เนื้อหาองค์ความรู้ การสำรวจและเขียนแบบทางอย่างมี

Download Report

Transcript เนื้อหาองค์ความรู้ การสำรวจและเขียนแบบทางอย่างมี

หลักสู ตร
การสารวจและเขียนแบบ
ทาง
อย่างมี
ประสิทธิภาพ
1. การสารวจทาง
1.1 การเตรียมความพร ้อมการสารว
- อุปกรณ์การสารวจ
- การทดสอบกล ้องสารวจ
- หัวหน้าชุดสารวจ
- ทีมงานจัดเก็บข ้อมูลแนวทาง (Alignment Parties)
- ทีมงานจัดเก็บข ้อมูล BM และ Profile (BM & Profile
Parties)
- ทีมงานจัดเก็บข ้อมูลรูปตัดตามขวาง (Cross Section
Parties)
- -ทีคมาขอ
งานจั(ถ
ดเก็
ิ ระเทศ
้ามีบ)ข ้อมูลรายละเอียดภูมป
Parties)
-(Photographic
แผนงานการสารวจ
- แผนที่ 1:50,000
- แบบฟอร ์ม สอ.1 – สอ.8
- การเตรียมการดาเนิ นการมีสว่ นร่วม
- ครุภณ
ั ฑ ์สารวจ : กล้อง
Theodolite,
้ั
กล้องระดับ, ขาตงกล้
อง,เทปวัด
ระยะ,
Staff, Poll, ฆ้อน, มีด, ขวาน
่ ๆ
อืน
- วัสดุสารวจ : Field Book,ตะปู
ขนาดต่างๆ,
น็ อตท า BM.,สีส เปรย ,์ สีน้ ามัน
,เชือกฟาง,
่ ๆ
ผ้าแดง อืน
การตรวจสอบกล้องธีโอโดไลท ์ โดยวิธ ี
Double Center Method
2
้ั ่ 2
งานชนที
่
ผลต่างของมุมก ับค่ามุมเฉลียไม่
เกิน
5 ฟิ ลิปดา
งานชนที
ั้ ่ 3
่ องไม่
ผลต่างของมุมก ับค่ามุมเฉลียต้
เกิน 10 ฟิ ลิปดา ่
่
1
้ ามุมกล ้อง =
ตังค่
000000
(LB)
้ ามุมกล ้อง
ตังค่
=
1800000 (RB)
ลาดั อ่านจุดที 1
อ่านจุดที 2 ผลต่างของ
บ
มุม
ที่
º
'
" º
'
" º ' "
1 00 00 00 11 32 30 11 32 30
2
2
A
หมายเหตุ:
่
หากมีความคลาดเคลือนเกิ
น
่ าหนด
กว่าทีก
จะต้องทาการปร ับแก้กล้อง
่ = 00º
ผลต่
ย
–
โดยศึากงเฉลี
ษาจากคู
ม
่ อ
ื ของกล้
อง
้ 02.5"
00'
รุน
่ นั–นๆ
การตรวจสอบกล้องระด ับโดยวิธ ี
Two
้ ระดับTest
1. วางหมุดPeg
ตังไม้
2 จุด หมุด A และ B โดยมี
้ ระยะห่
่ ประมาณ
่
้ ระดับ
2. ตังกล้
องระดั
บที(L)
ระยะกึ
งกลางระหว่
างจุ
างกัน
30-60
ม.ดตังไม้
้
3. อ่า(L/2)
นค่าไม้ระดับบนหมุดทังสอง
แล้วคานวณ
S2 =1.153
S1 = 1.251ค่า true height difference
แนวเล็ง


แนวราบ
S’1
Collimation Error (e)
S’2
h1
L
2
A
B
L
2
L
L
10
้ างนอก วัดระยะจากหมุด
4. ย้ายกล้องมาตังข้
้
5.
อ่านค่าไม้L/10
ระดับ=
บนหมุ
กครง้ั แล้ว
A ประมาณ
3-6 ด
ม.ทังสองอี
6.านวณค่
คานวณค่
า Collimation
Error (e) = [(S1ค
า height
difference
แนวเล็ง
S4 = 1.484
S2) - (S3- S4)] / L (มม./ม.)
S3 = 1.580

S’3
แนวราบ
h2
A
S’4
่
่
B1
ค่าความคลาดเคลือนที
ยอมให้
(e) จะต้องไม่เกิน
มม. ต่อระยะทาง 20 ม.
หากมีความ
่
่ าหนด จะต้องทาการปร ับแก้
คลาดเคลือนเกิ
นกว่าทีก
การปร ับแก้กล้องระดับโดยวิธ ี
Two Peg
Test
(ต่
อ
)
การปร ับแก้สายใยของกล้องระดบ
ั
้
1. กาหนดจุดตังกล
้อง ตามรูป โดย ตอกหมุด A และ B ระยะห่างกัน 50 เมตร
2. อ่านค่าไม้ระดับ ทีจุ่ ด A และ B ดังข ้อมูลต่อไปนี ้
่ งกล
้
่
2.1 เมือตั
้องระดับทีจุ่ ดกึงกลางระหว่
างหมุด A และ B
่ ด A (S1) = 1.251 ม.
ค่าไม้ระดับทีหมุ
่ ด B (S2) = 1.153 ม.
ค่าไม้ระดับทีหมุ
่ งกล
้
้
2.2 เมือตั
้องระดับด ้านนอกของหมุด A บนแนว AB ตังกล
้องระดับ
ห่างจากจุด A = 5 เมตร
่ ด A (S3) = 1.580 ม.
ค่าไม้ระดับทีหมุ
่ ด B (S4) = 1.484 ม.
ค่าไม้ระดับทีหมุ
่
3. หาค่าความคลาดเคลือนของแนวเล็
งต่อระยะเล็ง 50.00 เมตร
่
ค่าความคลาดเคลือนของแนวเล็
ง (e) = (S1-S2) - (S3-S4)
= (1.251 -1.153) – (1.580-1.484)
= 0.002 ม. ต่อ 50.00 เมตร
่ < 1 มม. ต่อ 20 เมตร )  OK.
( ความคลาดเคลือน
ให้อยู ่ในแนวระนาบ
การปร ับแก้กล้องระดับโดยวิธ ี
Two Peg Test
S1
S1 = 1.251
S2 =1.153
h
A
L
10
L
2
=
0.098
B
L
2
L
A
S3 = 1.580
S4 = 1.482
A
B
การปร ับแก้กล้องระดับโดยวิธ ี
Two Peg Test (ต่อ)
3
4
2
1
3
่
ตรวจสอบสายทางทีจะท
าการ
สารวจ เก็บข้อมู ล
วางแผนการสารวจ
่
เตรียมเครืองมื
อและอุปกรณ์ทใช้
ี่
ในการสารวจ
ควบคุมการสารวจให้ได้ตาม
แผนงาน
กาหนดแนวสารวจและจุดที่
จะต้องเบนมุม (PI)
ดาเนิ นการมี
้ั
่ วหน้าชุด
ตงกล้
อง Theodolite
ตามจุสด่วนร่
PI วต่มภาค
างๆ ทีหั
ประชาชน
สารวจได้กาหนดไว้
่
จดบันทึกค่าการวัดระยะต่างๆ ค่ามุมเบียงเบน
และ
คานวณโค้งในสนาม
้ านมุม วัดระยะ และจด
กาหนดจุดอ้างอิง พร ้อมทังอ่
กาหนด จัดทาหมุดระดับสมมุต ิ (BM) จด
บันทึกตาแหน่ งของ BM โดยอ้างอิงจากระยะ
่
บนถนนทีวางแนวส
ารวจ
อ่านค่าระดับบนแนวสารวจ โดยทางานร่วมกับ
ทีมงานจัดเก็บข้อมู ลรู ปตัดตามขวาง
ถ่ายค่าระดับไปยังหมุดระดับสมมุตต
ิ า
่ งๆ (BM)
คานวณค่าต่างระดับของหมุดระดับสมมุต ิ
(BM)
่ าการ
คานวณค่าระดับตามยาวของถนนทีท
สารวจ
กาหนดตาแหน่ งการวางไม้อา
่ นค่าระดับ (Staff) ณ จุดต่างๆ
่ การเปลียนแปลงของค่
่
ตามขวางทีมี
าระดบ
ั
่ การเปลียนแปลงค่
่
จดบันทึกระยะของรู ปตด
ั ตามขวางทีมี
า
ระด ับ (โดยทางานร่วมกับทีมงานจัดเก็บข้อมู ล BM และ
Profile )
เขียนรู ปตัดตามขวาง (Cross Section) ในแต่ละจุด Sta. ที่
กาหนดบนแนวสารวจ
่ อสร ้างต่างๆ ทีอยู
่ ่ในเขตทาง เช่น รว,
้ั ท่อ คสล.
จดบันทึกสิงก่
่
ชนิ ดกลม, ท่อ คสล. ชนิ ดเหลียม,
สะพาน, อาคาร, เสาไฟฟ้า
้ จะต้
้
เป็ นต้น โดยใช้ระยะจากแนวสารวจเป็ นหลัก ทังนี
องระบุ
่
เป็ น กม.ที……
และ ระยะห่างซ ้ายทางหรือขวาทางใน
้ั
แนวตงฉากกับแนวถนน
้
3 การเตรียมความพร ้อมด้านข้อมู ลเบือง
1.2 การสารวจแนวทาง
่ าการออกแบบและ
ต ้องรู ้ถึงมาตรฐานของทางทีจะท
่
่ จะวาง
่ าการสารวจนี ้ เพือที
นโยบายในการสร ้างทีจะท
แนวทางให ้ได ้ตามจุดประสงค ์โดยให ้ถูกหลักวิชาการ
่ ด
มากทีสุ
้
่งหมายไว ้ว่าจะต ้องให ้ประชาชนสองข ้างทางได ้
ตังความมุ
่ ด และต ้องให ้ผ่านชุมชนให ้มากทีสุ
่ ดที่
ประโยชน์มากทีสุ
จะทาได ้
ในทางปฏิบต
ั ม
ิ ข
ี ้อจากัดแนวเขตทางทาให ้ไม่สามารถ
กาหนดแนวทางได ้ตามความมุ่งหมาย ฉะนั้นการเลือก
แนวทางให ้ถูกต ้องตามหลักวิชาการย่อมทาไม่ได ้ จึง
ต ้องเลือกแนวทางให ้เหมาะสม โดยใช ้ดุลยพินิจของ
่
 Alignment ( Opened
้ั ไม่
่ 3เกิน 30”√ N (N=
Traverse)
นที
-Angularงานช
Error
่ งกล้
้
จานวนหมุดทีตั
อง)
 Bench Mark and Profile
้ั ไม่
่ 3เกิน ±12 mm.√K
-ทาไปกลังานช
บผิดได้
Leveling
นที
(K=ระยะทางเป็ น กม.)
 Cross - Section
้ั ่ 3บผิดได้ไม่เกิน ±100 mm.√K(K=
-ทาไปกลั
งานช
นที
ระยะทางเป็ น กม.)
 Topographic (Horizontal
้ั ก
่4
-โดยมากไม่
ี ารตรวจสอบ
Detail)
งานชมนที
่ นเส ้นตรงให ้มากทีสุ
่ ดทีจะท
่ าได ้
แนวทางควรมีสว่ นทีเป็
่ ดจะ
ถ ้าจาเป็ นต ้องมีโค ้งก็ต ้องใส่โค ้งให ้มีรศั มีมากทีสุ
มากได ้ และอย่างน้อยต ้องมีร ัศมีทจะให
ี่
้ความปลอดภัย
่
ในการขับขี่ ถูกต ้องตามหลักวิชาการเกียวกั
บ Super
Elevation และ Sight Distance ตามมาตรฐาน
Design Speed ของทางและเขตขยายทางของทางที่
ต ้องการ (ดูรายละเอียดทฤษฎี และการคานวณหาร ัศมี
ของโค ้ง)
่ คา่ Intersection มาก (Sharp
ไม่ควรให ้มีโค ้งทีมี
่ นเส ้นตรงโดยตลอด ถ ้าเป็ น
Curve) ในแนวทางทีเป็
Sharp Curve ควรใช ้ Three Centered Curve
แทน
ในกรณี ที่ PI มีคา่ Intersection () น้อย ต ้องใส่โค ้ง
ให ้มีความยาวโค ้งอย่างน้อยตามกาหนดต่อไปนี ้
- ค่า
- ค่า
- ค่า
- ค่า
- ค่า
Intersection
Intersection
Intersection
Intersection
Intersection
=
=
=
=
=
5
4
3
2
1
L = 150 เมตร
L = 180 เมตร
L = 220 เมตร
L = 250 เมตร
ไม่ต ้องใส่โค ้ง
่
แนวทางไม่ควรเป็ นโค ้ง ตรงทีจะต
้องเป็ นทางแยกหรือ
ทางร่วม
จุดปลายโค ้ง (PT) หรือจุดต ้นโค ้ง (PC) ควรอยู่หา่ งจาก
่
้ เห็
่ นว่าจะต ้องสร ้างสะพานอย่างน้อย
ตลิงของทางน
าที
100 เมตร
ความยาวโค ้งจะต ้องไม่เกิน 1 กิโลเมตร และความยาว
่ อยทีสุ
่ ดจะต ้องไม่นอ้ ยกว่า 150 เมตร
โค ้งทีน้
่
่ จะให
้ความยาวของโค ้งได ้ 150 เมตร ในขณะที่
เพือที
้ั
มุม Intersection มีคา่ น้อยนั้น บางครงอาจจะใช
้ร ัศมี
่ ม Intersection
ยาวประมาณ 150 เมตร ในขณะทีมุ
น้อยกว่า 59 ลิปดา ก็ไม่จาเป็ นต ้องมีโค ้ง
่
Compound Curve ถ ้าเป็ นไปได ้ควรจะหลีกเลียง
้ กน้อย
ร ัศมีโค ้งจะเท่ากับ 300 เมตร หรือน้อยกว่านี เล็
้
แต่ความยาวของร ัศมีอน
ั สันจะต
้องยาวประมาณ 2 ใน
้
3 ของร ัศมีอน
ั ยาว และผลรวมของความยาวโค ้งทังสอง
จะต ้องไม่นอ้ ยกว่า 150 เมตร
่ จด
Reverse Curve ทีมี
ุ PRC หรือจุด PT โค ้งแรกทับ
่
่
กับ PC ของโค ้งทีสองไม่
ควรใช ้ ควรจะหลีกเลียงโดยให
้
้
ทังสองห่
างกันอย่างน้อย 90 เมตร อย่างไรก็ตามใน
บริเวณภูเขาอาจจะทาไม่ได ้ เพราะฉะนั้นฝายออกแบบ
จะต ้องตัดสินใจโดยอาศัย Super Elevation ประกอบ
ในการตัดสินใจ หรือให ้เส ้น Tangent ระหว่างโค ้งทัง้
่ V = ความเร็ว km/h
สองห่างหัน = 0.6 V ม. เมือ
่ จด
Broken Back Curve เป็ นโค ้งสองโค ้งทีมี
ุ
ศูนย ์กลางของโค ้งอยู่ทางเดียวกัน ถ ้าโค ้งสองโคง้ อยู่
ใกล ้ๆ กันจะไม่ปลอดภัย เพราะ Sight Distance ไม่ดี
เส ้นตรงระหว่างโค ้งสองโค ้ง จะต ้องยาวไม่นอ้ ยกว่า 100
้ ให ้ใช ้ Simple Curve หรือ
เมตร ถ ้าน้อยกว่านี ก็
Spiral Curve สาหร ับทางหลวงสายนอกเมืองหรือ
Secondary Highway จะไม่ใช ้นอกจากวิศวกรจะ
แนะนาให ้ใช ้
่ เวณสะพานจะไม่ยอม
การวางแนวบริเวณสะพาน ทีบริ
่ ้นโค ้งหรือจุดปลายโค ้งอยูบ
ให ้จุดเริมต
่ นสะพาน และถ ้า
โค ้งใกล ้สะพาน จะต ้องห่างจากสะพานเป็ นระยะเท่ากับที่
ไม่มส
ี ว่ นหนึ่ งส่วนใดของ Super Elevation อยู่บน
สะพานเลย และถ ้าหากว่าสะพานจาเป็ นต ้องอยู่ในโคง้
่ ดเท่าทีจะมากได
่
จะต ้องให ้ร ัศมีของโค ้งมากทีสุ
้ แต่ห ้ามใช ้
Compound Curve
่ ม
่ ้องถมสูงเป็ นระยะ
แนวทางไม่ควรผ่านไปในทีลุ
่ ต่า ซึงต
ยาว ถ ้าจาเป็ นต ้องผ่านแนวทางช่วงนั้นก็ไม่ควรจะมีโค ้ง
่ นว่าเป็ นดินอ่อน (Soft
แนวทางไม่ควรผ่านบริเวณทีเห็
Soil) เป็ นช่วงยาว
้
แนวทางผ่านลานา้ ควรจะให ้ตังฉากกั
บลานา้ ถ ้า
่ ด สาหร ับลานา้
จาเป็ นต ้อง Skew ก็ให ้ Skew น้อยทีสุ
้
เล็ก Skew ได ้ไม่เกิน 30 องศา ถ ้าลานาใหญ่
ก็ไม่เกิน
20 องศา
้ งชั
่ นกว่าความชันตาม
แนวทางไม่ควรไต่ไปตามพืนซึ
มาตรฐาน ของถนนชนิ ดนั้นๆ มากเกนไปและเป็ น
่ ้องขุด
่
้ อลดปริ
้ เพื
มาณงานดินทีต
ระยะทางยาว ๆ ทังนี
่ านหมู่บ ้าน ต ้องพยายามอย่าให ้เฉี ยดแนว
แนวทางทีผ่
บ ้านข ้างใดข ้างหนึ่ งมากเกินไปจนเป็ นเหตุให ้ต ้องมีการ
้
่ อสร ้าง
รือถอนเมื
อก่
่ นภูเขา แนวทางไม่ควรผ่านหุบเขา
ในภูมป
ิ ระเทศทีเป็
่
ควรจะเลาะไปตามไหล่เขา เพือลดปริ
มาณงานดินที่
้ วมในหน้าฝน
จะต ้องก่อสร ้าง และป้ องกันนาท่
่
้ มี
่ การกัด
แนวทางไม่ควรเลียบใกล ้ตามตลิงของล
านาที
เซาะสูงและชัน
่ ้องข ้ามลานากว
้
้
แนวทางทีต
้าง ไม่ควรข ้ามลานาใน
้
่
ระดับสูงกว่าท ้องนามาก
ๆ เช่น แนวทางทีโยงข
้ามแม่นา้
้ ง้ 2 ฝั่ง เพราะมีปัญหาในการ
จากสันเขาริมนาทั
่ ตอม่อกลางนา้ ควรจะผ่านบริเวณนา้
ออกแบบสะพานทีมี
ตืน้ ๆ
บริเวณทางร่วมหรือทางแยก มุมตัดกันไม่ควรต่ากว่า 20
่
องศา และควรจะเป็ นบริเวณทีราบ
ถ ้ามีความลาดก็ไม่
่ รศั มีมาก ๆ โดย
เกิน 3% และถ ้าเป็ นโค ้งก็ต ้องเป็ นโค ้งทีมี
ไม่ต ้องมี Super Elevation , Degree of Curve ไม่
เกิน 6 องศา
่
่ นโบราณสถาน ปูชณี ยสถาน วัด
หลีกเลียงบริ
เวณทีเป็
โบสถ ์ ป่ าช ้า โรงเรียน
การตรวจสอบทิศทางใช ้ข ้อกาหนดของวงรอบ Third
Order
โค้งวงกลม (Circular Curve)
โค้งผสม (Compound Curve)
โค้งหลังหัก (Broken Back
Curve)
โค้งผสมย้อนทาง (Reverse
Curve)
โค้งก้นหอย (Spiral Curve)
โค้งผสมมี 2
ศู นย ์กลาง
โค้งผสมมี 3
ศู นย ์กลาง
RP.
2
RP.
1
2
CL

RP.
1
RP.
3
RP.
2
1
RP.
3
RP.
1
CL
3
RP.
3

RP.
2
CL
่ ในการคานวณหาค่าต่างๆในการวางโค้ง
สู ตรทีใช้
กรณี SIMPLE
PI
∆
CURVE
5729.5779
E
R
D
T  R  tan

2

L  100 
D

E  T  tan
4
STA. PC = STA.
-T
STA. PT = STA.
T
L
T

2
M

2
LC
R
R
∆

2

2
O
กรณี SIMPLE CURVE ออกแบบโดย
ออกแบบ
กโดย
าหนดค่า DD , T , E
T
ข้อมู ล
1
2
3
4
5
6
PI.sta, ∆ , D
PI.sta, ∆ , T
R = T / (tan ∆ /
R=
5729.578 / D 2)
T = R x tan ∆ D = 5729.578 /
/2
R
L = 100 x ∆ /
D
E = T x tan ∆
/4
ปั ดค่า D เป็ น
จานวนเต็ม
E
PI.sta, ∆ , E
T = E / ( tan ∆ / 4
)
R = T / ( tan ∆ / 2
)
D = 5729.578 / R
ปั ดค่า D เป็ นจานวน
E = T x tan ∆ / 4
เต็ม
STA. PC = STA. PI - T
หมายเหตุ การกาหนดค่า D เป็ นจานวนเต็ม จะง่ ายต่อการวางโค้งในสนาม
กรณี SIMPLE CURVE ออกแบบโดย
กระยะทดจาก
าหนดค่า DPI, T= ,(STA.
E
ต่อไป – STA. PI) + (2
PC
PC
PI
T
L
่
X = ระยะส่วนทีแตกต่
าง
=2xT-L
PT
T
PT
X
e f
V2
127 R
=
(e=
0.004V
e
=R
f)
่ V
เมือ
=
ความเร็ว
่
โดยที emax ตัองไม่เกิน
(กม./ชม.)
0.10 e
=
อัตราการยก
โค ้งของผิว
ทาง
(ม./ม.)
f
=
สปส. ความ
เสียดทาน
ระหว่าง
ล ้อกับถนน
R
=
รศั มีของโค ้ง
ราบ (ม.)
2
อ ัตราการยกโค้งสู งสุดที่ AASHTO แนะนา
ให้ใช้
อ ัตราการยก
ประเภทของถนน
โค้ง
่ าหร บั ถนนสายหลักใน
4%
ค่า เฉลียส
6%
ย่านการค ้า
8%
ค่าสูงสุดสาหรบั ถนนสายหลักใน
10%
ย่านการค ้า
12%
ค่าสูงสุดสาหร ับถนนสายในเมือง
ค่ า เฉลี่ยส าหร บ
ั ถนนนอกเมื อ ง
และทางด่วน
วิธก
ี ารยกขอบถนนอาจจะกาหนดจุดหมุนได้ 3
ตาแหน่ ง ดงั นี ้
่
ใช ้เส ้นแบ่งครึงถนนเป็
นจุดหมุน
(Center Line)
ใช ้ขอบถนนด ้านในเป็ นจุดหมุน (Inner Edge)
ใช ้ขอบถนนด ้านนอกเป็ นจุดหมุน (Outer Edge)
เป็ นวิธท
ี นิ
ี่ ยมใช ้
่
กาหนดให้ เส้นแบ่งครึงถนน
(Center line) ของ
ถนนเป็ นจุดหมุน
Transition
่ Ts = Super Elevation
เมือ
Crown
Ls = Length of Spiral
HC
= Half Crown
กว ้างของถนน
FS = Full Super Elevation
NC
= Normal Crown
FC
= Full
W
= ความ
e = Rate of Super Elevation
V = ความเร็วออกแบบ กม./ชม.
ตามมาตรฐานการออกแบบของ
American Association of State Highway
V
2officials (
2 1984 )
Wn  R  2 R  36  R  1584
.  010517
.
R
กรณี ไม่ยก
Super.
Wn
L/3
Area = 2/3*Wn*L
Wn = 0.3048 * (1 + D / 10 ) : ปร ับให้ Wn = 0.50
กรณี ยก
Super
FS > L/3
FULL SUPPER
Wn
FULL WIDENING
Wn = 0.3048 * (1 + D / 10 ) : ปร ับให้ Wn = 0.50
1) เตรียม คน และ
่
เครืองมื
อ
- คน (ผู จ
้ ดบันทึก &
Rodman) 2 คน
่
- เครืองมื
อ
- Optical Square
1 อัน
ลูกดิง่
1 ลูก
เทปผ ้า 50 เมตร
้
ธก
ี ารเก็บรายละเอียด
2) ขันตอนวิ
ข้อมู ล
2.1)
ขึงเทปบน Base
line ให ้ต ้นเทปอยูท
่ ี่
จุด station
เริม
่ ต ้น
โดยวางทาบไว ้บนพื้น
แ ล ะ ปั ก pole ไ ว ้ท ี่
station ที่ อ ยู่ ป ล า ย
เทป
2.2 ) เ ล็ ง ผ่ า น
Optical Square
ไปยัง Pole แล ้ว
เดิน ไปตามเทปที่
วางทาบบนพื้น ดิน
โดยใหป
้ ล า ย ดิ่ ง
อยู่บนเทป อ่านค่า
Station บ น เ ท ป
ท า เ ค รื่ อ ง ห ม า ย
แ ส ด ง Station
ทีต
่ งั ้ ฉากกับจุดนัน
้
2.3) หา station
ทีต
่ งั ้ ฉากกับจุด
ทีต
่ ้องการเก็บ
ต่อๆมา
2.4) เริม
่ วัดระยะ
ของจุดที่
ต ้องการเก็บว่า
ห่างจาก Base
2.5) บันทึกค่า
Station ทีต
่ งั ้ ฉาก
และระยะห่างจาก
Base line
2.6) วัดระยะห่าง
ของจุดต่างๆ เขียน
รูปลักษณะของสงิ่
ต่างๆ พร ้อม
รายละเอียดลงใน
•เก็บตาแหน่ง และขนาด
•เก็บตาแหน่ง (ไม่ต ้องเก็บ
ขนาด)
•เก็บลักษณะภูมป
ิ ระเทศ
•เก็บรายละเอียดอืน
่ ๆ
 เก็บตาแหน่ งและขนาด
่
1. อาคาร บ้านเรือน สิงปลู
กสร ้าง เช่น
่
ประตู น้ า เขือนประปา
่
2. ท่อระบายน้ า ท่อกลม & ท่อเหลียม
3. สะพานไม้ & คอนกรีตเสริมเหล็ก
้ั
้ั ฐ สังกะสี ลวดหนาม
4. รวไม้
รวอิ
่
่
5. สิงปลู
กสร ้างเพือการจราจร
เช่น วง
เวียน เกาะ
่ &
6. แม่น้ าลาคลอง ลาธาร พร ้อม ชือ
 เก็บตาแหน่ ง
่
1. เครืองหมายจราจร
เช่น
หลักโค้งหลักกิโลเมตร
หลักเขตขยายทาง
2. เสาโคมไฟ
เสาไฟฟ้าแรงสู งพร ้อม
แนวสายไฟ
3. เสาโทรเลข โทรศ ัพท ์
พร ้อมแนวสาย
4. หมุดระดับ
5. ทางรถไฟ
6. ท่อประปา พร ้อมขนาด
 เก็บลักษณะของภู ม ิ
ั เขา ไหล่เขา หุบ
1. สประเทศ
น
เหว
( แสดง
ขอบเขต)
2. ป่ า ( บอกชนิดของ
ป่ า )
3. สวน ( สวนอะไร
แสดงขอบเขต)
4. นา ( แสดง
ขอบเขต)
5. ทุง่ หญ ้า
 เก็บ
่
รายละเอียดอืนๆ
1.ตาแหน่งของผิว
จราจร ขอบไหล่
ทาง ขอบถนน
2.ชนิดของผิวจราจร
ของถนน
3.ตาแหน่งของร่อง
น้ าข ้างทาง
4. Station ของ PC
1.3.3 การบันทึกข้อมู ล
1. บันทึกเส้นทางพร ้อม Station ลงบนสมุดสนาม
เสียก่อน
่ บพร ้อมทังระยะ
้
2. จดค่า Station ของจุดทีเก็
่ เก็
่ บให้
offset และเขียนรู ปสิงที
เรียบร ้อย
่ างๆทีเขี
่ ยนลงต้องมีคา
3. รู ปสิงต่
่ Station ค่า offset
และระยะความกว้าง ยาวของ
่
้ วย
สิงเหล่
านันด้
่ างๆได้ ก็ควรใช้
4. ถ้าใช้สญ
ั ลักษณ์แทนสิงต่
่ นประโยชน์ในการออกแบบ ก็เก็บ
5. รายละเอียดทีเป็
มาบรรยายมาเป็ นตัวอ ักษรโดย
ละเอียด
ตัวอย่างการจดบันทึก
ข้อมู ล
่ องเก็บรายละเอียด ต ้องเก็บตลอด
จุดทีต้
แนวทางบนเส ้น Base line,center line และ
Spur line และ Station บนแนวทางทุก
Station ต ้องได ้ร ับการตรวจสอบว่ามีระยะถูกตอ้ ง
ขอบเขตของการเก็บรายละเอียด จาก
เส ้น Base line หรือ center line ออกไปข ้างละ
เท่ากับเขตขยายทาง ในกรณี ทเก็
ี่ บตามเส ้น
่ ต
่ ้องการ
Spur line ก็ให ้เก็บออกไปจนคลุมสิงที
เก็บ
การควบคุมการทางาน ในระหว่างการ
1.4 การทาหมุดระดับ
อ้างอิง (BM)
1.4.1 ความหมายของ BM.
1.4.2 อุปกรณ์ และ กาลังคนงานสารวจ
้ั
1.4.3 ชนของการท
า BM.
้ั
1.4.4 ชนของหมุ
ดหลักฐานในประเทศไทย
1.4.5 หลักการทาระด ับ
1.4.6 คานิ ยาม
1.4.7 การถ่ายระด ับ BM. และ วิธป
ี ฏิบต
ั ข
ิ อง
ทางหลวงชนบท
1.4.8 วิธก
ี ารตรวจสอบ BM.
1.4.1
ความหมายของ
BM
BM. (Bench mark) เป็ นหมุดระดับทีม
่ ี
ค่าระดับคงที่ โดยนับจากระดับน้ าทะเลปานกลาง
หรือบางทีก็สมมติคา่ ขึน
้ ซงึ่ เรียกว่า BM. สมมติ
มาตรฐานที่ใ ช อ้ ้างอิง ในแนวดิ่ง ของการ
สารวจ คือ ระดับน้ าทะเลปานกลาง (Mean sea
level , msl.) ซงึ่ จะมีระดับ 0.000 ม. ดังนัน
้ ทุก
จุ ด บนผิว ดิน สามารถบอกให ้ทราบถึง ความสู ง
เมือ
่ เทียบกับระดับน้ า ทะเลปานกลางได ้ ถ ้าอยู่
สูงกว่าระดับน้ าทะเลปานกลางพืน
้ ดินตรงจุ ดนั น
้
จะมีค่ า เป็ น บวก(+)
และถ ้าอยู่ ต่ า กว่ า
ระดับน้ าทะเล
ปานกลาง ก็จะเป็ นลบ (-)
1.4.2 อุปกรณ์ / กาลังคนของงาน
สารวจ
อุปกรณ์งานสารวจ
1. กล ้องระดับ (Level)
2. Staff (ไม ้วัดระดับ)
3. เทปวัดระยะ
กาลังคนของงานสารวจ
่ งกล ้อง (Instrument man)
1. คนสอ
1 คน
2. คนจดสมุดสนาม (Recorder)
1 คน
้ั
1.4.3 ชนงานของการท
า
้ั ่ 1 Precise leveling
BM งานชนที
เป็ นงาน
ที่ ต อ
้ งการความละเอี ย ดสู ง มาก เช ่ น งานด า้ น
ั ้ 1 (ของไทย
Geodetic ต่าง ๆ การทา BM. ชน
คือ BMP และ BMS) คลุมทั่วประเทศ เพือ
่ เป็ น
้ รองลงมา เครื่อ งมือ ที่ใ ช ้ คือ
พื้น ฐานของงานชัน
กล ้องชนิดที่ 1 ความละเอียดของงานประมาณ 0.5
ถึง 0.2 ต่อ กม.
้ั ่ 2 General Purpose leveling
งานชนที
เป็ นงานทางด ้านวิศวกรรมทั่วไป ความละเอียดของ
ั ้ 2 ความละเอียด 5 ถึง 2 มม.
งานจัดไว ้เป็ นงานชน
ต่อ กม.
้ั
1.4.4 ชนของหมุ
ดหลักฐานใน
้ั ่ 1 Principal bench mark
ประเทศไทย
หมุดชนที
(BMP) เป็ นหมุดถาวรหล่อด ้วยคอนกรีตลึกลงไป
ใ น ดิ น ห มุ ด นี้ ต อ ก เ ข็ ม กั น ท รุ ด ด ว้ ย มี ห มุ ด
ทองเหลื อ งที่ ก รมแผนที่ ท หารได ท
้ าแนวขึ้น
โดยเฉพาะระยะ ห่างระหว่างหมุด BMP ประมาณ
5 กม. หรือ ใน 100 กม. จะต ้องมีหมุดอย่างน ้อย
20 หมุด ถ ้าภูมป
ิ ระเทศไม่อานวย ระยะระหว่าง
หมุดอาจเป็ น 10 กม.ต่อ หมุด
้ั
1.4.4 ชนของหมุ
ดหลักฐานใน
ประเทศไทย
้ั (ต่
่ 2อ) Secondary bench
หมุดชนที
mark (BMS) หมุดนี้มค
ี วามสาคัญรองลงมา
ั ้ ที่ 1 ใชวิ้ ธส
่
จากชน
ี กัดเป็ นรูลงไปในคอนกรีต เชน
เช งิ สะพาน ท่ อ ระบายน้ า ฐานอนุ ส าวรี ย ์ หรื อ
อาคารที่ม ีเ ข็ ม ลึก ๆ ถ ้าไม่ ม ีส งิ่ ก่อ สร ้างเหล่ า นี้
กรมแผนที่ท หารก็ จ ะหล่ อ หมุ ด ขึน
้ เอง ลั ก ษณะ
เหมือนกับ BMP ทุกประการ
้ั ่ 3 เป็ นหมุด BM ของกรม
หมุดชนที
ต่าง ๆ ทีถ่ า่ ยมาจาก BMP BMS การใชกั้ บงาน
1.4.5 หลักการทาระด ับ
HI = EL.1+BS. = 12.000
EL.2 = HI.-FS. = 10.800
FS.
= 1.200
2.000BS.
= ระดับแกนกล ้อง (HI.)
B
M
EL.2
A
EL.1
10.000
DATUM = +0.000
ในรูปถ ้าต ้องการทราบความต่างระดับ (Difference
in elevation) ระหว่างจุด 2 จุด คือ จุด A และ จุด B จะ
สามารถหาได ้โดย ตัง้ กล ้องทีห
่ มุด M และตัง้ Staff ทีจ
่ ด
ุ A
ั เจน
และ B
ตัง้ ระดับกล ้องปรับภาพ Staff สายใยให ้ชด
อ่านค่า Staff ที่ A ก่อน ซงึ่ เรียกว่า ค่า BS หรือ Back
่ ง FS หรือ Fore sight
sight แล ้วสอ
ดังนัน
้
Diff. in elev. AB
= BS-FS
HI
= ค่าระดับ BM+BS
ค่าระดับของจุด B
= HI-FS
สรุปเป็ นสูตรได ้ว่า Elev
HI-FS
B
=
1.4.6 คานิ ยาม
่ งได ้ครัง้ แรก
1. Back sight (B.S.) หมายถึง ค่า Staff ทีส
่ อ
หลังจากทีต
่ งั ้ กล ้องเสร็จแล ้ว สว่ นมากจะอยูบ
่ น
BM หรือจุดทีท
่ ราบค่าระดับแล ้ว
่ งครัง้ สุดท ้าย ที่
2. Fore sight (F.S.) หมายถึง ค่า Staff ทีส
่ อ
จะย ้ายกล ้อง สว่ นมาก Staff จะตัง้ บนจุดทีม
่ ั่นคง
ทีต
่ ้องการทราบค่าระดับ
3. Height of Instrument (HI.) หมายถึง ค่าระดับของ
แนวแกนกล ้องทีไ่ ด ้ระดับแล ้ว สูงจาก
ระดับน้ าทะเลปานกลาง
4. Bench mark (BM.) เป็ นหมุดระดับทีม
่ ค
ี า่ ระดับคงที่ โดยนับ
จากระดับน้ าทะเลปานกลาง หรือบางทีก็สมมติ
ค่าขึน
้
ซงึ่ เรียกว่า BM สมมติ
่ ง
5. Intermediate Foresight (IFS.) เป็ นค่า Staff ทีส
่ อ
่ ง BS แล ้ว
หลังจากทีส
่ อ
1.4.7 การถ่ายระดับ BM
1.การถ่ายแบบไป – กลับ (Foreward And Backward Run)
การถ่ายจะท าการถ่า ยระดับ จากอีก หมุดหนึ่ง ไปเข ้าอี ก
หมุดหนึง่ เรียกว่า Fore Run
(F-Run) เสร็จแล ้วก็ถา่ ยกลับ
เรียกว่า Backward Run (B-Run) และการทานีจ
้ ะอ่านค่า Staff
จากสายใยเพียงสายเดียวเรียกว่า Single Wire Leveling
2. การใช้ TP 2 ชุด (DOUBLE RODDIBG WITH TWO
SETS OF T.P.)
้ ้องระดับ 1 เครือ
วิธน
ี ี้ใชกล
่ ง Staff 2 ตัว TP 4 ตัว ดัง
รูปการจดจะจดแบบไป-กลับก็ได ้ หรือจะจดค่า BS รวมกัน และ
FS รวมกันก็ได ้ ซงึ่ การจดวิธห
ี ลังจะไม่ทาให ้ผิดพลาดในการจด
1.4.7 การถ่ายระดับ BM (ต่อ)
่ Staff 2 ตัว (DOUBLE
3. การใช้กล้อง 2 เครือง
INSTRUMENT)
่ งอาจไม่ใชกล
้ ้อง 2 ตัวก็ได ้ แต่ใชวิ้ ธข
วิธก
ี ารสอ
ี ยับ
กล ้องเอา ข ้อดีค ือ ส่ อ งเสร็ จ ในเวลาเดีย วกั น จะท าให ้
ความผิดพลาดทางธรรมชาติเหมือนกันและเท่ากัน การ
จดจะจดแบบวิธไี ป-กลับก็ได ้ หรือจดแบบวิธท
ี ี่ 2
หมายเหตุ วิธท
ี ี่ 1 และวิธท
ี ี่ 3 ถูกต ้องกว่าวิธท
ี ี่ 2
วิธป
ี ฏิบต
ั ก
ิ ารถ่ายระดับ BM ของทางห
1.หมุดระดับควรจะทาทุกๆ 500 เมตร
2.ตัวหมุดควรใช ้ Spike*
เล็ ก หรือตะปูตอก
คอนกรีต ติด กับ รากต ้นไม ้ที่ถ ากถางแล ้วและมี
ขนาดใหญ่โตพอควร การตอกจะต ้องตอกให ้หัว
Spike โผล่พอทีจ
่ ะตัง้ Staff ได ้และไม่ให ้โดน
รากต ้นไม ้
้ า ห มุ ด ร ะ ดั บ ค ว ร จ ะ มี เ ส น
้ ผ่ า น
3.ต น
้ ไมท
้ ี่ ใ ช ท
ศูนย์กลางไม่น ้อยกว่า 20 เซนติเมตรและอยูห
่ า่ ง
จากแนวศูนย์กลางถนนนอกเขตขยายทาง
4.ถ
้าไม่* มSpike
ต
ี ้นไม
้พอที
่ แหลม
ะทาหมุ**ดGuard
BMstakeได
้ ก็ใง ห
้ทา
หมายเหตุ
คือ หมุ
ดเหล็กจ
หมายถึ
คอก
กัน
้
้ ง คอนกรีต และฝั ง Spike
หมุด ระดั บ โดยใช แท่
วิธป
ี ฏิบต
ั ก
ิ ารถ่ายระดับ BM ของทางหล
ื่ ระดับและค่าระดับให ้เห็นชด
ั เจน
5. ติดป้ ายชอ
6. ค่ า ระดั บ ตั ว แรกได ม
้ าจากการถ่ า ยค่ า ระดั บ
(BMP, BMS) ของกรมแผนทีท
่ หาร ถ ้าไม่มก
ี ็
ให ้สมมุตข
ิ น
ึ้ ให ้ใกล ้เคียงกับในภูมป
ิ ระเทศโดย
ดูจากแผนที่ Contour
7. การถ่าย BM. จะต ้องทาไปกลับ
8. BM.
ทีถ
่ า่ ยจะต ้องถ่ายออกจากหมุดทีร่ ู ้ค่า
ระดั บ เข ้าไปหาหมุด ที่รู ้ค่า และจะต ้องค านวณ
ี ก่อนจึงจะนาค่าไป
การปรับแก ้ BM. ต่างๆ เสย
ใช ้
้
9. หมุด BM. ทีใ่ ชในงานทางก
าหนดลาดับ โดย
1.4.8 การตรวจสอบ BM
การตรวจสอบค่าระดับของ BM และการทาระดับ
ของ TBM
เมื่อ ได ้ต าแหน่ ง ของ BM
และ TBM
เรีย บร ้อยแล ้ว ต ้องท าการถ่า ยระดั บ Differential
leveling เพือ
่ ตรวจสอบค่าระดับของ BM ซงึ่ ทาไว ้
เมื่ อ ครั ้ง ส ารวจเพื่ อ ออกแบบว่ า ถู ก ต อ
้ งหรื อ ไม่
พร ้อมทัง้ ถ่ายระดับไว ้ที่ TBM ในขณะเดียวกันใน
การสารวจเพือ
่ ก่อสร ้าง ค่าความระเอียดของงานให ้
ั ้ ที่ 3 ลาดับ 2 (3rd Order Class 2)
เป็ นงานชน
ความละเอียดของงานถนน แยกตามป
1. Alignment (Opened traverse)
ั ้ ที่ 3 ในการทา Alignment มีกฎข ้อบังคับ
งานชน
ดังนี้
1) Angular error ไม่เกิน 10 – 15"√N (N =
จานวนหมุดทีต
่ งั ้ กล ้อง)
2) Error of closure ไม่เกิน 1: 10000/1:5000
(ดูในข ้อกาหนด)
2. Bench & Profile leveling
ั ้ ที่ 3 ในการทางาน Bench & Profile
งานชน
leveling มีกฎข ้อบังคับดังนี้
งานระดับทีท
่ าไปกลับค่าระดับจะผิดได ้ไม่เกิน 8 12√ D มิลลิเมตร
( D = ระยะทางระหว่างBench mark คิด
1.5 การทาค่าระดับ
Profile
หัวข้อการบรรยาย
1.5.1 ความหมาย Profile
Leveling
1.5.2 อุปกรณ์ และ กาลังคนงาน
สารวจ
่ องเก็บระดับ
1.5.3 จุดทีต้
่ องเก็บระดับน้ า
1.5.4 ตาแหน่ งทีต้
สู งสุด
1.5.5 การจดบันทึกข้อมู ล
1.5.6 วิธป
ี ฏิบต
ั งิ านในสนาม
1.5.1 ความหมาย PROFILE
LEVELLING
Profile Leveling คือ การทาระดับเพือ
่ หา
ระดับดินเดิมตามธรรมชาติ (Existing ground )
หรือ Natural ground level = (NGL) ไปตามเสน้
พืน
้ ฐานการสารวจ (Base line) เสน้ Base line
นี้ จ ะเป็ นศูน ย์ก ลางของแนวส ารวจ หรือ ไม่ ก็ ไ ด ้
ถ ้าเป็ นก็ เ รี ย กว่ า เป็ นศู น ย์ก ลางของแนวส ารวจ
้ ารวจทีแ
(Center line) หรือถ ้าเป็ นเสนส
่ ยกจาก
Base line หรือ Center line เพือ
่ เก็บรายละเอียด
ต่างๆ ก็เรียกว่า Spur line *
ก่ อ นที่ จ ะท าระดั บ แนวทางได น
้ ั ้ น หน่ ว ย
ี* ก่
สารวจจะออกไปท
าการวางแนวให
้ได
้เส; ย
นHub
ซงึ่
้ ารวจทีแ
หมายเหตุ
* Spur Line คือ แนวเส
นส
่ ยกจากแนว Base
Line
*อ
Pot
1.5.2 อุปกรณ์ / กาลังคนงานสารวจ
อุปกรณ์งานสารวจ
1. กล้องระดับ (Level) พร ้อมขากล้อง
6. Spike
เล็ก หรือ ตะปู ตอกคอนกรีต
2. Staff (ไม้ว ัดระดับ) 3 เมตร , 4 เมตร 7. สี
3. เทปวัดระยะยาว 25 – 30 เมตร
8. ค้อนหงอน
4. ขวาน
9. พู ่ก ันเขียนหนังสือ
5. Spike ใหญ่ หรือ นอต
10. สมุด
สนาม หรือ Electronic field book
กาลังคนของงานสารวจ
1. คนส่องกล้อง (Instrument man)
1 คน
2. คนจดสมุดสนาม (Recorder) 1 คน
3. คนถือไม้ Staff (Rod man)
2 คน
่ องเก็บระด ับ
1.5.3 จุดทีต้
1. ทุก Station 25 เมตร
2. ทุกจุด PC. PT. และ POT.
่ ท่อ
3. ทุกจุดทีมี
่
4. ทุกจุดทีแสดงรู
ปต ัดของทางน้ า
้
าง
5. คอสะพานทังสองข้
่ ดวาง
6. ทุก Station ของ Spur line ทีชุ
แนวได้ทาไว้
่ ได้วาง Spur line
7. ทุกจุดของทางแยกทีไม่
่
้ นเปลียนระด
่
8. ทุกจุดทีสภาพพื
นดิ
ับมากไม่
่าเสมอ
สม
้ ารวจทีแ
หมายเหตุ * Spur Line คือ แนวเสนส
่ ยกจากแนว Base Line
่ องเก็บระด ับน้ า
1.5.4 ตาแหน่ งทีต้
สู งสุด
1.ตามทางน้ าทุกแห่ง
่ ่มทีน
่ ้ าท่วมถึง
2.ตามทีลุ
่
่
3.บริเวณทีจะเป็
นหนองบึงเมือฝนตกชุ
ก
4.ระดบ
ั น้ าสู งสุด (HWL.)
หาได้จากคราบ
่ นไม้แ ละสอบถามจาก
ของน้ าตามตลิงต้
ชาวบ้าน
หมายเหตุ * HWL คือ High Water Level ระดับน้ าสูงสุด
1.5.5 การบันทึกข้อมู ล
1.
การเก็บระด ับของท้องคลองควรเขียนรู ป
ท้องคลองและระยะต่างๆประกอบในสมุด
้ ศทางการไหลของ
สนามด้วย พร ้อมทังทิ
กระแสน้ า
2.
ต้องเขียนรู ปแสดงตาแหน่ ง พร ้อมทัง้
รายละเอียดของหมุดระดับลงในสมุดสนาม
ด้วย
ตัวอย่างการจดบันทึก Profile
Leveling Paty
ระดับ
STA
BS
HI
BM 2
1.612
102.112
IFS
FS
ELEVA TI
100.5
REMAEK
สมมุ
ติ
INST………
1 + 000
1.36
100.75
25
1.41
100.7
ROD……….
50
1.93
100.18
ROD……….
99.945
TAPE……….
TP 1
1.871
101.816
2.167
75
1.65
100.17
100
2.34
99.48
125
2.29
99.53
150
1.59
100.23
175
1.13
100.69
TP 2
Sum 3.483
Sum 13.7
1.411
100.405
Sum 3.578
Sum 100.5
สู ตรการคานวณ
HI – IFS
ELEV.
=
HI
ELEV. BM + BS
=
การตรวจสอบการคานวณ
∑BS - ∑FS = LAST
ELEVATION – FIRST ELEVATION
3.483 – 3.578 = 100.405 –
100.500
- 0.095 = 0.095
0.K.
1.5.6 วิธป
ี ฏิบต
ั งิ านใน
สนาม
1.
การทาระดับ Profile จะต้องออกจากหมุดที่
่
ทราบค่า Elevation แล้วไปเข้าบรรจบหมุดทีทราบ
ค่าแล้ว เช่นเดียวกับ ความผิดไม่ควรเกิน 20√km
mm.
่
2.
ถ้าดินเปลียนแปลงมาก
ให้ Chainman ว ัดระยะ
ซอยของดิน การวัดระยะให้ว ัดละเอียดตามสมควร
3.
ค่า IFS อ่านละเอียดเป็ น 1 เซนติเมตร
4.
ค่า FS และ BS จะต้องอ่านให้ละเอียด
เหมือนกับการถ่าย BM ทุกประการ
่ Profile ข้ามลาน้ าจะต้องซอยทุกระยะ 2
5.
เมือ
เมตร หาค่าระดับน้ าสู งสุดทิศทางการไหล อ ัตราการ
ไหล
1.411
Profile
TP.
2
1+0.17
5
1+0.15
0
1.13
1.411
1.59
2.29
2.34
1.65
1.871
2.167
1.93
1.41
1.36
HI
1+0.12
5
TP.
1
1+0.10
0
BM.2
1+0.07
5
1+0.05
0
1+0.02
5
1+0.00
0
1.612
HI
100.5 BM.
2
TP.
2
TP.
1
TP.
2
1.5.7 การทาระด ับแบบสอบกลับ
(Reciprocal Leveling)
• การทาระดับแบบ Differential Leveling จะต ้อง
พยายามให ้ระยะห่างระหว่าง BS กับ FS เท่ากัน
ให ้มากทีส
่ ด
ุ เท่าทีจ
่ ะทาได ้
• แต่ในกรณีทไี่ ม่สามารถทาให ้ระยะห่างระหว่าง
่ เมือ
BS กับ FS เท่ากันได ้ เชน
่ ต ้องสารวจข ้าม
แม่น้ าหรือหุบเขา การทาระดับแบบสอบกลับ
(Reciprocal Leveling) จะชว่ ยจากัดความ
้
คลาดเคลือ
่ นเนือ
่ งจากเครือ
่ งมือทีใ่ ชและสภาพ
การทางานให ้หมดไปโดยการชดเชยกัน
1.5.7 การทาระด ับแบบสอบกลับ
(Reciprocal Leveling) (ต่อ) ้
วิธก
ี ารทาระดับแบบสอบกลับ มีด ังนี
1. ตัง้ อยูใ่ กล ้ TP1 ให ้มากทีส
่ ด
ุ เท่าทีจ
่ ะทาได ้
2. อ่านค่าไม ้ระดับที่ TP1 ซงึ่ อาจจะต ้องใชดิ้ นสอเลือ
่ น
ขึน
้ ลงจนกระทัง้ มองเห็นผ่านทางกล ้องสมมติอา่ นค่าได ้
x1
3. อ่านค่าไม ้ระดับที่ TP2 สมมุตอ
ิ า่ นค่าได ้ y1
4. ย ้ายกล ้องไปอีกฝั่ งของแม่น้ าและตัง้ กล ้องให ้อยูใ่ กล ้
TP2 ให ้มากทีส
่ ด
ุ เท่าทีจ
่ ะทาได ้
่ เดียวกันกับข ้อ 2
5. อ่านค่าไม ้ระดับ TP2 วิธก
ี ารเชน
สมมุตอ
ิ า่ นค่าได ้ y2
1.5.7 การทาระด ับแบบสอบกลับ
(Reciprocal Leveling) (ต่อ)
y1 y2
x1
TP1x
2
ลา
น้ า
TP2
y
x
x
1
1
y2
2
TP
1
A
h
TP
2
B
1.6 การทาค่าระดับ Cross
Section
หัวข้อการบรรยาย
1.6.1 ความหมายของ Cross Section หรือ
X – Section
1.6.2 อุปกรณ์ และ กาลังคนงานสารวจ
1.6.3 จุดทีต
่ ้องเก็บระดับ
1.6.4 การทา Cross Section ด ้วยกล ้อง
ระดับ
1.6.5 ตาแหน่งทีต
่ ้องทา CROSS
SECTION และขอบเขตการทา
1.6.6 การจดบันทึกข ้อมูล Cross Section
1.6.1 Cross section
or X – section
การทา Cross section คือ การทาระดับของ
งานดิน (Existing ground) ไปในแนว ตัง้ ฉากกับ
้ น
เสนพื
้ ฐานของแนวสารวจ (Base line)
ชา่ งสารวจต ้องทา Cross section ให ้ได ้ค่าที่
จะนาไปหาปริมาณงานดินทีใ่ กล ้เคียงความจริงมาก
ทีส
่ ด
ุ
การเก็บค่าระดับดินเดิมในบางจุดบน Station
ทีท
่ าแล ้วมีผลทาให ้ได ้ระดับดินเดิม (NGL) คานวณ
ค่ า ปริม าณงานดิน ผิด จากความจริง ไปมาก ก็ ใ ห ้
พิจารณาเลีย
่ งไปหาระดับ ณ จุดทีใ่ กล ้เคียงทีท
่ าให ้
คานวณค่าปริมาณงานดินถูกต ้อง
1.6.2 อุปกรณ์ และ กาลังคน
งานส
ารวจ
อุปกรณ์งานสารวจ
1. กล ้องระดับ (Level) พร ้อมขากล ้อง
สมุดสนาม
2. กล ้องวัดมุม (Theodolite) พร ้อมขากล ้อง
6. มีดถางป่ า
3. Staff (ไม ้วัดระดับ) 3 เมตร, 4 เมตร
4. เทปวัดระยะยาว 25 -30 เมตร
5.
กาลังคนของงานสารวจ ( Cross Section Party)
่ งกล ้อง (Instrument man)
1. คนสอ
1 คน
2. คนจดสมุดสนาม (Recorder
1 คน
3. คนถือไม ้ Staff (Rod man)
2 คน
่ องเก็บระดับในแต่ละ
1.6.3 จุดทีต้
CROSS SECTION
1. ในกรณีทม
ี่ ถ
ี นนเดิมอยูใ่ ห ้เก็บที่ Base line กลางถนน
ไหล่ท าง ขอบร่ อ งน้ า ข ้างถนนและพื้น ที่ด น
ิ ทุ ก จุ ด ที่
เปลีย
่ นความลาด (Slope)
2. ในกรณีทไี่ ม่มค
ี ันทาง เก็บที่ Base line * และตามจุด
ทีด
่ น
ิ เปลีย
่ นความลาด
3. ในกรณี ไ ม่ม ีคั น ทางและดิน ราบเสมอกั น สั ง เกตการ
่ ทุง่ นา หรือป่ า
เปลีย
่ นความลาดของพืน
้ ดินได ้ยาก เชน
ทีพ
่ น
ื้ ดินเสมอกัน ก็ให ้เก็บที่ Base line และทุก 5, 10,
20 เมตร และที่ ROW. * จาก Base line
4. หลีกเลีย
่ งการเก็บระดับบนพื้นทีเ่ ปลีย
่ นความลาด ซงึ่
หมายเหตุ
คือเชโดยปกติ
คอ
ื แนว
่ จอมปลวก
จะทาให*้ค่าBase
งานดิLine
นเปลีของถนน
ย
่ นไปมาก
น
เนิน
ศูนดิ
ย์น
กลางถนน
ROW
คือเมตร
เขตทาง
ทีม
่ ค
ี วามยาวไปตาม Station**ไม่
ถงึ 10
และ
่ องเก็บระดับ (ต่อ)
จุดทีต้
5.
ใน Cross Sectn บนท่อ นอกจากเก็บที่ Base line
กลางถนนและไหล่ทางแล ้วต ้องตัง้ Staff
เก็บทีป
่ ลาย
ปากท่อ (หลังท่อ) และที่ Inlet และ Outlet และบน
พืน
้ ดินเปลีย
่ นความลาดจนถึง ROW.
6.
ใน Cross Sectn ของทางน้ าเก็บระดับที่ Base line
และทุกจุดทีเ่ ปลีย
่ นความลาดจนถึง ROW.
7.
ใน Cross Sectn ของคอสะพานเก็บระดับที่ Base
line กลางถนน ไหล่ทางและทุกจุดทีพ
่ น
ื้ ดินเปลีย
่ นความ
ลาด (Slope)
8. ใน Cross Sectn ของ Spur line* ทีเ่ ป็ นถนนเก็บแบบ
เดียวกับของ Base line ทุกกรณี ใน Cross Sectn ของ
้ ารวจทีแ
หมายเหตุ * Spur Line คือ แนวเสนส
่ ยกจาก
Spur line ทีเ่ ป็ นคลองเก็บทีข
่ อบตลิง่ ก ้นคลองที่ตลิง่
แนว Base Line
1.6.4 การทา Cross Section
ด้วยกล้องระดับ
่ ง BS.
1. คนกล ้องตัง้ กล ้องสอ
ไปยัง BM.
่ งค่า
หรือ HUB.* หรือ TBM.
หมุนกล ้องสอ
IFS. บน Staff
2.ทีต
่ ัง้ บน Cross line หรือ Spur line ใน
ขณะเดียวกันChainman ก็วัดระยะจาก Base
line ไปยังจุดตัง้ Staff นัน
้
3.ข ้อมูล ต่า งๆ ผู ้จดบั น ทึก จะต ้องจด ตลอดจน
เขียนภาพ Sketch ต่างๆ อย่างละเอียด
4.การจับฉากถ ้าระยะใกล ้ก็ใช ้ Optical square
หมายเหตุ * HUB คือ หมุดคอนกรึตหรือไม ้ทีฝ
่ ั งเสมอ
้ ้อง Theodolite
ดินถ ้าไกลมากก็ใชกล
่ องทา CROSS
1.6.5 ตาแหน่ งทีต้
SECTION
1. ทุก Station 25 เมตร (STA. เดียวกับ Pro
2. ทุกจุดทีม
่ ท
ี อ
่
3. ทุกจุดทีม
่ ท
ี างน้ า
4. คอสะพานทัง้ สองข ้าง
5. ทุก Station ของ Spur line ทีช
่ ด
ุ Alignm
6. ทุกจุดของทางแยก ทีไ่ ม่ได ้วาง Spur lin
ขอบเขตของการเก็บ Cross
section
การเก็บระดับจะต ้องเก็บกว ้างข ้าง
ละเท่ากับ ROW.
หรือมากกว่าถ ้า
จาเป็ นทัง้ สองด ้าน ในกรณี Spur line
ที่เ ป็ นถนนอาจเก็ บ ออกไปไม่เ ท่า กั บ
C
ROW. ของ Center lineประมาณ
15 –
L
20 เมตร ในกรณี Spur line
ทีเ่ ป็ นคลองให ้เก็บคลุมขอบตลิง่ ไป
ข ้างละไม่น ้อยกว่า 10 เมตร
1.6.6 การจดข้อมู ล Cross
Section
การจด Field Book นัน
้ Recorder จะเป็ นคนจดซงึ่
จะต ้องทาการจดค่า Staff และค่าระยะไปพร ้อมกัน
รวมทั
นรูป Sketch
างๆไปยั
วิธก
ี งารจด
Cross
section
่ ง ต่BS
วิธง้ท
ี เขี
ี่ 1ยในกรณี
ทส
ี่ อ
Center
station
มีดงซ
ั นีงึ่ ้ รู ้ค่าระดับจากการทา
ระดับ Profile แล ้ว
สู ตร
Elev. = HL – IFS
หรือ
Elev. = HL – FS
∑BS - ∑BS = Last Elev. – First
่ 2 สอ
่ งจาก BM ไปเข ้าบรรจบ BM วิธน
วิ
ธ
ท
ี
ี
ี ใี้ ห ้ความ
Elev
ละเอียดมากกว่าวิธท
ี ี่ 1 เพราะสามารถตรวจสอบการ
่ งกล ้องได ้
สอ
ต ัวอย่างการบันทึกข้อมู ล Cross –
Section Party (วิธท
ี 1)
ี่
CROSS SECTION
FROM STA ……………………..TO STA………………………..ROUTE NO.4
PROJECT………………………………
PC………........................
DATE……………………………………
INST.…………………………
INST.NO. ……………………………..
ROD…………………………
WEATTHER………………………….
ROD…………………………
CHINMAN…………………….
CHINMAN…………………….
LT
CRT
RT
STA 0 + 025
BS = 1.546
HI =51
Dist
15
10
5
0/0
4
9
20
Rod
1.73
2.57
1.81
1.546
1.21
1.69
1.33
Elev.
49.96
49.12
49.88
50.140 50.48
49.99
50.36
STA 0 + 050
BS = 1.912
HI =53
Dist
15
7
4
0/0
3
7
15
Rod
1..56
3.14
2.61
1.912
1.44
1.61
3.02
Elev.
51.57
49.99
50.52
51.220 51.69
51.52
50.11
หมายเหตุ
ถ้าหากว่าในระหว่าง STA 0 + 025 และ STA 0 + 50 มีลก
ั ษณะภู มป
ิ ระเท
่ นอี
้ ก
ท่อระบายน้ าจะต้องแบ่งซอยทา Cross section เพิมขึ
ตัวอย่างการบันทึกข้อมู ล Cross –
Section Party (วิธท
ี 2)
ี่
่ งจาก BM ไปเข ้าบรรจบ BM วิธน
วิธท
ี ี ่ 2 สอ
ี ใี้ ห ้ความ
ละเอียดมากกว่าวิธท
ี ี่ 1 เพราะ
SECTION
่ CROSS
สามารถตรวจสอบการสอ
งกล ้องได
้
FROM STA ……………………..TO STA……………………….. ROUTE NO……….
PROJECT………………………………
PC………...............................
DATE……………………………………
INST.…………………………...
INST.NO. ……………………………..
ROD……………………………
WEATTHER………………………….
ROD…………………………....
CHINMAN…………………….
CHINMAN…………………….
LT
BL
RT
BS
BM1
HI FS
EL
1.569 122.035
120.466
STA 0 + 100
Dist
20
Rod
0.91
Elev.
121.12
(CD)20 10
5
0/0
5
10
15
1.03
2.77
1.74
1.25
1.58
3.12
1.66
121.0
119.29
120.29 120.78 120.47 118.91
STA 0 + 125
HI =53.132 Elev. 51.220
Dist
20
Rod
3.09
Elev.
118.94
BS
TPI 1.319
STA 0+125
Dist
Rod
Elev.
หมายเหตุ
ER
CR
=
CD
=
120.37
BS = 1.912
10
0.61
121.42
HI
121.750
5
1.91
120.12
FS
1.604
0/0
1.30
120.74
ELEV.
120.431
0/0
=
Edge of road
Center of road
Center of ditch
ส่องไม่ได้
3
1.93
119.82
7
2.67
119.08
20
3.44
118.31
1.6.7 วิธป
ี ฏิบต
ั ใิ นสนามสาหร ับ
งานของ ทช.
เนื่องจากการสารวจถนนทางหลวงชนบทเป็ นการสารวจ
้ ๆ ประมาณ 2-5 กม. เขตทางในการก่อสร ้าง
ระยะทางสัน
ข ้างละไม่เกิน 10.00 เมตร และให ้แล ้วเสร็จในระยะเวลาอั น
้ การส ารวจจึง นิ ย มใช การท
้
สั น
าระดั บ ให ้ท า Profile ไป
พร ้อมกับ Cross Section (วิธท
ี 2
ี่ ) ซงึ่ สะดวกและรวดเร็ว แต่
การทาระดับวิธน
ี ี้จะทาได ้ดีก็ตอ
่ เมือ
่ มีการวาง Staff ออก
่ ตัง้ Staff ทีร่ ะยะ 3 , 6
จากแนวสารวจเป็ นระยะเท่าๆ กัน เชน
, 9 และ 12 เมตร ตามพืน
้ ราบหรือตามทุง่ นา
ซ งึ่ ไม่ ต รงกั บ สภาพความเป็ นจริง ที่ส่ ว นใหญ่ เ ป็ นการ
ส า ร ว จ ถ น น ที่ ม ี คั น ท า ง เ ดิ ม เ พื่ อ น า ม า อ อ ก แ บ บ เ ป็ น
ถนนลาดยาง เพราะฉะนั ้น งานส ารวจจ าเป็ นที่จ ะต ้องเก็ บ
สภาพคันทางเดิมให ้เป็ นจริงมากทีส
่ ด
ุ โดยเพิม
่ การจดระยะที่
มีการตัง้ Staff พร ้อม Sketch ภาพคันทางแต่ละ Sta. สมุด
วิธป
ี ฏิบต
ั ใิ นสนามสาหร ับงาน
ของ ทช. (ต่อ)
โดยให ้แบ่งสุดจดระดับเป็ น 2 เล่ม
1.สมุดระดับ Cross Section สาหรับจดค่าระดับ
จากกล ้อง
2.สมุด X – Section สาหรับจดระยะตัง้ Staff และ
Sketch ภาพ
โดย ผู ้สารวจต ้องเก็บระดั
บในทุกจุดทีม
่ ก
ี ารเปลีย
่ นแปลง

ค่าระดับตามตาแหน่งทีต
่ งั ้ Staff คันทางเดิมตาม
่ 
ตาแหน่
บเปลีย
่ นแปลง เชน
 งทีร่ ะดั

1.6.8 ตัวอย่างการจด
บันทึกค่าระดับ
และบันทึกสภาพพืน
้ ที่
1 255
10/สค./2551
1
สมุดระดับงานถนน
1. สมุดจดระดับในสมุดสนาม
2. สมุดบันทึก สภาพพืน
้ ที่
แยก ทล. 3443
(กม.26+700)
บ.บ่
อทอง
กาญจ
เลา
ขวัญ 9.585 นบุร ี
กจ.40
65
0+700
10+28
5
1. การจดระดับในสมุดสนาม