สรุปรูปแบบการจัดการเรียนรู้
Download
Report
Transcript สรุปรูปแบบการจัดการเรียนรู้
หัวข้อและโครงร่างการค้นคว้าแบบอิสระ
หลักสู ตรวิทยาศาสตร ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการ
จัดการความรู ้
่ และเทคโนโลยี
วิทยาลัยศิลปะ สือ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
่
1. ชือและสกุ
ล (Name and Surname)
นางสาว อนัญญา นิ วร ัตน์
รหัสนักศึกษา (Student Code)
542132040
่ องการค้
่
2.ชือเรื
นคว้าแบบอิสระ(Title)
2.1 ภาษาไทย (Thai) : ผลการใช้สอแผนผั
ื่
งค
้ั
้ั ที่ 4 โรงเร
เทคนิ คการสอนนักเรียนชนประถมศึ
กษาชนปี
จังหวัดเชียงใหม่
2.2ภาษาอ ังกฤษ (English) : The media plan
techniques to help students at four-year school d
3.หลักการ ทฤษฎี เหตุผล และ/หรือสมมุตฐ
ิ าน (Principles Theory, Rational
้
โรงเรียนบ้านแม่ป๋ ั ง ตังอยู
่หมู ่ท ี่ 14 ตาบลแม่ป๋ ั ง อาเภอพร ้าว จังหวัดเชียงใหม
เป็ นเนิ นสู ง อยู ่หา
่ งจากจังหวัดเชียงใหม่ 77 กิโลเมตร ห่างจากอาเภอพร ้าว 17
้ การศึ
่
้
เขตพืนที
กษาเชียงใหม่ เขต 2 97 กิโลเมตรภู มป
ิ ระเทศตังอยู
่กลางหุบเขา อ
้ การศึ
่
ห่างจากอาเภอพร ้าว 35 กิโลเมตร ห่างจากสานักงานเขตพืนที
กษาเชียง
เปิ ดสอนในระดับอนุ บาล – มัธยมศึกษาปี ที่ 3 เป็ นโรงเรียนร ัฐบาลสอนตาม หลักสู ต
่ ยงเด็
้
พุทธศ ักราช ๒๕๕๑ ปั จจุบน
ั มีครู จานวน 24 คน ครู อ ัตราจ้าง 2 คน พีเลี
กพิก
้ั
แบ่งเป็ นนักเรียนชนอนุ
บาล 58 คนและเนื่องจากโรงเรียนบ้านแม่ป๋ ั งเป็ นโรงเรียนขย
เข้าย้ายออกระหว่างเทอมมาก (แบบ บค.20) และก็มน
ี ก
ั เรียนบางส่วนเป็ นไทยใหญ่แ
่ ผูด
้ งมีผูป
่ นชนเผ
“มู ลนิ ธอ
ิ น
ุ่ ใจ”ซึงมี
้ ู แลและเสียค่าใช้จา
่ ยไม่มาก ดังนันจึ
้ กครองทีเป็
่ ั งเวลามีการบ้านนักเรียนก็ไม่มท
ทาให้ผูด
้ ู แลดูแลไม่ทวถึ
ี ปรึ
ี่ กษาและคาแนะนา ทา
่ กเรียนทีผู
่ ว้ จ
้ ปัญหาในเรืองการเรี
่
้
่
ซึงนั
ิ ย
ั สอนอยู ่นีมี
ยนวิชาประวัติศาสตร ์นี มาก
ซึงค
่
่ าน
ใช้ก ับนักเรียนเช่นในปั จจุบน
ั เป็ นโลกแห่งเทคโนโลยีครู ผูส
้ อนจึงนาสือการสอนที
ผ่
่
่ ทงข้
้ั อดีและข้อจากัดขอสือผ่
่ านเค
มัลติมเี ดียการ ์ตู นมัลติมเี ดียมาเป็ นสือการสอนซึ
งมี
้ อ
การศึกษามาใช้มด
ี งั นี คื
่ านเครือข่ายอินเทอร ์เน็ ต CAIหรือสือมั
่ ลติมเี ดีย
ความหมายของสือผ่
่ านเครือข่าย
ได้มน
ี ก
ั การศึกษาได้ให้นิยามความหมายของสือผ่
อินเทอร ์เน็ ต(Web Based Instruction) เอาไว้หลายนิ ยามดงั นี ้ (อ้าง
ถึงใน สรรร ัชต ์ ห่อไพศาล,2544)
่
คาน (Khan, 1997) ได้ให้คาจากัดความของสือการเรี
ยนการสอนผ่านเว็บ(Web
่
่ วยในการสอน
ทีอาศ
ัยโปรแกรมไฮเปอร ์มีเดียทีช่
โดยการใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะ
เรียนรู ้อย่างมีความหมาย
โดยส่งเสริมและสนับสนุ นการเรียนรู ้อย่างมากมาย โดยส่ง
่
คลาร ์ก (Clark, 1996) ได้ให้คาจัดความของสือการเรี
ยนการสอนผ่านเว็บว่า
่ าเสนอโดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร ์สาธารณะหรือส่วนบุคคล
ทีน
และแสดงผลใ
่ ดตังไว้
้ ได้โดยผ่านทางเครือข่าย
และสามารถเข้าถึงข้อมู ลทีติ
่
รีแลน และกิลลานี (Relan and Gillani, 1997) ได้ให้ความหมายของสือการเร
เป็ นการกระทาของคณะหนึ่งในการเตรียมการคิดในกลวิธก
ี ารสอนโดยกลุ่มคอมสตร ักติว
โดยใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทร ัพยากรในเวิลไวด ์เว็บ
พาร ์สัน (Parson,1997) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่า เป
้
หรือทังหมดโดยอาศ
ัยเว็บ โดยเว็บสามารถกระทาได้หลากหลายรู ปแบบและหลากหลายข
วัสดุชว
่ ยการเรียนรู ้ และการศึกษาทางไกล
่
ข้อดี [ระบบออนไลน์]. แหล่งทีมา
http://www.learners.in.th/blogs/posts/4535
(11 กุมภาพันธ ์ 2554)
่ ลติมเี ดียช่วยให้การออกแบบ
1. เทคโนโลยีดา้ นสือมั
บทเรียน ตอบสนองต่อแนวคิด และทฤษฎีการ
่ น
้ รวมทังส่
้ งผลโดยตรงต่อ
เรียนรู ้มากยิงขึ
์
่ านมาแสดงให้
ผลสัมฤทธิทางการเรี
ยน การวิจยั ทีผ่
่ ลติมเี ดียว่า สามารถ
เห็นถึงประสิทธิภาพของสือมั
ช่วยเสริมการเรียนรู ้ ทาให้ผูเ้ รียนมีผลสัมฤทธิ ์
่ งขึนได้
้
ทางการเรียนทีสู
่ ลติมเี ดียในรู ปแบบของซีดรี อม ใช้ง่าย เก็บ
2. สือมั
ร ักษาง่ าย พกพาได้สะดวก และสามารถทาสาเนา
ได้ง่าย
่ ลติมเี ดียเป็ นสือการสอนที
่
่ ดโอกาสให้
3. สือมั
เปิ
ผู เ้ รียนสามารถเรียนรู ้ด้วยตนเองตามศ ักยภาพ
ความต้องการ และความสะดวกของตนเอง ซึง่
นักเรียนปั จจุบน
ั สามารถเข้าถึงได้ง่ายและ
4. ในปั จจุบน
ั มีโปรแกรมช่วยสร ้างบทเรียน
(Authoring Tools) ทีง่่ ายต่อการใช้งานทาใ
ใช้เองได้
่
้
่
่
5. ผู ส
้ อนสามารถใช้สอมั
ื่ ลติมเี ดียเพือสอนเนื
อหาใหม่
เพือการฝึ
กฝน เพือเสนอสถานกา
้ ขึ
้ นอยู
้
้
ทังนี
่ก ับวัตถุประสงค ์ของการนาไปใช้เป็ นประการสาคัญ รู ปแบบต่างๆ ดังกล่าวนี จะ
คิดหาคาตอบ
่ ลติมเี ดียช่วยสนับสนุ นให้มส
่ ยนไม่จากัดอยู ่เพียงห้องเรียน เท่านัน
้ ผู เ้ รียน
6. สือมั
ี ถานทีเรี
่
่
แวดล้อมอืนๆตามเวลาที
ตนเองต้
องการ
7. เทคโนโลยีสอมั
ื่ ลติมเี ดีย สนับสนุ นให้เราสามารถใช้สอมั
ื่ ลติมเี ดียกับผู เ้ รียนได้ ทุกระดับ
้
เหมาะสมกับผู เ้ รียนเท่านัน
่ ลติมเี ดียทีมี
่ คุณภาพ นอกจากจะช่วยให้เกิดความคุม
8. สือมั
้ ค่าในการลงทุนของโรงเรียน
่ อีกด้วย ส่วน
ยังช่วยส่งเสริมให้การใช้สอมั
ื่ ลติมเี ดียเป็ นประโยชน์ตอ
่ สถานศึกษาอืนๆ
ข้อจากัดhttp://learning.pitlokcenter.com/captivate/train่
media_forlearning.htm[ระบบออนไลน์]. แหล่งทีมาCopyright
© 2007,
PitlokCenter.com. All rights reserved ( 20 ธ ันวาคม 2554 )
้
่
่
1.ถึงแม้วา
่ ขณะนี ราคาของเครื
องคอมพิ
วเตอร ์ และค่าใช้จา
่ ยต่าง ๆ เกียวกับ
่
คอมพิวเตอร ์จะ ลดลงมากแล้วก็ตาม แต่การทีจะน
าคอมพิวเตอร ์มาใช้ในวง
่ นจ
้ าเป็ นต้อง มีการพิจารณากันอย่างรอบคอบเพือให้
่
การศึกษาในบางสถานทีนั
คม
ุ้
กับค่าใช้จา
่ ยตลอดจนการดู แลร ักษาด้วย
่ ลติมเี ดียเพือการศึ
่
่ คณ
2.การออกแบบสือมั
กษาทีมี
ุ ภาพเหมาะสมตามหลักทาง
่
่
จิตวิทยาและการเรียนรู ้นับว่ายังมีน้อย เมือเที
ยบกับการออกแบบโปรแกรมเพือใช้
้ งขาดอุปกรณ์ทได้
่
3.ในขณะนี ยั
ี่ คุณภาพมาตรฐานระดับเดียวกัน เพือให้
สามารถใช้ได้กบ
ั
่
เครืองคอมพิ
วเตอร ์ต่างระบบก ัน
่
่ ลติมเี ดียเพือการศึ
่
้
่ องอาศ ัยเวลา
4.การทีจะให้
ผูส
้ อนเป็ นผู อ
้ อกแบบสือมั
กษานันเป็
นงานทีต้
่ าให้เป็ นการเพิมภาระของผู
่
่ น
้
สติปัญญาและความสามารถเป็ นอย่างยิงท
ส
้ อนให้มม
ี ากยิงขึ
่ มี
่ ความยุ่งยากในการใช้งาน และความซ ับซ ้อนของระบบการทางาน
5. คอมพิวเตอร ์เป็ นสือที
่
่ นๆ
่
มาก เมือเที
ยบกับสืออื
่ นปั ญหานอกเหนื อจากการควบคุมมาก เช่น ไฟฟ้าขัดข้อง ระบบ Server เป็ น
6.มีต ัวแปรทีเป็
ต้น
่
่ ลติมเี ดียมีการเปลียนแปลงเร็
่
่ ลติมเี ดีย
7. เทคโนโลยีทเกี
ี่ ยวข้
องก ับสือมั
วมาก ทาให้ผูผ
้ ลิตสือมั
่
ต้องหาความรู ้ให้ทน
ั ต่อการเปลียนแปลงเสมอ
่ ลติมเี ดียนันต้
้ องการทีมงานทีมี
่ ความชานาญในแต่ละด้านเป็ นอย่างมากอีก
8.ในการผลิตสือมั
้ องมีการประสานงานก ันในการทางานสู ง
ทังต้
การเปลีย
่ นแปลงรวมทัง้ บทบาทของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทส่
ี่ งผลต่อการจด
ั รู ปแบบการ
้
่ าให้การเรียนการสอนทางไกลการฝึ กอบรมทางไกล รวมทังการ
้
เรียนการสอนนี เอง
ทีท
้
่ าได้ยาก
เรียนการสอนในลักษณะของการอภิปรายโต้ตอบทังกลุ
่มใหญ่และกลุ่มย่อย ซึงท
่
่ แปลกใหม่ในอนาคตและไม่มก
และต้องเสียค่าใช้จา
่ ยมากจะเป็ นเรืองที
ไม่
ี ารโต้ตอบกับ
ผู เ้ รียนโดยตรงทาให้ผูเ้ รียนขาดการมีส่วนร่วม
้ าสือคื
่ อทาได้ยากและต้องเสีย
จากการทีน
่ ักเรียนไม่มส
ี ว่ นร่วมและไม่มป
ี ระติสนธิกบ
ั ครูผู ้สอนร่วมทังท
่
่ แปลกใหม่ในอนาคตและไม่มก
ค่าใช้จา
่ ยมากจะเป็ น เรืองที
ไม่
ี ารโต้ตอบกบ
ั ผู เ้ รียนโดยตรงทาให้ผูเ้ รียน
ขาดการมีสว
่ นร่วมทัง้ จึงเวลาสั่งการบ ้านรวมทัง้ การจัดทารายงานไม่สามารถทาได ้และนักเรียนจะมี
ี งดังในเวลาทีด
พฤติกรรมการเรียนทีไ่ ม่ดค
ี อ
ื จะตัง้ ใจดูและเรียนในตอนต ้นชวั่ โมง จะคุยและเล่นกันเสย
่ ู ไม่ม ี
ความกระตือรือร ้นในการเรียนและเมือ
่ ครูได ้สอบถามหรือใชค้ าถามกระตุ ้นให ้นั กเรียนคิดเกีย
่ วกับเรือ
่ งที่
นักเรียนดูก็มักจะตอบคาถามได ้ไม่ตรงกับเนือ
้ หาทีเ่ รียน สง่ ผลให ้นักเรียนร ้อยละ 60 มีผลการเรียนรู ้วิชา
ประวัตศ
ิ าสตร์อยูใ่ นระดับตา่
(เกณฑ ์การแปลความหมายคะแนน)
ร ้อยละ 80-100
หมายถึง ระดับดีมาก
ร ้อยละ
70-79
หมายถึง ระดับดี
ร ้อยละ
60-69
หมายถึง พอใช ้
ร ้อยละ
50-59
หมายถึง ระดับน ้อย
ตา่ กว่าร ้อยละ 50
หมายถึง ควรปรับปรุง
ั ้ ประถมศก
ึ ษาชน
ั ้ ป.4 มี 3 สาเหตุคอ
สาเหตุของการได ้คะแนนตา่ ของนักเรียนชน
ื
ื่ การสอนแบบ CAT ซงึ่ วิชานีม
1. นักเรียนไม่เข ้าใจเนือ
้ หาวิชาประวัตศ
ิ าสตร์เนือ
่ งจากครูใชส้ อ
้ เี นือ
้ หาเยอะต ้อง
้
ใชความจ
า และมีการดูเป็ นเวลานาน
ิ ( อยูม
2. นักเรียนเป็ นชนเผ่าขาดการดูแลอย่างใกล ้ชด
่ ล
ู นิธอ
ิ น
ุ่ ใจซงึ่ มีนักเรียนพักอยูร่ ่วมกันเป็ นจานวนมาก )
่ งึ ทาให ้นั กเรียน.ขาดทักษะการอ่านการและสอ
ื่ ความหมายภาษาไทยตา่ ทาให ้ทา
ทาให ้ขาดการเอาใจใสจ
ั ้ ป.4 ตา่ ( สมุดรายงานผลการเรียน 1:2554:4 )
ข ้อสอบไม่ถก
ู ต ้องคะแนนสอบวิชาภาษาไทยของนักเรียนชน
3. นักเรียนไม่ได ้เรียนวิชาประวัตศ
ิ าสตร์มาตัง้ แต่ต ้นเทอมซงึ่ ได ้มีการสอนเนือ
้ หาไปมากแล ้ว
ดังนัน
้ นักเรียนทีไ่ ด ้ย ้ายมาระหว่างเทอม และเป็ นชนเผ่าสว่ นมากนีเ้ รียนรู ้ไม่ทันนักเรียนอืน
่
(แบบ บค.20)
จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาประวัตศ
ิ าสตร์ทผ
ี่ า่ นมาผู ้วิจัยได ้ทาการวิเคราะห์ Problem
ี้ นะจึงได ้พบสาเหตุของผลสม
ั ฤทธิท
treeโดยมีอาจารย์ พุทธวรรณ ขันต ้นธงเป็ นผู ้ชแ
์ างด ้านการเรียน
ั ้ ป.4 อยูใ่ นเกณฑ์ตา่ ทัง้ นีถ
รายวิชาประวัตศ
ิ าสตร์ของนักเรียนชน
้ ้าวิเคราะห์จากสภาพปั จจุบัน พบว่าสาเหตุ
ื่ การสอน
สาคัญ ซงึ่ ผู ้วิจัยพอสรุปได ้ดังนีค
้ อ
ื นักเรียนไม่เข ้าใจเนือ
้ หาวิชาประวัตศ
ิ าสตร์เนือ
่ งจากครูใชส้ อ
้
ึ ษาและได ้
แบบ CAT ซงึ่ วิชานีม
้ เี นือ
้ หาเยอะต ้องใชความจ
าและมีการดูเป็ นเวลานานและจากการทีผ
่ ู ้วิจัยศก
ทบทวนวรรณกรรมของผู ้วิจัยหลายๆท่านซงึ่ ได ้นาเอารูปแบบการจัดการเรียนรู ้แบบ
้ ้ผลดีด ้วยส่วนนี ้เป็ นการทบทวนวรรณกรรม
Mind Map มาใชกั้ นอย่างกว ้างขวางแล ้วใชได
ื่ ว่าถ ้ามีการนารูปแบบการจัดการความรู ้แบบ Mind Map มาใชกั้ บนักเรียนชน
ั ้ ป.4
ดังนัน
้ ผู ้วิจัยเชอ
โรงเรียนบ ้านแม่ปั๋งแล ้วจะสง่ ผลให ้นักเรียนมีผลสัมฤทธิท
์ างการเรียนวิชาประวัตศ
ิ าสตร์อยูใ่ นเกณฑ์ทส
ี่ งู ขึน
้
ได ้
ภายในองค ์กร อันนาไปสู่การ
่ ประสิทธิภาพมากขึน้ ซึงเป็
่ นสิงที
่ จ่ าเป็ นสาหร ับการดาเนิ นการธุรกิจทีดี
่ องค ์กรขนาดใหญ่
จัดการสารสนเทศทีมี
โดยส่วนมากจะมีการจัดสรรทร ัพยากร
สาหร ับการจัดการองค ์ความรู ้ โดยมักจะเป็ นส่วนหนึ่ งของแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศหรือแผนกการจัดการ
ทร ัพยากรมนุ ษย ์
ความรู ้สามารถแบ่งออกเป็ นประเภทใหญ่ๆ ได ้สองประเภท คือ ความรู ้ชัดแจ ้ง (Explicit Knowledge)
และ ความรู ้แฝงเร ้น (Tacit Knowledge)
่ ยนอธิบายออกมาเป็ นตัวอักษร เช่น คูม
ความรู ้ ชัดแจ ้งคือความรู ้ทีเขี
่ อ
ื ปฏิบต
ั งิ าน หนังสือ ตารา ส่วนความรู ้แฝง
่ งอยู่ในตัวคน
เร ้นคือความรู ้ทีฝั
้ั ไม่สามารถถอดเป็ นลายลักษณ์อก
่ าคัญส่วน
ไม่ได ้ถอดออกมาเป็ นลายลักษณ์อก
ั ษร หรือบางครงก็
ั ษรได ้ ความรู ้ทีส
ใหญ่ มีลก
ั ษณะเป็ นความรู ้แฝงเ
่
่ จึงต ้องอาศัยกลไกแลกเปลียนเรี
่
ร ้น อยู่ในคนทางาน และผูเ้ ชียวชาญในแต่
ละเรือง
ยนรู ้ให ้คนได ้พบกัน สร ้างความ
ไว ้วางใจกัน และถ่ายทอด
ความรู ้ระหว่างกันและกันระดับของความรู ้ สามารถแบ่งออกได ้เป็ น 4 ระดับ คือ
่ี าเร็จการศึกษามา
1.ความรู ้เชิงทฤษฏี (Know-What) เป็ นความรู ้เชิงข ้อเท็จจริง รู ้อะไร เป็ นอะไร จะพบในผูท้ ส
่ ความรู ้โดยเฉพาะความรู ้ที่
ใหม่ๆ ทีมี
่ ้จากการได ้เรียนมาก แต่เวลาทางาน ก็จะไม่ม่นใจ
่ อน
จามาได ้จากความรู ้ชัดแจ ้งซึงได
ั
มักจะปรึกษารุน
่ พีก่
่
2. ความรู ้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท (Know-How) เป็ นความรู ้เชือมโยงกั
บโลกของความเป็ นจริง ภายใต ้สภาพ
่ บซ ้อนสามารถนาเอา
ความเป็ นจริงทีซั
่ ้มาประยุกต ์ใช ้ตามบริบทของตนเองได ้ มักพบในคนทีท
่ างานไปหลายๆปี จนเกิดความรู ้ฝังลึกที่
ความรู ้ชัดแจ ้งทีได
เป็ นทักษะหรือประสบการณ์มาก
ขึน้
่ บายเหตุผล (Know-Why) เป็ นความรู ้เชิงเหตุผลระหว่างเรืองราวหรื
่
3. ความรู ้ในระดับทีอธิ
อเหตุการณ์ตา่ งๆ
ผลของประสบการณ์แก ้ปัญหาที่
่
่ื เป็ นผูท้ างานมาระยะหนึ่ งแล ้วเกิดความรู ้ฝังลึก สามารถ
ซับซ ้อน และประสบการณ์มาแลกเปลียนเรี
ยนรู ้กับผูอ้ น
อดความรู ้ฝังลึกของตนเองมา
่
่ื
่ื
้ ับเอาความรู ้จากผูอ้ นไปปร
่ื
แลกเปลียนกั
บผูอ้ นหรื
อถ่ายทอดให ้ผูอ้ นได
้พร ้อมทังร
ับใช ้ในบริบทของตนเองได ้
ความรู ้ในระดับคุณค่า
่
่
่
่
สรุปแนวคิดเกียวก
ับการจ ัดการความรู ้
ความหมายของการจ ัดการความรู ้
การจัดการความรู ้ หมายถึง กระบวนการในการบริหารจัดการความรู ้ไม่วา่ ความรู ้นั้นจะอยู่ในตัวบุคค
่
่
คูม
่ อ
ื สือหรื
อแหล่งความรู ้อืนๆน
ามาทาการรวบรวมข ้อมูล จัดการให ้เป็ นระบบ ระเบียบ ถูกต ้อง คร
่ าคัญทีสุ
่ ดจะต ้องมีการแลกเปล
บุคคลในองค ์กรสามารถเข ้าถึงและเรียกใช ้ข ้อมูล ความรู ้นั้นๆได ้และทีส
่
เข ้าใจทีตรงกั
บความรู ้ไปประยุกต ์ใช ้จนบุคคลในองค ์กรสามารถพัฒนาตนเองและองค ์กรเกิดประสิทธ
สามารถแบ่งออกเป็ นประเภทใหญ่ๆ ได ้สองประเภท คือ ความรู ้ช ัดแจ ้ง (Explicit Knowledge) และค
่ ยนอธิบายออกมาเป็ นตัวอักษร เช่น ค
แบบฝังลึก (Tacit Knowledge) ความรู ้ช ัดแจ ้งคือความรู ้ทีเขี
่ งอยู่ในตัวคน ไม่ได ้ถอดออกมาเป็ นลายลักษณ์อ
เว็ปไซด ์ Blog ฯลฯส่วนความรู ้แฝงเร ้นคือความรู ้ทีฝั
่ าคัญส่วนใหญ่ มีลก
ถถอดเป็ นลายลักษณ์อก
ั ษรได ้ ความรู ้ทีส
ั ษณะเป็ นความรู ้แฝงเร ้น อยู่ในคนทางาน
่ จึงต ้องอาศัยกลไกแลกเปลียนเรี
่
เรือง
ยนรู ้ให ้คนได ้พบกัน สร ้างความไว ้วาง
ใจกัน และถ่ายทอดความรู ้ระหว่างกันและกัน
่ ยวข้
่
สรุปผลการทบทวนวรรณกรรม งานวิจย
ั ทีเกี
องกับงานวิจย
ั การพัฒนาผลสัมฤทธ
้ั
้ั ที่ 4
นักเรียนชนประถมศึ
กษาชนปี
่ ว้ จิ ยั ได ้ทาการศึกษา ทบทวนวรรณกรรมจากงานวิจยั ของผูว้ จิ ยั ท่านอืนๆ
่ ทัง้
จากงานวิจยั ทีผู
้
ได ้ร ับจากงานวิจยั คือ ทาให ้ผูว้ จิ ยั ทราบถึงว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู ้ แบบแผนผังความคิด นี เป
่ ามาใช ้กับรายวิชาต่างๆได ้ เช่น วิชากอท. วิชาคณิ ตศาสตร ์ วิชาสังคมศึกษา ว
การเรียนรู ้ทีน
้ ธยมศึกษาและประถมศึกษาทังนี
้ จะช่
้ วยพัฒนาน
ภาษาอังกฤษ สามารถนามาใช ้ได ้หลากหลายทังมั
่ งขึน้ สามารถนามาปร ับใช ้กับรายวิชาต่างๆ เน้นให ้นักเรียนมีสว่ นร่วม
ทางการเรียนอยู่ในเกณฑ ์ทีสู
่ ด ส่งผลให ้นักเรียนเกิดผลสัมฤทธิทางการเรี
์
่ าพอใจและดีไ
สอนมากทีสุ
ยนอยู่ในเกณฑ ์หรือระดับทีน่
มองเห็นแนวทางในการนาเทคนิ ค วิธก
ี ารจัดการเรียนรู ้ กระบวนการในการดาเนิ นการจัดกิจกรรม
้ ้ข ้อเสน
(MIND MAP)มาใช ้กับนักเรียนในระดับประถมศึกษาชน้ั ป.4 โรงเรียนบ ้านแม่ป๋ ังรวมทังได
่
่ ้นาเสนอไว ้ฉะนั้นผ
การเรียนการสอนแบบแผนทีความคิ
ด(MIND MAP)ของงานวิจยั แต่ละท่านทีได
้
์
กิจกรรมการเรียนรู ้แบบนี จะสามารถแก
้ไขปัญหานักเรียนมีผลสัมฤทธิทางการเรี
ยนวิชาประวัตศ
ิ าส
้
้ั
่
ขึนของนั
กเรียนระดับชนประถมศึ
กษาที4โรงเรี
ยนบ ้านแม่ป๋ ัง
5.ว ัตถุประสงค ์ของการศึกษา(Purposes of the study)
่ มผลสั
่
์
1.เพือเพิ
มฤทธิทางการเรี
ยน
่ กษาความคิดเห็นต่อการใช ้สือสื
่ อผั
่ งความคิดช่วยสร ้างเทคนิ คการสอน
2.เพือศึ
่ กทักษะในการอ่านและเขียนเข ้าใจในการเรียน
3.เพือฝึ
่
่
4.เพือปร
ับเปลียนพฤติ
กรรมการเรียน
6.ประโยชน์ทจะได้
ี่
ร ับจากการศึกษาเชิงทฤษฎีและ/หรือเชิงประยุกต ์(Education/application adva
่
1.เพิมทักษะการเรียนให ้นักเรียน
่
่ กต ้องในการเรียนวิชาประวัตศ
2.มีความเข ้าใจและสือความหมายที
ถู
ิ าสตร ์
3.สร ้างการเรียนรู ้รูปแบบใหม่ให ้แก่นักเรียนโรงเรียนบ ้านแม่ป๋ ัง
7.แผนดาเนิ นการ ขอบเขตและวิธก
ี ารวิจย
ั (Research designs,scope and methods)
7.1ขอบเขตของการวิจย
ั
่
7.1.1ประชากรทีใช้ในการวิจย
ั
่ ้ในการวิจยั ครงนี
้ั ้ คือ นักเรียนระดับชันป.4
้
ประชากรทีใช
โรงเรียนบ ้านแม่ป๋ ัง ต.แม่ป๋ ัง อ.พร ้าว จ.เช
จานวน 21 คน
่ ในการวิจย
7.1.2กลุ่มต ัวอย่างทีใช้
ั
่ ้ในการวิจยั ครงนี
้ั ้ คือ นักเรียนระดับชันป.4
้
กลุ่มตัวอย่างทีใช
โรงเรียนบ ้านแม่ป๋ ัง ต.แม่ป๋ ัง อ.พร ้าว จ
1 ห ้องเรียน จานวน 21 คน
้
่ ในการวิจย
7.2เนื อหาที
ใช้
ั
้ั ครู
้ ผูว้ จิ ยั ได ้ดาเนิ นการโดยวิธวี จิ ยั เชิงปฏิบต
้ ยนโดยใช ้วงจร PAOR 4 ขันตอนคื
้
้
การวิจยั ครงนี
ั ก
ิ ารในชันเรี
อ ขัน
้
้ งเกตการณ์ (Observe) และขันสะท
้
่
ขันปฏิ
บต
ั ก
ิ าร (Act) ขันสั
้อนผลการปฎิบต
ั ิ (Reflect) เพือวางแผนการส
วิธก
ี ารวิจย
ั
วิธด
ี าเนิ นการวิจย
ั
้ั ครู
้ ผูว้ จิ ยั ได ้ดาเนิ นการโดยวิธวี จิ ยั เชิงปฏิบต
้ ยนโดยใช ้วงจร PAOR 4 ขันตอนคื
้
้
การวิจยั ครงนี
ั ก
ิ ารในชันเรี
อ ขัน
้ งเกตการณ์ (Observe) และขันสะท
้
่
(Act) ขันสั
้อนผลการปฎิบต
ั ิ (Reflect) เพือวางแผนการสอนตลอดทั
ง้ 3
้
้ั งหมดจ
้
1. ขันวางแผน
(Plan) ครูผูว้ จิ ยั ได ้วางแผนการเรียนรู ้ก่อนทาการสอนทุกครงทั
านวน 3 แผนสอนสัปดาห ์ละ 1
่
ชัวโมง
้
่
้ องที
่ จะสอนให
่
่
รวมทังหมด
3 ชัวโมง
เตรียมเนื อเรื
้กับนักเรียน กาหนดหัวข ้อทีจะให
้นักเรียนเขียนแผนผังความคิดของ
่
ตนเองท ้ายชัวโมง
กาหนดเกณฑ ์การบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู ้และการประเมินผลงานการเขียนแผนผังความคิดของ
่
่ 1 และหลังการเรียนรู ้ในชัวโมงที
่
่ 3 คือ
นักเรียนในแต่ละครง้ั รวมถึงให ้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนการเรียนรู ้ในชัวโมงที
่
ชัวโมงสุ
ดท ้ายของการเรียนรู ้
้
่
2. ขันปฏิ
บต
ั ก
ิ าร (Act) ครูผูว้ จิ ยั ได ้ดาเนิ นตามแผนทีวางไว
้ดังนี ้
่ การออมทร ัพย ์ เป็ นขันดู
้ พนฐานของนั
แผนการจัดการเรียนรู ้ที่ 1 เรือง
ื้
กเรียนผูส้ อนและนักเรียนได ้ร่วมกัน
่
้
ร ้องเพลง “เมืองเก่า” เพือกระตุ
้นความสนใจของนักเรียน หลังจากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันศึกษาเนื อหาและตอนท
้าย
่
่
่ ยนตามหัวข ้อทีก
่ าหนด พบว่า
ชัวโมงให
้นักเรียนเขียนแผนผังความคิดของเรืองการสถาปนาราชวงค
์พระร่วงแห่งสุโขทัยทีเรี
่
่
่ ยนไปจากการเรี
่
่ ยวกั
่
่ ่
นักเรียนมีความตืนเต
้นทีจะได
้เรียนรู ้ในแนวทีเปลี
ยนรู ้เดิม แต่ก็ยงั เขียนแผนผังความคิดทีเกี
บเรืองที
่
่
่ พระมหากษัตริย ์สุโขทัยและการ
เรียนยังไม่ถก
ู เท่าทีควรและไม่
สามารถทาเสร็จในชัวโมงแผนการจั
ดการเรียนรู ้ที่ 2 เรือง
่
่
้ ้
ปกครองสมัยสุโขทัย ผูว้ จิ ยั เปลียนจากการร
้องเพลงมาเป็ นการถามคาถามชวนคิดเพือกระตุ
้นความสนใจพร ้อมทังใช
่ กเรียนตอบคาถามครูชมเชยนักเรียนทีตอบถู
่
่ มหลังเรียนครู
คาถามเมือนั
กแต่ถ ้านักเรียนตอบไม่ถก
ู ก็จะใหค้ าแนะนาเพิมเติ
้ ยน พบว่านักเรียนมีความท ้อใจทีจะเขี
่
ให ้นักเรียนทาแผนผังความคิดพร ้อมเสนอผลงานแต่ละคนหน้าชันเรี
ยนเพราะเด็กใน
้
่
วัยนี เป็ นวัยทีห่วงการเล่นมากกว่าการเรียน มีนักเรียนบางคนเสนอว่าอยากระบายสีตกแต่ง แต่อย่างไรก็ตามนักเรียนก็ยงั
่
่ 1แผนการจัดการเรียนรู ้ที่ 3 เรือง
่ เศรษฐกิจในสมัย
สามารถเขียนแผนผังความคิดของตนเองได ้และเข ้าใจมากกว่าชัวโมงที
้ ดสมัยสุโขทัย ผูว้ จิ ยั ให ้นักเรียนดูสอที
่ื ผู
่ ว้ จิ ยั สร ้างมาให ้นักเรียนดู ผูว้ จิ ยั และนักเรียนสนทนาเกียวกั
่
สุโขทัยและการสินสุ
บ
้ ดสมัยสุโขทัย โดยได ้สอดแทรกสาระสาคัญของการร ักษาขนบธรรมเนี ยม
การเศรษฐกิจในสมัยสุโขทัยและการสินสุ
่ าหนดในเนื อหาที
้
่ ยน พบว่า
ประเพณี ของไทย และร่วมกันสรุปจากนั้นให ้นักเรียนลงมือเขียนแผนผังความคิดในหัวข ้อทีก
เรี
่ ให ้ความร่วมมือ ไม่น่ ังทีโต๊
่ ะเรียนของตนเอง เดินเล่นไปมารบกวนสมาธิของเพือนที
่
่ งใจท
้
มีนักเรียนบางส่วนทีไม่
ตั
างานแต่ก็
้
่ ยน มีความเข ้าใจมากกว่าเดิมและทา
ยังสามารถเขียนแผนผังความคิดของตนเองได ้อย่างถูกต ้องและตรงกับเนื อหาที
เรี
่
เสร็จส่งทันในชัวโมงเรี
ยน
้ งเกตและรวบรวมข ้อมูล (observe) ครูผูว้ จิ ยั ทาการรวบรวมข ้อมูลด ้วยวิธก
3. ขันสั
ี ารดังนี ้ จากการสังเกตพฤติกรรมการ
เรียนรู ้ จากแบบประเมินผลงานการเขียนแผนผังความคิดของนักเรียนในแต่ละครง้ั การสอบวัดผลพัฒนาการโดยการ
ทดสอบก่อนเรียนในสัปดาห ์แรกและหลังเรียนในสัปดาห ์สุดท ้าย
้
่ ้จากการบันทึกพฤติกรรมการเรียนรู ้ การเขียนแผนผังความคิดของ
4. ขันสะท
้อนผลการปฏิบต
ั ิ (Reflect) ข ้อมูลทีได
่ าผลทีได
่ ้มาปร ับปรุงแก ้ไขอย่างต่อเนื่ องตลอดวงจรดังนี ้
นักเรียน นามาวิเคราะห ์เพือน
่
่
4.3 จากปัญหาทีพบในแผนการจั
ดการเรียนรู ้ที่ 3 ครูผูว้ จิ ยั ได ้แก ้ไขปัญหาทีพบโดยได
้ตักเตือนนักเรียนว่าให ้กลับไปนั่งทีโ่
่ื ้ตังใจท
้
ไม่ให ้ส่งเสียงดังรบกวนสมาธิของผูอ้ นให
างานของตนเองถ ้านักเรียนคนใดยังทาไม่ได ้หรือยังไม่เข ้าใจก็จะดูแลเป็ นร
่
้
้
่ นการเสริมแรงอีกวิธห
ชมเชยสาหร ับนักเรียนทีตังใจเรียนและตังใจเขียนแผนผังความคิดของตนเองเพือเป็
ี นึ่ ง
่
่ ในการวิจย
7.5การสร ้างเครืองมื
อทีใช้
ั
่ อทีใช
่ ้ในการวิจยั ครงนี
้ั ได
้ ้แก่
เครืองมื
1. แผนการจัดการเรียนรู ้
2. แบบสังเกต ทักษะกระบวนการในขณะปฏิบต
ั ก
ิ จิ กรรม
3.แบบประเมินผลงานการเขียนแผนผังความคิดของนักเรียน
้
4. แบบประเมินชินงาน
5.แบบประเมินทักษะสังคม
6.แบบทดสอบ
่
การสร ้างเครืองมื
อเก็บรวบรวม
่ ว้ จิ ยั สร ้างขึนมี
้ ขนตอนดั
้ั
1. แผนการจัดการเรียนรู ้ทีผู
งนี ้
1.1 ศึกษาหลักสูตร
่
1.2 สร ้างแผนการจัดการเรียนรู ้ 3 แผนโดยใช ้เวลาสอนแผนละ 2 ชัวโมง
้ ้
2. แบบสังเกต ทักษะกระบวนการในขณะปฏิบต
ั ก
ิ จิ กรรมดังนี
่ เรี
่ ยน การตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นและการแก ้ไขปัญหา กา
ผูว้ จิ ยั ให ้คะแนนจาก 3 ส่วนคือ ความสนใจในเรืองที
ส่วนละ 5 คะแนนเท่ากัน
้ั ้
3. แบบประเมินผลงานการเขียนแผนผังความคิดมีดงนี
้
ผูว้ จิ ยั ให้คะแนนจาก 3 ส่วนคือ 1.ความถูกต ้องในการเขียนแผนผังการจาแนกเนื อหาจากหน่
วยใหญ่ไปหาหน่ วยย่อย 2.
่
้
้
3.ความถูกต ้องในการอธิบายและการเชือมโยงความสั
มพันธ ์ของเนื อหาและการสรุ
ปประเด็นสาคัญของเนื อหา
้
้ั ้
4. แบบประเมินชินงานมี
ดงนี
ครูผูว้ จิ ยั ได ้ให ้คะแนนจากความถูกต ้องในการวาดภาพ ความสวยงามและความสะอาด ความถูกต ้องในการอธิบายเก
5.แบบประเมินทักษะสังคม
ผูว้ จิ ยั ได ้ให ้คะแนนจากการสังเกตใช ้ทักษะทางสังคมในขณะปฏิบต
ั ก
ิ จิ กรรมในหอ้ งเรียนของนักเรียน
้
8. แบบทดสอบ ขันตอนการสร
้างแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู ้มีดงั นี ้
่ ยวข
่
6.1 ศึกษาเอกสารและหนังสือทีเกี
้องกับการสร ้างแบบทดสอบชนิ ด 3 ตัวเลือก
้
่ กเรียนยังไม่เข ้าใจ
6.2 วิเคราะห ์เนื อหารายวิ
ชาทีนั
6.3 สร ้างแบบทดสอบ 3 ตัวเลือกจานวน 10 ข ้อคะแนนเต็ม 10 คะแนน
่ ้างให ้ครูพเลี
่ี ยงหรื
้
่
่
้
6.4 นาแบบทดสอบทีสร
อผูเ้ ชียวชาญตรวจสอบว่
ามีความเทียงตรงกั
บเนื อหาหรื
อไม่และน
ข ้อบกพร่อง
้ อนเรียนและหลังเรียน
6.5 นาแบบทดสอบไปใช ้จริงกับนักเรียนทังก่
9. การเก็บรวบรวมข้อมู ล
้ั
โดยมีขนตอนด
าเนิ นการดังนี ้
1. ผูว้ จิ ยั ให ้นักเรียนทดสอบก่อนเรียน 1 ครง้ั
2. โดยผูว้ จิ ยั ได ้สังเกตทักษะกระบวนกานการเรียนรู ้ ทักษะทางสังคมของนักเรียนและบันทึก
่
่
เป็ นรายบุคคลในแต่ละชัวโมงที
สอนจ
านวน 3 ครง้ั
3. โดยผูว้ จิ ยั ประเมินผลงานการเขียนแผนผังความคิดของนักเรียนจานวน 2 ครง้ั
่ ว้ จิ ยั ประเมินจากชินงานจ
้
4. โดยทีผู
านวน 2 ครง้ั
์ ดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน
5. ทดสอบหลังเรียนด ้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิชุ
10. การจัดกระทาและการวิเคราะห ์ข้อมู ล
่ ้จากการบันทึกทักษะกระบวนการเรียนรู ้ของนักเรียนเป็ นรายบุคคลในแต่ละ
1.โดยการหาค่าร ้อยละของคะแนนทีได
่ ้จากการบันทึกทักษะทางสังคมของนักเรียนเป็ นรายบุคคลในแต่ละครงทั
้ั งช
้
2.โดยการหาค่าร ้อยละของคะแนนทีได
่ ้อยละของคะแนนทีได
่ ้จากการประเมินผลงานการเขียนแผนผังความคิดของน
3.โดยการหาค่าร ้อยละและค่าเฉลียร
้ั งชั
้ นเรี
้ ยน
ละครงทั
่ ้อยละของคะแนนทีได
่ ้จากชินงาของนั
้
้ั งชั
้ นเ
้
4.โดยการหาค่าร ้อยละและค่าเฉลียร
กเรียนเป็ นรายบุคคลในแต่ละครงทั
5
่ ค่าร ้อยละของแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
5.โดยการหาค่าเฉลีย
การแปลความหมายของคะแนน
ผูว้ จิ ยั ได ้กาหนดเกณฑ ์การให ้คะแนนดังนี ้
้
เกณฑ ์การให ้คะแนนร ้อยละจากพฤติกรรมการเรียนรู ้ในชันของนั
กเรียน จากการประเมินผลการเขียนแผนผังคว
้
้
เต็มครงละ
ั 20 คะแนนจานวน 4 ครงรวมเป็
ั
น 80 คะแนน
แบบประเมินทักษะกระบวนการเรียนรู ้
เกณฑ ์การแปลความหมายจากคะแนน
ร ้อยละ
80-100
หมายถึง ระดับดีมาก
ร ้อยละ
70-79
หมายถึง ระดับดี
ร ้อยละ
60-69
หมายถึง พอใช ้
ร ้อยละ
50-59
หมายถึง ระดับน้อย
ต่ากว่าร ้อยละ
50
หมายถึง ควรปร ับปรุง
แบบประเมินทักษะทางสังคม
เกณฑ ์การแปลความหมายจากคะแนน
ร ้อยละ
80-100
หมายถึง ระดับดีมาก
ร ้อยละ
70-79
หมายถึง ระดับดี
ร ้อยละ
60-69
หมายถึง พอใช ้
ร ้อยละ
50-59
หมายถึง ระดับน้อย
ต่ากว่าร ้อยละ
50
หมายถึง ควรปร ับปรุง
แบบประเมินการเขียนผังความคิด
เกณฑ ์การแปลความหมายจากคะแนน
ร ้อยละ
80-100
หมายถึง ระดับดีมาก
ร ้อยละ
70-79
หมายถึง ระดับดี
ร ้อยละ
60-69
หมายถึง พอใช ้
ร ้อยละ
50-59
หมายถึง ระดับน้อย
ต่ากว่าร ้อยละ
50
หมายถึง ควรปร ับปรุง
้
แบบประเมินชินงาน
เกณฑ ์การแปลความหมายจากคะแนน
ร ้อยละ
80-100
หมายถึง ระดับดีมาก
ร ้อยละ
70-79
หมายถึง ระดับดี
ร ้อยละ
60-69
หมายถึง พอใช ้
ร ้อยละ
50-59
หมายถึง ระดับน้อย
ต่ากว่าร ้อยละ
50
หมายถึง ควรปร ับปรุง
แบบทดสอบ
เกณฑ ์การแปลความหมายจากคะแนน
้
ร ้อยละ 80 คะแนน ขึนไป
หมายถึง ดีมาก
ร ้อยละ
70-79
หมายถึง ดี
ร ้อยละ 60-69 หมายถึง ปานกลาง
ร ้อยละ 50-59 หมายถึง พอใช ้
ต่ากว่า 50
หมายถึง ควรปร ับปรุง
14.เอกสารอ้างอิง
่ และเทคโนโลยี
อ.พุทธวรรณ ขันต ้นธง.หลักการการวิจย
ั การจัดการความรู ้.วิทยาลัยศิลปะ สือ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.2554.
้ั ่ 3กรุงเทพฯ: ร ัตน
องค ์การแห่งความรู ้ : จากแนวคิดสู่การปฏิบต
ั ,ิ ทิพวรรณ หล่อสุวรรณร ัตน์,2549. พิมพ ์ครงที
ไตร.
่ ๆ ทีหลากหลายสไตล
่
สิงดี
์ KM (Best Practice KM Style). รายงานประจาปี 2549 สถาบันส่งเสริมการจัดการ
่ งคม (สคส.)
ความรู ้เพือสั
ISBN 974-973-423-1
รายงานประจาปี KM ประเทศไทย (สคส.) 2548 ISBN 974-93722-9-8
ทิพวรรณ หล่อสุวรรณร ัตน์. (2548). การจัดการความรู ้. ใน วารสารพัฒนบริหารศาสตร ์, 45(2), 1-24. พิเชฐ
บัญญัต.ิ (2549).
การจัดการความรู ้ในองค ์กร. ใน วารสารห ้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 13(1), 118- 122.
คณะทางาน KM สานักงานเกษตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ความหมายของแผนผังความคิด (ออนไลน์
่
2552) แหล่งทีมา
http://learners.in.th/blog/wgcdr/256412.
จิรพรรณ จิตประสาท. การใช้แผนผังความคิดและการบริหารสมองในการสอนกลุ่มสร ้างเริม
้ั
ประสบการณ์ ชีวต
ิ สาหร ับนักเรียนชน
ประถมศึกษาปี ที่ 5. เชียงใหม่. วิทยานิ พนธ ์
ศึกษาศาสตร ์มหาบัณฑิตบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
โทนี บูซาน. (2544). วิธเี ขียน Mind Map (How to Mind Map). (ธัญกร วีรนนท ์ชัย, ผูแ้ ปล).
กรุงเทพฯ: ขวัญข ้าว 94.
ธัญญา และ ขวัญฤดี ผลอนันต ์ (2550). Mind Map ® ก ับการศึกษาและการจัดการความรู ้ กรุงเทพฯ:
ขวัญ ข ้าว’ ๙๔ .
่
้ั
พรพันธ ์ อิสระ (2545). การใช้ผงั มโนภาพในการพู ดเล่าเรืองของนั
กเรียนชาวเขาชนประถมปี
ที่ 5.
เชียงใหม่. วิทยานิ พนธ ์
ศึกษา ศาตร ์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ .
่
วิกพ
ิ เี ดีย. (2552). ความหมายของแผนผังความคิด. (ออนไลน์). แหล่งทีมา
www.wikipedia.org.
้
สมชาย มาต๊ะพาน (2547). การพัฒนาทักษะการแก้โจทย ์ปั ญหาคณิ ตศาสตร ์ของนักเรียนขัน
้ั ่ 2). กรุงเทพฯ:
สุวท
ิ ย ์ มูลคาและอรทัย มูลคา. (2543). การเรียนรู ้สู ่ครู มอ
ื อาชีพ. (พิมพ ์ครงที
อักษรเจริญทัศน์.
้ั ่ 2). กรุงเทพฯ: บริษท
สุวท
ิ ย ์ มูลคา. (2543). การเรียนรู ้สู ่ครู มอ
ื อาชีพ. (พิมพ ์ครงที
ั ที.พี.ปรินท ์
จากัด. ASTV ผู ้จัดการออนไลน์.
่
(ออนไลน์ 2552). กฎ ของการใช้ Mind Map.แหล่งทีมา
http://drm1.igetweb.com
่
่ นความสามารถ
ชลวิภา เฟื่ องกาญจน์ (2547). การใช้กจ
ิ กรรมแผนผังความคิดเพือเพิ
มพู
ทางภาษาอ ังกฤษและ
้ั
ทักษะการคิดของนักเรียนชนประถมศึ
กษาปี ที่ 3. เชียงใหม่. วิทยานิ พนธ ์ศึกษาศาต
รมหาบัณฑิต บัณทิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
้ั
ฐิตยิ า จองหมุ่ง. (2549). การพัฒนาทักษะเชิงสร ้างสรรค ์ของนักเรียนชนประถมศึ
กษาปี ที่
3 โดยใช้ผงั มโนภาพ. วิทยานิ พนธ ์
ศึกษาศาตรมหาบัณฑิต บัณทิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.