จัดทาหน่วยการเรี ยนรู ้ที่มีคุณค่าต่อผูเ้ รี ยน และสังคมและ
เหมาะสมสอดคล้องกับระดับการศึกษาของผูเ้ รี ยน
2. กาหนดความเข้ าใจทีค่ งทน(Enduring understanding) ของหน่วยฯ ที่ตอ้ งการให้เป็ น
ความรู ้ความเข้าใจติดตัวผูเ้ รี ยนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็ นเวลานาน การเขียนความเข้าใจ
ที่คงทนมีแนวการเขียน 2 ลักษณะ ได้แก่
2.1 เขียนแบบความเรี ยง โดยอาจจะเขียนลักษณะดังต่อไปนี้
2.1.1 เขียนลักษณะ “สรุ ปเป็ นความคิดรวบยอด” เช่น ความพอเพียง ช่วยให้สามารถ
ดารงชีวติ อยูใ่ นสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุ ข
2.1.2 เขียนลักษณะ “กระบวนการ” เช่น การวิเคราะห์สาเหตุของปั ญหาอย่างกว้างขวาง
หลายมิติ กาหนดทางเลือกในการแก้สาเหตุของปั ญหาอย่างหลากหลาย เลือกทางเลือกในการ
แก้ปัญหาอย่างเหมาะสม ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
2.1.3 เขียนลักษณะ “ความสั มพันธ์ ” เช่น วิธีการดารงชีวิตของมนุษย์ มีผลกระทบต่อ
ระบบนิเวศในสายน้ า
2.1.4 เขียนลักษณะ “สรุ ปเป็ นหลักเกณฑ์ หลักการ” เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ มีความ
จาเป็ นต่อการสังเคราะห์แสงของพืช
2.2 เขียนแบบคาถาม โดยเขียนลักษณะ “คาถามรวบยอด” เช่น แม่น้ า ลาคลอง มีอิทธิ พลต่อ
การดารงชีวิตของมนุษย์อย่างไร?
3. กาหนดความคิดรวบยอดย่ อย(Concepts)ที่สาคัญที่จะให้ผเู้ รี ยนได้เรี ยน เพื่อให้ผเู้ รี ยนมี
คุณลักษณะตามหน่วยการเรี ยนรู ้ที่กาหนด ซึ่ งแต่ละ Concept ที่กาหนดต้องสรรหาอย่าง
เหมาะสม จัดให้มีความเชื่อมโยง สอดคล้องกัน และส่ งเสริ มกันอย่างกลมกลืน อันส่ งผลให้
ผูเ้ รี ยนมีคุณลักษณะตามหน่วยฯ ที่กาหนด
4. กาหนดความรู้ และทักษะเฉพาะวิชาที่เป็ นความรู้(K) ทักษะ(P)เฉพาะวิชา ของแต่ละ
Concept(จะมากน้อยเท่าไรจึงจะเพียงพอที่จะพัฒนาให้ผเู ้ รี ยนมีความรู ้ความสามารถสาหรับแต่ละ
Concept แล้วแต่ผสู ้ อนจะพิจารณา) ซึ่ งเมื่อนักเรี ยนได้รับการพัฒนาทุก Concept แล้ว จะทาให้
ผูเ้ รี ยนมีคุณลักษณะตามหน่วยการเรี ยนรู ้ที่กาหนด
5. ตราจสอบความสอดคล้ องของความรู้ (K) และทักษะ(P)เฉพาะวิชา ของแต่ละ Concept กับ
มาตรฐานการเรี ยนรู้(12 ปี )ของหลักสู ตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2554 และนาเฉพาะ Key word
ในมาตรฐาน ที่สอดคล้องกับความรู ้ และทักษะเฉพาะวิชา มาเขียนสาหรับแต่ละมาตรฐานการ
เรี ยนรู้
6. กาหนดทักษะคร่ อมวิชาที่ตอ้ งใช้ในการจัดการเรี ยนรู ้ให้กบั ผูเ้ รี ยน เช่น กระบวนการกลุ่ม
การวิเคราะห์ การเขียนรายงาน ฯลฯ ที่เป็ นทักษะที่สามารถใช้ได้หลายวิชา หรื อเป็ นการยืมทักษะ
ของวิชาอื่นมาใช้ เช่น การเขียน(ของวิชาภาษาไทย) การวิเคราะห์การรายงาน ฯลฯ
7. กาหนดจิตพิสัย(Disposition standards) ของหน่วยการเรี ยนรู ้ที่กาหนด ที่ตอ้ งการให้เกิด
ขึ้นกับผูเ้ รี ยน
8. กาหนดคุณลักษณะพึงประสงค์ ให้เหมาะสม สอดคล้องกับหน่วยการเรี ยนรู ้ที่กาหนด
และอาจจะตรงกับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสู ตรสถานศึกษา หรื อไม่กไ็ ด้ แต่เป็ น
คุณลักษณะพึงประสงค์ของหน่วยการเรี ยนรู ้ที่ตอ้ งการให้เกิดขึ้นกับนักเรี ยน
9. กาหนดหลักฐานทีแ่ สดงว่ าผู้เรียนมีความรู้ ความเข้ าใจตามความเข้าใจที่คงทน จิตพิสัย
(A) และทักษะคร่ อมวิชาความรู ้(K) และทักษะ(P) เฉพาะวิชาที่กาหนด โดยการออกแบบการ
ประเมินผลการเรี ยนรู ้ให้เหมาะสมในแต่ละรายการที่กาหนด
10. จัดลาดับหลักฐานการแสดงออกของผู้เรียน (การประเมิน)ให้ เป็ นลาดับทีเ่ หมาะสม เพื่อ
นาไปออกแบบการจัดการเรี ยนรู ้ ซึ่ งกิจกรรมการประเมินที่สามารถจัดรวมกันได้ ควรจัดไว้
ด้วยกัน ในแต่ละลาดับ
11. ออกแบบการจัดการเรียนรู้ เป็ นการกาหนดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ หรือจัด
ประสบการณ์ การเรียนรู้ โดยนาการประเมินที่จดั ลาดับไว้ มากาหนดกิจกรรมการจัดการเรี ยนรู้
หรื อการจัดประสบการณ์การเรี ยนรู ้ให้กบั ผูเ้ รี ยน กาหนดสื่ อ อุปกรณ์ และแหล่งการเรี ยนรู้ และ
จานวนชัว่ โมงของแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสม
12. จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยนาการจัดประสบการณ์เรี ยนรู้ที่ออกแบบไว้ในข้อ 11
มาจัดทาเป็ นแผนการจัดการเรี ยนรู้ โดยเขียนผลการเรี ยนรู้ที่คาดหวังตามความรู้ และทักษะ
เฉพาะที่กาหนดสาหรับความคิดรวบยอดย่อย(Concept)แต่ละ Concept
13. ตรวจสอบความเหมาะสมของการออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยผูเ้ ชี่ยวชาญ(ครู สอน
สาขาเดียวกัน) ตั้งแต่เริ่ มกาหนดหน่วย จนถึงจัดทาแผนการจัดการเรี ยนรู ้
14. นาผลการออกแบบการจัดการเรี ยนรู ้ไปจัดการเรี ยนรู ้ให้กบั ผูเ้ รี ยน