รายละเอียดเพิ่มเติม

Download Report

Transcript รายละเอียดเพิ่มเติม

การเป็ นผูบ้ ริหาร / ผูน้ า
รศ.ดร.ประพันธ์ศริ ิ สุเสารัจ
ภาควิชาหลักสูตรและการสอน
คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
โทร 0816488864
[email protected]
กรอบแนวคิดในการบรรยาย
1.
2.
3.
4.
5.
คุณสมบัตขิ องนักบริหาร
ผูน้ า ความหมายของผูน้ า
ลักษณะของผูน้ าที่ดี และที่ไม่ดี
ตรวจสอบลักษณะผูน้ า
ผูน้ าการเปลี่ยนแปลง
10 ยุทธการเติมนวัตกรรมใหม่ใส่องค์กร
สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่และนาเสนอผลงานกลุม่
การสัมมนา (Seminar)
• หมายถึง การร่วมกันศึกษาค้นคว้าในหัวข้อเรื่องใด
เรือ่ งหนึ่งโดยมีผทู ้ รงคุณวุฒิหรือผูม้ ีความรูใ้ นเรือ่ ง
นั้นๆ เป็ นผูใ้ ห้คาแนะนา โดยผูเ้ ข้าสัมมนาจะต้อง
ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆจากแหล่ง
ต่างๆเพื่อนาสิ่งที่ศึกษาค้นคว้ามาอภิปรายแลกเปลี่ยน
ความคิดเห็นกันในที่ประชุมสัมมนา
จุดประสงค์การสัมมนา
• เพื่อกาหนดปั ญหา
• เพื่อสารวจปั ญหา
• เพื่อปรึกษาหารือ
• เพื่อแลกเปลี่ยนผลงาน
• เพื่อพิจารณาหาข้อสรุป
การดาเนินการสั มมนา
หัวหน้ าหรือผู้ทรงคุณวุฒิ
•
•
•
•
•
•
•
มีความรูก้ ว้างขวาง
สามารถถ่ายทอดความรูส้ ึกได้ดี
สามารถดาเนินการสัมมนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วางแผนการสัมมนา
เริ่มสัมมนาตามเวลาที่กาหนด
ช่วยเหลือผูส้ มั มนาเลือกหัวข้อในการสัมมนา
ช่วยเหลือผูส้ มั มนาในการจัดเตรียมผลงานเพื่อเสนอต่อที่
ประชุม
• เป็ นผูน้ าในการวิพากษ์วิจารณ์ ติ ชมผลงาน
ความสาเร็จในการสัมมนา
• ผูร้ ่วมสัมมนามีความรูค้ วามสามารถหรือมี
ประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ
• ผูส้ มั มนามีความกล้าอภิปรายและกล้าวิพากษ์วจาิ ารณ์
• ผูร้ ่วมสัมมนาใจากว้างและรับฟั งความคิดเห็นที่ขัดั แย้ง
บทบาทหน้ าทีผ่ ู้เข้ าสั มมนา
•
•
•
•
ทราบหัวข้อสัมมนา
ศึกษา ทาความเข้าใจในเรื่องที่สมั มนา
นาเรือ่ งที่ศึกษาค้นคว้าเสนอต่อที่สมั มนา
ตัง้ คาถาม แสดงความคิดเห็นและให้
ข้อเท็จจริงในการสัมมนา
ความหมาย
การบริหารหมายถึง กระบวนการที่บุคคลตั้งแต่
2 คนขึ้นไปมาร่วมกันทางานให้บรรลุ
จุดประสงค์ที่วางไว้อย่างเป็ นระบบ
กระบวนการบริหาร
P
O
S
D
Co
R
B
Planning
Organizing
Staffing
Directing
Coordinating
Reporting
Budgeting
P O S D Co R B
กรอบแนวคิดในการบรรยาย
1.
2.
3.
4.
5.
ผูบ้ ริหาร/คุณสมบัตขิ องนักบริหาร
ผูน้ า ความหมายของผูน้ า
ลักษณะของผูน้ าที่ดี และที่ไม่ดี
ตรวจสอบลักษณะผูน้ า
ผูน้ าการเปลี่ยนแปลง
10 ยุทธการเติมนวัตกรรมใหม่ใส่องค์กร
สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่และนาเสนอผลงานกลุม่
หลักธรรมาภิบาล
•
•
•
•
•
•
หลักนิตธิ รรม
หลักคุณธรรม
หลักความโปร่งใส
หลักการมีสว่ นร่วม
หลักความรับผิดชอบ
หลักประหยัดและประโยชน์สูงสุด
กลยุทธ์ในการบริหาร(Strategy)
1.
2.
3.
4.
5.
การบริหารโดยยึดจุดประสงค์ (Management By Objective- MBO)
การบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาล(บรรษัทภิบาล)(Good
Corporate Governance)
การบริหารโดยใช้เทคนิค SWOT (SWOT Analysis)
การบริหารโดยใช้เทคนิค TQM (Total Quality Management)
การบริหารโดยใช้เทคนิค PDCA
กลยุทธ์ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยูก่ บั ผูบ้ ริหารจะนาไป
ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและบริบทต่างๆ
ภายในองค์กร
SWOT Analysis
Strength
จุดแข็ง
• Weakness
จุดอ่อน
• Opportunity โอกาส
• Treat
ผลกระทบ อุปสรรค
•
Weakness
1.
2.
3.
4.
บทบาทหน้าที่ไม่ชดั เจน ไม่สอดคล้องกับบทบาทขององค์กรในภาพรวม
การส่งเสริมให้เกิดความร่วมใจของบุคลากรไม่เพียงพอ
การบริหารงานขาดประสิทธิภาพ เนือ่ งจาก..............................
กระบวนการทางานขาดระบบตัง้ แต่การวางแผน การปฏิบตั ิการ การ
ประเมินผล
5. บุคลากรขาดความสนใจในข้อมูลสารสนเทศและการสร้างนวัตกรรม
6. กฎหมาย ระเบียบ ไม่เอื้ออานวยและไม่สอดคล้องกับการเปลีย่ นแปลง
7. ขาดแนวทางที่ชดั เจนในการสร้างมาตรฐานสมาคมกีฬาแต่ละระดับ
ผูน้ า กับ ผูบ้ ริหาร
ผูน้ าอาจไม่ใช่ผบู ้ ริหาร
แต่
ผูบ้ ริหารต้องเป็ นผูน้ า
สรุป คุณสมบัตทิ ่ีดขี องผูน้ า 4 ประการ
1. คุณสมบัติส่วนตัว สุขภาพดี
เฉลียวฉลาดอารมณ์มน่ั คง มองโลกในแง่ดี
ประพฤติดี มีคณ
ุ ธรรม เมตตา ซือ่ สัตย์ เสียสละ ยุตธิ รรม เป็ นกลาง มี
เหตุผล
เป็ นแบบอย่างทีด่ ี มีความสามารถทางด้านความคิด
2. คุณสมบัติทางวิชาการ มีความรูท้ างวิชาการ วิชาชีพ เฉพาะทาง มีประสบการณ์การ
ทางาน เคยเป็ น มีความสนใจใฝ่ รู ้ ทันโลก ทันเหตุการณ์ทนั ต่อนวัตกรรม เทคโนโลยี
ทางานเป็ นกระบวนการ มีระบบมีวสิ ยั ทัศน์กว้างไกล
3. คุณสมบัติในการทางาน เป็ นผูน้ าความเปลี่ยนแปลง พัฒนาตนเองทัง้ กาย และ
จิตใจ เป็ นแบบอย่างแก่ผอู ้ น่ื สร้างสรรค์งาน ประสานงานดีมีมนุษยสัมพันธ์ มัน่ ใจใน
ตนเองรับผิดชอบงาน เสนอแนะงาน ใช้คนให้เหมาะกับงานทางานเป็ นทีมได้ รับฟังความ
คิดเห็น จริงใจมีความเป็ นมิตรอารมณ์ดเี มตตากรุณาจิตใจเข้มแข็ง ไม่โลเล สนับสนุน
ผูร้ ว่ มงาน คุม้ ครองผูร้ ว่ มงาน บริการผูร้ ว่ มงานเชือ่ มัน่ ในผูร้ ว่ มงาน กระจายงาน
4. มีบุคลิกภาพ มัน่ ใจในตนเอง รัก ชอบคนอืน่ คล่องแคล่วว่องไว ตรงต่อเวลา ควบคุม
อารมณ์ตนเองรูก้ าลเทศะ รูส้ งิ่ ใดควรไม่ควร สร้างความประทับใจให้แก่ผูอ้ นื่ เอาใจ
เขามาใส่ใจเรา ลักษณะปรากฏกาย ร่างกาย เสื้อผ้า ท่าทาง มีชวี ติ ชีวา
คุณสมบัตทิ างวิชาการ
•
•
•
•
•
•
•
มีความรูท้ างวิชาการ วิชาชีพ เฉพาะทาง
มีประสบการณ์การทางาน เคยเป็ นครู
มีความสนใจใฝ่ รู ้
ทันโลก ทันเหตุการณ์
ทันต่อนวัตกรรม เทคโนโลยี
ทางานเป็ นกระบวนการ มีระบบ
มีวิสยั ทัศน์กว้างไกล
คุณสมบัตทิ ดี่ ขี องผู้บริหาร
1. คุณสมบัติส่วนตัว
สุขภาพดี
อารมณ์มน่ั คง
ประพฤติดี
เมตตา
ยุติธรรม เป็ นกลาง
เป็ นแบบอย่างที่ดี
เฉลียวฉลาด
มองโลกในแง่ดี
มีคุณธรรม
ซือ่ สัตย์ เสียสละ
มีเหตุผล
มีความสามารถทางด้านความคิด
2.
•
•
•
•
•
•
•
คุณสมบัติทางวิชาการ
มีความรูท้ างวิชาการ วิชาชีพ เฉพาะทาง
มีประสบการณ์การทางาน
มีความสนใจใฝ่ รู ้
ทันโลก ทันเหตุการณ์ ทันต่อความเปลี่ยนแปลง
ทันต่อนวัตกรรม เทคโนโลยี
ทางานเป็ นกระบวนการ มีระบบ อ้างอิงหลักการ
มีวิสยั ทัศน์กว้างไกล
3. มีบุคลิกภาพ
ภายใน
•
•
•
•
•
•
•
ความมัน่ ใจในตนเอง ขจัดความประหม่า ขจัดปมด้อย
ความกล้าหาญ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าเสีย่ ง
รัก ชอบคนอืน่ มองโลกคนอืน่ ในแง่ดี
ควบคุมอารมณ์ต่างๆ(รัก โลภ โกรธ หลง)
รูจ้ กั การควร ไม่ควร รูก้ าลเทศะ
รูจ้ กั เอาใจเขามาใส่ใจเรา ใจกว้าง
มีสติปัญญา ความเฉลียวฉลาด
บุคลิกภาพผูน้ า
ภายนอก
• การแต่งกาย
• การพูด
• ลีลา ท่าทาง การนัง่ เดิน ยืน การใช้มือ
• ความมีชีวิตชีวา แคล่วคล่องว่องไว
• สร้างความน่าประทับใจให้คนอืน่
• ตรงต่อเวลา
7 อุปนิสัยของคนทีไ่ ม่ มีประสิ ทธิภาพ คือ:
•
1. สงสัยในตนเอง และมักตำหนิผู้อื่น
2. ทำงำนโดยไม่มีจุดหมำยทีชัดเจนในใจ
3. รอให้มีแรงเสริมหรือกำรสนับสนุนก่อนถึงจะทำงำน
4. คิดแบบ แพ้ /ชนะ
5. ต้องกำรให้ผู้อื่นเข้ำใจตนก่อน ที่จะเข้ำใจผู้อื่น
6. ถ้ำทำงำนไม่สำเร็จก็จะย่อท้อไม่สู้ต่อไป
7. กลัวกำรเปลี่ยนแปลงและกำรปรับปรุงตนให้เหมำะสม
บทบาทของผูบ้ ริหาร
•
•
•
•
•
•
เป็ นที่ยกย่องนับถือแก่ผรู ้ ว่ มงานและคนทั ่วไป
ช่วยให้ผรู ้ ว่ มงานมีขวัญและกาลังใจในการปฏิบตั งิ าน
ช่วยให้การบริหารงานของโรงเรียนดาเนินไปอย่างราบรื่น
ช่วยให้ผรู ้ ว่ มงานในโรงเรียนอยูร่ ว่ มกันอย่างมีความสุข
สร้างความมั ่นคงให้แก่โรงเรียน
สร้างความมั ่นคงให้แก่อาชีพครูและช่วยให้อาชีพครูเป็ นที่
ยอมรับนับถือแก่คนทั ่วไป
นักบริหาร
•
•
•
•
•
•
•
นักพัฒนา ทางานมีประสิ ทธิภาพ มองการณ์ ไกล
นักแก้ปัญหา ไม่ ใช่ สร้ างปัญหา
นักไกล่เกลีย่ ประนีประนอม ทาให้ เรื่องร้ ายกลายเป็ นดี
นักพูด นักการทูต
นักวางแผน
นักปกครอง
นักวิชาการ
คุณสมบัติทดี่ ขี องผู้บริหาร
คุณสมบัตสิ ่ วนตัว
•
•
•
•
•
•
สุขภาพดี
เฉลียวฉลาด
อารมณ์มั ่นคง
มองโลกในแง่ดี
ประพฤติดี มีคุณธรรม
เมตตา ซื่อสัตย์ เสียสละ ยุตธิ รรม เป็ น
กลาง มีเหตุผล เป็ นแบบอย่างที่ดี
• มีความสามารถทางด้านความคิด
การพัฒนาบุคลิกภาพ
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
มั ่นใจในตนเอง
รัก ชอบคนอื่น
คล่องแคล่วว่องไว
ตรงต่อเวลา
ควบคุมอารมณ์ตนเอง
รูก้ าลเทศะ รูส้ ิ่งใดควรไม่ควร
สร้างความประทับใจให้แก่ผอู ้ ื่น
เอาใจเขามาใส่ใจเรา
ลักษณะปรากฏกาย ร่างกาย เสื้อผ้า ท่าทาง
มีชีวิตชีวา
เศรษฐีปวดหัว
.
3 บทบาท บุคลิก 9 แบบทีส่งเสริ มให้มีนวตกรรมขึ้นใน
ทีม
1. บุคลิกของกำรเป็นผูน
้ ำและ
2. บุคลิกของกำรผูต
้ ำมทีด
่ ี
3. บุคลิกของกำรเป็นผูใ
้ ฝ่เรียนรู้ เล่นบทเป็นนักเรียน นักศึกษำ
4. บุคลิกของกำรเป็นนักมำนุษยวิทยำ
5. บุคลิกของกำรเป็นนักทดลองค้นคว้ำ
6. บุคลิกของกำรเป็นนักผสมผสำน
7. บุคลิกของกำรเป็นนักบริหำรจัดกำร ในบุคลิกของผูก
้ ำ้ วข้ำม
อุปสรรค
8. บุคลิกของกำรเป็นนักประนีประนอม
9. บุคลิกของกำรเป็นผูบ
้ ริหำร
ควำมฉลำดทำงอำรมณ์
(Emotion Quotient)
หมำยถึง ควำมสำมำรถของบุคคลในกำรรับรู้ รู้เท่ำทัน
อำรมณ์ของตนเอง สำมำรถควบคุมและจัดกำรกับ
อำรมณ์ของตนเองได้และแสดงพฤติกรรมที่เหมำะสม
และรับรูอ
้ ำรมณ์ของผูอ
้ น
ื่ และตอบสนองอำรมณ์ ควำม
ต้องกำรของผูอ
้ น
ื่ ได้อย่ำงถูกต้อง
เรำสำมำรถรูส
้ ก
ึ ได้ทก
ุ อย่ำง แต่ เรำไม่
สำมำรถแสดงออกได้ทก
ุ อย่ำง
ความรูท้ ว่ มหัวเอาตัวไม่รอด
คนฉลาดจานวนมากประสบความล้มเหลวในชีวิตทั้งการ
งาน การดาเนินชีวิตและครอบครัว ความฉลาดอย่างเดียว
ไม่เป็ นหลักประกันในความสาเร็จ การทางาน ชีวิตที่มี
คุณค่า และความสุขในชีวิตของคนจะต้องมีความฉลาด
ทางอารมณ์เป็ นปั จจัยสาคัญในการสนับสนุนที่สาคัญยิง่
ผลกำรวิจัยของม.ฮำวำร์ด พบว่ำ นักศึกษำทีส
่ ำเร็จกำรศึกษำจำก
มหำวิทยำลัยทีอ
่ ำยุ 40-45 ปี เป็นผูม
้ ีผลกำรเรียนอยูใ่ นระดับปำน
กลำง
ปัจจัยทีส
่ ง่ ผลทำให้คนเรำเกิดควำมสุขและควำมสำเร็จเป็นควำม
ฉลำดทำงปัญญำ ( IQ ) 20% ควำมฉลำดทำงอำรมณ์ 80 %
ความรูท้ ว่ มหัวเอาตัวไม่รอด
คนฉลาดจานวนมากประสบความล้มเหลวในชีวิตทั้งการ
งาน การดาเนินชีวิตและครอบครัว ความฉลาดอย่างเดียว
ไม่เป็ นหลักประกันในความสาเร็จ การทางาน ชีวิตที่มี
คุณค่า และความสุขในชีวิตของคนจะต้องมีความฉลาด
ทางอารมณ์เป็ นปั จจัยสาคัญในการสนับสนุนที่สาคัญยิง่
ผลกำรวิจัยของม.ฮำวำร์ด พบว่ำ นักศึกษำทีส
่ ำเร็จกำรศึกษำจำก
มหำวิทยำลัยทีอ
่ ำยุ 40-45 ปี เป็นผูม
้ ีผลกำรเรียนอยูใ่ นระดับปำน
กลำง
ปัจจัยทีส
่ ง่ ผลทำให้คนเรำเกิดควำมสุขและควำมสำเร็จเป็นควำม
ฉลำดทำงปัญญำ ( IQ ) 20% ควำมฉลำดทำงอำรมณ์ 80 %
ควำมฉลำดทำงอำรมณ์ เป็นปัจจัยสำคัญยิง่
ของกำรเป็นผู้นำ
1.
2.
3.
4.
5.
กำรเห็นคุณค่ำในตนเอง ภำคภูมิใจในตนเอง พอใจตนเองไม่
หวั่นไหวต่อคำวิจำรณ์
ควำมสำมำรถในกำรควบคุมอำรมณ์ จัดกำรบริหำรกับอำรมณ์
ของตนได้อย่ำงเหมำะสม สำมำรถในกำรควบคุมควำมเครียด
ไม่เก็บกด
กำรจูงใจตนเอง กระตุ้น กระตือรือร้น และรู้จักเตือนตนเอง นำ
ตนเอง ให้กำลังใจตนเอง พัฒนำตนองอย่ำงเต็มที่
รู้จักสังเกตควำมรู้สึกของคนอื่น เอื้ออำทรต่อคนอื่น รับรู้ รู้เท่ำ
ทันกับอำรมณ์ของคนอื่น เข้ำใจคนอื่น ตอบสนองควำม
ต้องกำรของคนอื่น ชื่นชอบยอมรับบุคคลอื่น
มีทักษะทำงสังคม มีควำมสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ทักษะกำร
สื่อสำรดี สำมำรถจัดกำรควำมขัดแย้งได้
ปัจจัยที่ส่งผลทำให้ เกิดควำมควำมสำเร็ จ
• ด้ำนกำรแก้ปญ
ั หำ ปัจจัยที่ส่งผลมำก คือ IQ
• ด้ำนกำรเรียน ปัจจัยทีส่ ่ งผลมำก คือ IQ
• ด้ำนกำรทำงำน ปัจจัยทีส่ ่ งผลมำก คือ IQ และ EQ
• ด้ำนกำรปรับตัว ปัจจัยที่ส่งผลมำก คือ EQ
• ด้ำนกำรปกครองคน ปัจจัยทีส่ ่ งผลมำก คือ EQ
• ด้ำนชีวต
ิ คู่ ปัจจัยทีส่ ่ งผลมำก คือ EQ
• ด้ำนกำรเป็นผูน
้ ำ ปัจจัยทีส่ ่ งผลมำก คือ EQ
สำรวจตนเอง
• กำรสำรวจควำมฉลำดทำงอำรมณ์
กำรเห็นคุณค่ำในตนเอง
ใช่
ประเด็น
1. คุณรูแ้ ละเข้าใจความรูส้ ึกและความต้องการของตนเอง
2. คุณรูต้ วั ว่าคุณมีความสามารถอะไร รูจ้ ุดเด่นจุดด้อยของตัวเอง
3. คุณกล้าเผชิญต่อความยากลาบาก
4. คุณชอบทาสิ่งใหม่ๆไม่จาเจ คุณมีความคิดริเริ่ม
5. คุณมีความกระหายอยากพบความสาเร็จในการทางานต่างๆ
6. คุณมีความเชื่อมั ่นและความภูมิใจในตนเอง
7. คุณมีปรัชญา มีค่านิยม มีคติประจาใจและปฏิบตั ติ าม
รวมคะแนน
ไม่ ใช่ ไม่ แน่ ใจ
ควำมสำมำรถในกำรควบคุมอำรมณ์
ใช่ ไม่ ใช่
ประเด็น
1. คุณเป็ นคนไม่ใจร้อน วู่วาม ควบคุมและเตือนสติตนเองได้เวลาโกรธหรือไม่
พอใจ
2. คุณเอาเหตุการณ์ทางลบมาเป็ นอุทาหรณ์ให้ขอ้ คิดและเตือนสติตนเอง
3. ถ้ามีปัญหา คุณจะมองปั ญหาทั้งสองด้านทั้งด้านบวกด้านลบ
4. คุณมีความอดทนรอคอยได้ คุณมีความเพียรพยายามอยากให้
ผลงานที่ทามีคุณภาพ
5. คุณยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของคุณ และนามาปรับปรุง
6. คุณยอมรับข้อผิดพลาดและความล้มเหลวและนามาเป็ นบทเรียน
7. คุณมีงานอดิเรกที่ชอบมากและใช้ทุ่มเทเวลาในการทางานอดิเรก
รวมคะแนน
ไม่ แน่ ใจ
ทักษะทำงสังคม
ประเด็น
1. คุณมีควำมจริงใจ ซื่อสัตย์และไว้วำงใจผูอ
้ น
ื่
2. คุณรู้และตระหนักในควำมรู้สก
ึ และควำมต้องกำรของพ่อ
แม่ ลูก สำมี ภรรยำหรือคนทีค
่ ณ
ุ รัก
3. คุณคิดถึงส่วนรวมและคนรอบข้ำง
4. คุณมองโลกในแง่ดอ
ี ยำกเห็นคนรอบตัวคุณมีควำมสุข
5. เวลำใครมำปรับทุกข์ คุณจะจะไม่เข้ำข้ำงเขำ แต่จะ
พยำยำมให้เขำเข้ำใจควำมรู้สก
ึ ของฝ่ำยทีเ่ ป็นปรปักษ์
6. คุณไม่รส
ู้ ก
ึ อึดอัด หรือทำตัวไม่ถก
ู หรือเครียดเมื่ออยูต
่ อ
่
หน้ำคนแปลกหน้ำหรือเพศตรงเข้ม
7. คุณมีควำมเห็นอกเห็นใจคนอื่น
รวมคะแนน
ใช่
ไม่ ใช่ ไม่ แน่ ใจ
ควำมสำมำรถในกำรควบคุมควำมเครียด
ประเด็น
1. คุณรู้สึกว่ำไม่มีควำมกดดันในกำรเรียน
2. คุณรู้สึกว่ำไม่มีควำมกดดันในกำรกำรทำงำน
3. คุณรู้สึกว่ำปัญหำ อุปสรรคและงำนที่ยำกเป็นสิ่งที่ท้ำทำย
ควำมสำมำรถ
4. คุณมีควำมอดทน อดกลั้นต่อสภำพกำรณ์ที่เป็นควำมเครียด
5. คุณชอบคุย สนทนำ ดูรำยกำรขำขัน ชอบคุยกับคนที่มอ
ี ำรมณ์ขัน
6. คุณคิดว่ำคนอื่นๆก็มีปญ
ั หำเช่นกัน ไม่ใช่คุณคนเดียวทีม
่ ีปญ
ั หำ
7. คุณมีคนที่เป็นที่ปรึกษำหำรือพูดคุยปัญหำต่ำงๆได้
8. คุณชอบงำนของคุณ และสภำพชีวิตของคุณ
รวมคะแนน
ใช่ ไม่ ใช่ ไม่ แน่ ใจ
สารวจมนุษยสัมพันธ์ของตนเอง
ชื่อ....................................
ข้อดี(ด้านบุคลิกภาพ)
1...................................................................
2....................................................................
3....................................................................
4...................................................................
5....................................................................
6...................................................................
7....................................................................
8....................................................................
9....................................................................
10..................................................................
ข้อเสี ย(ด้านบุคลิกภาพ)
1...................................................................
2....................................................................
3....................................................................
4...................................................................
5....................................................................
6...................................................................
7....................................................................
8....................................................................
9....................................................................
10..................................................................
กิจกรรมหน้ าต่างโจ แฮรี่
ข้ อดีของท่ าน
ข้ อเสี ยของท่ าน
• ทีท่ ่ านรู้
...................................................
...................................................
..................................................
• ทีค่ นอืน่ รู้
...................................................
...................................................
...................................................
• ทีท่ ่ านรู้
....................................................
....................................................
.................................................
• ที่คนอื่นรู ้
....................................................
....................................................
...............................................
ตัวเองรู้
คนอืน่ รู้
คนอืน่ ไม่ รู้
1. ……………………………..........
เปิดเผย............................
........................................
.....................................
.....................................
3…………………………
…........ซ่อนเร้น/ซับซ้อน
.............................................................
.....................................................
ตัวเองไม่ รู้
2.…………………..........................
..ปิดบัง/มืดบอด
..........................................................
..............
4.………………………
…..... ปกปิด/ไม่รู้จก
ั
..........................................................
...............................................
คนอื่นรู ้
คนอื่นไม่รู ้
ตัวเองรู ้
ตัวเองไม่รู ้
1. เปิ ดเผย มีความเป็ นกันเอง
2. มืดบอด ไม่รูต้ วั เอง แต่
ง่ายต่อการวางตน ได้มิตรแท้ คนอื่นรู ้ จะด้อยค่าด้อยราคา
ติดต่อ ร่วมมือกันง่าย งานมี ไม่น่านับถือ การคบค้า
ประสิทธิภาพ กลุ่มมีความสุข สมาคมจะถูกปฏิเสธ ถูกดูถูก
3. ซ่อนเร้น จะแสร้งทา คนอื่น
4.ปกปิ ด มีความลับ ไม่มี
ไม่เข้าใจ ไม่รู ้ เรื่องเสื่อมเสียไม่เกิด
แต่จะเกิดการระมัดระวังตลอดเวลา
เสียพลังไปมาก ในที่สุดกลายเป็ น
คนลึกลับ ไม่มีใครอยากคบ
การพัฒนาปรับปรุง จะรูเ้ มื่อ
เกิดสถานการณ์ข้ ึน คนอื่นจะ
คาดไม่ถึง ผลเสียหายเกิดขึ้น
แก้ไขไม่ทนั
กำรจัดกำรกับอำรมณ์
กำรควบคุมอำรมณ์
อำรมณ์โกรธ
• ควำมโกรธเป็นอำรมณ์ที่เกิดขึ้นกับทุกคนเป็นธรรมดำ เมื่อ
เกิดอำรมณ์โกรธจะทำให้บรรยำกำศตรึงเครียด คนอื่นไม่
อยำกอยู่ใกล้ จะเกิดกำรเปลี่ยนแปลงในร่ำงกำย เช่นหัว
ใจเต้นเร็วและแรง กล้ำมเนื้อตึงเครียด เนื้อตัวสั่น ปั่นป่วนใน
ท้อง มักขำดควำมระมัดระวัง เกิดควำมผิดพลำดในกำร
ตัดสินใจ ก่อให้เกิดอำชญำกรรมและอุบัติเหตุได้ง่ำย ส่งผล
เสียต่อสุขภำพตำมมำภำยหลัง เช่น ควำมดันโลหิตสูง หัวใจ
โรคกระเพำะและปวดศีรษะเป็นประจำ
วิธีหำทำงออกเมื่อเกิดอำรมณ์โกรธ
1. ยอมรับว่ำกำลังรู้สึกโกรธ อย่ำอำยหรือรู้สึกผิด
และพิจำรณำว่ำกำลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
2. พิจำรณำหำสำเหตุของควำมโกรธ โดยไม่
เข้ำข้ำงหรือตำหนิตนเอง
3. พยำยำมคิดให้หลำกหลำยและรอบด้ำน
แก้ปัญหำอย่ำงสร้ำงสรรค์และลองปฏิบัติ
ขั้นตอนควบคุมอำรมณ์โกรธ
1. ตั้งสติให้มั่น ทำใจให้สงบ ระงับอำรมณ์พลุ่งพล่ำน
ถำมตนเองว่ำต้องกำรเอำชนะหรือแก้ปัญหำ
2. แสดงควำมรู้สึกของตนเองด้วยท่ำทีไม่ก้ำวร้ำว ไม่
ข่มขู่
3. อย่ำเก็บควำมขุ่นเคืองหรือควำมโกรธไว้ เพรำะจะทำ
ให้เครียดและอดทนน้อยลง
4. หำหนทำงระบำยออก อย่ำอำยที่จะระบำยกับคน
ใกล้ชิด หรือเขียนลงบนสมุด
5. เปลี่ยนพลังควำมโกรธเป็นพลังสร้ำงสรรค์
6. จงให้อภัย
กิจกรรมที่ช่วยระงับหรือระบำยอำรมณ์โกรธ
1.
2.
3.
4.
กีฬำ กำรออกกำลังกำย
มีอำรมณ์ขัน รู้จักยิ้ม หัวเรำะ
ทำงำน
ใช้เทคนิคผ่อนคลำย (นับ1-10 สวดมนต์
กำหนดลมหำยใจ ตั้งสติ)
เตือนตนเอง ฉันจะไม่โกรธ ฉันจะไม่ทำรุนแรง
อำรมณ์ซึมเศร้ำ
สำเหตุของกำรซึมเศร้ำ
1. มองตนเองในแง่ร้ำย
2. มองโลกภำยนอก ประสบกำรณ์ที่พบว่ำเลวร้ำย
3. มองอนำคตไร้ค่ำ มืดมิด ไม่มีควำมหมำย
กำรจัดกำรควำมซึมเศร้ำ ท้อแท้
1. กำหนดจุดประสงค์ในกำรทำงำน แบ่งงำนออกเป็น
ย่อยๆ เพื่อให้งำนง่ำยขึน
้ สำมำรถทำได้
2. ลงมือทำงำนย่อยๆอย่ำงเป็นขัน
้ ตอน
3. ทำกิจกรรมที่ชอบแล้วจะประสบควำมสำเร็จ
อำรมณ์เครียด วิตกกังวล
อำรมณ์เครียด คือสภำวะทำงอำรมณ์และร่ำงกำยที่อยู่
ในควำมไม่สบำย ไม่สมดุลระหว่ำงควำมคำดหวังกับ
ควำมเป็นจริง เรื่องที่ทำให้เครียดแก่ เกี่ยวกับเรื่อง
ส่วนตัว เรื่องงำน เรื่องควำมรัก เรื่องเรียน ส่วนใหญ่
เป็นเรื่องรำวทั้งในอดีต ปัจจุบัน และ อนำคตที่ห่ำงไกล
เรื่องที่ยังมำไม่ถึง เป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้
และบำงครั้งอำจเป็นเรื่องหยุมหยิม เรื่องไม่เป็นเรื่อง
วิธีลดควำมเครียด
1.
วิธีลดโดยทัว
่ ไป ได้แก่ฟังเพลง ออกกำลังกำย วำดรูป พูดคุย
สนทนำกับคนทีไ
่ ว้วำงใจ
2.
กำรฝึกหำยใจ โดยกำรหำยใจเข้ำแล้วกลัน
้ ไว้ ครึ่งหรือ 1
นำที(นับ 1 2 3 4 5 6 แล้วหำยใจออก (นับ 123)
3.
ทำสมำธิ โดยกำรหำยใจลึกๆ ไปจนถึงท้องน้อย”ผ่อน” แล้ว
หำยใจออกยำวๆ “คลำย”
4.
กำรผ่อนคลำยกล้ำมเนือ
้ โดยกำรเกร็งกล้ำมเนือ
้ ตำมส่วนต่ำงๆ
จนเกิดควำมตึงเครียดของกล้ำมเนือ
้ ส่วนนั้นสุดๆ แล้วผ่อน
คลำยกล้ำมเนื้อส่วนนั้น
อำรมณ์กลัว
กำรขจัดควำมกลัว
1.
ใช้เทคนิคเดียวกับกำรขจัดควำมเครียด คือกำรเกร็งและผ่อน
คลำยกล้ำมเนื้อ หรือกำรผ่อนลมหำยใจเข้ำออกจนรู้สึกผ่อนคลำย
2.
จัดลำดับสถำนกำรณ์จำกกลัวน้อยที่สุดไปหำกลัวมำกที่สุด
3.
ฝึกเผชิญกับสถำนกำรณ์ที่ทำให้เกิดควำมกลัวทีละน้อย โดยฝึก
จำกสถำนกำรณ์ที่กลัวน้อยที่สุดก่อน โดยอำจเริ่มเผชิญใน
จินตนำกำรก่อนก็ได้
4.
ฝึกนำวิธีกำรนี้ไปใช้กับสถำนกำรณ์จริง
5.
ฝึกเผชิญกับสถำนกำรณ์ที่ทำให้เกิดควำมกลัวนั้นซ้ำๆ
6.
หำกไม่สำเร็จปรึกษำจิตแพทย์
กำรดูแลตนเองให้มค
ี วำมสุขเมื่อเกิดควำมทุกข์
1.
ตั้งสติให้มั่น มองว่ำควำมทุกข์เป็นเรื่องธรรมชำติเกิดขึ้นได้กับ
ทุกคน
2.
คิดในแง่ดีและพูดให้กำลังใจตนเองบ่อยๆ
ไม่เป็นไร ค่อยๆคิดค่อยๆทำ
ไม่เป็นไรลองพยำยำมดูใหม่
โอกำสหน้ำยังมีอีก
อย่ำงน้อยเรำก็มีดีอย่ำงอื่น
ทุกอย่ำงจะผ่ำนไปด้วยดี
ทุกปัญหำมีทำงแก้ไข
3.
นำตนเองออกมำจำกควำมทุกข์ชั่วครำว ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลำย
4.
มองว่ำควำมทุกข์นั้นเป็นประสบกำรณ์หนึ่ง ช่วยทำให้เรำ
เข้มแข็งขึ้น
วิธีกำรสื่อสำรสร้ำงสัมพันธ์
กำรสื่อสำร มี 2 ประเภท คือ สื่อภำษำ กับสื่อท่ำทำง
กำรสือ
่ ท่ำทำง ที่ดี
แสดงออกทำงสีหน้ำ สบสำยตำ แสดงท่ำทำง ใช้น้ำเสียง ระดับ
เสียง
1. ยิ้มแย้มแจ่มใส
2. อ่อนน้อมถ่อมตน
3. สบตำกับผูท
้ ี่เรำคุยด้วย
4. แสดงควำมสนใจและกระตือรือร้นในสิ่งทีส
่ นทนำ
สื่อภำษำ
1. พูดจำสุภำพไพเรำะ
2. ใช้คำว่ำขอบคุณ ขอโทษ
3. ไม่พูดแทรกหรือขัดจังหวะ
4. ไม่เปลี่ยนไปพูดเรือ
่ งอื่นขณะพูดเรือ
่ งนัน
้ ยังไม่จบ
5. ไม่พูดตำหนิ วิจำรณ์ควำมคิดของคนที่เรำสนทนำด้วย
ทฤษฏีกำรติดต่อสัมพันธ์ระหว่ำงบุคคล
1.
2.
3.
4.
I’m Okay. You’re Okay
I’m Okay. You’re not Okay
I’m not Okay. You’re Okay
I’m not Okay. You’re not Okay
กิจกรรมกำรสื่อสำร
• ให้จับคู่ เล่ำเรื่องที่อยำกเล่ำให้เพือ
่ นฟัง
12 ยุทธวิธีในกำรจัดกำรควำมขัดแย้ง
1.
เมื่อมีเรื่องไม่เข้ำใจกันให้พด
ู จำกันให้รเู้ รือ
่ ง ดูเวลำที่เหมำะสม
2.
เมื่อต่ำงฝ่ำยใจเย็นแล้วจึงเริม
่ พูดอย่ำงเป็นกันเอง ท่ำทำงสบำยๆ กันเอง อย่ำจริงจัง
3.
ชมก่อนจึงตำหนิ
4.
ระบุควำมขัดแย้ง แต่อย่ำเพิง่ ตัดสินว่ำใครผิดใครถูกหรืออย่ำวิพำกษ์วจ
ิ ำรณ์
5.
เมื่อฝ่ำยตรงข้ำมใช้ถ้อยคำรุนแรงต้องอดทน รอให้ใจเย็นแล้วจึงชีแ
้ จงข้อผิดพลำด
6.
อย่ำตำหนิ ด่ำ เยำะเย้ยผู้อน
ื่
7.
เมื่อทำผิด ให้ตรวจสอบสำเหตุและหำทำงแก้ไข
8.
เมื่อพบข้อผิดพลำดพยำยำมมองในแง่ดแ
ี ละส่วนทีต
่ อ
้ งแก้ไขเพื่อให้อก
ี ฝ่ำยทรำบควำม
ผิดพลำดนัน
้
9.
หำกจำเป็นต้องตักเตือนและแก้ไขพฤติกรรม ต้องทำอย่ำงรวดเร็วและตำมลำพัง
10.
ก่อนจำกกันให้แต่ละฝ่ำยพูดถึงควำมคับข้องหมองใจ ระบำยควำมรูส
้ ก
ึ
11.
พยำยำมฟังให้มำก ให้เขำได้ระบำยควำมรูส
้ ึกอัดอัน
้
12.
พยำยำมติดตำมพฤติกรรมควำมขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ำย
ศิลปะในการบริหาร
• ศิลปะในการสัง่ งาน ถูกกาลเทศะ ชัดเจน ผูร้ บั คาสัง่ เข้าใจ นา้ เสียง ถ้อยคา
เหมาะสม
• ศิลปะในการติชม ไม่ใช้อารมณ์ ชมด้วยความจริงใจ ชมต่อหน้า ติส่วนตัว
• ศิลปะในการวางตน เทีย่ งธรรม เป็ นมิตร
• ศิลปะในการรับฟังความคิดเห็น
• ศิลปะในการรักษาความสามัคคีในหมูค่ ณะและจัดการคงวามขัดแย้ง
• ศิลปะในการส่งเสริมฝึ กสอน ช่วยเหลือ ปรึกษา
• ศิลปะในการปรับปรุงตนเอง
4.มีความเป็ นผูน้ า
มีความเป็ นผูน้ า
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
เป็ นผูน้ าความเปลี่ยนแปลง
พัฒนาตนเองทั้งกาย และจิตใจ เป็ นแบบอย่างแก่ผอู ้ ื่น
สร้างสรรค์งาน
ประสานงานดี
มีมนุษยสัมพันธ์
มั ่นใจในตนเอง
รับผิดชอบงาน
เสนอแนะงาน
ใช้คนให้เหมาะกับงาน
ทางานเป็ นทีมได้
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
รับฟั งความคิดเห็น
จริงใจ
มีความเป็ นมิตร
อารมณ์ดี
เมตตากรุณา
จิตใจเข้มแข็ง
ไม่โลเล
สนับสนุนผูร้ ว่ มงาน
คุม้ ครองผูร้ ว่ มงาน
บริการผูร้ ว่ มงาน
เชื่อมั ่นในผูร้ ว่ มงาน
กระจายงาน
ชายกับหญิง
ใครเป็ นผูน้ าได้ดีกว่ากัน
ผูน้ าการเปลี่ยนแปลง
• เปลี่ยนแปลงวัสดุ อุปกรณ์
• เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การปฏิบตั ิงาน
• เปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ
ความหมายของผูน้ า
แมค ฟาแลนด์ (Mc Faland. 1979 )
ผูน้ า หมายถึง หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถ มีอานาจ มี
อิทธิพลเหนือผูอ้ ื่น และสามารถแสวงหาความร่วมมือจากผูอ้ ื่นให้
ปฏิบตั กิ ิจกรรมต่างๆให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ตง้ั ไว้
โบลส์และดาเวนเพอร์ธ ( Boles and Davenpert. 1975
ผูน้ า หมายถึงบุคคลที่มีความคิดที่จะทาให้กลุ่มก้าวหน้า
ไปสูจ่ ดุ มุ่งหมายร่วมกัน ช่วยให้กลุม่ ดารงอยูไ่ ด้และสามารถทาให้
กลุม่ สมหวังในสิ่งที่ตอ้ งการ
เซอร์จโิ อวานนีแ่ ละมัวร์ (Sergiovanny and Moor. 1989)
•
ผูน้ า หมายถึง บุคคลที่มีความสามารถเกลี้ย
กล่อม โน้มน้าวจูงใจผูอ้ ื่นให้ประพฤติหรือปฏิบตั ิ
ตาม
• บุคคลทีมีอานาจ มีอิทธิพล มีความสามารถใน
การจูงใจคนให้ปฏิบตั ิตามความคิดเห็น ตามความ
ต้องการ หรือคาสั ่งของเขา เป็ นผูม้ ีอิทธิพลเหนือ
การปฏิบตั ิการหรือพฤติกรรมของคนอื่น
(ภำวะ) ผู้นำ คือ
•
•
•
•
•
•
•
การเป็ นศูนย์กลางของกลุม่
การมีบุคลิกภาพที่ดี มีผลงานที่ดี
การมีศิลปะในการโน้มน้าว เกลี้ยกล่อมคนอื่นให้ปฏิบตั ิ
เครื่องมือที่จะทาให้ประสบความสาเร็จตามจุดประสงค์
ความมีลกั ษณะน่าเชื่อถือ น่าเอาเป็ นแบบอย่าง
การกระทาหรือพฤติกรรมในการประสานงานกลุม่
ความสามารถใช้พลังอานาจเพื่อให้เกิดการปฏิบตั ิ
ทฤษฎีภาวะผูน้ า(Bernard Bass 1990 )
1. ทฤษฎีคณ
ุ ลักษณะ (Trait Theory) บุคลิกภาพขัองบุคคลบางคน
ทาให้เขัามีบทบาทขัองผูน้ าตามธรรมชาติ
2. ทฤษฎีเหตุการณ์สาคัญ (The Great Events Theory)ภาวะวิกฤต
หรือเหตุการณ์สาคัญ ทาให้บุคคลมีโอกาสดึงคุณลักษณะภาวะ
ผูน้ าจาากบุคคลธรรมดา (ผูน้ าการเมือง ผูน้ าศาสนา)
3. ทฤษฎีภาวะผูน้ าการเปลี่ยนโฉม (The Transformation
Theory)บุคคลสามารถเลือกเป็ นผูน้ า สามารถเรียนรู ้ ศึกษา
ทักษะการเป็ นผูน้ า ทฤษฎีนี้เป็ นที่ยอมรับอย่างกว้างขัวางใน
ปั จาจาุบนั
แบบ(ประเภท)ของผูน้ า
แบ่งตามวิธีการใช้อานาจ
• ผูน้ าแบบประชาธิปไตย
• แบบอัตตาธิปไตย
• แบบตามสบาย
แบ่งตามวิธีการทางาน
• ผูน้ าแบบบงการ (Authoritarian Leader)
• ผูน้ าแบบเจ้าระเบียบ (Neatness ,Formalist)
• ผูน้ าแบบลูกทุ่ง(Impoverished Leader) (Country
Club)
• ผูน้ าแบบร่วมใจ (Team Leader)
• แบบมุง่ คน ให้ความสนใจกับความสัมพันธ์
และความสาคัญของคน/ปั ญหาของผูใ้ ต้บงั คับบัญชา
ปล่อยทุกคนมีเสรีภาพในการทางาน
• แบบมุง่ งาน ควบคุมผูใ้ ต้บงั คับบัญชาอย่าง
ใกล้ชิดเพือ่ ควบคุมกระตุน้ จูงใจ ให้ทางาน
แบ่งตามวิธีการทางาน
• ผูน้ าแบบบงการ เป็ นผูน้ าที่ชอบใช้อานาจในการทางาน ใช้อานาจเบ็ดเสร็จ ถือ
อัตตาเป็ นหลัก มุ่งงานอย่างหนัก แสดงความเข้มงวดกวดขัน ไม่ให้ต้งั คาถามหรือ
โต้แย้งเมื่อเกิดสิ่งผิดพลาด มีแนวโน้มที่จะมุ่งไปโทษบุคคลมากกว่าที่จะค้าหาว่าสิ่ง
ใดผิดและหาวิธีป้องกัน ไม่อดทนต่อความเห็นที่แตกต่าง ชอบออกคาสั ่งแต่อย่าง
เดียว ไม่รูจ้ กั วิธีการทางานไม่สอนงาน ขาดมนุษยสัมพันธ์ บรรยากาศในสถานที่
ทางานเต็มไปด้วยความกลัวและหวาดเกรง มีความสัมพันธ์แบบพิธีการ ขาดการ
ริเริ่มสร้างสรรค์และการร่วมมือจากผูร้ ่วมงาน งานอาจประสบความสาเร็จแต่ไม่
ยั ่งยืน (งานอาจต ่าหรือสูง สัมพันธ์ต ่า )
• ผูน้ าแบบเจ้าระเบียบ จะยึดระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์เป็ นหลักในการทางานไม่
ว่ากฎเกณฑ์จะล้าหลังไม่ทนั สมัย เป็ นผูน้ าที่ ไม่ชอบเปลี่ยนแปลงแก้ไข กาหนด
ตารางการทางาน รักษากฎระเบียบวินยั ในการทางาน (งานค่อนข้างสูงสัมพันธ์
ค่อนข้างต ่า )
ผูน้ าแบบลูกทุ่ง ผุน้ าแบบนี้มักไม่มีระบบระเบียบในการทางานที่
แน่นอน อาจเปลี่ยนแปลงวิธีการตามสถานการณ์ ขาดการอ้างอิง
ระเบียบแบบแผนและหลักทางวิชาการ ทาไปก่อนแล้วหากมีปัญหาไว้
แก้ไขภายหลัง มอบอานาจแล้วหายตัวขาดการกากับ ติดตามควบคุม
เกือบจะไม่สามารถใช้อานาจการบังคับหรือการลงโทษ หรืออานาจทาง
กฎหมายเลย กลัวการใช้อานาจที่จะทาลายความสัมพันธ์สมาชิกทีม
บุคคลผูน้ ้ ีใช้สไตล์การบริหารแบบมอบอานาจแล้วหายตัว เพราะเขาไม่
มุ่งงานหรือบางทีไม่สนใจความสัมพันธ์ ปล่อยให้ทีมทาสิ่งที่เคยทาตาม
ปรารถนาและความชอบแยกตัวเองออก สมาชิกขาดความเชื่อมั ่น
ศรัทธา
งานต ่า, สัมพันธ์ต ่า
• ผูน้ าแบบร่วมใจ (Team Leader) การปฏิบตั งิ านของผูน้ าแบบนี้ส่วน
ใหญ่คล้ายกับการใช้อานาจแบบประชานิยมและแบบจูงใจ คือนิยม
ปรึกษาหารือผูร้ ว่ มงานและใช้ศิลปะการจูงใจให้ผใู ้ ตับงั คับบัญชา
ปฏิบตั งิ านและเปิ ดโอกาสให้แต่ละคนแสดงความคิดเห็นร่วมกันเพื่อ
ช่วยสร้างสรรค์องค์การ จะเปิ ดโอกาสให้ลกู น้องแสดงความคิดเห็น
เชิญมาประชุมแสดงความรับผิดชอบร่วมกัน การติดต่อสื่อสารเป็ น
แบบสองทางและยึดหลักสามัคคีธรรมเป็ นหลักในการปฏิบตั งิ าน ผูน้ า
แบบนี้ จะทาเป็ นตัวอย่างที่ดี พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมส่งเสริมทีม
ทางานให้ทุกคนสามารถทางานได้เต็มศักยภาพ ไม่เห็นแก่ความเหน็ด
เหนื่อย ผลงานบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผล
งานสูง สัมพันธ์สูง
ลักษณะของผูน้ าที่มีประสิทธิภาพในการทางานสูง
1. ผูน้ าที่ยดึ มัน่ ในคาสัง่ กฎระเบียบ ไม่สนใจความสัมพันธ์ท่ีดกี บั
เพือ่ นรวมงานแต่จะทาตามคาสัง่ ข้อบังคับอย่างเคร่งครัด
2. ผูน้ าแบบนักพัฒนา ต้องการพัฒนางาน จึงพัฒนาความสามารถ
ของผูร้ ่วมงานเพือ่ ให้เกิดผลผลิตมากขึ้น สามารถทางานกับคนอืน่
ได้ดี
3. ผูน้ าเผด็จการที่มีศลิ ป เป็ นคนที่มีความเชือ่ มัน่ ในตนเองสูง มี
ผลงานที่มีประสิทธิภาพ ทางานเต็มที่ มีความรูด้ แี ละเข้าใจ กฏ
ระเบียบกติกาเป็ นอย่างดี มีศลิ ปะในการโนมน้าว สัง่ การคน
4. ผูน้ าแบบนักบริหาร เป็ นนักบริหารจัดการ ใช้ความสามารถของ
ลักษณะที่ผนู้ าควรหลีกเลี่ยง
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
เป็ นคนเจ้าอารมณ์
หวงอานาจ
ขีข้ ลาด กลัว หวาดระแวง
มีปมด้อย ขาดความรู้ ขาดความเชื่อมันในตนเอง
่
หูเบา เชื่อคนง่าย
อยุติธรรม อคติ ลาเอียง
ชอบใช้อานาจ ไม่ชอบให้ใครโต้แย้ง บงการ
.
ลักษณะผูน้ า
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
มีควำมรู้
มีควำมซื่อสัตย์
มีควำมกล้ำ
มีกำรตัดสินใจที่ดี
มีควำมคิดริเริ่ม
มีกำลเทศะ
มีควำมยุติธรรม
8. มีควำมน่ำเชื่อถือ
9. มีควำมกระตือรือร้น
10.วำงตัวเหมำะสม
11.มีควำมอดทน
12.ไม่เห็นแก่ตัว
13.มีควำมทันสมัย ไว
ต่อสถำนกำรณ์
คุณลักษณะของผูน้ า
1. มีความรู ้ ในงาน
2. มีความคิด มีดลุ ยพินิจดี กล้าทา
3. สร้างสรรค์งาน เป็ นผูน้ าความ
เปลี่ยนแปลง
4. มีความกล้าหาญ เข้มแข็ง มีความ
อดทน ร่างกายและจิตใจทนต่อ
การงานที่มีความยากลาบาก
5. ความเด็ดขาด ตัดสินใจได้ทนั ที
มั ่นใจในตนเอง จิตใจเข้มแข็ง ไม่
โลเล
6. มนุษยสัมพันธ์อนั ดี มีสงั คมดี สร้าง
ความประทับใจแก่ผอู ้ ื่น มี
ความเป็ นมิตร อารมณ์ดีบริการ
ผูร้ ่วมงาน คุม้ ครองผูร้ ่วมงาน
7. มีประสานงานดี รับผิดชอบ
8. กระตือรือร้น คล่องแคล่ว
9. มีความยุตธิ รรม
10. มีบุคลิกภาพดีท้งั ภายในภายนอก
และมีการแสดงออกที่ดี
11. ใจกว้าง ใจดีไม่เห็นแก่ตวั
ทางานเป็ นทีม
12. รูจ้ กั บังคับควบคุมตนเอง
13. เป็ นแบบอย่างแก่ผอู ้ ื่น
การพัฒนาตนเองของผูน้ า
๏ เอาใจใส่ดแู ลสุขภาพกาย-จิตตนเองอยูเ่ สมอ
๏ เอาใจใส่พฒ
ั นาบุคลิกภาพตนเองเสมอ
๏ อ่านหนังสือเป็ นประจา
๏ ดูโทรทัศน์ ฟั งวิทยุ
๏ ฝึ กจดบันทึก
๏ เข้าร่วมประชุมสัมมนา
๏ ศึกษาหาความรูจ้ ากแหล่งต่างๆ
๏ ประชุม สัมมนา
๏ ฝึ กใช้เทคโนโลยี
๏ เชิญวิทยากรมาให้ความรู ้
๏ ทาวิจยั
๏ ทาผลงาน
ภาวะผูน้ าของผูบ้ ริหาร
1. ผูบ้ ริหาร ผูจ้ ดั การ
2. ผูก้ าหนดโยบาย
3. ผูว้ างแผน
4. ผูร้ ู ้ ผูเ้ ชีย่ วชาญ
5. ผูเ้ ป็ นตัวแทนติดต่อภายนอก
6. ผูช้ ่วยเหลือ ผูค้ ุม้ ครอง ผู ้
ควบคุมภายใน
7.ผูใ้ ห้คุณให้โทษ
8. ผูต้ ดั สิน ผูไ้ กล่เกลีย่
9. บุคคลตัวอย่าง
10. สัญลักษณ์ของกลุ่ม
11.ผูร้ บั ผิดชอบ
12. ผูเ้ สียสละ มีอดุ มคติ
13.ผูเ้ มตตาปราณี ผูช้ ่วยเหลือ
14. แพะรับบาป
กิจกรรมหน้ าต่างโจ แฮรี่
ข้ อดีของท่ าน
ข้ อเสี ยของท่ าน
• ทีท่ ่ านรู้
...................................................
...................................................
..................................................
• ทีค่ นอืน่ รู้
...................................................
...................................................
...................................................
• ทีท่ ่ านรู้
....................................................
....................................................
.................................................
• ที่คนอื่นรู ้
....................................................
....................................................
...............................................
ตัวเองรู้
1. …………………………….
คนอืน่ รู้
คนอืน่ ไม่ รู้
...........................................................
...........................................................
......................
ตัวเองไม่ รู้
2.…………………..........................
..........................................................
........................................
3…………………………
4.………………………
…......................................................
.............................................................
.................................
…...................................................
..........................................................
...............................
ชื่อผูเ้ ข้าร่ วม
• ข้อดี
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
.........................................................
• ข้อเสี ย
...............................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...................................................................
...........................................................
คนอื่นรู ้
คนอื่นไม่รู ้
ตัวเองรู ้
ตัวเองไม่รู ้
1. เปิ ดเผย มีความเป็ นกันเอง
2. มืดบอด ไม่รูต้ วั เอง แต่
ง่ายต่อการวางตน ได้มิตรแท้ คนอื่นรู ้ จะด้อยค่าด้อยราคา
ติดต่อ ร่วมมือกันง่าย งานมี การคบค้าสมาคมจะถูก
ประสิทธิภาพ กลุ่มมีความสุข ปฏิเสธ
3. ซ่อนเร้น จะแสร้งทา คนอื่น
4.ปกปิ ด ความลับ ไม่มี
ไม่เข้าใจ ไม่รู ้ เรื่องเสื่อมเสียไม่เกิด
แต่จะเกิดการระมัดระวังตลอดเวลา
เสียพลังไปมาก ในที่สุดกลายเป็ น
คนลึกลับ ไม่มีใครอยากคบ
การพัฒนาปรับปรุง จะรู ้
เมื่อเกิดสถานการณ์ข้ ึน
คนอื่นจะคาดไม่ถึง
ผูน้ าการเปลี่ยนแปลง
หลักการ
• สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยูไ่ ม่หยุดยัง้ ระบบงาน
หน่ วยงานต่างๆต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่
เกิดขัึ้ น
• บุคลากรทุกคนในสังคมและในหน่ วยงานต่างๆต้องเขั้าใจา
และตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง
• ผูบ้ ริหารหน่ วยงานต่างๆต้องเป็ นผูน้ าการเปลี่ยนแปลง
.
เปลี่ยนแปลงวัสดุ อุปกรณ์
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม วิธีการ
เปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ
นวัตกรรมการบริหารในโรงเรียน
• พัฒนาการอ่านออกเขียนได้ และการคิดคานวณ
• พัฒนาการคิดวิเคราะห์
• ยกระดับผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทย อังกฤษ วิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์
• พัฒนามาตรฐานคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก
• พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม
• พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาสาหรับเด็กตกหล่น
• พัฒนารูปแบบการสร้างความเข็มแข็งโรงเรียนและเขต
พื้นที่
10 ยุทธการเติมนวัตกรรมใหม่ใส่องค์กร
• ผูน้ าปั จาจาุบนั ตื่นตัวกระตุน้ ให้คนคิดสร้างสรรค์ คิด
นอกกรอบ เพื่อทะยานสู่องค์กรแห่งนวัตกรรม
• แต่ผนู้ าส่วนใหญ่ขัาดการใช้ความคิดสร้างสรรค์
เป็ นเพราะติดกรอบเดิมๆ คือกรอบแห่งการไร้ซึ่ง
ความคิดสร้างสรรค์
ยุทธวิธี การสร้ างความคิดสร้ างสรรค์
กรอบที่ 1 มองโลกในแง่รา้ ย
• มองอะไรก็ไม่ดีไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างยุง่ ยาก
และทาได้ยาก จะเริ่มต้นทาอะไรก็จะมองเห็น
ปั ญหาและอุปสรรคขัดขวาง ผูร้ ว่ มงานไม่ดี ไม่
มีความสามารถ ขาดวัสดุอุปกรณ์ เงิน และ
ทรัพยากรต่างๆ ทาให้ไม่กล้าเริ่มที่จะทางาน
และไม่มีใครอยากทางานด้วย
• วิธีแก้ หัดมองโลกในแง่ดี
ความคิดสร้างสรรค์
Creative Thinking
• คิดในแง่บวก คิดในทางที่ดี (Positive Thinking)
• คิดที่เป็นประโยชน์ ไม่ทาลายล้าง(Constructive Thinking)
•คิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Creative Thinking)
คิดดีดี
เลิกพูด
เริม่ พูด
• แย่จริง ไม่ได้เรื่อง
•ซวยจริง โชคร้ายจริงๆ
• แย่แล้ว แย่แน่คราวนี้ตายแล้ว
• จนปั ญญาแล้ว ไม่รูจ้ ะทา
อย่างไรดี
• มีวิธีน้ ีวิธีเดียว ไม่มีทางอื่นแล้ว
•เราทาได้ไม่ค่อยดี(สาเร็จ)และมี
แนวโน้มว่าจะทาให้ดีได้ยากมาก
ขึ้น
• ส่วนนี้ดีนะ
• โชคดีไม่เป็ นอะไรมาก
• ไม่เป็ นไรมีทางแก้ไขได้แน่ๆ
• เราทาได้แน่ เราทาสาเร็จได้
แน่
• มีทางออก มีวิธีอื่นอีกมาก
•คราวหน้าเราต้องทาได้ดีกว่านี้
แน่เพราะเรามีเวลาเตรียมตัว
• ….. ..
•
•
•
•
•
•
… ……
. . . …... .
. . . . . . ……..
.
. . . . . ..
เขาจะมี
จงเลือกเอา
เป็ นประโยชน์
ส่วนที่ชวั ่
จะหาเอา
อย่าไปเที่ยว
เหมือนควานหา
หัดให้เคย
เลวบ้าง
แต่ส่วนดี
แก่โลกบ้าง
อย่าไปรู้
ความดี
มองหา
หนวดเต่า
มองแต่ดี
ช่างหัวเขา
เขามีอยู่
ยังน่ าดู
ของเขาเลย
เพียงส่วนเดียว
สหายเอ๋ย
ตายเปล่าเอย
มีคณ
ุ จริง
กรอบที่ 2 หลุมพรางของเวลา
คนส่วนใหญ่มกั อ้างว่าไม่มีเวลาคิดหรือทาผลงานเชิง
สร้างสรรค์ วิธีแก้กรอบนี้ ต้องบริหารเวลาให้เป็ น แล้ว
จะพบว่ายังมีเวลาว่างอีกมากในแต่ละวัน
ผลของการบริหารเวลา
• เวลาเป็ นสิ่งที่มีค่าหากมีการบริหารเวลาที่ดี จะทาให้งาน
ประสบความสาเร็จและมีประสิทธิภาพ เป็ นที่ไว้วางใจ
ได้รบั การยอมรับ ยกย่องจากคนอื่น มีความเบิกบานใจ
• หากมีการใช้เวลาอย่างไม่ถูกต้อง จะทาให้เกิดผลเสีย
หลายประการ อาทิเสียงาน ไม่เป็ นที่ไว้วางใจ ไม่
น่าเชื่อถือ ขาดการยอมรับยกย่อง เกิดความเครียด
สุขภาพจิตเสื่อม
การบริหารเวลา
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
8.
9.
10.
จัดลาดับความสาคัญก่อน-หลังของงาน
ตัดกิจกรรมที่ไม่จาเป็ นออกไป
กาหนดเป้าหมายของงานให้ชดั เจน
ทางานเป็ นระบบ มีข้นั ตอนการทางาน
ใช้ปฏิทินบันทึกช่วยจา มีสมุดนัดหมาย
ทารายการและกาหนดรายการทางาน
ทาแผนประจาวัน/สัปดาห์และปฏิบตั ติ ามแผน
เลือกให้เป็ นว่าควรทาสิ่งใด
กระฉับกระเฉง
รูจ้ กั แบ่งงานและมอบหมายงานให้คนอื่นทา
ตรวจสอบงานและการจัดสรรเวลาที่ทา
1.งานที่ปฏิบตั เิ ป็ นสิ่งที่ตอ้ งทามีอะไรบ้าง
.......................................................................
2. งานที่ปฏิบตั เิ ป็ นสิ่งที่ควรทามีอะไรบ้าง
..............................................................
3.งานที่ปฏิบตั เิ ป็ นสิ่งที่อยากทามีอะไรบ้าง
................................................................
เวลำมีค่ำ
23.00 น.
12.00 น.
13.00 น.
11.00 น.
22.00 น.
14.00 น.
10.00 น.
21.00 น.
15.00 น.
9.00 น.
20.00 น.
16.00 น.
ตื่นนอน
8.00 น.
19.00 น.
7.00 น.
18.00 น.
6.00 น.
18.00 น.
17.00 น.
กรอบที่ 3 สิ่งแวดล้อมไม่อานวย
•
อ้างว่าคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ หมดอารมณ์ เพราะบรรยากาศไม่
เอื้ออานวย วิธีแก้ คือ ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมที่จะส่งเสริม ความคิด
สร้างสรรค์ ระบุถึงสภาวะอะไรบ้างที่จะกระตุน้ คนให้มีความคิด
สร้างสรรค์ได้มากที่สุด เช่น ช่วงเวลาของวัน สถานที่ เสียงเพลง
หรือกลิ่น แล้วลองคิดซิว่าจะสามารถนาบรรยากาศที่เอื้อเหล่านั้นมา
ใช้ในที่ทางานได้อย่างไร อย่างเช่น บิลเกตต์ ชอบอะควาเรียม ก็ได้
จาลองอะควาเรียมมาไว้ในห้องทางานหรือบนจอคอมพิวเตอร์ได้
• ใบงาน
• ท่านลองจินตนาการว่าท่านจะสามารถปรับเปลี่ยนบรรยากาศในหน่วยงาน
ของท่านได้อย่างไรบ้างจึงจะส่งเสริมคนทางานและมีความคิดสร้างสรรค์
• 1…..
• 2….
กรอบที่ 4 ความกลัว ไม่กล้าเสี่ยง
• ส่วนใหญ่ตดิ กรอบนี้เพราะกลัวว่าจะผิดพลาด กลัวการ
ล้มเหลว กลัวถูกหัวเราะเยาะ กลัวเสียหน้า กลัวถูกตาหนิ
กลัวขาดทุน ความกลัวทาให้ลงั เล ไม่มั ่นใจและไม่กล้าคิด
กล้าทา
• วิธีแก้ จึงต้องฝึ กพิจารณาว่าคนที่กล้าเสี่ยงแล้วประสบ
ความสาเร็จมีใครบ้าง แล้วคนที่ไม่กล้าเสี่ยงแล้วประสบ
ความสาเร็จ มาเปรียบเทียบกัน โดยปกติจะพบว่าคนที่กล้า
เสี่ยงจะประสบความสาเร็จมากกว่าคนที่ไม่กล้าเสี่ยง
กฤษณะ มูรำติ
• ผู้ที่ปรำศจำกควำมกลัว จะเป็นผูท
้ ม
ี่ ีอส
ิ ระทำง
ควำมคิดและกำรมีอส
ิ ระทำงควำมคิดเป็นหนทำง
ที่ทำให้เกิดแสงสว่ำงแห่งปัญญำ
กลัวขาดทุน กลัวงบบานปลาย
•
การจาะทาอะไรมัวแต่คิดแต่เรื่องเงินเป็ นตัวตั้ง กังวลถึงแต่
งบประมาณ ทาอะไรขัึ้ นอยูก่ บั งบประมาณหรือกาไรมากๆ เป็ น
ตัวกาหนด กลัวได้ไม่คุม้ เสีย ทาให้ไม่กล้าทาอะไรเต็มที่ สุดฝี มือ
ผลขัองงานจาึงย่อหย่อนคุณภาพและประสิทธิภาพ ความคิดที่ดี
แปลกใหม่ที่ยงั ไม่สร้างกาไรในขัณะนี้ จาึงมักถูกละทิ้ ง ทั้งที่จาริงแล้ว
ผลงานที่ดี ความคิดที่แปลกใหม่ จาะก่อให้เกิดผลกาไรได้ใน
ภายหลัง เช่น เจา้าขัองร้านขัายอาหาร S&P เลือกวัสดุ เครื่องปรุง
และเครื่องมือในการผลิตอย่างดี กรณีศึกษาขัอง 3M ที่พฒ
ั นา
โพสท์อิท มาจาากกาวที่เดิมติดไม่แน่ น เป็ นต้น
ใบงาน
ท่านลองคิดถึงบุคคลที่ท่านรูจ้ กั ที่ประสบความสาเร็จทัง้
ระดับชาติและระดับบุคคล
บุคคลทีก่ ล้ ำเสี่ยงแล้ วประสบควำมสำเร็จ
บุคคลทีไ่ ม่ กล้ ำเสี่ยงแล้ วประสบควำมสำเร็จ
ลองถามตัวเองว่ า ถ้ าเสี่ ยงครั้งนีผ้ ลจะเป็ นอย่ างไร รุนแรงขนาดไหน
ถึงกับโดนไล่ ออกหรือไม่ จะถึงตายมั้ย?? การตั้งคาถามกับตนเองจะ
ทาให้ ตนเองมีความกล้ าที่จะเสี่ ยงมากขึน้
Risk Taking เสี่ยงเป็ นเสี่ยงกัน
ความกล้าเสี่ยงจะเป็ นบ่อเกิดที่สาคัญของความคิดสร้างสรรค์
เพราะได้ความคิดที่แตกต่าง แต่จะเสี่ยงให้สาเร็จได้อย่างไร ก่อน
อื่นอาจต้องยอมรับก่อนว่าจะถูกวิจารณ์ ต้องตัง้ เป้าหมายที่มั ่นคง
อาจลดความเสี่ยงด้วยการศึกษาหาข้อมูล และเตรียมความพร้อม
ก่อนเริ่มเสี่ยง เตรียมพร้อมรับมือจากการต่อต้านจากใครบ้าง
และจะมีระดับรุนแรงขนาดไหน แบ่งความเสี่ยงเพื่อสร้างแรง
กระตุน้ หรือแจ้งให้ผรู ้ ว่ มงานทีมรับรู ้ หาวิธีสร้างความยืดหยุน่
และเมื่อกล้าเสี่ยงแล้ว ควรคิดถึงการให้รางวัลตนเองได้ดว้ ย
จากนั้นก็ลงมือได้เลย
กรอบที่ 5 หลงความสมบูรณ์แบบ (ทาได้ไม่ดีจะไม่ทา)
กรอบนี้ทาให้บ่อยครั้งที่คนเราคิดเรื่องทีส่ ร้างสรรค์แต่
ไม่ทา เพราะมองว่ายังไม่ดีพอ ถ้าฉันทาอะไรต้องดีที่สุด
วิธีแก้คือ การลงมือทาเรื่องใดๆ ก็ตาม ต้องหาเป้าหมายที่
จะทา เริ่มลงมือทา แล้ววัดความก้าวหน้า ทั้งนี้ต้องรูจ้ กั
พอใจและยินดีกบั ความพยายามของตนเอง แล้วพยายาม
อีกครั้งถ้ายังทาไม่สาเร็จ
"แค่ถึงเป้าก็พอ แม้ไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม"
อย่าดีแต่คดิ จงลงมือทา อย่าดีแต่พูดจงลงมือทา
อย่าคิดว่ายากจงลงมือทา จงลงมือทาเดีย๋ วนี้เท่านัน้
และจงพอใจในสิ่งที่ทำ
กรอบที่ 6 นิ่งเสียตาลึงทอง (ของเดิมก็ดีอยูแ่ ล้ว)
คนที่ตดิ กรอบนี้ เคยชินกับแบบเดิมๆ มักคิดว่าของเดิม
ที่มีอยูก่ ็ดีอยูแ่ ล้ว รอให้ลา้ สมัยก่อน การเปลี่ยนแปลงทาให้
เดือดร้อน วุ่นวาย งานของเราไม่มีคนอื่นทาอยูแ่ ล้ว หรือรอ
ให้มีค่แู ข่งเข้ามาก่อน ค่อยคิดหาทางใหม่ๆ วิธีแก้ จึงต้องฝึ ก
ให้ลองคิดว่าอะไรที่ของเดิมก็มีอยูแ่ ล้ว แต่ก็มีของใหม่ที่
ดีกว่าเข้ามาทดแทน ไม่ว่าจะเป็ นคน วัสดุ สิ่งของ หรือ
วิธีการปฏิบตั งิ าน
ใบงาน มีอะไรต้องปรับปรุงบ้าง
สิ่งที่ควรต้องทา/
เปลี่ยนแปลง/ปรับปรุงใหม่
เพราะ
ทาอะไรได้อีก
สิง่ ของ
1. โครงการ.....
2. กระถาง
ต้นไม้
3. โต๊ะหมูบ่ ชู า
4. สนาม
5. เก้าอี้
6. ห้องประช ุม
ใช้ทาอะไรได้อีก
ถ้าไมมีจะเอาอะไรมาแทน
กรอบที่ 7 มีอคติ ลาเอียง ยึดติดความคิดของ
ตน
• ยึดมั ่นกับความรูค้ วามเข้าใจเดิมๆของตนเองไม่ยอมรับสิ่ง
ใหม่ๆ ข้อเสนอใหม่ๆที่แปลกแตกต่างๆไปจากความรูค้ วาม
เข้าใจของตน ใจแคบ การวางคาตอบเพียงถูกหรือผิด จาก
ประสบการณ์เดิมๆ ทาให้ความคิดเราถูกจากัด วิธีแก้ จึง
ต้องทาใจให้กว้างโดยแล้วยอมรับว่าตนเองมีอคติ แล้วลอง
คิดแบบมองต่างมุมว่าคนอื่นเขาคิดแตกต่าง ฝึ กมองสิ่ง
ต่างๆบนมุมมองของคนอื่น
• กิจกรรม มองต่างมุม
Transform viewpoint เปลี่ยนมุมมอง
• เป็ นการฝึ กมองปั ญหาในมุมที่แตกต่างจากปกติ เพื่อให้เกิดการ
แก้ปัญหาที่แตกต่าง หรือใช้มุมมองคนอื่น เช่น ปั ญหาเดียวกัน ถ้า
เป็ นซีอีโอจะทาอย่างไร ผูใ้ ช้บริการต้องการอย่างไร หน่วยงานอื่นจะ
ทาอย่างไร นั้นอย่างไร หรือลองคิดในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป เช่น
ถ้าปั ญหานี้เกิดขึ้นในอดีตจะเป็ นอย่างไร หรือถ้าเกิดขึ้นในอนาคตจะ
เป็ นอย่างไร และลองคิดในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป
•
กิจกรรม
ให้ท่านลองคิดพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่างในหน่วยงานของท่านใหม่
ไม่ว่านโยบาย โครงการ แนวปฏิบตั งิ าน ตัวบุคคล ที่ท่านไม่เห็ นด้วย
หรือเห็ นว่าไม่ดี
กรอบที่ 8 ฉันไม่ถนัดและไม่ใช่นกั คิดสร้างสรรค์
เป็ นอีกเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่คิดสร้างสรรค์ เพราะเห็นว่าไม่ถนัด
และคิดไปเองว่าตนนั้นคิดสร้างสรรค์ไม่เป็ น คิดไปเองว่าการ
สร้างสรรค์สิ่งใหม่เป็ นเรือ่ งใหญ่ เป็ นเรือ่ งของนักคิด
วิธีแก้น้นั ก่อนอื่นต้องรูก้ ่อนว่าคนวัยทางานจริงๆ แล้ว ใช้ความคิด
สร้างสรรค์เพียง 3% ของความสามารถทั้งหมดที่ธรรมชาติสร้าง
ขึ้นมา จึงมีเซลล์สมองในการคิดสร้างสรรค์เหลือถึง 99.7% ลอง
พิจารณาดูบา้ งซิว่า วันนี้ได้ทาอะไรที่แตกต่างไปจากปกติบา้ ง การ
คิดว่าตนเองเป็ นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ จะเป็ นกาลังใจสาคัญที่
ให้แก่ตนเอง
เทคนิค SCAMPER (Alex Osborn)
คิดดัดแปลง (Elaboration) คือความสามารถต่อเติมความคิดที่มีอยูแ่ ล้วให้
น่าสนใจและสมบูรณ์ยงิ่ ขึ้น เกิดความคิดที่ซบั ซ้อนยิง่ ขึ้น โดยใช้ความคิด
เก่าเป็ นรากฐานของความคิดใหม่
S substitute จาะเอาอะไรมาแทนสิ่งนี้ ได้บา้ ง(เวลา วัสดุ วิธีการ)
C combine สามารถนามารวมกันหรือผสมกันได้ไหม(รวมกับสิ่งอื่น รวม
ความคิด รวมความมุง่ หมาย)
A adapt
สามารถนามาดัดแปลงปรับปรุงให้ดีขัึ้นได้ไหม
M modify สามารถนามาเปลี่ยนแปลงได้ไหม(ย่อ ขัยาย ลด เพิ่ม)
P put to other use สามารถนามาใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ไหม
E eliminate จาะตัดออกบางส่วนหรือทั้งหมดไปเลยจาะได้ไหม
R rearrangeสามารถนามาจาัดการใหม่ จาัดระบบใหม่ ได้ไหม
R reverse
สามารถนามาใช้แบบตรงขั้ามกับแบบเดิมได้ไหม ลองตะแคง
กลับหัว เอาขั้างในออกมา
กรอบที่ 9 ความถูกต้องมีหนึ่งเดียว
การคิดหาคาตอบที่ถูกต้องอย่างเดียว มีวิธีเดียว มีทางเลือกทาง
เดียว ทาให้ไม่คิดอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมได้ จากัดกรอบความคิด
อยูเ่ พียงถูกหรือผิด
วิธีแก้ คือ จากที่เคยหาคาตอบเพียงคาตอบเดียว ลองหาทางเลือก
อื่นๆ ขึ้นมาอีก คิดไปเรือ่ ยๆ จนกระทั ่งเกิดความคิดที่อาจเพี้ยนไป
เลย ไม่สามารถปฏิบตั ไิ ด้จริง เพื่ออย่างน้อยที่สุด ก็ถือว่ายังได้คิด
เวลาได้ความคิดใหม่ๆมา บางครั้งลองนาความคิดเหล่านั้นมาลอง
ปรับใช้ดู ในที่สุด สิ่งที่คิดว่าแปลกใหม่ ไม่สามารถปฏิบตั ไิ ด้ ก็จะถูก
ปรับมาใช้ได้จริงในที่สุด
ทาอะไรได้ อกี
รายการ
1. โครงการ
2. งานที่ทาเป็น
ประจา
ทาอะไรได้อีก
ถ้าไมทาจะทาอะไรแทน
ให้ท่านลองคิดพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่างในหน่วยงาน
ท่านแล้วตัดสินใจ
รายการ
ข้อดี
1………………
2………………
3………………
4………………
5……………….
6………………
ข้อเสีย
1………………
2………………
3………………
4………………
5……………….
6………………
เทคนิค SCAMPER (Alex Osborn)
คิดดัดแปลง (Elaboration) คือความสามารถต่ อเติมความคิดที่มีอยู่แล้ ว
ให้ น่าสนใจและสมบูรณ์ ยงิ่ ขึน้ เกิดความคิดที่ซับซ้ อนยิง่ ขึน้ โดยใช้
ความคิดเก่ าเป็ นรากฐานของความคิดใหม่
S subsitute จะเอาอะไรมาแทนหรื อจะใช้อะไรแทนสิ่ งนี้ได้บา้ ง
(เวลา วัสดุ วิธีการ)
C combine สามารถนามารวมกันหรื อผสมกันได้ไหม(รวมกับสิ่ ง
อื่น รวมความคิด รวมความมุ่งหมาย)
A adapt
สามารถนามาดัดแปลงปรับปรุ งให้ดีข้ ึนได้ไหม
M modify สามารถนามาเปลี่ยนแปลงได้ไหม(ย่อ ขยาย ลด เพิ่ม)
P put to other use สามารถนามาใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ไหม
E eliminate จะตัดออกบางส่ วนหรื อทั้งหมดไปเลยจะได้ไหม
กรอบที่ 10 เฉื่อยชา
• อืดอาด เชื่องช้า หยุดนิ่ง ไม่ทนั กับสังคมทีก่ าลัง
เปลี่ยนแปลง ทาให้ล่าช้า ไม่ทนั การ ล้าสมัย ขาด
ความกระตือรือร้น ผลัดวันประกันพรุง่
กิจกรรม
แบ่งกลุม่ ตามหน่วยงานแล้วช่วยกันสร้างสรรค์และ
ออกแบบนวัตกรรมใหม่ในองค์กรของท่าน
1. ชื่อโครงการ
2. จุดประสงค์
3. ยุทธศาสตร์
plan จะเริ่มต้นอย่างไร เตรียมตัวอะไรบ้าง
Do
ดาเนินการอย่างไร ทาอะไรบ้าง ขัน้ ตอนการทา
Check จะประเมินผลโครงการอย่างไร วิธีไหน ทาอย่างไร
Act
ปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์
ความคิดสร้างสรรค์
ความสามารถรวบรวมความรูค้ วามคิดเดิมแล้วสร้างเป็ น
ความความรูค้ วามคิดของตนเอง สามารถคิดนอกกรอบได้
มีผลงานการคิด งานสร้างสรรค์ซึ่งเป็ นมีลกั ษณะที่
• เป็ นสิ่งใหม่ๆ เป็ นต้นแบบ แหวกวงล้อม
• ใช้การได้ สามารถใช้แก้ปัญหาได้ มิใช่จนิ ตนาการเพ้อฝัน
• มีความเหมาะสม ต้องมีเหตุผลเป็ นที่ยอมรับได้
เทคนิค SCAMPER (Alex Osborn)
คิดดัดแปลง (Elaboration) คือความสามารถต่ อเติมความคิดที่มีอยู่แล้ ว
ให้ น่าสนใจและสมบูรณ์ ยงิ่ ขึน้ เกิดความคิดที่ซับซ้ อนยิง่ ขึน้ โดยใช้
ความคิดเก่ าเป็ นรากฐานของความคิดใหม่
S subsitute จะเอาอะไรมาแทนหรื อจะใช้อะไรแทนสิ่ งนี้ได้บา้ ง
(เวลา วัสดุ วิธีการ)
C combine สามารถนามารวมกันหรื อผสมกันได้ไหม(รวมกับสิ่ ง
อื่น รวมความคิด รวมความมุ่งหมาย)
A adapt
สามารถนามาดัดแปลงปรับปรุ งให้ดีข้ ึนได้ไหม
M modify สามารถนามาเปลี่ยนแปลงได้ไหม(ย่อ ขยาย ลด เพิ่ม)
P put to other use สามารถนามาใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ไหม
E eliminate จะตัดออกบางส่ วนหรื อทั้งหมดไปเลยจะได้ไหม
การบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาล
(บรรษัทภิบาล)(Good Corporate Governance)
เป็ นการกากับดูแลกิจการให้ประสบความสาเร็จโดยมีคณ
ุ ธรรมนา
ทาง หมายถึง ระบบซึ่งเป็ นเครือ่ งชี้นาในการทางานและควบคุม
กิจการ ซึ่งได้แก่กระบวนการและโครงสร้างของภาวะผูน้ า ให้ทา
หน้าที่ดว้ ยความโปร่งใส มีความรับผิดชอบและสามารถในการ
แข่งขัน
ผูบ้ ริหารที่ดีตามแนวคิดบรรษัทภิบาลจึงไม่มองเฉพาะตนเอง
ว่าเป็ นคนดี มีคณ
ุ ธรรมและเป็ นผูเ้ สียสละเท่านั้น แต่จะยังมุ่ง
สร้างสมรรถนะในการแข่งขัน การเจริญเติบโตและความสาเร็จ
ของหน่วยงาน โดยใช้คณ
ุ ธรรม จริยธรรม ความโปร่งใสและ
ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็ นพื้นฐานในการบริหารงาน
หลักการของบรรษัทภิบาล
1. Accountability ความรับผิดชอบต่อการปฏิบตั ิหน้าที่
2. Responsibility ความสานึกในหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพและเต็ม
ความสามารถ
3. Equitable Treatment ปฏิบตั ิหน้าที่ต่อผูม้ ีส่วนได้เสียอย่างเท่า
เทียมกัน
4. Transparency ความโปร่งใส เปิ ดเผยสามารถตรวจสอบได้
5. Create Long Term Value มุ่งสร้างคุณค่าเพิม่ ในระยะยาว
6. Ethics การส่งเสริมกากับดูแลอย่างมีคุณธรรม และมีจรรยาบรรณใน
การทางาน
เทคนิคการคิดแบบหมวก 6 ใบ
• หมวกสีขาว แทนการคิดที่เป็นกลาง ไม่มีอคติ น่าเชื่อถือ ข้อมูลเป็น
ความจริงเป็นที่ยอมรับทัว่ ไป มีความเป็นไปได้สงู
• หมวกสีดา แทนการคิดในด้านลบ ในสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ไม่มี
ค ุณค่า ข้อด้อย ข้อบกพร่อง ผลเสีย ความล้มเหลว
• หมวกสีเหลือง แทนการคิดในแง่ดี คิดในด้านบวก ความมีค ุณค่า มี
ประโยชน์ ข้อดี จดุ เด่น ความสาเร็จ ความสวยงาม
• หมวกสีเขียว แทนการคิดที่มีความสดชื่นรืน่ รมย์ เกิดความคิดใหม่
ความคิดสร้างสรรค์ มองเห็นทางออก หนทางแก้ไข
• หมวกสีน้าเงิน แทนการคิดที่เป็นการควบค ุมด ูแล การจัดการ
ดาเนินการ จึงเป็นผูค้ วบค ุมการอภิปรายให้เกิดผลงานที่ดี
• หมวกสีแดง แทนการคิดที่เกิดจากการใช้อารมณ์ รัก โลภ โกรธ
เกลียด หลง เป็นการระบายความรส้ ู ึกทางอารมณ์ให้แสดงออก
คุณลักษณะของผูน้ ากิจกรรม
1.
2.
3.
4.
5
6
มีความรักในประชาชนและสามารถเข้ากับคนอืน่ ได้ดี
ไม่แสดงความรังเกียจผูอ้ น่ื
มีความสามารถ มีทกั ษะบางประการที่โดดเด่น
มีความรับผิดชอบ
มีอารมณ์ขนั แจ่มใส และร่าเริง
มีนสิ ยั เป็ นนักวางแผน และเป็ นนักบริหาร ,มีระบบ
•
E = Expand & Shrink ยืดๆ หดๆ
คุณลักษณะของผูน้ ากิจกรรมที่ดี
9.
กระตือรือร้น คือ ความเอาใจใส่ตอ่ หน้าทีก่ ารงานทีร่ บั ผิดชอบ
10. ไม่เห็นแก่ตวั ไม่กอบโกยผลประโยชน์แก่ตน แต่กลับมุง่ ประโยชน์ของส่วนรวมเป็ น
ทีต่ งั้
11. ความตืน่ ตัว รอบคอบ มีความว่องไว ไวต่อความรูส้ กึ หรือสภาพแวดล้อมที่
เปลี่ยนแปลง
12. มีความสามารถในการพิจารณาตัดสินปั ญหาหรือสัง่ การในการดาเนินงาน
13. สงบเสงี่ยม คือ การรูจ้ กั วางตนไม่เยอหยิง่ โอ้อวด
14. มีความเห็นอกเห็นใจ คือ ความเมตตาปราณีทผี่ นู ้ าพึงมีตอ่ สมาชิก
15.ความจงรักภักดี คือ ความซือ่ ตรงต่อหน้าที่ ต่อองค์การ หรือต่อรัฐ มุง่ จะให้เกิด
ประโยชน์แก่หน่วยงานอย่างจริงจัง ไม่แสวงหาประโยชน์ใส่ตน
16. การบังคับตัวเอง “ชัยชนะทีย่ งิ่ ใหญ่ คือ การชนะใจตนเอง” ผูน้ าทีส่ ามารถบังคับ
ตนเองไม่ให้ตกเป็ นทาสของสัมผัส รูป รส กลิ่น และเสียง
ความเข้าใจผิดเกีย่ วกับผูน้ า
1. ผูช้ าย สามารถเป็ นผูน้ าได้ดกี ว่าผูห้ ญิง
2. ลูกคนแรกสามารถเป็ นผูน้ าได้ดกี ว่าลูกคนหลัง
3. ภาวะการเป็ นผูน้ าจะเกิดขึ้นได้หากได้รบั การคัดเลือก หรือได้รบั การ
แต่งตัง้ ให้มาดารงตาแหน่งต่าง ๆ ในการเป็ นผูน้ า
4. คนที่มีชอ่ื เสียงหรือเป็ นที่รจู ้ กั กันดีดย่างกว้างขวางจึงจะสามารถเป็ น
ผูน้ าที่ประสบความสาเร็จ
5. การที่อาศัยอยู่ในชุมชนคนบ้านนอก หรือหมู่บา้ นเล็ก ๆ หรือศึกษา
ในโรงเรียนเล็ก ๆ มีโอกาสเป็ นผูน้ าได้ยาก
ความเข้าใจผิดเกีย่ วกับผูน้ า
6. เด็กและเยาวชนไม่สามารถจะเป็ นผูน้ าได้ดเี ท่ากับผูใ้ หญ่.
7. คนรวยหรือมีฐานะทางการเงินเท่านัน้ ที่จะเป็ นผูน้ าได้ดี
8. การมีบทบาทในสังคมหรือการปรากฏตัวตามสาธารณชน จะทาให้
สามารถเป็ นผูน้ าที่ประสบความสาเร็จมากกว่า
9. คนเรียนเก่งได้คะแนนการเรียนสูงมักจะเป็ นผูน้ าได้ดี
10. ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาเท่านัน้ ที่จะเปิ ดโอกาสให้เกิดภาวะ
ผูน้ า
บุคลิกภาพภายนอก
• การแต่ งกาย เหมาะสม
• กริยาอาการ การนั่ง เดิน ยืน พูด
• การใช้ มอื เหมาะสม
ทฤษฏีการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
1.
2.
3.
4.
I’m Okay. You’re Okay
I’m Okay. You’re not Okay
I’m not Okay. You’re Okay
I’m not Okay. You’re not Okay
หลักการบริหารการศึกษา
• กาหนดนโยบายไว้ชดั เจน แน่นอน (ระบุจุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาในลักษณะที่
ทาให้ชดั เจน แน่นอน แจ้งให้รู้)
• มีศนู ย์กลางอานวยการ ที่มีบุคลากรรับผิดชอบ มีหอ้ งธุรการ มีศนู ย์กลางที่ครู นักเรี ยน ผูป้ กครองมารับปริ การ
• ระบุและกาหนดหน้าที่การทางานกระจ่างชัด เหมาะสมแบ่งงานเป็ นสายวิชา
• จัดให้มีระบบงานเหมาะสม การเรี ยนการสอน การวัดประเมินผล การบริ หาร
สัมพันธ์กนั ทุกขั้นตอน
• มีการอานวยการที่ดี
• หน่วยงานมีการเตรี ยมการเพื่อรับนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ
• จัดหาบุคคลที่เหมาะสมกับงาน
• การรับผิดชอบต้องมีสิทธิ และอานาจควบคู่กนั ด้วย
• ออกคาสั่งตามลาดับขั้น ตามสายการบังคับบัญชา
• มีการวางแผนในการทางานทุกขั้นตอน มีการวางแผนการศึกษาและแผนการ
ทางานเป็ นระยะ มีโปรแกรมการศึกษาโครงการสอนหรื อแผนการสอน
• มีการประสานงานที่มุ่งความก้าวหน้าคล่องตัว
• ต้องสร้างงานและติดตามงาน มีการสร้างงานใหม่ ทาการสังเกตและนิเทศการสอน
• มีการพิจารณาความดีความชอบอย่างยุติธรรม มีหลักเกณฑ์พิจารณาที่เหมาะสม
• คานึงถึงปั จจัยอื่นที่ส่งเสริ มให้เกิดประสิ ทธิ ภาพในการทางาน (ขวัญกาลังใจ ความ
ขัดแย้ง สื่ อสาร)
• วางตนให้เหมาะสม
การพัฒนาตนเองของผู้บริหาร
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
เอาใจใส่ ดูแลสุ ขภาพกาย-จิตตนเองอยู่เสมอ
เอาใจใส่พฒ
ั นาบุคลิกภาพตนเองเสมอ
อ่านหนังสือเป็ นประจา
ดูโทรทัศน์ ฟั งวิทยุ
ฝึ กจดบันทึก
เข้าร่วมประชุมสัมมนา
ศึกษาหาความรูจ้ ากแหล่งต่างๆ ดูงาน
จัดประชุม สัมมนา
ฝึ กใช้เทคโนโลยี
เชิญวิทยากรมาให้ความรู ้
ทาวิจยั
ทาผลงาน
คุณธรรมของผู้บริหาร
• สัจจะ การรักษาความสัจ ความจริงใจ
• ทมะ การรูจ้ กั ข่มใจตนเอง
• ขันติ การอดทน อดกลัน้ และอดออมทีจ่ ะไม่ประพฤติ
ล่วงลา้ ความสุจริต
• จาคะ การรูจ้ กั ละวางความชัว่ ความทุจริต รูจ้ กั เสียสละ
ส่วนน้อยเพื่อเพื่อประโยชน์สว่ นรวม
ความหมาย การนิเทศ
•
ความพยายามที่จะพัฒนาความสามารถของครู ให้
ความช่วยเหลือแนะนา ให้สามารถจัดการเรียนการสอนให้
ดีข้ ึน
•
สิ่งที่บุคคลในโรงเรียนทาเพื่อให้เปลี่ยนแปลงปรับปรุง
การเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพกระบวนการที่ทาให้
เกิดการปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอน ของครู
กระตุน้ ความก้าวหน้าของครู มุ่งช่วยเหลือครูให้ช่วยเหลือ
ตนเองได้
ความจาเป็ นในการนิเทศ
การนิเทศภายใน
• คือ บุคลากรภายในโรงเรียนเป็ นผูน้ ิเทศ
ประเภทของการนิเทศ
• นิเทศเพือ่ แก้ไข ช่ วยเหลือ
• นิเทศเพือ่ ป้ องกัน
• นิเทศกระตุ้น ให้ พยายาม
• นิเทศเพือ่ สร้ างสรรค์
ทาไมต้องนิเทศภายในโรงเรี ยน
งานในการนิเทศ
•
•
•
•
•
•
นิเทศเกี่ยวกับตัวครู
นิเทศเกี่ยวกับหลักสูตร
นิเทศเกี่ยวกับอุปกรณ์ สื่อ การสอน
นิเทศเกี่ยวกับการปรับปรุงอาชีพ
นิเทศเกี่ยวกับทางานร่วมกัน
นิเทศเกี่ยวกับการค้นคว้าทดลอง วิจยั
ความรู้ของผูน้ ิเทศ
1.
2.
3.
4.
5.
6.
ความเป็ นครู
โรงเรียนและชุมชน
การออกแบบการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้
การเก็บรวบรวมขิอมูล
ทักษะในชัน้ เรียน
พัฒนาตนเอง
ทักษะของผูน้ ิ เทศ
1.
2.
3.
4.
ทักษะเทคนิค จัดทาบัญชี วัสดุ
ทักษะการครองตน
ทักษะการศึกษา
ทักษะการสร้างความคิด
ทักษะระหว่างบุคคล
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
8.
การฟังอย่างตั้งใจ
การทาความเข้าใจอย่างแจ่มชัด
การกระตุน้
การสะท้อนกลับ
การนาเสนอความคิด
การแก้ปัญหา
การสร้างเกณฑ์ให้เป็ นมาตรฐาน
การเสริ มแรง
กระบวนการนิเทศ (POLCA)
Louis A. Allan
1. ศึกษาปัญหา ความต้องการ
2. ขัน้ วางแผน คิด ตัง้ จุดประสงค์ คาดการ ค้นหาวิธีปฏิบตั ิ จัด
โปรแกรม
3. ขัน้ จัดองค์การ (ตัง้ เกณฑ์มาตรฐาน รวบรวมทรัพยากร จัด
โครงสร้างองค์กร มอบหมายงาน กระจายอานาจ
4. นาสู่การปฏิบตั ิ จูงใจ ให้กาลังใจ สาธิต แนะนา ส่งเสริม กระตุ้น
บารุงขวัญ อานวยความสะดวก
5. ขัน้ กากับ ควบคุม (สังการ
่
ให้รางวัล ให้โอกาส ชมเชย)
6. ขัน้ ประเมินผล
PIDRe E
1. การวางแผน(Planning)
2. การให้ความรูใ้ นสิ่งที่จะทา(Informing)
3. การปฏิบตั ิ งาน(Doing)
- การปฏิบตั ิ งานของผูร้ บั การนิเทศ
- การปฏิบตั ิ งานของผูน้ ิ เทศ
- การปฏิบตั ิ งานของผูส้ นับสนุนการนิเทศ
4. การสร้างขวัญ กาลังใจ(Re-inforceing)
5. การประเมินผลกระบวนการทางาน(Evaluating)
หลักการนิเทศ
•
•
•
•
•
•
•
เป็ นประชาธิปไตย
ส่งเสริม สร้างสรรค์
ร่วมมือจากหลายฝ่ าย
มุ่งพัฒนาวิชาชีพมากกว่าความสัมพันธ์สว่ นบุคคล
คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
เป้าหมายสูงสุดอยูท่ ี่นกั เรียน
สร้างความสัมพันธ์ อันดี สร้างขวัญกาลังใจให้แก่ครู
•
•
•
•
•
•
•
•
เริ่มจากสภาพการณ์ ปัจจุบนั
ส่งเสริมความก้าวหน้ าและสร้างทัศนคติที่ดแี ก่ครู
ง่ายๆ ไม่เป็ นพิธีการ
มีเหตุผล อธิบายได้
มีจดุ มุ่งหมายแน่ นอน ประเมินผลได้ชดั เจน
สอดคล้องกับความต้องการของครู
เป็ นงานบริการ
พึงระลึกเสมอว่าครูมีความรู้ความสามารถเป็ นทุน
อยู่แล้ว
สรุปการนิเทศที่ได้ผล
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
เริ่มต้นจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ดาเนินการทีละขัน้
ตัง้ วัตถุประสงค์ที่ชดั เจน
สร้างความเป็ นประชาธิปไตยในกลุ่ม
สร้างบรรยากาศที่เป็ นกันเอง
ยกย่องการเป็ นผูน้ าแก้สมาชิกในกลุ่ม
ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
รักษามารยาทในการนิเทศ
ตระหนักอยู่เสมอว่าการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมาจากผูร้ บั การนิเทศ
เอาใจใส่การนิเทศเป็ นระยะตามแผนการนิเทศที่กาหนดไว้
กิจกรรม วิธีการนิเทศ
•
•
•
•
•
•
•
•
•
เยีย่ มชั้นเรียน
การสนทนาทางวิชาการ
สาธิตการสอน
ประชุม
ฝึ กอบรม
แจกเอกสาร เขียน สิ่งพิมพ์
สัมมนา
จัดนิทรรศการ
จัดประกวด
•การสังเกตการสอนในชั้นเรียน
•พบปะรายบุคคล สนทนาพาที
•เชิญวิทยากร เชิญสถาน
ประกอบการ
•จัดแหล่งบริการทางวิชาการ
•การให้คาปรึกษา แนะนา
•ส่งครูไปอบรม ฝึ กงาน
•ร่วมกันวิจยั
•การใช้สื่อ อุปกรณ์
•การศึกษาดูงาน
•การศึกษาด้วยตนเอง
การนิเทศแบบคลินิค (Clinical Supervision)
•
•
•
•
•
การประชุม หารือก่อนสังเกตการสอน
การสังเกตการสอน(จะสังเกตภาพรวมหรือทีละส่วน)
การวิเคราะห์วนิจฉัยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสอน
การประชุมนิเทศ
การวิเคราะห์ สรุปผลข้อมูลพฤติกรรมภายหลังการ
นิเทศเพื่อพัฒนาการสอน
การนิเทศแบบมนุษยนิยม(Humanistic Supervision)
หมายถึง การนิเทศที่เป็ นความพึงพอใจทัง้ สองฝ่ าย
• การสร้างสัมพันธภาพที่เปิดเผย กันเอง ไว้วางในกัน
• การวินิจฉัยความต้องการ ความสามารถ และ
เป้ าหมายของครูและโรงเรียน
• วางแผนการนิเทศ ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
• การสังเกตพฤติกรรมการสอน
• การวิเคราะห์พฤติกรรมการ ปผรึกษาหารือ
• การร่วมกันประเมินผล
การนิเทศเป็ นกลุ่ม
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
8.
9.
10.
การจัดตัง้ กรรมการกลุ่มทางานฉพาะเรือ่ ง
การจัดตัง้ ศูนย์วชิ าการ
การศึกษาวิเคราะห์เฉพาะเรือ่ ง
การศึกษานอกสถานที่
การฟงั คาบรรยาย
การสาธิตการสอน
การอภิปราย
การสนทนาทางวิชาการ
การระดมสมอง
การประชุมกลุ่มย่อย
การนิเทศเป็ นกลุ่มเล็ก
• Buddy System
• 3 เกลอ
• Gang of four
การนิเทศเป็ นรายบุคคล
•
•
•
•
•
การสังเกตการสอนในชัน้ เรียน
การทดลองสอนในชัน้ เรียน
การปรึกษาหารือเป็ นรายบุคคล
การสัมภาษณ์ทางอ้อม(ผูร้ บั สัมภาษณ์ ผน้ ู ิ เทศ)
การบันทึกวิดิทศั น์ และการถ่ายภาพ
การสังเกตการสอนในชัน้ เรียน
• ขัน้ ปรึกษาก่อนสอน (pre-observation)
• ขัน้ สังเกตการสอน(observation)
• ขัน้ ปรึกษาหลังสอน(post-observation)
• ห้ามพูดสอดแทรกหรือลุกขึน้ มาสอนเอง
แบบสังเกตการสอนของผูส้ งั เกต
1. สังเกตกิจกรรมทัวไปของครู
่
การพูด การต้อนรับแขก
2. สังเกตกิจกรรมนักเรียน การทางาน สื่อ วัสดุ อุปกรณ์
3. สังเกตการเคลื่อนไหวท่าทาง การพูด การแสดงออก
ตะโกน พูดเสียดสี หัวเราะเยาะ เดินไปมา
4. สังเกตการแสดงออกทางพฤติกรรมที่มีความหมาย
เป็ นภาษากาย เช่นไม่มองหน้ า เมินเฉย พยักหน้ า
แบบประเมินผลทักษะการใช้คาถาม (B.I.A.S.ของ Brown)
พฤติกรรมในชั้นเรียน
TL สอน บรรยาย สัง่
TQ ครูตงั ้ คาถาม
TR ครูตอบคาถาม
PR นักเรียนตอบคาถาม
PV นักเรียนพูดเอง เสนอแนะ
S เงียบ
X อื่นๆ
  

     
การระดมสมอง
• สิ่ งที่ตอ้ งการ
Buzz-Session
บรรยานย รายงาน ประชุมกลุ่มย่อย
Field Trip
การสัมภาษณ์ทางอ้อม
• การซักถาม พูดคุย ตามความสนใจ สัมภาษณ์โดยไม่ตอ้ งมีการเตรี ยม
คาถามหรื อข้อกาหนดมาก่อน
การเยีย่ มชั้นเรี ยน
• สังเกตคนอื่นขณะทางาน
การฟังเทป วิทยุ วิดิทศั น์
•
•
•
•
•
•
การประชุมสภาสมัชชา(Assembly)
การประชุมแบบมีกาหนด(Convention)
การประชุมปรึกษา(Conference)
การประชุมแบบปฏิบตั ิ การ(Workshop)
การประชุมมนา(Seminar)
การประชุมอภิปราย(Discussion)
ประเด็นในการสังเกตการสอน
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
8.
ขัน้ นาเข้าสู่บทเรียน
ขัน้ ชี้แนะจุดมุ่งหมาย
ขัน้ ให้ความรู้ใหม่
ขัน้ ตรวจสอบความเข้าใจ
ขัน้ ทาให้ดเู ป็ นตัวอย่าง
ขัน้ ฝึ กปฎิบตั ิ
ขัน้ ให้ทางานตามลาพัง
ขัน้ สรุป
แบบประเมินการนิเทศการเรียนการสอน/การ
ตรวจเยี่ยมห้องเรียน
ที่
รายการ
ก.พฤติกรรมของครู ผสู ้ อน
1.
จัดโต๊ะทางานเป็ นระเบียบ
2.
จัดสื่ อ-อุปกรณ์การสอนเป็ นระเบียบ
มีการใช้เป็ นประจา
ใช้วาจาที่สุภาพเหมาะสม และสร้าง
ความสนใจให้นกั เรี ยน
การแต่งกายสะอาด เรี ยบร้อยและ
เหมาะสมกับการเรี ยนการสอน
3.
4.
คะแนนประเมิน
หมายเหตุ
แบบประเมินการนิเทศการเรียนการสอน/การ
ตรวจเยี่ยมห้องเรียน
ที่
รายการ
ข. พฤติกรรมของนักเรี ยน
5.
กล้าพูดคุยกับคนแปลกหน้า
6.
กล้าซักถามครู
7.
กระตือรื อร้นที่จะตอบคาถามครู
ขณะสอน
มีความสุ ภาพ ร่ าเริ งแจ่มใส
8.
9.
10
ตั้งใจปฏิบตั ิกิจกรรมการเรี ยนการ
สอนที่ได้รับมอบหมาย
แต่งกายสะอาดเรี ยบร้อย
คะแนนประเมิน
หมายเหตุ
แบบประเมินการนิเทศการเรียนการสอน/การ
ตรวจเยี่ยมห้องเรียน
ที่
รายการ
ค. สภาพห้ องเรียน
1 มีป้ายนิเทศในห้ องเรียน มีข่าวสาร
1 ความรู้ ต่าง ๆ
1 มีป้ายแสดงข้ อมูลสถิติของห้ องเรียน
คะแน หมา
น
ย
ประเมิ เหตุ
น
ประเด็นในการสังเกตการสอน
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
8.
9.
10.
การวางแผนการสอน
การเลือกใช้เทคนิคการสอน
การคานึ งถึงความแตกต่างของนักเรียน
การจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในบทเรียน
ความเชี่ยวชาญในเนื้ อหาที่สอน
การรู้จกั ใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้เวลาเพื่อการสอนอย่างคุ้มค่า
ความสามารถในการชักจูงนักเรียน
ความสามารถในการสื่อความหมาย
ความสามารถในการประเมินและช่วยเหลือนักเรียน
ศิลปในการนิเทศ นิเทศอย่างไร
• ทาอย่างง่าย หลีกเลี่ยงพิธีการ
• มีทา่ ทีเป็ นมิตร อ่อนน้อม มนุษยสัมพันธ์ สร้างความ
อบอุ่น เป็ นกันเอง ระมัดระวังคาพูด ท่าทีให้เกิด
ความขัดแย้ง
• เป็ นผูฟ้ ั งมากกว่าผูพ้ ดู
• เห็นอกเห็นใจ
• รับฟั งความคิดเห็นอย่าสกัดกั้นความคิดเห็น
• ยิ้มแย้มแจ่มใส สนทนาพาที
• หากพบความผิดอย่ากล่าวถึงข้อผิดพลาด
หากพบความผิดหลายคนควรทาเป็ นเอกสาร
ไม่ควรนิเทศทางตรง ทางเดียว
หากพบความสามารถรีบยกย่อง ประกาศให้ทราบ
พยายามมองหาข้อดีเพื่อทาการยกย่อง
มองข้ามความผิดเล็กๆ น้ อย พูด นัง่ ยืน ดูผลรวม
การสอนเป็ นหลักสาคัญ
• ทาให้ดดู ีกว่าพูด
• สร้างบุคลิกภายในภายนอกให้ดี จริงใจ เห็นใจ
• ห้ามพูดสอดแทรกหรือลุกขึน้ มาสอนเอง
•
•
•
•
•
ทักษะสาคัญในการนิเทศ
•
•
•
•
•
เป็ นผูน้ า
มนุษยสัมพันธ์
สามารถทางานเป็ นทีม
สร้างขวัญ กาลังใจ
สื่อสาร
ผลที่ได้จากการนิเทศ
• ผลระหว่างการนิเทศ ทัศนคติ ความพึงพอใจ ควมผูกพันต่อเป้ าหมาย
ของงาน ระดับจุดมุ่งหมายที่จดั ตั้งขึ้น ระดับของความจงรักภักดีต่อกลุ่ม
• ผลที่ได้รับจากการนิเทศ
- ครู ปริ มาณของบุคลากรที่มีคุณภาพครู ดีข้ ึน ความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคล
ความตั้งใจในการทางาน
- นักเรี ยน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนสูงขึ้น
การสร้ างความสั มพันธ์ ระหว่ าง โรงเรียนกับชุมชน
• ความจาเป็ นในการสร้ างความสั มพันธ์ กบั ชุมชน
–การศึกษาในโรงเรียนสั มพันธ์ กบั ชุมชน
–สร้ างความเข้ าใจซึ่งกันและกัน
–แก้ ปัญหากับกลุ่มทีเ่ ป็ นปัญหาต่ อการศึกษา
–เป็ นแหล่ งถ่ านทอดวัฒนธรรม
–เป็ นศูนย์ อบรมของชุมชน
• โรงเรียนและชุมชนมีจุดหมายเดียวกันคือ
• พัฒนาคนให้เป็ นคนดี สามารถดารงชีวิตอยูใ่ น
สังคมอย่างเป็ นสุ ข
หลักการสร้ างความสั มพันธ์ ระหว่ างโรงเรียนกับชุมชน
– ยึดหลักมนุษยสัมพันธ์
– ซื่ อสัตย์
– จริ งใจ
– อดทน
– เสี ยสละ
– คงเส้นคงวา
– ครอบคลุมเนื้อหา
– เรี ยบง่าย
– ยืดหยุน่
– สร้างสรรค์
– ต่อเนื่อง
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
การสร้ างความสั มพันธ์ ระหว่ าง โรงเรียนกับชุ มชน
หลักการสร้ างความสั มพันธ์ ระหว่ างโรงเรียนกับชุ มชน
ความสัมพันธ์ระหว่างผูบ้ ริ หาร บุคลากร ผูป้ กครองและชุมชน
การเชิญผูป้ กครองหรื อประชาชนในชุมชนมาโรงเรี ยน
การรายงานเกี่ยวกับตัวนักเรี ยนให้ผปู้ กครองทราบ
โรงเรี ยนให้ความช่วยเหลือชุมชน
โรงเรี ยนขอความช่วยเหลือและความร่ วมมือจากชุมชน
การให้บริ การด้านอาคารสถานที่แก่ชุมชน
การใช่ทรัพยากรชุมชน
การออกเยีย่ มผูป้ กครองและนักเรี ยนตามบ้าน
การประชาสัมพันธ์โรงเรี ยน