เอกสารการประชุมวันที่ 25 สิงหาคม 2557 เรื่อง Peritoneal dialysis

Download Report

Transcript เอกสารการประชุมวันที่ 25 สิงหาคม 2557 เรื่อง Peritoneal dialysis

Peritoneal dialysis complications
management
PD complications
1. Infection
2. Mechanical
3. Volume overload
Infection
Flush before fill
1
2
3
Infectious complications
Peritonitis
Exit site infection
การติดเชื้อในช่ องท้ อง
• สมาคมล้ างไตทางช่องท้ องโลก International Society For
Peritoneal Dialysis (ISPD) พ.ศ. 2553
- ไม่ เกิน 0.67 ครั้ งต่ อรายต่ อปี หรือไม่ เกิน 1 ครั้ งต่ อ 18 เดือน
• ประเทศไทยปี พ.ศ. 2554 พบว่ามีอบุ ตั ิการณ์ช่องท้ องอักเสบเท่ากับ
- 0.47 ครัง้ ต่ อรายต่ อปี หรือ 1 ครัง้ ทุก 25.5 เดือน
กลไกการติดเชื้อ
• Intraluminal route (Touch contamination)
• Periluminal route
• Enteric route (transmural migration)
• Hematogenous spread
• Gynecological route
กลไกการติดเชื้อ
1. Intraluminal route (Touch contamination)
เกิดจากการปนเปื อ้ นเชื ้อโรคขณะทาการเปลี่ยนถ่ายน ้ายาล้ างช่อง
ท้ องหรื อสาย transfer ดังนันเชื
้ ้อก่อโรคจึงเป็ นเชื ้อที่อาศัยตามผิวหนัง
ผู้ป่วย ได้ แก่
- Coagulase negative Staphylococcus
- Diptheroid spp.
- Corynebacterium spp.
- Bacillus spp.
กลไกการติดเชื้อ
2. Periluminal route
เชื ้อก่อโรคส่วนใหญ่จะมีคณ
ุ สมบัติเกาะติดแน่นกับสาย
Tenckhoff โดยการ สร้ าง biofilm
พบการติดเชื ้อที่ช่องทางออกและอุโมงค์ของสายก่อนแล้ วจึงติดผิว
ด้ านนอกของสาย Tenckhoff แล้ วจึงผ่านเข้ าสูช่ ่องท้ องผู้ป่วย
- Staphylococcus aureus
- Pseudomonas spp.
กลไกการติดเชื้อ
3. Enteric route (transmural migration)
เชื ้อก่อโรคอาจผ่านผนังลาไส้ ที่ปกติ หรื อผ่านผนังลาไส้ ที่มี
พยาธิสภาพ ได้ แก่ diverticulitis เข้ าสูน่ ้ายาในช่องท้ อง
แบคทีเรี ยแกรมลบ ได้ แก่ Klebsiella spp., Enterobacter
spp. และ Proteus spp. แบคทีเรี ยแกรมบวก เช่น Enterococcus
spp. หรื อแบคทีเรี ยชนิดไม่พงึ่ ออกซิเจนที่อาศัยอยูใ่ นลาไส้ ใหญ่ เช่น
Bacteroides fragilis
ปั จจัยส่งเสริ มให้ เกิดการติดเชื ้อ ได้ แก่ ภาวะท้ องผูก การทาหัตถการ
ภายในลาไส้ เช่ น การส่ องกล้ องตรวจ และการได้ รับยาลดกรดเป็ นระยะ
เวลานานๆ
กลไกการติดเชื้อ
4. Hematogenous spread
เชื ้อโรคจากส่วนใดส่วนหนึง่ ของร่างกายเคลื่อนที่ผา่ นกระแสเลือดเข้ า
สูช่ ่องท้ องผู้ป่วย เช่น
- การถอนฟั น
- การติดเชื ้อของระบบทางเดินหายใจ
เชื ้อก่อโรคส่วนใหญ่ คือ Streptococcus spp.
กลไกการติดเชื้อ
5. Gynecological route
เกิดจากการติดเชื ้อของช่องคลอดและปากมดลูก ผ่านปี กมดลูก
ออกมาทางช่องท้ อง อาจเกิดจากการทาหัตถการภายในมดลูก แบคทีเรี ยที่
อาศัยอยูใ่ นช่องคลอด เช่น Lactobaciilus หรื อเชื ้อที่ติดต่อทาง
เพศสัมพันธ์ เช่น Neisseria spp. และ เชื ้อรา
เกณฑ์ การวินิจฉัยภาวะช่ องท้ องติดเชื้อ
ตรวจพบอาการและอาการแสดงทางคลินิก 2 ใน 3 ข้ อ คือ
1. อาการและอาการแสดงที่บง่ ชี ้ถึงการอักเสบของเยื่อบุผนังช่องท้ อง
ได้ แก่ อาการปวดท้ อง กดเจ็บทัว่ ๆไปของผิวหนังบริเวณหน้ าท้ อง และ
การตรวจพบ rebound tenderness
2. น ้ายาล้ างช่องท้ องที่ถ่ายออกมาขุน่ (cloudy effluent) หรื อมี
เม็ดเลือดขาวมากกว่า 100 เซลล์/มล. ร่วมกับพบเซลล์เม็ดเลือด
ขาวชนิด neutrophil มากกว่าร้ อยละ 50
3. ตรวจพบเชื ้อก่อโรคจากการการย้ อมสีแกรม หรื อ การเพาะเชื ้อจาก
ตัวอย่างน ้ายาล้ างช่องท้ อง
ขั้นตอนการเก็บน้ายาล้ างไตทางช่ องท้ องส่ งตรวจเซลล์
1. เตรี ยมอุปกรณ์ในการเก็บน ้ายาล้ างไตทางช่องท้ องส่งตรวจ
dialysate cell count
2. นาถุงน ้ายาล้ างไตทางช่องท้ องที่ปล่อยออกมาเขย่าทาให้ ตะกอน
กระจายตัว
3. ใช้ 10% providone iodine ทาฆ่าเชื ้อบริเวณที่จะเก็บน ้ายา
ล้ างไตทางช่องท้ อง ทิ ้งให้ แห้ งจึงเก็บน ้ายาล้ างไตทางช่องท้ อง
การเก็บน้ายาล้ างไตทางช่ องท้ องส่ งตรวจเพาะเชื้อ
1.แบบปั่ น (large volume)
ปั่ นแยกน ้ายาล้ างช่องท้ องปริมาณ 50 มิลลิลติ ร ด้ วยความเร็ว
3000 รอบต่อนาที นาน 15 นาที นาตะกอนที่ได้ มาเจือจางในน ้าเกลือ
นอร์ มลั หลังจากนันท
้ าการปั่ นแยกตะกอนซ ้า และนาตะกอนที่ได้ ไปย้ อม
แกรมและเพาะเชื ้อ บน solid media และใส่ในขวดเพาะเชื ้อ
hemoculture
การเก็บน้ายาล้ างไตทางช่ องท้ องส่ งตรวจเพาะเชื้อ
2.แบบแขวน (bedside)
ดูดตะกอนจากถุงน ้ายาที่แขวนโดยที่สว่ นต่อ (connecting part)
ห้ อยลงล่างนาน 30 นาที แล้ วแบ่งฉีดลงในในขวด hemoculture
ขวดละ 10 มิลลิลติ ร 2 ขวด
การติดเชื้อในช่ องท้ อง
• ผลที่เกิดขึน้
1. สูญเสียหน้ าที่ของผนังช่องท้ อง
2. ถอดสายออก
3. เปลี่ยนวิธีการบาบัดทดแทนไตเป็ นวิธีอื่น
4. เสียชีวิต
การรักษา
เพาะเชือ้ ขึน้ Streptococcus spp. หรื อ Enterococcus
หยุดยาปฏิชีวนะเดิมทั ้งหมด เปลี่ยนยาเป็ น ampicillin 125 มก./ล. ผสมในน ้ายาล้ างช่องท้ องทุกถุง
ร่วมกับ aminoglycoside เป็ น combination therapy
ถ้ าเชื ้อดื ้อต่อยา penicillin ให้ เปลี่ยนเป็ น vancomycin แทน
ถ้ าเชื ้อดื ้อต่อ vancomycin พิจารณาให้ quinupristin/daflopristin), linezolid, daptomycin
ถ้ าอาการดีขึ ้น
ให้ ยาปฏิชีวนะเดิมต่อ
ตรวจดูการติดเชื ้อบริเวณช่องทางออกของสายล้ าง
ช่องท้ อง และ การติดเชื ้อของอวัยวะภายในช่องท้ อง
ระยะเวลาการให้ ยาปฏิชีวนะ
Streptococcus ให้ ยาปฏิชีวนะ 14 วัน
Enterococcus ให้ ยาปฏิชีวนะ 21 วัน
อาการไม่ดขึ ึ ้น
ส่งน ้ายาล้ างช่องท้ องเพาะเชื ้อซ ้า
อาการไม่ดขึ ึ ้นภายใน 5 วันหลังได้ ยาปฏิชีวนะที่
เหมาะสม ให้ พิจารณาถอดสายออก
เพาะเชือ้ ขึน้ Staphylococcus aureus
หยุดยาปฏิชีวนะที่คลอบคลุมแบคทีเรี ยแกรมลบ ให้ Cefazolin ต่อกรณีที่เป็ น MSSA
ถ้ าเชื ้อดื ้อต่อยา methicillin (MRSA) พิจารณาให้ ยาปฏิชีวนะร่วมกัน 2 ชนิด คือ vancomycin,
teicoplanin หรื อ clindamycin ร่วมกับ rifampicin ทางปากวันละ 600 มก. 5-7 วัน
ถ้ าอาการดีขึ ้น
ให้ ยาปฏิชีวนะเดิมต่อ
ตรวจดูการติดเชื ้อบริเวณช่องทางออกของสายล้ าง
ช่องท้ อง และ การติดเชื ้อของอวัยวะภายในช่องท้ อง
ระยะเวลาการให้ ยาปฏิชีวนะรวม 21 วัน
อาการไม่ดขึ ึ ้น
ส่งน ้ายาล้ างช่องท้ องเพาะเชื ้อซ ้า
อาการไม่ดขึ ึ ้นภายใน 5 วันหลังได้ ยาปฏิชีวนะที่
เหมาะสม ให้ พิจารณาถอดสายออก
ผลเพาะเชือ้ ขึน้ แบคทีเรี ยแกรมลบ
แบคทีเรี ยแกรมลบชนิดอื่นๆ เช่ น
E. Coli, Proteus spp.,
Klebsiella spp.
Pseudomonas spp.
Strenotrophomonas spp.
ให้ ยาปฏิชีวนะร่วมกัน โดยมีกลไกการ
ออกฤทธิ์ต่างกัน ได้ แก่ eftazidime,
sulperazon, cefpirome,
cefepime, aztreonam,
piperacillin, meropenam,
imipenem/cilastin,
netilmicin และ amikacin หรื อ
quinolone ทางปาก
ให้ ยาปฏิชีวนะร่วมกันโดยมีกลไก
การออกฤทธิ์ต่างกัน แนะนา
เลือกใช้ trimethoprim/
sulfamethoxazole เป็ นยา
ลาดับแรก
ปรับยาปฏิชีวนะตามความไวของเชื ้อ
ต่อยาปฏิชีวนะ อาจให้ ยากลุม่
cephalosporin เช่น
ceftazidime, cefepime
ระยะเวลาการให้ ยาปฏิชีวนะ
รวม 21 วัน
ระยะเวลาการให้ ยาปฏิชีวนะ
รวม 21-28 วัน
ระยะเวลาการให้ ยาปฏิชีวนะ
รวม 14-21 วัน
ถ้ าอาการไม่ดขึ ึ ้นภายใน 5 วันหลังได้ ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม ให้ พิจารณาถอดสายออก
เพาะเชือ้ ไม่ ขึน้ ที่เวลา 3 วัน
ถ้ าอาการดีขึ ้น
ให้ ยาปฏิชีวนะเดิมต่ อจนครบ 14 วัน
ถ้ าอาการไม่ดีขึ ้น
ส่งน ้ายาล้ างท้ องเพาะเชื ้อและย้ อมสีแกรมซ ้า
โดยส่งเพาะบนวุ้นเลี ้ยงเชื ้อชนิดพิเศษ เพื่อ
ค้ นหาเชื ้อรา, Legionella,
Mycoplasma, Mycobacteria หรื อ
ไวรัส
เพาะเชื ้อขึ ้น
ปรับยาปฏิชีวนะตามผลเพาะเชื ้อและความไว
ยังคงไม่พบเชื ้อ
ถ้ าอาการดีขึ ้น
ให้ ยาปฏิชีวนะเดิม
ต่อจนครบ 14 วัน
ถ้ าอาการไม่ดขึ ึ ้นภายใน 5 วัน ให้
พิจารณาถอดสายออก และให้ ยา
ปฏิชีวนะเดิมอย่างน้ อย 14 วัน
สาเหตุทผี่ ลการเพาะเชื้อจากสิ่ งส่ งตรวจไม่ ขนึ้ เชื้อ
1.
2.
3.
4.
5.
ปริมาณน ้าในช่องท้ องที่สง่ ตรวจมีปริมาณน้ อย
วิธีการเก็บส่งตรวจไม่ได้ มาตรฐาน
ปริมาณเชื ้อน้ อยเกินไป
ตัวเชื ้อเป็ นกลุม่ ที่เจริญเติบโตยาก
ผู้ป่วยเคยได้ รับยาปฏิชีวนะมาก่อน
การผ่ าตัดถอดสาย Tenckhoff ออก
• ข้ อบ่ งชี ้
1. อาการไม่ดีขึ ้นภายใน 5 วันหลังได้ ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
(Refractory peritonitis)
2. ติดเชื ้อในช่องท้ องซ ้าภายใน 4 สัปดาห์
(Relapsing or recurrent peritonitis)
3. มี Chronic Exit site infection หรื อ tunnel infection
ร่วมกับ peritonitis
(Refractory catheter related peritonitis)
4. Fungal peritonitis
การป้ องกันการติดเชื้อในช่ องท้ อง
1. แนะนาและอบรมผู้ป่วยและญาติให้ ปฏิบตั ิตามหลักการปลอดเชื ้อ
อย่างเคร่งครัดและห้ ามลัดขันตอนทุ
้
กครัง้ ที่เปลี่ยนถ่ายน ้ายา และทา
ความสะอาดแผล เน้ นให้ ทาการหงายฝาของอุปกรณ์ทกุ ครัง้ ที่วาง
2. ฝึ กสอนผู้ป่วยและอบรมซา้ ยึดตามแนวปฏิบตั ิของหน่วยงาน
(work instruction: WI) โดยฝึ กสอนซ ้าในกรณีตอ่ ไปนี ้
ก. หลังเข้ ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ข. หลังมี peritonitis หรื อมี catheter-related
infection
ค. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของระดับสายตา ความแม่นยาของมือ
อารมณ์ และความจา
ง. หลังเริ่มฝึ กอบรมสาหรับผู้ป่วยรายใหม่ไปแล้ ว 3 เดือน และควรทา
เป็ นประจา อาจจะเป็ นรายปี หรื อรายครึ่งปี ขึ ้นอยูก่ บั แต่ละโรงพยาบาล
3. ล้ างมือให้ ถูกวิธี และเช็ดมือให้ แห้ งทุกครัง้ ก่อนทาความสะอาดแผล
และก่อนเปลี่ยนถ่ายน ้ายา
4. Flush before fill
5. เน้ นย ้าให้ ตระหนักถึงการรักษาอนามัยสิง่ แวดล้ อมในบริเวณที่ทาการ
เปลี่ยนถ่าย และสถานที่เก็บอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้ องกับการทา PD และน ้ายา
สถานที่ต้องเป็ นสัดส่วน แห้ ง สะอาด ไม่มีฝนุ่ และมีแสงสว่างเพียงพอ
6. แนะนาข้ อปฎิบตั ิปลีกย่อย เช่น การแก้ ไขปั ญหาเบื ้องต้ นเมื่อเกิด
อุบตั ิเหตุการรั่วซึม ปริ ฉีกขาดของสาย ข้ อต่อหรื อปลายสายเกิดการ
ปนเปื อ้ น การดูแลและการเตรี ยมการสาหรับผู้ป่วยที่ต้องการมีสตั ว์เลี ้ยงไว้
ที่บ้าน
7. หมัน่ ตรวจเยี่ยมบ้ านเป็ นประจาและทุกครัง้ หลังผู้ป่วยติดเชื ้อ เพื่อ
สังเกตุสภาพแวดล้ อมขณะเปลี่ยนถ่ายน ้ายา PD และเพื่อตรวจสอบความ
ถูกต้ องของการปฎิบตั ิ รวมทังออก
้
WI ให้ บคุ ลากรยึดถือเป็ นแนวทาง
เดียวกัน
Mechanical complications
Mechanical complications
• Catheter
• Hernias
• Dialysate leaks
Catheter
1. ปลายสายอยู่ผิดที่ (Malposition)
2. หักงอ (Kinking)
3. Entrapment
1. Catheter Malposition
• ปลายสายอยูผ่ ิดที่ เช่น rectovesical pouch (ผู้ชาย) หรื อ
rectouterine pouch (ผู้หญิง)
2. หักงอ (Kinking)
3. Catheter Entrapment
• ปลายสายอยูใ่ นกระเปาะ เช่นใต้ กระบังลม หรื อเข้ าไปอยูใ่ นช่องว่าง
ระหว่างพังผืด
Hernia
• Umbilicus hernia
• Inguinal hernia
• มักเกิดในช่วง 1 ปี แรกของการเริ่ม CAPD
Dialysate leaks
ปั จจัยเสี่ยง
1. เทคนิคการใส่สาย
2. สภาพหน้ าท้ อง เช่น อ้ วน เคยได้ รับการผ่าตัดช่องท้ องมาก่อน
3. โรคปอดเรื อ้ รัง
Volume overload
ภาวะน้าเกิน (volume overload)
อาการและอาการแสดงของภาวะนา้ เกิน
• บวม
• น ้าหนักตัวเพิ่มขึ ้น
• หายใจเหนื่อยหอบ
• นอนราบไม่ได้
• ความดันโลหิตสูง
• Pleural effusion
• Ascites
สาเหตุของ volume overload
1. Intake (salt,water) เพิ่มขึ ้น, urine output ลดลง
2. Non-compliance
3. Mechanical problems (malposition,
entrapment, leak)
4. Membrane – มีการเสื่อมหน้ าที่ของเยื่อบุผนังช่องท้ องในการ
แลกเปลี่ยนสสาร
Intake
• แนะนาจากัดปริมาณเกลือที่รับประทานต่อวัน ไม่ควรเกินวันละ 2 กรัม
หลีกเลี่ยงการใส่เครื่ องปรุงรส อาหารหมักดองหรื ออาหารสาเร็ จรูป
Non-compliance
• สังเกตุความสม่าเสมอในการมาตรวจรักษา การจดบันทึกดุลน ้ายาเข้ า
ออก และความใส่ใจในการจดจาคาแนะนา
• ตรวจสอบปริมาณถุงน ้ายาที่เหลือใช้ ในแต่ละครัง้ ของการมาตรวจรักษา
• ตรวจพบอาการ อาการแสดงของภาวะยูรีเมีย แม้ วา่ ได้ รับ
adequate dialysis dose
• แก้ ไขโดยให้ ความรู้และเน้ นย ้าให้ ผ้ ปู ่ วยตระหนักถึงความสาคัญของการ
ฟอกตามกาหนด รวมทังให้
้ ผ้ ปู ่ วยได้ มีสว่ นร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ
แนวทางการหาสาเหตุ volume overload
Plain film abdomen
- AP, lateral
Peritoneal Equilibration Test :PET
Obtaining patient samples
1.ผูป้ ่ วยล้างไตทางช่องท้องตามปกติ คืนก่อนนัดทา PET
และให้คา้ งน้ายาในช่องท้องเป็นเวลา 8-12 ชัว่ โมง
2. ปล่อยน้ายาที่คา้ งท้องก่อนนอนออกให้หมดในท่านัง่ หอือ
ท่ายืนเป็นเวลาไม่เกิน 25 นาที
Peritoneal Equilibration Test :PET
3. ใส่น้ายา 2.5%Dextrose เข้าท้องในอัตอาเอ็ว 200
ml/min พลิกตัวท ุก 2 นาทีหอือท ุกๆ 400 ml จนคอบ
2 ลิตอ ในเวลา 10 นาที
4. ปล่อยน้ายาออกมา 200 ml กลับถ ุงน้ายา 2-3 คอัง้
- เก็บตัวอย่างน้ายา 10 ml (zero sample) แล้วปล่อย
น้ายาที่เหลือ (190 ml) คืนเข้าท้อง
Peritoneal Equilibration Test :PET
5. ที่เวลา 2 ชัว่ โมง ปล่อยน้ายาออก 200 ml กลับถ ุงน้ายา
2-3 คอัง้ เก็บตัวอย่างน้ายา 10 ml แล้วปล่อยน้ายาที่เหลือ
(190 ml) คืนเข้าท้อง (2 hr.dwell sample) พอ้อมทัง้
เจาะเลือด (clot blood) 5 ml
6. ที่เวลา 4 ชัว่ โมง ปล่อยน้ายาออกจากช่องท้องให้หมด กลับ
ถ ุงน้ายา 2-3 คอัง้ เก็บตัวอย่างน้ายา 10 ml
(4 hr.sample)
Peritoneal Equilibration Test :PET
7. ส่งตัวอย่างน้ายาและเลือด ตอวจ glucose และ
creatinine
D/Do glucose
D/P creatinine
Ultrafiltration
1.2
1.2
3500
1
1
3000
L
LA
HA
H
0.8
0.6
0.4
2500
0.8
2000
0.6
1500
0.4
1000
0.2
0.2
500
0
0
0
0
1
2
3
4
0
1
2
3
4
Twardowski et al PDI 1987
UF failure
• ใช้ น ้ายา PD ความเข้ มข้ น 4.25% ค้ างช่องท้ องไว้ 4 ชัว่ โมงแล้ วถ่าย
น ้ายาออกมาได้ กาไรน้ อยกว่า 400 มล.
• ใช้ น ้ายา PD ความเข้ มข้ น 2.5% ค้ างช่องท้ องไว้ 4 ชัว่ โมงแล้ วถ่าย
น ้ายาออกมาได้ กาไรน้ อยกว่า 100 มล.
UF failure classification
• Type I-high PET status
– Rapid loss of osmotic gradient
• Type II-low PET status
– Inadequate peritoneal surface area or membrane
sclerosis
• Type III-any PET status
-Excessive lymphatic absorption
• Type IV-any PET status
– AQP deficiency, no Na sieving
Type 2 UF failure
Type 1 UF failure
Type 3 UF failure
Type 4 UF failure
Encapsulated peritoneal sclerosis (EPS)
•
•
•
•
•
Bowel enveloped by thick fibrous tissue causing obstruction
Rare (about 2-3%) but severe
Cause: unknown
Risk: time of PD(> 8 ปี ) , peritonitis หลายครัง้
Treatment: surgery, เปลี่ยนวิธี dialysis
การรักษา
• High transporter
- ลด dwell time, เพิ่ม cycle
- เพิ่ม glucose concentration dialysate : 2.5%, 4.25%
- NIPD, DAPD, CIPD
- 7.5% Icodextrin
- Hybrid RRT: Combined HD+PD
• High average transporter
- NIPD, CIPD, TPD
- 7.5% Icodextrin
เพิ่ม volume, เพิ่ม dwell time
• Low average transporter
- High dose CAPD, long dwell time
• Low transporter
- พิจารณาเปลี่ยนวิธีการบาบัดทดแทนไตเป็ นวิธีอื่น
การรักษาภาวะน้าเกิน
1. ติดตามและเฝ้าระวังภาวะ UF fialure อย่างต่อเนื่องโดยการ
ทดสอบ PET
2. ให้ ผ้ ปู ่ วยจดบันทึกดุลน ้ายาเข้ าออก ชัง่ น ้าหนัก จดบันทึกปริมาตรน ้า
ดื่ม และตวงปริมาตรปั สสาวะทุกวัน
3. สอนให้ ผ้ ปู ่ วยสามารถวินิจฉัยภาะน ้าเกิน และแก้ ไขภาวะน ้าเกินใน
เบื ้องต้ นได้ เอง โดยเพิ่มความเข้ นข้ นของน ้ายา PD ชัว่ คราว
4. จากัดเกลือและน ้าดื่ม
5. ชะลอการเสื่อมของไต โดยหลีกเลี่บงการใช้ ยาที่มีพิษต่อไต เช่น NSAIDS,
aminoglycoside และ radiocontrast พิจารณาใช้ ยากลุม่
ACEI/ARB รักษาความดันโลหิตสูงเพื่อชะลอการเสื่อมของไต
6. หลีกเลี่ยงการใช้ น ้ายา PD ที่มีความเข้ มข้ นกลูโคสสูง เนื่องจากพบ
อุบตั ิการณ์ของ UF failure สูง เช่น Encapsulated peritoneal
sclerosis (EPS)
7. ควบคุมระดับน ้าตาลในเลือดสาหรับผู้ป่วยเบาหวานให้ อยูใ่ นเกณฑ์ปกติ
8. ให้ ยาขับปั สสาวะเพื่อเพิ่มปริ มาณปั สสาวะ
9. ระวังไม่ให้ เกิดการติดเชื ้อในช่องท้ องบ่อยครัง้ เพื่อป้องกันผลเสียระยะยาว
ต่อเยื่อบุผนังช่องท้ อง
ขอบคุณครับ