Transcript สังคมมนุษย์
ั สงคมและการเมื อง : 03751112 Social and Politics ั : สงคมมนุ ษย์ : การอยูร่ ว่ มก ันของมนุษย์ : การเมือง : กระบวนการอานาจและการใช ้ ั ันธ์ : มนุษย์ก ับการเมือง : ความสมพ ั ทีม ่ าของสงคม ั ั ทฤษฎีสญญาส งคม (Social Contract Theories of Society) เน้นสภาพธรรมชาติ (State of Nature) : ธอม ัส ฮอบส ์ (Thomas Hobbes) ั อธิบายว่า ระยะเริม ่ มนุษย์ไม่ได้อยูร่ วมก ันในสงคม แยกก ันอยูต ่ ามสภาพธรรมชาติ (State of nature) ใต้กฎ ธรรมชาติ (Natural law) ทีไ่ ม่เหมาะสมก ับอารยธรรม พิจารณามนุษย์ในทางลบ และล ักษณะต่างๆไม่ด ี ั ทีม ่ าของสงคม สภาพมนุษย์ : - ล ักษณะโดดเดีย ่ ว (solitary) - ยากจน (poor) - น่าเกลียด (nasty) โหดร้าย (brutal) ั้ (short) - ติดต่อก ันระยะสน - ไม่มค ี วามร ับผิดชอบ - ไม่มค ี วามยุตธ ิ รรม ั ทีม ่ าของสงคม ข้อตกลง Hobbes เสนอ : บุคคลเป็นเจ้าของทุกสงิ่ ทุกอย่างตามทีต ่ นแสวงหา มาได้ มนุษย์ทาสงครามเพือ ่ ความอยูร่ อดของตน ั มนุษย์ตกก ันทาสญญา จะเลิกอยูแ ่ บบต ัวใครต ัวม ัน ้ าล ังตามธรรมชาติ แต่จะอยูร่ วมก ันภายใต้การ และใชก ปกครองของ “องค์อธิปต ั ย์” (sovereign) เกิดอานาจทาง การปกครองภายใต้ร ัฐบาล ั ทีม ่ าของสงคม : จอห์น ล็อค (John Locke) เสนอแนวคิดต่างจาก Hobbes เกีย ่ วก ับสภาพตาม ธรรมชาติและมนุษย์ ั - สภาพธรรมชาติของสงคมจะมี การจ ัดการปกครอง ทีม ่ รี ะเบียบดีแล้ว (State of Organized Society) - ความไม่สมบูรณ์ของสภาพธรรมชาติ ทาให้มนุษย์ ิ คดีทก ทีเ่ ป็นผูต ้ ัดสน ี่ ระทาความผิดก ันเอง ซงึ่ มีขอ ้ บกพร่อง อยูบ ่ างประการ ั ทีม ่ าของสงคม ข้อเสนอ Locke : 1. การตงศาล ั้ (judicature) เพือ ่ ตีความกฎหมาย อย่างถูกต้องและยุตธ ิ รรม 2. การตงฝ ั้ ่ ายบริหาร (executive) เพือ ่ ทีจ ่ ะร ักษา กฎหมาย 3. การตงฝ ั้ ่ ายนิตบ ิ ัญญ ัติ (legislature) เพือ ่ กาหนด หล ักเกณฑ์เกีย ่ วก ับการร ักษาและดูแลคดีตา ่ งๆ ิ ธิการลงโทษ โดยยกสท ิ ธิให้องค์กร มนุษย์ยอมสละสท ั ั ้ ทาหน้าทีแ ่ ทน = สญญาร่ วมก ัน สงคมและร ัฐบาลจะเกิดขึน ั ทีม ่ าของสงคม : ชอง ฌาคส ์ รุสโซ (Jear Jacques Rousseau) ยอมร ับความคิดของ John Locke เกีย ่ วก ับมนุษย์ท ี่ อยูใ่ นสภาพธรรมชาติ และอยูภ ่ ายใต้กฎธรรมชาติ ื่ ว่า สภาพธรรมชาติมนุษย์เป็นคนดีม ี Rousseau เชอ ึ จะ ความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ยากของผูอ ้ น ื่ ความรูส ้ ก ั ั ่ นรวม อยูร่ ว ่ มก ันเป็นสงคม และสงคมมี ล ักษณะเป็นของสว ั ทีม ่ าของสงคม ข้อเสนอ Rousseau : ้ ภายหล ัง : เจตนารมณ์ทว่ ั ไป (general will) เกิดขึน ั จากมีการรวมเป็นสงคม ั : สงคมจะมี เจตนารมณ์ทว่ ั ไปมุง ่ พิท ักษ์ร ักษาและให้ ่ นรวม สว ัสดิการแก่สว : เจตนารมณ์ทว่ ั ไปเป็นแหล่งทีม ่ าของกฎหมาย ทงหมด ั้ ั ทีม ่ าของสงคม ข้อเสนอ Rousseau : ั ันธ์ : เจตนารมณ์ทว่ ั ไปจะกาหนดความสมพ ั ิ ของสงคม ระหว่างสมาชก : เจตนารมณ์ทว่ ั ไปเป็นสงิ่ สูงสุด ร ัฐเป็นเพียง ต ัวแทน (agent) เจตนารมณ์ = อานาจอธิปไตย ั ความหมายของสงคม ั ั ”สงคม” เป็นกลุม ่ คนทีม ่ าอาศยอยู ร่ ว ่ มก ันภายใน (1) อาณาบริเวณใดบริเวณหนึง่ เป็น (2) ระยะเวลา ั ันธ์ซงึ่ ยาวนานพอสมควร ผูค ้ นในกลุม ่ มี (3) ความสมพ ก ันและก ัน โดยทีก ่ าหนด (4) รูปแบบบรรท ัดฐาน กฎเกณฑ์ บทบาทและกิจกรรมต่างๆ เพือ ่ การอยูร่ วมก ัน เป็นถาวร ั ความหมายของสงคม ”Aristotle” เป็นน ักปราชญ์ชาวกรีก (384-322 ก่อน ื่ ว่า ค.ศ.) เชอ มนุษย์ตามสภาพธรรมชาติตอ ้ งมีชวี ต ิ อยูร่ ว ่ มก ับบุคคลอืน ่ ั ันธ์ก ันและก ัน ไม่สามารถมีชวี ต มีการติดต่อสมพ ิ อย่างอิสระ ตามลาพ ังคนเดียว Aristotle เน้นถึงว่า ไม่มม ี นุษย์ผใู ้ ดอยูอ ่ ย่างโดดเดีย ่ วใน ื พ ันธุ ์ ไม่อาจป้องก ันตนเอง โลก มนุษย์ผเู ้ ดียวไม่สามารถสบ ี ได้นาน ไม่อาจบารุงสติปญ ้ งชพ และหาเลีย ั ญา ความคิดและ มีกาล ังใจเพียงพอ ั ความหมายของสงคม Arnold W. Green (1972) ั “สงคม” เป็นกลุม ่ คนขนาดใหญ่ทส ี่ ด ุ ซงึ่ แต่ละคนมีความ ึ เป็นสมาชก ิ ของกลุม รูส ้ ก ่ โดยประกอบด้วย - มีประชากร - มีการจ ัดระเบียบในการอยูร่ ว ่ มก ัน ั - มีเวลา/สถานที/ ่ อาณาบริเวณและอาศยอยู อ ่ ย่างถาวร - มีการแบ่งงานก ันทา - มีการแบ่งปันผลประโยชน์เพือ ่ ให้ดารงชวี ต ิ อยูไ่ ด้ ั ความหมายของสงคม ั สงคมวิ ั พจนานุกรมศพท์ ทยา ฉบ ับราชบ ัณฑิตยสถาน (2542) ั ั ันธ์ตอ “สงคม” คือ คนจานวนหนึง่ ทีม ่ ค ี วามสมพ ่ เนือ ่ งก ัน ตามระเบียบและกฎเกณฑ์ โดยมีว ัตถุประสงค์สาค ัญร่วมก ัน ั ความหมายของสงคม ิ า (2514) ประสาท หล ักศล ั ่ นใหญ่ “สงคม” หรือการทีม ่ นุษย์พวกหนึง่ ๆ ทีม ่ อ ี ะไรสว ่ ท ัศนคติ คุณธรรม ธรรมเนียม เหมือนก ัน/คล้ายคลึงก ัน เชน ประเพณีและได้มาอยูร่ วมก ันเป็นพวกเดียวก ัน โดยทีม ่ ค ี วาม ั ันธ์ก ันและมาอยูใ่ นเขตเดียวก ันอย่างถาวร สมพ ั ความหมายของสงคม พ ัทยา สายหู (2524) ั “สงคม” หมายถึง กลุม ่ คนทีอ ่ ยูร่ ว ่ มก ันในอาณาบริเวณ ั ันธ์อ ันเกิดจากการประพฤติ ทีม ่ ข ี อบเขตกาหนด มีความสมพ ึ เป็นอ ันหนึง่ อ ันเดียวก ัน และยอมร ับ ปฏิบ ัติตอ ่ ก ัน มีความรูส ้ ก แบบแผนหรือวิธก ี ารกฎเกณฑ์อย่างเดียวก ัน ั สงคมมนุ ษย์ Human Society ั ่ นร่วมใน : สงคม คือ “กลุม ่ ของมนุษย์กลุม ่ หนึง่ ซงึ่ มีสว ้ งตนเองได้ (a selfระบบกระทาการทีส ่ ามารถเลีย sufficient system of action) ซงึ่ สามารถจะดารงอยู่ ได้นานกว่าอายุของมนุษย์คนหนึง่ กลุม ่ มนุษย์นอ ี้ ย่าง ิ ใหม่ดว้ ยวิธก น้อยจะต้องแสวงหาสมาชก ี ารผสมพ ันธุ ์ ตามธรรมชาติ” Aberle, Cohen, Davis, Levy and Sutton. 1950. “ The Functional Pre-Requisites of a Society.” Ethics. Vol. 60. January 1950 สาระสาค ัญของความหมาย ้ งตนเอง : ประการที่ 1 – ระบบกระทาการทีส ่ ามารถเลีย ระบบกระทาการทุกระบบจะต้องอยูภ ่ ายใต้สถานการณ์หนึง่ (a situation) เสมอ ั สงคม (a society) สถานการณ์ = มนุษย์ ่ นุษย์ (non= สงิ่ แวดล้อมทีไ่ ม่ใชม human environment) ั = สงคมอื น ่ ๆ ระด ับภายในและภาย ั นอกสงคมเดี ยวก ัน สาระสาค ัญของความหมาย ้ งตนเอง : ประการที่ 1 – ระบบกระทาการทีส ่ ามารถเลีย ั ิ ก ับ -: ระบบกระทาการสงคมจะต้ องจ ัดเตรียมเพือ ่ เผชญ ิ และย ังสง ่ สถานการณ์ตา ่ งๆ ของสงิ่ แวดล้อมทีใ่ กล้ชด ั ผลกระทบต่อสงคม ั ้ งตนเอง โดยไม่ตอ -: ล ักษณะสามารถเลีย ้ งติดต่อก ับสงคม ั ภายนอกระยะหนึง่ ก็ย ังอยูไ่ ด้ ระบบสงคมมี ความสามารถ ั ทาหน้าทีท ่ จ ี่ าเป็นต่างๆ ของสงคม (functional prerequisites) สาระสาค ัญของความหมาย : ประการที่ 2 – ความสามารถอยูน ่ านกว่าอายุมนุษย์ 1 คน ั ิ ใหม่แทนสมาชก ิ เก่า -: สงคมจะต้ องสามารถสร้างสมาชก โดยการอบรมสง่ ั สอน (Socialization) ั ิ ของสงคมบางส ่ นต้องมาจากด้วยวิธก -: สมาชก ว ี ารผสม ั พ ันธุต ์ ามธรรมชาติ เพราะต้องการแยกสงคมออกจาก ั ่ สมาคม ว ัด/สาน ักสงฆ์ และสโมสร กลุม ่ ทางสงคม เชน ิ การแสวงหาสมาชก + การเพิม ่ ด้วยผสมพ ันธ์ตามธรรมชาติ + การเพิม ่ ด้วยการอพยพ การสูร้ บ/กวาดต้อน สาระสาค ัญของความหมาย ั สงคม = ว ัฒนธรรม ั + ว ัฒนธรรม เป็นกฎเกณฑ์กาหนดพฤติกรรมทางสงคม ของมนุษย์ = นามธรรม ั ั ั - แบบแผนว ัฒนธรรมของสงคม อาศยการส งเกตจาก ั พฤติกรรมทางสงคม (Social Behavior) ั ั - สงคม 2 สงคม/มากกว่ าอาจจะมีว ัฒนธรรมคล้ายก ัน ่ ไทย ลาว เขมร เชน ั - สงคมเดี ยวก ันอาจจะมีว ัฒนธรรมแตกต่างก ันแต่ละ กลุม ่ (Sub-culture) สาระสาค ัญของความหมาย ั ั : ประการที่ 3 – สงคมแต่ ละสงคมอาจไม่ จาเป็นต้องพึง่ ตนเองด้านทร ัพยากรตลอดไป ั ้ ายในสงคม ั -: สงคมต้ องมีทร ัพยากรมากพอควรเพือ ่ ใชภ = ไม่มเี ลยไม่ได้ ั ั -: สงคมต้ องมีการแลกเปลีย ่ นทร ัพยากรก ับสงคมอื น ่ แต่ ั ่ ลายเป็นสงคมเดี ไม่ใชก ยวก ัน ั หน้าทีส ่ าค ัญของสงคม ั : ประการที่ 1 – สงคมจ ัดสภาวะแวดล้อมทีเ่ หมาะสมแก่การ ิ เพือ ปฏิบ ัติการทางเพศของสมาชก ่ การเพิม ่ ิ ใหม่ดว้ ยวิธก ื พ ันธุ ์ (Sex สมาชก ี ารสบ Reproduction) -: การบารุงร ักษาความต่อเนือ่ งทางชวี ะ (Maintenance ั ิ สงคม of Biological Continuation) ของสมาชก ิ ทีเ่ หมาะสม ไม่มาก - การร ักษาระด ับจานวนสมาชก หรือน้อยเกินไป ั - การติดต่อก ับสงคมอื น ่ จะต้องคานึงถึงผลประโยชน์ ั ความอยูร่ อดสงคมตนเอง ั หน้าทีส ่ าค ัญของสงคม -: การบารุงร ักษาความต่อเนือ่ งทางชวี ะ (Maintenance ั ิ สงคม of Biological Continuation) ของสมาชก ั ันธ์ระหว่างเพศของสมาชก ิ - การจ ัดการให้มค ี วามสมพ ิ ใหม่ (Heterosexual Relationship) ผลิตสมาชก ิ จานวนพอเหมาะต้องทาหน้าทีต - สมาชก ่ ามบทบาท (Role) และสถานภาพ (Status) เพือ ่ ความคงอยู่ ั สงคม ั - สงคมจ าเป็นต้องปร ับต ัว จ ัดการและเปลีย ่ นแปลง ภาวะแวดล้อมธรรมชาติให้เหมาะสม ั หน้าทีส ่ าค ัญของสงคม ิ รูจ : ประการที่ 2 – การอบรมว ัฒนธรรม/การให้สมาชก ้ ัก ั กฎเกณฑ์พฤติกรรมทางสงคม (Socialization or Enculturation) ั ิ ใหม่สงคมต้ -: สมาชก องรูแ ้ ละเข้าใจ”โครงสร้างแห่ง การกระทา” (Structure of Action) : กฎเกณฑ์ ั ทางสงคม บทบาท (Role) สถานภาพ (Status) วิถป ี ฏิบ ัติและถ่ายทอดแบบแผนทางว ัฒนธรรมของ ั สงคม ั หน้าทีส ่ าค ัญของสงคม ื่ สาร (Communication) : ประการที่ 3 – การติดต่อสอ ิ ทีใ่ ห้มภ ี าษาร่วมก ันของสมาชก ั ื่ สารระหว่างสมาชก ิ ในสงคม -: การจ ัดให้มก ี ารติดต่อสอ ั เพือ ่ ร ับรูแ ้ ละเข้าใจร่วมก ัน ด้วยระบบสญล ักษณ์ (Symbolic Communication) - การร ักษาค่านิยมร่วมก ัน (Common Value) การ เรียนรูแ ้ ละความเข้าใจร่วมก ัน = Enculturation - การสร้างอานาจบ ังค ับ (Sanction) ในกิจกรรมทาง ั สงคม ั หน้าทีส ่ าค ัญของสงคม : ประการที่ 4 – หน้าทีท ่ างเศรษฐกิจ (Economic Function) -: การจ ัดให้มก ี ารผลิต (Production) การกระจาย (Distribution) และการบริโภค (Consumption) ั - สงคมที ม ่ ก ี ารจ ัดการเศรษฐกิจดี อาหารและ ิ สมาชก ิ สมบูรณ์แข็งแรง ทร ัพย์สน : ความอุดมสมบูรณ์ของทร ัพยากรธรรมชาติ : วิธก ี ารจ ัดการทางเศรษฐกิจ ั หน้าทีส ่ าค ัญของสงคม : ประการที่ 5 – หน้าทีจ ่ ัดระเบียบและร ักษาความสงบ (Maintenance of Order) -: การจ ัดระเบียบการปกครองและความยุตธิ รรม ระง ับ ข้อพิพาท การข ัดผลประโยชน์ และความไม่สงบ - การจ ัดระเบียบภายใน (Internal Order) - การจ ัดระเบียบภายนอก (External Order) ั เงือ ่ นไขการสลายต ัวของสงคม ั ื ต่อทางชวี ะในหมูสมาชก ิ สงคม : ประการที่ 1 – การไม่สบ ั ิ สงคมลดลงเหลื -: การทีม ่ ส ี มาชก อน้อยเกิดไป - อ ัตราการเกิด - อ ัตราการตาย - อ ัตราการย้ายถิน ่ ั เงือ ่ นไขการสลายต ัวของสงคม ั ิ สงคมเฉื : ประการที่ 2 –สมาชก อ ่ ยชาเกินขนาด ั ิ สงคมไม่ -: การทีม ่ ส ี มาชก อยากทาอะไร ไม่ตอ ้ งการ ปฏิบ ัติหน้าที่ การขาดสงิ่ จูงใจและกาล ังใจทีจ ่ ะกระทา ั - โครงสร้างสงคมไม่ สมบูรณ์ ิ ธิภาพ - ไม่มป ี ระสท ั เงือ ่ นไขการสลายต ัวของสงคม ั : ประการที่ 3 –สงคมเกิ ดกลียค ุ -: การเกิดภาวะปราศจากความยุตธิ รรม ขาดกฎหมาย และปท ัสถาน (Norm) ิ ขาดความมน - สมาชก ่ ั ใจ - เกิดเอาร ัดเอาเปรียบ - กดขี่ ร ังแก ั เงือ ่ นไขการสลายต ัวของสงคม ั ั ่ นหนึง่ ของสงคมอื : ประการที่ 4 –สงคมถู กดูดกลืนเป็นสว น ่ ั -: การถูกกลืนกลายเป็นสว่ นหนึง่ ของสงคมอื น ่ จนขาด ึ ผูกพ ัน ความเป็นเอกล ักษณ์ตนเองและไม่รส ู้ ก - การแพ้สงคราม - การขยายทางว ัฒนธรรม