ทฤษฎี แนวคิด ปรัชญา และอุดมการณ์ทางการเมือง

Download Report

Transcript ทฤษฎี แนวคิด ปรัชญา และอุดมการณ์ทางการเมือง

ทฤษฎี แนวคิด ปรัชญา
และอุดมการณ์ ทางการเมือง
ทฤษฎีการเมือง (Political Theory)
คือ ชุ ดของคาอธิบายทีม่ ตี ่ อระบอบการเมือง ปรากฏการณ์
ทางการเมือง ภายใต้ หลักของเหตุผล ทีผ่ ่ านการพิสูจน์ หรือทดลอง
มาแล้ว
แนวคิดทางการเมือง (Political Thoughts)
คือ ความคิดความเข้ าใจในเรื่องการเมืองของบุคคลหนึ่ง หรือ
หลายคน ที่แสดงออกมาเพือ่ ทาความเข้ าใจว่ าสิ่ งๆ นั้นคืออะไร
และควรเป็ นไปอย่ างไร
ปรัชญาทางการเมือง (Political Philosophy)
เป็ นวิชาที่วา่ ด้วย ความคิดเกี่ยวกับตีความ การสร้าง และกาหนดสิ ทธิ
หน้าที่ ตลอดถึงความสัมพันธ์ตามแบบฉบับในการดาเนินชีวิตร่ วมกันของ
มนุษย์
อุดมการณ์ ทางการเมือง (Political Ideologies)
คือ ความเชื่อมัน่ ที่มีต่อระบอบการเมือง หรื อต่อผูน้ า ซึ่งส่ งผลกระทบ
ต่อค่านิยม และวิถีชีวิตความเป็ นอยูข่ องคน หรื อเป็ นระบบความคิด ความ
เชื่อ หรื อความศรัทธาของกลุ่มสังคมใดสังคมหนึ่งที่มีต่อระบบการเมือง การ
ปกครอง ซึ่งระบบความเชื่อต่างๆ นี้จะสะท้อนให้เห็นถึงรู ปแบบของ
การเมือง หลักการในการปกครอง วิธีดาเนินการปกครองของสังคมนั้น
ชัยอนันต์ สมุทรวณิ ช อธิบายว่า อุดมการณ์เป็ นเรื่ องของความ
เชื่อโดยไม่จาเป็ นว่าความเชื่อนั้นจะเป็ นความเชื่อที่ถูกต้องด้วย
เหตุผล หรื อสอดคล้องกับสภาพความเป็ นจริ งเสมอไป แต่ความ
เชื่อ (belief) โดยทัว่ ๆ ไปอาจไม่มีลกั ษณะเป็ นอุดมการณ์ก็
ได้ ความเชื่อที่จะเรี ยกว่าเป็ นอุดมการณ์น้ นั จะต้องเป็ นระบบ
ความคิดที่มีลกั ษณะสาคัญดังต่อไปนี้
1.
2.
3.
4.
ความเชื่อนั้นได้รับการยอมรับร่ วมกันในกลุ่มชน
ความเชื่อนั้นจะต้องเกี่ยวกับเรื่ องที่มีความสาคัญต่อกลุ่ม
ชน เข่น หลักเกณฑ์ในการดาเนินชีวติ
ความเชื่อนั้นจะต้องเป็ นความเชื่อที่คนหันเข้าหา และใช้
เป็ นแนวทางในการประพฤติปฏิบตั ิตวั และดาเนินชีวติ
อย่างสม่าเสมอและในหลายๆโอกาส
ความเชื่อนั้นต้องมีส่วนช่วยในการยึดเหนี่ยวในกลุ่มเข้า
ไว้ดว้ ยกัน หรื อช่วยสนับสนุนหรื อให้คนนามาใช้เป็ น
ข้ออ้างในการทากิจการต่างๆ ได้
อุดมการณ์ มีวตั ถุประสงค์ อยู่ 3 ประการ
1.
2.
3.
เพื่อธารงรักษาระบบและสภาพการณ์เดิมของ
สังคมไว้
เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในตัวระบบและ
การจัดระเบียบสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
เพื่อธารงรักษาไว้ซ่ ึ งสภาพการณ์ใหม่อนั เป็ นผล
จากการเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้น
ลักษณะบางประการของอุดมการณ์
อุดมการณ์ของบุคคลอาจเกิดมาจากปั จจัยหลายๆประการ
เช่น การศึกษา การเลี้ยงดูจากครอบครัว การกล่อมเกลา
ทางสังคม ฯลฯ
 สาหรับอุดมการณ์ทางการเมือง (political ideology) เป็ น
ความเชื่อ แนวคิดและวิธีในการนามาปฏิบตั ิเพื่อให้เกิดผล
ทางด้านการเมืองทั้งกระบวนการ การใช้อานาจของรัฐและ
ความชอบธรรมแก่บทบาทของรัฐบาล

การปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองมักจะใช้วิธีการจูงใจ
และย้าเตือนผ่านทางระบบการศึกษาทั้งทางตรงและ
ทางอ้อม การใช้ระบบการส่ อสารมวลชน หรื อวิธีใดๆก็ได้
ที่ทาให้ประชาชนยอมรับอย่างค่อยเป็ นค่อยไป
 อุดมการณ์ทางการเมืองและลัทธิ ทางการเมืองจะมี
ความหมายคล้ายคลึงกันจนอาจกล่าวได้วา่ เป็ นสิ่ งเดียวกัน

หน้ าทีแ่ ละประโยชน์ ของอุดมการณ์ ทางการเมือง
1. อุดมการณ์ทางการเมืองเป็ นตัวกาหนดบทบาทของบุคคล
ในระบบสังคมและการเมืองพร้อมทั้งวางแนวทางในการประพฤติ
ปฏิบตั ิในวิถีของระบบนอกจากนั้นอุดมการณ์ทางการเมืองยังทา
หน้าที่นามาซึ่งความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวของมวลสมาชิกอีกด้วย
2. ทาให้ระบบการเมือง สังคมและเศรษฐกิจเป็ นที่ยอมรับ
ของสมาชิกเพราะว่าในการคงอยูข่ องระบบสังคมจะขึ้นอยูก่ บั การ
ยอมรับของสมาชิกซึ่งอุดมการณ์ทางการเมืองจะทาหน้าที่ดงั กล่าว
3. อุดมการณ์ทางการเมืองทาหน้าที่เป็ นเครื่ องมือในการ
ระดมพลเพื่อจุดมุ่งหมายในทางการเมืองหรื อการพัฒนาประเทศ
4. เป็ นการใช้พยากรณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับระบบสังคม
เศรษฐกิจและการเมืองในอนาคตซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จริ งหรื อเป็ น
ลักษณะที่เพ้อฝัน
แม้วา่ อุดมการณ์ทางการเมืองจะมีอยูห่ ลายรู ปแบบแต่วา่
รู ปแบบที่จะศึกษาจะเป็ นรู ปแบบที่มีอิทธิพลอยูใ่ นยุคปัจจุบนั ก็คือ
เสรี นิยม สังคมนิยมและประชาธิปไตย
ประเภทของอุดมการณ์ ทางการเมือง
กลุ่มที่ 1 เน้นเรื่ องการใช้อานาจรัฐ
1. เสรีนิยม (Liberalism) หมายถึง ความเชื่อและหลักในการปฏิบตั ิ
เพื่อให้เข้าถึงเป้ าหมายสูงสุ ดก็คือ “การรักษาเสรี ภาพของบุคคลให้
กว้างขวางมากที่สุด” เสรี นิยมมีจุดเริ่ มต้นสาคัญในศตวรรษที่ 17
โดยจอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาชาวอังกฤษ
ลัทธิเสรี นิยมเป็ นลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจที่สาคัญที่ได้รับการ
ยอมรับไปทัว่ โลกซึ่งลัทธิเสรี นิยมนั้นยังมีรูปแบบที่แตกต่างภายใน
ตัวเองอีกด้วย
เสรี นิยมหมายถึง ความเชื่อและหลักในการปฏิบตั ิเพื่อให้เข้าถึง
เป้ าหมายสูงสุ ดก็คือ “การรักษาเสรี ภาพของบุคคลให้กว้างขวางมาก
ที่สุด”
ลัทธิเสรี นิยมมีตน้ กาเนิดมาจากวิวฒั นาการและทัศนะคติต่างๆของ
มนุษย์ที่มีต่อสิ ทธิและเสรี ภาพ รวมทั้งการสะสมปัจจัยต่างๆทั้งความ
เจริ ญ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่ช่วยให้ลทั ธิน้ ีมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
สาหรับอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเสรี นิยมได้เริ่ มก่อตัวขึ้นในราว
ศตวรรษที่ 17-18 ที่ประเทศอังกฤษ
ในระยะเริ่ มปฏิรูปแนวคิดนี้มีความเชื่อที่เกิดขึ้นใหม่วา่ บุคคลมี
พลัง มีความสามารถในตัวเองและสามารถรับผิดชอบตัวเองได้
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลังยุคปฏิรูปยังช่วยให้
อุดมการณ์เสรี นิยมมีความมัน่ คงยิง่ ขึ้นด้วยเหตุผลที่วา่
1. เกิดสงครามขึ้นหลายครั้ง
2. นโยบายรัฐชาติสมัยใหม่
3. ชนชั้นนาในสังคมมีแนวคิดที่เป็ นมนุษย์ธรรมมากขึ้น
แนวคิดและหลักการของอุดมการณ์เสรี นิยมได้มีนกั คิดหลายท่านที่
ได้ให้แนวคิดและหลักการไว้ ซึ่งสามารถสรุ ปหลักการที่สาคัญๆได้
ดังต่อไปนี้
1. ให้คุณค่าในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี
2. มีความเชื่อถือและยึดมัน่ ว่าเสรี ภาพเป็ นสิ่ งที่สาคัญและสามารถ
นาไปใช้ได้
3. พยายามรักษานโยบายหรื อสถาบันต่างๆในการรักษาและ
ปกป้ องสิ ทธิเสรี ภาพส่ วนบุคคล
4. เสรี นิยมจะให้ความสาคัญต่อบุคคลแต่กย็ งั สนับสนุนความคิด
แบบพหุนิยม
1.1 เสรีภาพส่ วนบุคคล  เน้ นปัจเจกบุคคล
1.2 ธรรมชาติของมนุษย์  เชื่อว่ ามนุษย์ เป็ นคนดีมีเหตุผล
1.3 เหตุผล  ให้ ความสาคัญต่ อเหตุผล
1.4 ความก้าวหน้ า  ให้ ความสาคัญกับการพัฒนา
1.5 ความเท่ าเทียมกัน
1.6 ความเป็ นสากล  ใช้ ได้ ทั่วโลก
1.7 รัฐบาล  ต้ องมาจากประชาชน
1.8 เสรีภาพทางเศรษฐกิจ  รัฐต้ องอานวยความสะดวกเพือ่
กระตุ้นเศรษฐกิจ
2. อุดมการณ์ ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย (Democracy) มีรากศัพท์มาจากภาษากรี ก 2 คาก็คือ
“demos” ที่นิยมแปลกันว่า “ประชาชน” และ “Kratos” ที่หมายถึงอานาจ
และการปกครอง
สาหรับบางคนได้เรี ยนรู ้คาว่าประชาธิปไตยมาจากประธานาธิบดี
อับราฮัม ลินคอล์น ที่ท่านได้กล่าวว่าประชาธิปไตยคือ “การปกครอง
ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน”
ประชาธิปไตยในฐานะอุดมการณ์ทางการเมืองรู ปแบบหนึ่งเกิดขึ้น
ในครึ่ งหลังของคริ สตวรรษที่ 18 เมื่อเกิดสิ่ งที่เรี ยกว่า “การเมืองแบบที่
ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง”
โดยเฉพาะเมื่อเกิดการปฏิวตั ิอเมริ กาโดยในครั้งนั้นได้รับ
อิทธิพลจากแนวคิดเรื่ องสัญญาประชาคมของยุโรปที่ได้รับการ
เผยแพร่ จากนักคิดชาวอเมริ กนั ที่ชื่อ โทมัส เจฟเฟอร์สนั
ซึ่งเขาได้มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับจอห์น ล็อค นักปราชญ์ที่
วางรากฐานแนวคิดของเสรี นิยมในประเทศอังกฤษที่เชื่อว่าโดย
ธรรมชาติแล้วมนุษย์จะมี “เสรี ภาพ มีความเสมอภาค และเป็ น
อิสระ”
ซึ่งสังคมการเมืองที่สร้างขึ้นใหม่ตามแนวความคิดของเจฟ
เฟอร์สันจะต้องมีลกั ษณะเป็ นประชาธิปไตยที่มีปัจจัยหรื อ
องค์ประกอบที่จาเป็ นอย่างน้อย 4 ประการด้วยกันก็คือ
1. การศึกษาสาธารณะ
2. การมีส่วนร่ วมทางการเมือง
ปัจจัยหรื อองค์
3. ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ
ประกอบ
4. การมีตวั แทนจาก “อภิชนตามธรรมชาติ”
สาหรับหลักการของอุดมการณ์ประชาธิปไตยมีอยูม่ ากมายแต่ที่
หลักการที่สาคัญๆที่จะกล่าวถึงก็คือ
1. อานาจเป็ นของประชาชน
2. สิ ทธิ เสรี ภาพ และความเสมอภาคของปัจเจกบุคคล
3. การปกครองโดยเสี ยงส่ วนใหญ่
4. รัฐบาลที่เปิ ดเผยและตรวจสอบได้
5.สาธารณะประโยชน์
ประเทศไทยเป็ นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยใน
ระบบรัฐสภาโดยมีพระมหากษัตริ ยเ์ ป็ นประมุข แต่วา่ อุดมการณ์ทาง
การเมืองแบบประชาธิปไตยของประเทศยังมีความเข้ม แข็งน้อยมาก
สาหรับจุดที่ตอ้ งพิจารณาก็คืออุดมการณ์ทางการเมืองมีอยู่ 2
รู ปแบบด้วยกันก็คือ
รู ปแบบแรกเป็ นอุดมการณ์ทางการเมืองที่สร้างความเร้าใจและปลุก
ความตื่นตัวในการเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกันเรี ยกได้วา่ เป็ นแบบ “passive
ideology”
รู ปแบบที่สองก็เป็ นรู ปแบบที่ทาหน้าที่ในการปลุกเร้าใจเช่นเดียว
กันแต่ในขณะเดียวกันก็ยงั เป็ นการอธิบายและให้เหตุผลรวมทั้งเป็ นการ
อธิบายภาพในอนาคตที่จะเกิดขึ้นแก่มวลชนอีกด้วยซึ่งเป็ นอุดมการณ์
แบบ “active ideology”
ซึ่งประเทศไทยยังอยูใ่ นรู ปแบบแรกเพราะฉะนั้นจึงควรที่จะมีการ
ผสมผสานระหว่างรู ปแบบแรกและรู ปแบบที่สองเข้าด้วยกัน
โดยการกล่าวถึงแนวทางในการปฏิบตั ิ หลักการต่างๆ รวมทั้ง
บรรยายภาพในอนาคตที่จะเกิดขึ้นให้กบั บุคคลและสังคมได้ทราบ
ร่ วมกันเพราะถ้ามีแต่การปลุกเร้าอย่างเดียวโดยไม่มีแก่นสารในการ
ปฏิบตั ิสิ่งดีๆที่ตอ้ งการให้เกิดย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
3. อนุรักษ์ นิยม (Conservatism)

แนวคิดอนุรักษ์นิยมมักถือกันว่าเป็ นแบบ “หัวเก่า” หรื อ
“หัวโบราณ” คือชอบสภาวะเดิม และยึดถือขนบธรรมเนียมเก่าๆ
อย่างมัน่ คง อุดมการณ์น้ ีตรงกันข้ามกับพวกเสรี นิยม พวกเสรี นิยม
มักจะเรี ยกพวกอนุรักษนิยมว่า “คนที่ไม่เชื่อว่าจะมีอะไรที่ควรทา
เป็ นครั้งแรก” พวกอนุรักษ์นิยมได้รับชื่อว่าเป็ นพวกฝ่ ายขวา พวก
ปฏิกิริยา (reactionary) พวกระมัดระวัง (cautions) ทางสายกลาง
(moderate) และเชื่องช้า (slow) ตามประวัติศาสตร์ พวก
อนุรักษนิยมเกิดขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็ นการต่อต้าน
อิทธิพลของการปฏิวตั ิฝรั่งเศส
3.1 เน้ นความมีระเบียบและความมีเสถียรภาพ
3.2 โดยธรรมชาติมนุษย์ มีแก่ นแท้ ทไี่ ม่ ดี มีความชั่วร้ าย
3.3 ให้ ความสาคัญกับประสบการณ์ มากกว่ าเหตุผล
3.4 ให้ มีการเปลีย่ นแปลงแบบค่ อยเป็ นค่ อยไป
3.5 เน้ นเสรีภาพมากกว่ าความเสมอภาค
3.6 เน้ นความหลากหลายมากกว่ าสากลนิยม
3.7 เน้ นเสรีภาพแต่ รัฐบาลยังเป็ นสิ่ งที่จาเป็ น รัฐบาล
ควรให้ เสรีภาพแก่ เอกชน


ในศตวรรษที่ 20 อุดมการณ์อนุรักษนิยมมีความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง
อย่างมาก ถึงแม้วา่ แนวความคิดในเรื่ องหลักๆ จะยังคงเหมือนเดิม แต่
เรื่ องแนวคิดเรื่ องวิถีทางเศรษฐกิจของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป พวก
อนุรักษนิยมใหม่ (neo-conservatism) จะมีแนวคิดคล้าย
พวกเสรี นิยมเก่าในเรื่ องทางด้านเศรษฐกิจ โดยต้องการให้รัฐบาลถูก
จากัดอานาจในการเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบนั ทั้งพวกอนุรักษนิยมใหม่และพวกเสรี นิยมใหม่มีความคาบเกี่ยว
กันในหลายด้าน แม้กระทัง่ ในคนๆ เดียวกัน ในบางกรณี อาจเป็ น
อนุรักษนิยม ในบางกรณี อาจเป็ นเสรี นิยม อุดมการณ์ท้ งั สองประการจึง
ไม่สามารถถูกเรี ยกได้วา่ อยูท่ ี่ใดที่หนึ่งตลอดไป มันได้ถูกนามาใช้อธิบาย
แนวความคิดของบุคคลหรื อกลุ่มบุคคลต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
4. ฟาสซีสม์ (Fascism)

ฟาสซิ สม์ถือกาเนิดในอิตาลีในคริ สต์ศตวรรษที่ 20 โดยกลุ่ม
การเมืองที่รวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ในการยุติความเป็ น
กลางของอิตาลีในสงครามโลกครั้งที่ 1 และสนับสนุนให้
อิตาลีเข้าร่ วมสงคราม แม้วา่ ในตอนแรกกลุ่มนี้จะไม่มี
เป้ าหมายในการก่อตั้งองค์กรก็ตาม แต่เบนิโต มุสโสลินี
(Benito Mussolini) ปัญญาชนสังคมนิยมก็ได้กลายเป็ น
สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของอุดมการณ์ฟาสซิ สม์ในอิตาลี

ฟาสซิ สม์เป็ นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เพิม่ ประสิ ทธิ ภาพใน
ทางการผลิตมากที่สุดภายในเวลาที่นอ้ ยที่สุด เพราะภายใต้
ฟาสซิ สม์ สังคมจะดาเนินไปพร้อมๆ กันภายใต้จุดมุ่งหมาย
เดียวกัน ไม่มีใครคัดค้านการนาของผูน้ า ในแง่หนึ่งฟาสซิ สม์
จึงเป็ นอุดมการณ์ที่อนั ตราย เพราะไม่มีฝ่ายใดจะช่วยถ่วงดุล
การใช้อานาจของผูน้ าไว้ได้เลย ส่ วนความหมายของคาว่า
ฟาสซิ สม์ (fasism) นั้น ถูกนามาใช้จากศัพท์ลาตินว่า Fasces
ซึ่ งแปลว่า การผูกไว้ดว้ ยกัน แต่ใช้ในความหมายว่า อานาจ
ที่มาจากความสามัคคี
หลักการสาคัญ
4.1 รัฐมีอานาจเหนือปัจเจกชน
4.2 เน้ นความเป็ นชาตินิยม
4.3 ต่ อต้ านเสรีนิยม
4.4 ชื่นชอบลัทธิทหาร ส่ งเสริมแสนยานุภาพกองทัพ
4.5 เชิดชู ผู้นา ปกครองโดยระบอบเผด็จการ
4.6 ต่ อต้ านคอมมิวนิสต์
กลุ่มที่ 2 เน้นเรื่ องเศรษฐกิจ
1. ทุนนิยม (Capitalism)
ลัทธิทุนนิยมเป็ นระบบเศรษฐกิจ (ไม่ใช่ระบบการเมือง)
ที่เกิดขึ้นและพัฒนามาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 องค์ประกอบ
ของระบบทุนนิยมที่จะกล่าวต่อไปนี้ได้ปรากฏอยูใ่ นผลงาน
ของอาดัม สมิท (Adam Smith) ที่เขียนเอาไว้ในหนังสื อเรื่ อง
Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of
Nations หรื อเป็ นที่รู้จกั กันในนาม The Wealth of Nations
ลัทธิน้ ีเกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้าน ลัทธิ พานิชยนิยม
(mercantilism) คือระบบเศรษฐกิจที่อยูภ่ ายใต้ทฤษฎีความ
มัน่ คงของรัฐขึ้นอยูก่ บั ทองคาเงิน และโลหะอื่นๆ ซึ่ง
รัฐบาลจะเป็ นผูค้ วบคุมระบบเศรษฐกิจทั้งหมดเพื่อการหา
มาซึ่งโลหะมีค่า ซึ่งทั้งนี้ความมัง่ คัง่ จะกระจุกอยูท่ ี่รัฐบาล
และพันธมิตรของรัฐบาลเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น
หลักการสาคัญ
1.1 เป็ นระบบเศรษฐกิจไม่ใช่ระบอบการเมือง
1.2 เน้นทรัพย์สินส่ วนบุคคล เอกชนสามารถมีกรรมสิ ทธิ์ ใน
ทรัพย์สิน
1.3 ส่ งเสริ มการแข่งขันอย่างเสรี (ระบบตลาด)
1.4 มีความเป็ นอิสระในการบริ หารงาน
2. สั งคมนิยม (Socialism)
สั งคมนิยมหมายถึง ระบบเศรษฐกิจการเมืองทีม่ ีแนวคิดใน
การสนับสนุนให้ สังคมชุมชนครอบครองกรรมสิ ทธิ์ส่วนรวม
ร่ วมกัน เป็ นระบบเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่ วนกลางเพือ่
ผลประโยชน์ ของชุมชนโดยส่ วนรวม
ความเป็ นมาของแนวคิดสั งคมนิยมไม่ อาจจะทราบถึงที่มา
ที่แน่ ชัดได้ ซึ่งนักคิดบางท่ านก็ได้ กล่ าวว่ าการดารงชีวติ แบบอุดม
คติในหนังสื อของเพลโตเรื่อง “The Republic” นั้นเป็ นลักษณะ
ของสั งคมนิยม
อย่างไรก็ตามสังคมนิยมในฐานะที่เป็ นระบบของเศรษฐกิจ
และสังคมเริ่ มปรากฏอย่างชัดเจนจากการต่อต้านข้อเสี ยของระบบ
ทุนนิยมแบบอุตสาหกรรมมาใช้ในทศวรรษที่ 19
นักคิดที่ต่อต้านแนวคิดของสานัก Classic ได้เสนอแนวคิด
ที่วา่ ต้องมีการคานึงถึงสังคมส่ วนรวมให้มากขึ้นลดการแข่งขัน
และแทนที่การแข่งขันด้วยการร่ วมมือกัน
นักเศรษฐศาสตร์ที่ชื่อ เจโลม บลังกิ ได้เรี ยกนักสังคมกลุ่มนี้
ว่าสังคมนิยมยูโธเปี ย (Utopia Socialism)
คานีถ้ ูกนามาใช้ เป็ นครั้งแรกโดยโรเบิร์ต โอเวน (Robert
Owen) ชาวอังกฤษ เป็ นเจ้ าของโรงงานอุตสาหกรรมและ
ได้ กลายเป็ นนักปฏิรูปสั งคมและตั้งขบวนกาสหกรณ์ ขนึ้
เขาเสนอว่ ากระบวนการผลิตและกิจการการผลิตควรให้
ผู้ใช้ แรงงานร่ วมกันเป็ นเจ้ าของ ซึ่งแนวคิดนีไ้ ด้ ถูกนาไปใช้
ในฝรั่งเศส และต่ อมาก็แพร่ หลายไปในยุโรปและ
สหรัฐอเมริกา ระบบสั งคมนิยมนีก้ ค็ อื ระบบนีถ้ ือได้ ว่าเกิด
ขึน้ มาเพือ่ คัดค้ านระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
เริ่ มมีการใช้คาว่าสังคมนิยมเป็ นครั้งแรกในภาษาอิตาเลี่ยน
ในปี ค.ศ.1803 ซึ่งความจริ งแล้วความหมายของสังคมนิยม
ไม่ได้หมายถึงการโอนกิจการต่างๆเป็ นของรัฐ
อย่างไรก็ตามที่มาของสังคมนิยมอาจจะมาจากสาเหตุ
กว้างๆ รวมทั้งถือเอาประเทศอังกฤษเป็ นประเทศแรกที่
สังคมนิยมได้ก่อตัวอย่างชัดเจนโดยมี โรเบิร์ต โอเว่น เป็ น
คนแรกที่นาอุดมการณ์สงั คมนิยมมาใช้
สรุปหลักการทีส่ าคัญของสั งคมนิยม
1. หลักเหตุผลและหลักมนุษยธรรม
2. หลักจริ ยธรรมและหลักอุดมคติ
3. หลักของเฟเบียน
4. หลักเสรี นิยม
2.1 เน้นการวางแผนจากส่ วนกลาง
2.2 เอกชนจะได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจตามส่ วนเฉลี่ย
ของผลงาน
2.3 กิจการขนาดกลาง – ขนาดใหญ่  รัฐบาลเป็ น
เจ้าของ โดยเฉพาะกิจการที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคของ
ประชาชน
3. คอมมิวนิสต์ (Communism)
ผูว้ างรากฐานแห่งอุดมการณ์คอมมิวนิสต์คือ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl
Marx)
3. คอมมิวนิสต์ (Communism)

ผูว้ างรากฐานแห่งอุดมการณ์คอมมิวนิสต์คือ คาร์ล มาร์ กซ์ (Karl
Marx) เป็ นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ในระหว่างที่เป็ นนักศึกษา
มาร์กซ์ได้คุน้ เคยกับความคิดของ ฟรี ดริ ค เฮเกล (Friedrich
Hegel) เฮเกลได้รับการยกย่องว่าเป็ นผูส้ ถาปนาสานักปรัชญา
อุดมคตินิยมยุคใหม่ (Modern Idealism) ซึ่ งถือว่าความคิดเป็ น
โครงสร้างส่ วนล่าง ซึ่ งมีอิทธิ พลต่อความเป็ นไปของโครงสร้าง
ส่ วนบน อันได้แก่ สภาวะทางเศรษฐกิจ สภาวะทางสังคมและ
วัฒนธรรม รวมทั้งสภาวะทางด้านการเมืองการปกครอง

แต่มาร์ กซ์ซ่ ึ งได้รับอิทธิ พลจากแนวคิดบางอย่างของเฮเกิลกลับ
มองภาพกลับกัน กล่าวคือ มาร์กซ์เห็นว่า สภาวะทางวัตถุต่างๆ
โดยเฉพาะเรื่ องราวทางเศรษฐกิจมีลกั ษณะเป็ น โครงสร้าง
ส่ วนล่างซึ่ งมีอิทธิ พลต่อความคิดและความเชื่อนานาประการอัน
เป็ นโครงสร้างส่ วนบน

สาระสาคัญเกี่ยวกับลัทธิ คอมมิวนิสต์หรื อทฤษฎีมาร์กซิสต์
(Marxist) คือ “วิภาษวิธีทางวัตถุ” หรื อ “วัตถุนิยมเชิงวิภาษ”
หรื อ “วัตถุนิยมวิภาษวิธี” (Dialectical Materialism) ซึ่งมี
ความเห็นว่า สิ่ งที่มีอิทธิพลเหนือชีวติ มนุษย์มากที่สุด คือ
“วัตถุ” ส่ วน “จิต” หรื อ “ความคิด” จะได้รับอิทธิพลจาก
สภาวะทางวัตถุ ดังนั้นความดีหรื อความชัว่ ในทฤษฎีของ
มาร์ กซ์จะตีค่าออกมาในรู ปของวัตถุ

ลัทธิวตั ถุนิยมนี้ถือว่าสิ่ งที่ทาให้มนุษย์มีความสุ ขก็คือ การมี
ปัจจัยทางเศรษฐกิจดี ดังนั้นสภาพทางเศรษฐกิจจึงมีบทบาท
มากที่สุดในชีวติ มนุษย์ ส่ วนอารมณ์ ความรู้สึก ความรัก
จินตนาการ ปรัชญา ความเชื่อ หรื อศรัทธามิได้มีความหมาย
สาคัญต่อมนุษย์ในสายตาของลัทธิน้ ี ซึ่งจะตรงกันข้ามกับ
หลักการของศาสนาต่างๆ ที่เน้น “จิตนิยม” ไม่ใช่ “วัตถุ
นิยม”

1.
2.
3.
มาร์กซ์ใช้ศพั ท์ “วิภาษวิธี” ตามการใช้ของเฮเกิล ที่หมายถึง การ
อธิบายการเปลี่ยนแปลงหรื อปรากฎการณ์ต่างๆ โดยกระบวนการ
3 อย่าง ดังนี้ คือ
Thesis ได้แก่ สิ่ งที่มีหรื อเป็ นอยูแ่ ล้ว
Antithesis ได้แก่ สิ่ งที่ตรงกันข้ามหรื อขัดแย้งกับสิ่ งที่มีหรื อเป็ นอยู่
แล้ว
Synthesis ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันของ 2 สิ่ งแรก
ลาดับขั้นของการเปลี่ยนแปลงสู่สงั คมคอมมิวนิสต์
1) การปฏิวตั ิอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดระบบทุนนิยม
2) ต่อมาเกิดความสานึกร่ วมกันของชนชั้นกรรมชีพ ได้ทาการปฏิวตั ิ
3) ได้มีการก่อตั้งรัฐบาล โดยพรรคคอมมิวนิสต์
4) รัฐบาลและรัฐจะสลายตัวไป  สังคมอุดมคติ
จุดประสงค์ของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์คือ มุ่งก่อตั้งสังคมไร้ชนชั้น โดยที่
ปั จจัยการผลิต การกระจายจ่ายปั น และการแลกเปลี่ยนทุกชนิดจะเป็ นของ
ประชาคมรัฐ

มาร์กซ์เขียนหนังสื อเรื่ อง ถ้ อยแถลงแห่ งคอมมิวนิสต์ หรื อ
คำประกำศแห่ งคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto)
เขียนร่ วมกับเพื่อนสหายของเขาคือแองเกลส์ ซึ่งหนังสื อ
เล่มนี้นบั ได้วา่ มีอิทธิพลต่ออุดมการณ์และขบวนการ
คอมมิวนิสต์และมีอิทธิ พลต่อการก่อตัวของการปฎิวตั ิใน
รัสเซียในปี 1917
ในถ้ อยแถลงแห่ งคอมมิวนิสต์ มีนโยบายระบุไว้ 8 ข้ อ คือ
1.
2.
3.
4.
การยึดที่ดินเป็ นของรัฐและการใช้ค่าเช่าจากที่ดิน
เหล่านั้นเพื่อเป็ นค่าใช้จ่ายของรัฐระหว่างที่ยงั ไม่บรรลุ
ความเป็ นสังคมคอมมิวนิสต์
ภาษีเงินได้เก็บในอัตราส่ วนที่สูงขึ้นเมื่อมีรายได้สูงขึ้น
หรื อที่เรี ยกว่าภาษีกา้ วหน้า (progressive tax)
ยกเลิกสิ ทธิในมรดก
ให้มีศูนย์กลางสิ นเชื่อ โดยการจัดตั้งธนาคารของรัฐ
5.
6.
7.
8.
กิจการขนส่ งเป็ นของรัฐ
ให้รัฐเป็ นเจ้าของโรงงานมากยิง่ ขึ้นและให้มีการแบ่งสรร
ที่ดินใหม่
ให้เป็ นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องทางาน
ให้มีการศึกษาของรัฐแก่ทุกคนและไม่ให้มีการใช้
แรงงานเด็ก
แนวคิด เลนิน (Leninism)
1) ต้องปฏิวตั ิในแนวทางวิทยาศาสตร์
2) ในกระบวนการปฏิวตั ิตอ้ งอาศัยผูน้ าในการโค่นล้มนายทุน
แนวคิด สตาลิน (Stalinism)
1) ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน
2) มุ่งให้โซเวียตทาสงครามเพื่อขยายอาณาเขต
แนวคิด ลัทธิเหมา (Maoism)
มีแนวทางการปฏิวตั ิจีนไปเป็ นคอมมิวนิสต์แบบก้าวกระโดด
จากกสิ กรรม  คอมมิวนิสต์ โดยข้ามอุตสาหกรรมและสังคมนิ ยม