ยุคกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ

Download Report

Transcript ยุคกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ

กฎหมายเกีย่ วกับการดาเนินธุรกิจและการค้ าของเอกชน
ระหว่ างประเทศ
การซื้อขายสิ นค้ าระหว่ างประเทศ
อนุสัญญาว่ าด้ วยการซื้อขายสิ นค้ าระหว่ างประเทศ
ดร.จุมพิตา เรืองวิชาธร
วิวฒั นาการของกฎหมายวิวฒั นาการของกฎหมายเกี่ยวกับ
การดาเนินธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศ
(1) ยุคกฎหมายวาณิชย์ (Law Merchant) (ค.ศ. 500 -1500)
• เป็ นผลพวงอันเกิดจากพ่อค้ าวาณิชย์ด้วยกันเอง
• ไม่ใช่เกิดจากนักกฎหมาย
• อาทิ ประมวลกฎหมายทะเลแห่งเมดิเตอร์ เรเนียน ที่ใช้ ในการเดินเรื อทาง
มหาสมุทรแอตแลนติคด้ วย อันเป็ นรากฐานของกฎหมายทะเลของอังกฤษ
มาจนถึงปั จจุบนั
• หรื อประเพณีปฏิบตั ิของพ่อค้ าอื่น ๆ ในยุคนี ้ ก็กลายมาเป็ นหลักกฎหมาย
ธุรกิจที่สาคัญ ๆ ในปั จจุบนั เช่น กฎหมายเกี่ยวกับใบตราส่ง – ตัว๋ เงิน (Bill
of Lading) และการเช่าเรื อ (Charter-Party) เป็ นต้ น
ยุคกฎหมายวาณิ ชย์ (ต่อ)
•
•
•
•
•
มีลกั ษณะของความเป็ นสากลอยูใ่ นตัวเองและตกทอดสืบกันมานาน
เนื่องด้ วยเหตุผล 4 ประการคือ
(1) เป็ นธรรมเนียมการค้ าที่ใช้ กนั ในตลาดการค้ าเกือบทุก ๆ แห่ง
(2) เป็ นประเพณีทางทะเลซึง่ เป็ นที่ยอมรับกันทัว่ ไป
(3) มีการยอมรับอานาจศาลที่จดั ตังขึ
้ ้นมาเพื่อพิจารณาข้ อพิพาททาง
การค้ าโดยเฉพาะ
• (4) มีการปฏิบตั ิทางทะเบียนในรูปของ Notary Public
วิวฒั นาการของกฎหมายวิวฒั นาการของกฎหมายเกี่ยวกับ
การดาเนินธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศ (ต่อ)
(2) ยุคกฎหมายประเพณีทางการค้ า (Trade Usages) (ศตวรรษที่
16-17)
• ประเทศต่าง ๆ ได้ รวบรวมประเพณีทางการค้ าระหว่างประเทศเข้ าเป็ น
กฎหมายภายในของตน
• ทาให้ กฎหมายแขนงนี ้ของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันไปตาม
ลักษณะเฉพาะของกฎหมายภายในของตน
• อาทิ การจัดทา Code Napoleon (ค.ศ. 1807) ในประเทศฝรั่งเศส
• การเปลี่ยนแปลงกฎหมายวาณิชย์เป็ นคอมมอนลอว์ (Common Law)
ในประเทศอังกฤษ
ยุคกฎหมายประเพณีทางการค้ า (ต่ อ)
• การจัดทากฎหมายในส่วนพาณิชย์ คือกฎหมายตัว๋ เงินเมื่อ ค.ศ. 1848
ประมวลกฎหมายพาณิชย์เมื่อ ค.ศ. 1861 อันเป็ นที่มาของประมวลกฎหมาย
พาณิชย์ฉบับปี 1897 ในประเทศเยอรมัน
• เกิดการซื ้อขายแบบ CIF (Cost, Insurance, Freight) และ FOB
(Free on Board) และการชาระค่าสินค้ าโดยผ่านธนาคาร
(Banker’s Commercial Credit) ขึ ้นด้ วย
• ทาให้ กฎหมายพาณิชย์ภายในของนานาประเทศเกิดความแตกต่ างกันขึ ้น
• ส่งผลให้ ในยุคต่อมามีความพยายามในการปรับหลักกฎหมายในแขนงนี ้มี
ความสอดคล้ องกัน
วิวฒั นาการของกฎหมายวิวฒั นาการของกฎหมายเกี่ยวกับ
การดาเนินธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศ (ต่อ)
(3) ยุคกฎหมายการค้ าระหว่ างประเทศ (International Trade)
(ศตวรรษที่ 18 – ปั จจุบนั )
• ศตวรรษที่ 18 เป็ นต้ นมาจนกระทัง่ ปั จจุบนั นี ้
• ประเทศต่าง ๆ พยายามปรับหลักกฎหมายภายในของตนในแขนงนี ้ให้ มี
หลักเกณฑ์ที่สอดคล้ องกัน เพื่อความสะดวกในทางการค้ า
• ด้ วยการพัฒนากฎหมายพาณิชย์ภายในของประเทศต่าง ๆ ให้ กลับไปมี
ลักษณะของกฎหมายระหว่ างประเทศในยุคแรกอีก
• เป็ นผลให้ กฎหมายการค้ าระหว่างประเทศในยุคปั จจุบนั ประกอบด้ วย
ข้ อบัญญัติตา่ ง ๆ (Authoritative Texts) ที่กาหนดขึ ้นจากธรรม
เนียมประเพณีและแนวทางที่ปฏิบตั ิกนั มาเป็ นเวลานาน
• และที่จดั ทาขึ ้นโดยองค์การและสถาบันระหว่างประเทศหลาย ๆ แห่ง อาทิ
ICC, UNCITRAL, UNIDROIT ฯลฯ
ยุคกฎหมายการค้ าระหว่ างประเทศ (ต่ อ)
• ทังนี
้ ้ ประเทศต่าง ๆ ไม่วา่ อยูใ่ นระบบหรื อระบอบใด ส่วนมากได้ ยอมนา
ข้ อบัญญัติทงหลายเหล่
ั้
านี ้ไปใช้
• ทาให้ กฎหมายพาณิชย์ของแต่ละประเทศมีความคล้ ายคลึงกันมากยิ่งขึ ้น
เนื่องจาก ประเทศทังหลายต่
้
างยอมรับในหลัก
• (1) ‘ความศักดิส์ ทิ ธิ์ของสัญญา’(Sanctity of Contract)
• (2) ‘สัญญาต้ องได้ รับการปฏิบตั ิอย่างเคร่งครัด’ หรื อ ‘สัญญาต้ องเป็ น
สัญญา’(pactasuntservada)
• สรุป ประกอบด้ วย (1) นิติบญ
ั ญัติระหว่างประเทศ (International
Legislation) อันได้ แก่ อนุสญ
ั ญาต่าง ๆ (Convention) อาทิ
CISG, (2) ประเพณีทางการค้ าต่าง ๆ (Trade Usages) อาทิ
INCOTERMS, UCP - Letter of Credit
องค์ประกอบของกฎหมายเกี่ยวกับการดาเนินธุรกิจและ
การค้าระหว่างประเทศ
(1) กฎหมายภายในประเทศ (Domestic Law)
(1.1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (‘ป.พ.พ.’)
• ไม่มีการแยกอย่างชัดเจนว่าส่วนใดเป็ น‘แพ่ง’หรื อส่วนใดเป็ น ‘พาณิชย์’
• เป็ นที่เข้ าใจว่า‘เเพ่ง’ คือส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครัวเรื อน อันได้ แก่
ครอบครัวและมรดก
• แตกต่างจาก‘พาณิชย์’อันเป็ นความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐกิจ อันได้ แก่ บทบัญญัติ
ทังหลายในเรื
้
่ องเอกเทศสัญญา เช่น ซื ้อขาย เช่าทรัพย์ เช่าซื ้อ จ้ างแรงงาน ฯลฯ
(1.2) กฎหมายเฉพาะอื่น ๆ อาทิ พระราชบัญญัติวา่ ด้ วยข้ อสัญญาที่ไม่เป็ นธรรม
พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติวา่ ด้ วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544
กฎหมายภายในประเทศ (Domestic Law) (ต่ อ)
ทังหมด
้
ถือได้ วา่ เป็ นรากฐานของ ‘กฎหมายธุรกิจและการค้ า’ ของเอกชนหรื อ
รัฐที่ดาเนินการอย่างเอกชนผ่านทางรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เมื่อไรก็ตามที่ ‘ธุรกิจ’และ
‘การค้ า’ทังหลาย
้
มีความเกี่ยวข้ องกับคูค่ ้ าที่อยูต่ า่ งรัฐกับประเทศไทย โดยได้
กาหนดให้ กฎหมายไทยเป็ นกฎหมายที่ใช้ บงั คับแก่สญ
ั ญา (Governing
law/Applicable Law)
(1.3) พระราชบัญญัติวา่ ด้ วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481
- คือกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบคุ คล (Private International
Law หรื อ PIL) ตาม Slide ต่อไป
- จะนามาใช้ เมื่อไรก็ตามที่ ‘ธุรกิจ’และ‘การค้ า’ทังหลาย
้
มีความเกี่ยวข้ องกับคูค่ ้ า
ที่อยูต่ า่ งรัฐกับประเทศไทย แต่มไิ ด้ กาหนดให้ กฎหมายใดเป็ นกฎหมายที่ใช้ บงั คับ
แก่สญ
ั ญา (Governing law/Applicable Law) และมีการฟ้องคดีที่
ศาลไทย
องค์ประกอบของกฎหมายเกี่ยวกับการดาเนินธุรกิจและ
การค้าระหว่างประเทศ (ต่อ)
(2) กฎหมายระหว่ างประเทศแผนกคดีบุคคล (Private
International law / PIL)
• หรื อ ‘กฎเกณฑ์วา่ ด้ วยการขัดกันของกฎหมาย’ หรื อ Conflict of
Laws
• เป็ นกฎเกณฑ์ที่วา่ ด้ วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคลด้ วยกันในทาง
แพ่งหรื อทางพาณิชย์
• ซึง่ มีข้อเท็จจริ งที่กระทบถึงระบบกฎหมายของประเทศสองประเทศขึ ้นไป
โดยกาหนดว่าข้ อเท็จจริ งที่เป็ นปั ญหานัน้ ให้ ใช้ กฎหมายของประเทศใด
บังคับแก่คดี
• กฎเกณฑ์ดงั กล่าวของไทยส่วนใหญ่เป็ นไปตามพระราชบัญญัติวา่ ด้ วยการ
ขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481
องค์ประกอบของกฎหมายเกี่ยวกับการดาเนินธุรกิจและ
การค้าระหว่างประเทศ (ต่อ)
• (3) กฎหมายภายนอกประเทศ (Foreign Law /
International Law / Model Law)
1. กฎหมายภายในของประเทศของเอกชนคูค่ ้ า (Foreign Law)
ซึง่ อาจอยูใ่ นรูปของประมวลกฎหมาย (Code) และกฎหมายลายลักษณ์
อักษร (Statutory Law) ในรูปแบบต่าง ๆ
2. กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) ซึง่ อยูใ่ นรูป
ของอนุสญ
ั ญา (Convention) สนธิสญ
ั ญา (Treaty)
3. กฎหมายแม่แบบ (Model Law) ต่าง ๆ เช่น UNIDROIT
Principles
กฎหมายภายนอกประเทศ (Foreign Law /
International Law / Model Law) (ต่ อ)
• หากกฎหมายภายในของประเทศคูค่ ้ า ถูกกาหนดให้ เป็ นกฎหมายที่ใช้ บงั คับแก่
สัญญาหรื อกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบคุ คลดังกล่าวข้ างต้ น ได้ ชี ้ให้ กฎหมาย
นันเป็
้ นกฎหมายที่ใช้ บงั คับแก่สญ
ั ญา กฎหมายดังกล่าวจะถูกนามาปรั บใช้ แก่สญ
ั ญา
ทันที
• หากเป็ นกรณีของอนุสญ
ั ญาและสนธิสญ
ั ญาต่าง ๆ การบังคับใช้ จะมีผลก็ต่อเมื่อแต่
ละรัฐเข้ าเป็ นภาคีสมาชิก เช่น CISG
• กรณีของ Model Law เช่น UNIDROIT Principles หรื อ CISG ที่
คูส่ ญ
ั ญาทังสองฝ่
้
ายไม่ได้ อยูใ่ นรัฐภาคีของ CISG ประสงค์จะตกลงกันให้ นา CISG
มาใช้ เป็ นกฎหมายที่ใช้ บงั คับแก่สญ
ั ญาของตนนัน้ จะกระทาได้ หรื อไม่อย่างไร
เนื่องจาก CISG ไม่ใช่กฎหมายซื ้อขายภายในของรัฐใดรัฐหนึง่
• ดูเทียบเคียงกับประเทศอังกฤษ และพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.
2534 มาตรา 4 วรรค 1
UNIDROIT Principles
• UNIDROIT Principles เป็ นผลงานชิ ้นสาคัญของ UNIDROIT หรื อ The
International Institute for the Unification of Private Law
• ถูกก่อตังขึ
้ ้นโดยรัฐบาลอิตาลี เพื่อการจัดทากฎหมายเอกชนระหว่างประเทศให้ มี
ความเป็ นเอกภาพ ในปี ค.ศ. 1994
• อันเป็ นระยะเวลาภายหลังจากที่ประชาคมโลกบางส่วนได้ นา CISG มาใช้ แล้ ว จึง
ถูกออกแบบให้ มีความแตกต่างจาก CISG ในสาระสาคัญบางประการ คือ (1) อยู่
ในรูปแบบของกฎหมายแม่แบบ หรื อ Model Law ซึง่ ใครจะหยิบยกไปใช้ ก็ได้
ไม่ได้ อยูใ่ นรูปแบบของอนุสญ
ั ญา (Convention) ดังเช่น CISG และ (2)
สามารถใช้ ได้ กบั สัญญาทางการค้ าระหว่างประเทศ (International
Commercial Contract) ทุกประเภท ไม่เฉพาะสัญญาซื ้อขายสินค้ าระหว่าง
ประเทศ
• แม้ จะมีที่มาและมีความแตกต่างจาก CISG ดังกล่าว UNIDROIT
Principles ก็ไม่มีความขัดแย้ งใด ๆ กับ CISG ด้ วยสามารถนามาใช้ ในการ
ตีความและอุดช่องว่าง CISG ได้ เป็ นอย่างดี
ทฤษฎีกฎหมายและแนวปฏิบตั ิที่เกี่ยวข้อง
(1) ทฤษฎีว่าด้ วยสัญญา
• หลักกฎหมายสัญญาของประเทศไทยไทย ถือได้ วา่ เป็ นหลักตามระบบ Civil
Law ซึง่ มีรากฐานมาจากกฎหมายโรมัน (Roman Law)
• ซึง่ แตกต่างจากระบบกฎหมายอังกฤษซึง่ เป็ นระบบ Common Law ซึง่ มี
รากฐานมาจากกฎหมายวาณิชย์ของพ่อค้ า
Common Law vs Civil Law
“Less moral but more practical”
However, แม้ ทฤษฎีทางกฎหมายอาจแตกต่างกันในสาระสาคัญ แต่ในทาง
ปฏิบตั ิแล้ ว จากวิวฒ
ั นาการที่ผ่านมา ความแตกต่างของกฎหมายการค้ าระหว่าง
ประเทศกลับมีไม่มาก เนื่องจาก ทังสองระบบต้
้
องมีการปรับตัวเข้ าหากันเพื่อความ
สะดวกในการติดต่อค้ าขาย
ทฤษฎีว่าด้ วยสั ญญา (ต่ อ)
• ปั จจัยทางศีลธรรม (Moral Factor) และปั จจัยทางเศรษฐกิจ
(Economic/Business Factor) เป็ นวิวฒ
ั นาการของกฎหมายสัญญา
• ประเทศอังกฤษและประเทศในภาคพื ้นยุโรปซึง่ มีมาตรฐานทางศีลธรรมเกาะเกี่ยวอยู่กบั คริ สต์
ศาสนา กฎหมายสัญญาจึงยึดโยงอยู่กบั หลักศาสนาที่ว่า เมื่อบุคคลใดได้ ให้ คามัน่ สัญญาที่จะ
กระทาอะไรแก่บคุ คลอีกคนหนึง่ แล้ ว บุคคลนันจะต้
้ องปฏิบตั ิตามคามัน่ สัญญา
• ตังแต่
้ ศตวรรษที่ 17 เป็ นต้ นมา เมื่อมีปัจจัยทางเศรษฐกิจเข้ ามาเกี่ยวข้ อง กฎหมายสัญญาจึงมี
วิวฒ
ั นาการที่สอดคล้ องกับปั จจัยนี ้ด้ วยจนมีรูปแบบอย่างที่เป็ นอยู่ในปั จจุบนั คือ (1) มีการ
คานึงถึงการแบ่งแยกแรงงาน (Division of Labour) ตามความรู้ความชานาญของแต่
ละชุมชน (2) มีการก่อตัวและเติบโตของสถาบันเครดิตต่าง ๆ (Institution of Credit)
เช่น ธนาคารต่าง ๆ
• ถึงแม้ กฎหมายสัญญาของไทยในปั จจุบนั มีที่มาจากระบบกฎหมายของภาคพื ้นยุโรป หรื อ
Civil Law ดังกล่าวแต่อิทธิพลของกฎหมายสัญญาอังกฤษที่อยู่ในระบบ Common
law ซึง่ ประเทศไทยมีความคุ้นเคยอยู่ จึงต้ องควรมีความรู้เกี่ยวกับหลักกฎหมายอังกฤษด้ วย
อาทิ Natural Law, Laissez – Faire, Freedom of Contract, Sanctity
of Contract, Mutual Agreement, Free Choice
ทฤษฎีและแนวปฏิบตั ิที่เกี่ยวข้อง (ต่อ)
(2) สัญญาสาเร็จรูป
• Freedom of Contract vs Bargaining Power
• แบบสัญญามาตรฐาน’ (Standard - Form Contract)
• นักนิตศิ าสตร์ ไทยเลือกใช้ คาว่า ‘สัญญาสาเร็จรูป’ แทน ‘สัญญา
มาตรฐาน’
• Exemption Clause
• พระราชบัญญัติวา่ ด้ วยข้ อสัญญาที่ไม่เป็ นธรรมด้ วยเช่นกันในปี พ.ศ.
2540