กลมุ่ 3 เสนอ : แนวคิดทฤษฎีการเรียนร้ ู ทางจิตวิทยา อยากให้ เด็กเรียนดี มีความสุ ข ต้ องปลูกฝัง 3 ชอบ ชอบครู ชอบเรียน ชอบวิชา.
Download ReportTranscript กลมุ่ 3 เสนอ : แนวคิดทฤษฎีการเรียนร้ ู ทางจิตวิทยา อยากให้ เด็กเรียนดี มีความสุ ข ต้ องปลูกฝัง 3 ชอบ ชอบครู ชอบเรียน ชอบวิชา.
กลุ่ม 3 เสนอ : แนวคิดทฤษฎีการ เรียนรู ้ ทางจิตวิทยา อยากให้เด็กเรียนดี มี ความสุข ต้องปลู กฝั ง 3 ชอบ ชอบครู ชอบเรียน ชอบวิชา 1. การวางเงื่อนไขแบบคลา สิค (พาพลอฟ) ไม่ ฟิ สิกส ์ ชอบ ช ครูใจดี น่ าร ัก อบ ฟิ สิกส ์ ครูใจดี น่ าร ัก นาน ๆ ครง้ั ช ฟิ สิกเข้ ส ์า อบ ช อบ 2. การวางเงื่อนไขแบบการกระทา (Skinner) แสดงพฤติกรรม ่ งประสงค ์ ทีพึ ได้ร ับผลการกระทา ่ งพอใจ (การเสริมแรง) ทีพึ ่ งประสงค ์จะยังคงอยู ่ พฤติกรรมทีพึ และกระทาต่อไป การเสริมแรง การเสริมแรงทางบวก การเสริมแรงทางลบ ่ ให้สงที ิ่ พอใจ ่ ่ เอาสิงที ไม่พอใจออก การประยุกต ์ใช้ในการสอน 1. การตัง้ จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม 2. การใชตั้ วเสริมแรง ได ้แก่ ยิม ้ แย ้ม การชมเชยจากครู การให ้คะแนน ้ 3. การใชบทเรี ยนสาเร็จรูป 3. แนวคิดในการจัดการศึกษาของบลู ม (Benjamin S. Bloom) Benjamin Bloom จาแนกพฤติกรรม การเรียนรู ้ได้ 3 จาพวก คือ 1. พุทธิพส ิ ย ั พฤติกรรมทางสมอง 1. ความรู ้ วัดได ้จากการท่องจา 2. ความเข ้าใจ เช่น แปล ่ ได ่ ้เรียนรู ้ ความหมาย หรืออธิบายสิงที มา 3. การนาไปใช ้ เช่น เรียนรู ้การ ่ ยม ่ หา พ.ท. ของรูปสีเหลี โดยใช ้สูตร กว ้าง x ยาว แล ้วไปคานวณหา พ.ท. ่ . การคานวณหา 4. การวิเคราะห์ เชน พ.ท. รูปสเี่ หลีย ่ มว่า มาจากผลรวม ของพืน ้ ทีข ่ องหน่วยย่อย ๆ ่ การนาผลรวม 5. การสงั เคราะห์ เชน ของพืน ้ ทีข ่ องหน่วยย่อย ๆ มารวมกัน เป็ น พ.ท. ของสเี่ หลีย ่ มใหญ่ ิ หรือ 6. การประเมินค่า สามารถตัดสน ตีคา่ ของสงิ่ ทีพ ่ บเห็นว่า ถูก- ไม่ถก ู ดี - หรือ ไม่ด ี พฤติกรรมนีไ ้ ด ้แก่ การ 2. เจตพิสย ั พฤติกรรมด้าน อารมณ์ ความคิด จิตใจ 1. ความภู มใิ จ 2. ความศร ัทธา ่ ้า 3. รสนิ ยม ร ับรู ้สิงเร ค่านิ ยม 4. ตอบสนอง 5. สร ้างคุณค่า 6. จัดระบบคุณค่า 7. สร ้างลักษณะนิ สย ั 8. การดัดแปลงให้ 3. ทักษะพิสย ั พฤติกรรม ้ ทักษะการ ด้านกล้ามเนื อ ใช้อ1.วัย วะต่ า ง ๆ ้ อ ทักษะการใชเครื ่ งมือ ่ อ่าน 2. ทักษะทางภาษา เชน เขียน พูด 3. ทักษะการแสดงออกทาง ิ ปะ ศล 4. เตรียมพร ้อม 5. ตอบสนอง 6. การปฏิบัตไิ ด ้ ั ซอน ้ 7. การตอบสนองทีซ ่ บ ่ 4. ทฤษฎีการเรียนรู ้แบบเชือมโยง (Connectionism theory) ของ Thorndike พร ้อม….ได้ทา….พอใจ พร ้อม…ไม่ได้ทา…ไม่พอใจ ไม่พร ้อม….บังคับให้ทา…คับข้องใ (กฎแห่งความพร ้อม) กฎ 3 ข้อทฤษฎี ่ เชือมโยง ความสัมพันธ ์ ทาแล้วพอใจอยากทาอีก (กฎแห่งผล) ทาบ่อย ๆ จะเกิดทักษะ (กฎแห่งการฝึ กหัด) 5. ทฤษฎีการเรียนรู ้กลุ่ม เกสตัลท ์ (Gestalt theory) หลักการจด ั การศึกษา / การสอน ตาม แนวคิดจากกลุ่มเกสตัลท ์ 1. กระบวนการคิดเป็ นกระบวนการ สาค ัญในการเรียนรู ้ 2. การสอนโดยการเสนอภาพรวมให้ ผู เ้ รียนเห็นและเข้าใจก่อนการเสนอ ส่วนย่อย 3. การส่งเสริมให้ผูเ้ รียนมี ประสบการณ์มาก จะช่วยให้ผูเ้ รียน ่ สามารถคิดแก้ปัญหาและคิดริเริมได้ ่ ้าทีต ่ ้องการให ้ผู ้เรียน 5. การจัดระเบียบสิงเร เกิดการเรียนรู ้ให ้ดี 6. ในการสอนครูไม่จาเป็ นต ้องเสียเวลาเสนอ ้ ่ การสอนทังหมดที สมบู รณ์ ้ 7. การเสนอบทเรียนหรือเนื อหาควรจั ดให ้มี ความต่อเนื่ องกันจะช่วยให ้ผูเ้ รียนเกิดการ เรียนรู ้ได ้ดี และรวดเร็ว 8. การส่งเสริมให ้ผูเ้ รียนได ้ร ับประสบการณ์ที่ หลากหลาย 6. ทฤษฎีการเรียนรู ้ทางสังคมเชิง พุ ท ธิ ป ั ญ ญา (Bandura) ผู เ้ รียนใส่ใจ ่ วแบบ ผลกรรมทีตั ได้ร ับ ดี พฤติกรรมต้นแบบ ตัวแบบ - ตัวแบบมีชวี ต ิ - ตัวแบบสัญลักษณ์ - ตัวแบบในรู ปภาษา หรือคาสอน ไม่ด ี เลียนแบบ ผู เ้ รียนใช้ปัญญาไตร่ตรอง ไม่เลียนแบบ/ปร ับ 7. ทฤษฎีกระบวนการ ประมวลสาร การเรียนรู ้ของมนุ(Information ษย ์ อุปมาได้ก ับ processing theory) กระบวนการ ่ ปฏิบต ั งิ านของเครือง คอมพิ เข้วาเตอร รหัส์ ปฏิบต ั ก ิ ารจา ้ ระยะสัน ปฏิบต ั ก ิ ารจา ระยะยาว 8. ทฤษฎีการสร ้างความรู ้ด้วยตนเอง (Constructivism) เน้นกระบวนการ/วิธก ี ารของ บุคคล ่ ้จาก ้างความรูผู ความรูในการสร ้เป็ นกระบวนการที เ้ รียนจะต้อง จัดกระทากัประสบการณ์ บข้อมู ล และไม่ใช่ร ับเพียง ข้อมู ลเข้ามา Data Information Knowledge ทฤษฎีการสร ้างความรู ้ด้วยตนเอง (ต่อ) ้ โดยการสร ้างสรรค ์ชินงาน หากผู เ้ รียนมีโอกาสได้สร ้างความคิด ้ ละนาความคิดของตนเองไปสร ้างสรรค ์ชินงา ่ เหมาะสม ่ ดยอาศ ัยสือที จะทาให้เห็นความคิดน ่ ัดเจน เป็ นรู ปธรรมทีช 9. ทฤษฎีการเรียนรู ้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ่ การพึงพา ้ ลกัน และเกือกู การปรึกษาหารือกัน อย่างใกล้ชด ิ ความร ับผิดชอบ ่ ทีตรวจสอบได้ ของสมาชิกแต่ละคน การใช้ทก ั ษะ การปฏิสม ั พันธ ์ ระหว่างบุคคล และทักษะการทางาน กลุ่มย่อย การวิเคราะห ์ กระบวนการกลุ่ม 10. ทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ศาสตราจารย ์โฮวาร ์ด การ ์ด เนอร ์ นักจิตวิทยา เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุ ษย ์มี ่ ความสาคัญเท่าเทียมกัน หลายด ้านทีมี ้ ขึนอยู ก ่ บั ว่าใครจะโดดเด่นด ้านไหนบ ้าง แล ้วแต่ละด ้านผสมผสานกัน แสดงออกมา ่ เป็ นความสามารถในเรืองใด เป็ น พหุปัญญา ตามแนวคิดนี ้ ในปั จจุบน ั มี ปั ญญาอยู ่ 8 ด้าน ด ังนี ้ 1. ปัญญาด ้านภาษา (Linguistic Intelligence) 2. ปัญญาด ้านตรรกศาสตร ์และคณิ ตศาสตร ์ (Logical-Mathematical Intelligence) 3. ปัญญาด ้านมิตส ิ ม ั พันธ ์ (Visual-Spatial Intelligence) ่ 4. ปัญญาด ้านร่างกายและการเคลือนไหว (Bodily Kinesthetic Intelligence) 5. ปัญญาด ้านดนตรี (Musical Intelligence) 11. ทฤษฎีพฒ ั นาการทาง สติปัญญาของเพียเจต ์ การเรียนรู ้ของเด็กเป็ นไป ตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึง่ จะมีพฒ ั นาการไปตามว ัยต่างๆ ้ เป็ นลาด ับขัน แต่การจัดประสบการณ์ ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วง ่ กกาลังพัฒนาไปสู ข ้ั สู ่ ง ทีเด็ ่ นที หลักการจัดการศึกษา / การ สอน ตามทฤษฎีพฒ ั นาการทาง สติปัญญาของเพียเจต ์ 1. ในการพัฒนาเด็ก ควร คานึ งถึงพัฒนาการทางสติปัญญา ของเด็กและจัดประสบการณ์ให้เด็ก ้ อย่างเหมาะสมก ับพัฒนาการนันไม่ ่ ยั ่ งไม่ ควรบังค ับให้เด็กเรียนในสิงที พร ้อม หรือยากเกินพัฒนาการตาม วัยของตน เพราะจะก่อให้เกิดเจตคติ 2. การให ้ความสนใจและสงั เกตเด็ก ิ จะชว่ ยให ้ได ้ทราบ อย่างใกล ้ชด ลักษณะเฉพาะตัวของเด็ก 3. ในการสอนเด็กเล็กๆ เด็กจะรับรู ้ สว่ นรวม (whole) ได ้ดีกว่าสว่ นย่อย (part) 4. ในการสอนสงิ่ ใดให ้กับเด็ก ควรเริม ่ จากสงิ่ ทีเ่ ด็กคุ ้นเคยหรือมี ประสบการณ์มาก่อน 12. ทฤษฎีการเรียนรู ้ด้วย วิธก ี ารค้นหา ของบรุนเนอร ์ (Brunner) การเรียนรู ้ตามแนวคิดของบรุนเนอร ์แบ่งเป็ น ้ คือ 3 ขัน - การเรียนรู ้ด้วยการกระทา (Enactive ้ การเรี ่ ่ ดจาก Representation) เป็ นขันที ยนรู ้ทีเกิ ้ ประสาทสัมผัส ดูตวั อย่างและทาตาม เป็ นช่วงตังแต่ เกิดจนถึง 2 ขวบ - การเรียนรู ้ด้วยการลองดู และ ้ จินตนาการ (Iconic Representation) เป็ นขัน ่ กเรียนรู ้ในการมองเห็นและการใช ้ประสาท ทีเด็ สัมผัสต่าง การประยุกต ์ใช้ในการจัดการ เรียนการสอน ทาได้ดงั นี ้ ้ การจัดลาด ับขันของการ เรียนรู ้และการนาเสนอให้สอดคล้องกับ ระด ับของการร ับรู ้เข้าใจ ้ ทัง้ ในการเรียนการสอนนัน ผู เ้ รียนและผู ส ้ อนต้องมีความพร ้อม แรงจู งใจ และความสนใจ ลักษณะและชนิ ดของ ่ กิจกรรมการเรียนการสอนทีเหมาะสม วิธก ี ารสอนตามแนวคิดของบรุนเนอร ์ใช ้วิธก ี ารค ้นพบ (Discovery Learning) การประยุกต ์ใช ้ โดยยึดหลักการสอนดังนี ้ • ผู เ้ รียนต้องมีแรงจูงใจภายใน (Selfmotivation) และมีความอยากรู ้ อยากเห็น ่ อยู ่ ่รอบตนเอง อยากค ้นพบสิงที • โครงสร ้างของบทเรียน (Structure) ต ้องจัด บทเรียนให ้เหมาะสมกับวัยผูเ้ รียน • การจัดลาด ับความยากง่ าย (Sequence) โดยให ้คานึ งถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของ ผูเ้ รียน • แรงเสริมด้วยตนเอง (Self-reinforcement) 13.พุทธวิธห ี รือพุทธ จิตวิทยาในการสอน ข้อสรุปพระคุณสมบัตข ิ องพระพุทธเจ้าที่ ควรสังเกต ่ เป็ ่ นจริง และเป็ นประโยชน์แก่ 1. ทรงสอนสิงที ผูฟ ้ ัง ่ สอนอย่ ่ 2. ทรงรู ้เข ้าใจสิงที างถ่องแท ้สมบูรณ์ 3. ทรงสอนด ้วยเมตตา มุ่งประโยชน์แก่ผูร้ บั คา ่ ง้ สอนเป็ นทีตั ไม่หวังผลตอบแทน ่ ่ 4. ทรงทาได ้จริงอย่างทีสอน เป็ นตัวอย่างทีดี 5. ทรงมีบค ุ ลิกภาพโน้มน้าวจิตใจให ้เข ้าใกล ้ชิด ่ หลักทัวไปในการสอน ่ ้ ่ สอน ่ เกียวกั บเนื อหา หรือเรืองที ่ รู่ ้เห็นเข ้าใจง่าย หรือรู ้เห็นเข ้าใจ 1. สอนจากสิงที ่ เห็ ่ นเข ้าใจได ้ยาก หรือยังไม่รู ้ไม่เห็น อยู่แล ้ว ไปหาสิงที ไม่เข ้าใจ ้ องที ่ ค่ ่ อยลุม 2. สอนเนื อเรื ่ ลึก ยากลงไปตามลาดับ ้ และความต่อเนื่ องกันเป็ นสายลงไป อย่างทีเรี ่ ยกว่า ขัน สอนเป็ นอนุ บพ ุ พิกถา.. ่ สอนเป็ ่ ่ แสดงได ่ 3. ถ ้าสิงที นสิงที ้ ก็สอนด ้วยของจริง ให ้ผูเ้ รียน ได ้ดู ่ ยกว่าประสบการณ์ตรง ได ้เห็น ได ้ฟังเอง อย่างทีเรี ้ ่ คลุมอยู่ในเรือง ่ มีจด 4. สอนตรงเนื อหา ตรงเรือง ุ ่ ไม่วกวน ไม่ไขว ้เขว ไม่ออกนอกเรือง ่ มี ่ ความหมาย 7. สอนสิงที ่ ยนรู ้ และเข ้าใจ เป็ น ควรทีเขาจะเรี ประโยชน์แก่ตวั เขาเอง อย่างพุทธพจน์ทว่ี่ า พระองค ์ทรงมี พระเมตตา หวังประโยชน์แก่สต ั ว์ ้ ทังหลาย ่ เกียวก ับต ัวผู เ้ รียน 1. รู ้ คานึ งถึง และสอนให ้เหมาะสมตาม ความแตกต่างระหว่างบุคคล... 2. ปร ับวิธสี อนผ่อนให ้เหมาะกับบุคคล ่ แม้สอนเรืองเดี ยวกันแต่ตา่ งบุคคล อาจใช ้ต่าง วิธ ี 3. นอกจากคานึ งถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคลแล ้ว ผูส้ อนยังจะต ้องคานึ งถึง ความพร ้อม ความสุกงอม ความแก่รอบแห่ง อินทรีย ์ หรือญาณของผูเ้ รียนแต่ละบุคคลเป็ น รายๆ ไปด ้วย 4. สอนโดยให ้ผูเ้ รียนลงมือทาด ้วยตนเอง ่ ซึงจะช่ วยให ้เกิดความรู ้ความเข ้าใจช ัดเจน แม่นยาและได ้ผลจริง ่ ้รู ้สึกว่า 5. การสอนดาเนิ นไปในรูปทีให ผูเ้ รียน กับผูส้ อนมีบทบาทร่วมกันในการแสวง ความจริง ให ้มีการแสดงความคิดเห็นโต ้ตอบเสรี ้ นข ้อสาคัญในวิธก หลักนี เป็ ี ารแห่งปัญญา ซึง่ ต ้องการอิสรภาพในทางความคิด และโดยวิธน ี ี้ ่ ้าถึงความจริง ผูเ้ รียนก็จะรู ้สึกว่าตนได ้ เมือเข มองเห็นความจริงด ้วยตนเอง และมีความช ัดเจน ่ ้ นหลักทีพระพุ ่ มันใจ หลักนี เป็ ทธเจ ้าทรงใช ้เป็ น ประจา และมักมาในรูปการถามตอบ ่ เกียวกั บการสอน ่ 1. พระพุทธเจ ้าจะไม่ทรงเริมสอนด ้วยการ ้ ่ เข ้าสูเ่ นื อหาธรรมที เดียว แต่จะทรงเริมสนทนากั บผู ้ ่ เขารู ่ ทรงพบ หรือผูม้ าเฝ้ าด ้วยเรืองที ้เข ้าใจดี หรือ สนใจอยู่... 2. สร ้างบรรยากาศในการสอนให ้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลิน ้ 3. สอนมุ่งเนื อหา มุ่งให ้เกิดความรู ้ความ ่ สอนเป็ ่ เข ้าใจในสิงที นสาคัญ ไม่กระทบตนและผูอ้ น ื่ ไม่ม่งุ ยกตน ไม่ม่งุ เสียดสีใครๆ... ้ 4. สอนโดยเคารพ คือ ตังใจสอน ทาจริง ่ คา่ มองเห็นความสาคัญ ด ้วยความรู ้สึกว่าเป็ นสิงมี ่ ้น ไม่ใช ้สักว่าทา หรือ ของผูเ้ รียน และงาน สังสอนนั วิธส ี อนแบบต่างๆ วิธก ี ารสอนของพระพุทธเจ ้า มีหลายแบบ ่ หลายอย่าง ทีพบบ่ อยมีดงั นี ้ 1. สนทนา (แบบสากัจฉา) 2. แบบบรรยาย 3. แบบตอบปัญหา ท่านแยกประเภทปัญหา ไว ้ตามลักษณะวิธต ี อบเป็ น 4 อย่างคือ ่ งตอบตรงไปตรงมาตายตัว 1. ปัญหาทีพึ ่ งย ้อนถามแล ้วจึงแก ้ 2. ปัญหาทีพึ ่ ้องแยกความตอบ 3. ปัญหาทีจะต ่ งยับยังเสี ้ ย 4. ปัญหาทีพึ ่ ดเรืองมี ่ ภก 4. แบบวางกฎข ้อบังคับ เมือเกิ ิ ษุ ้ นครงแรก ้ั กระทาความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ งขึนเป็ กลวิธ ี และอุบายประกอบการสอน 1. การยกอุทาหรณ์ และการ เล่านิ ทานประกอบ 2. การเปรียบเทียบด้วยข้อ ่ ่ อุปมา คาอุปมาช่วยให้เรืองที ้ าใจยาก ปรากฏ ลึกซึงเข้ ความหมายเด่นช ัดออกมา และ ้ เข้าใจง่ ายขึน 3. การใช้อป ุ กรณ์การสอน 5. การเล่นภาษา เล่นคา และ ใช้คาในความหมายใหม่ 6. อุบายเลือกคน และการ ปฏิบต ั ริ ายบุคคล พิจารณาว่า จะเข้าไปโปรดใครก่อน 7. การรู ้จักจังหวะ และ โอกาสในการสอนให้เกิด ประโยชน์ 8. ความยืดหยุ่นในการใช้วธ ิ ี 9. การลงโทษ และให ้รางวัล การใช ้อานาจลงโทษ ใช ้การสอน ่ นการแสดง ไม่ต ้องลงโทษ ซึงเป็ ความสามารถของผู ้สอนด ้วย 10. กลวิธแี ก ้ปัญหาเฉพาะ หน้า คือ ความสามารถในการ ประยุกต ์หลัก วิธก ี าร และกลวิธ ี ่ ต่างๆ มาใช ้ให ้เหมาะสม เป็ นเรือง ข้อควรสังเกตในแง่ การสอน 2 อย่างคือ 1. ทรงสอนให้ตรงกับ ความถนัด และความสนใจ 2. ทรงสอนให้ตรงกับ ระดับสติปัญญา และระดับ ชีวต ิ ของแต่ละคน สรุป ลีลาการ สอน แจ ้ง แจ่ม จูงใจ หาญกล ้า ร่าเริง ชีช้ ัด นาเสนอโดย นายณรงค ์ศ ักดิ ์ พรมวัง รหัส 533JCe201 นางเพ็นนี บุญอาษา รหัส 533JCe208 ่ นายวิช ัย มันพลศรี รหัส 533JCe211 นางยาใจ เดชขันธ ์ รหัส 533JCe212 นิ สต ิ ปริญญาเอก ภาคปกติ รุน ่ ที่ 1 สาขาวิจ ัยหลักสู ตรและการสอน