บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่ อง คำบำลี สันสกฤตในภำษำไทย กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ภำษำไทย ชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 3 จัดทำโดย นำงสมฤดี มะลิซอ้ น โรงเรี ยนอุดมดรุ ณี สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำสุ โขทัยเขต 1

Download Report

Transcript บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่ อง คำบำลี สันสกฤตในภำษำไทย กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ภำษำไทย ชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 3 จัดทำโดย นำงสมฤดี มะลิซอ้ น โรงเรี ยนอุดมดรุ ณี สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำสุ โขทัยเขต 1

บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน
เรื่ อง คำบำลี สันสกฤตในภำษำไทย
กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ภำษำไทย
ชั้นมัธยมศึกษำปี ที่ 3
จัดทำโดย
นำงสมฤดี มะลิซอ้ น
โรงเรี ยนอุดมดรุ ณี
สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำสุ โขทัยเขต 1
ประวัติภาษาบาลีและภาษาสั นสกฤต
ภาษาบาลีแ ละภาษาสั น สกฤต จัด อยู่ภ ำษำอิ น เดี ย -ยุโ รป ซึ่ งเป็ น
ตระกูลภำษำมีวิภตั ติปัจจัยพวกอำรยันได้เข้ำมำในอินเดีย เมื่อ ประมำณ 1,500
ปี ก่อนคริ สตศักรำช ( ปรี ชำ ทิ ชินพงศ์,2534 : 1 ) นักปรำชญ์ทำงภำษำ ได้
แบ่งภำษำตระกูลอำรยันในอินเดียออกเป็ น 3 สมัย ดังนี้
1. ภาษาสมัยเก่ า หมำยถึงภำษำที่ใช้ในคัมภีร์พระเวท ได้แก่ คัมภีร์
ฤคเวท ยชุรเวท สำมเวท และอำถรรพเวท รวมตลอดทั้งคัมภีร์อุปนิ ษทั ซึ่ ง
เป็ นคัม ภี ร์ สุ ด ท้ำ ยของคัม ภี ร์ พระเวท (เวทำนต์) ภำษำที่ ใ ช้ใ นคัม ภี ร์ ต่ ำ งๆ
เหล่ำนี้ จะมี ควำมเก่ ำแก่ ลดหลัน่ กันมำตำมลำดับ ภำษำสันสกฤตก็จดั อยู่ใน
สมัยนี้ดว้ ย
2. ภาษาสมัยกลาง ได้แก่ ภำษำปรำกฤตซึ่ งเป็ นภำษำถิ่ นของชำว
อำรยันที่ใช้กนั ท้องถิ่นต่ำงๆของประเทศอินเดีย เช่น ภำษำมำคธี มหำรำษฏรี
เศำรเสนี เป็ นต้น ภำษำในสมัยนี้ มีลกั ษณะโครงสร้ ำงทำงเสี ยง และนอกจำก
จะเรี ยกว่ำภำษำปรำกฤตแล้วยังมี ชื่อเรี ยกอี กอย่ำงหนึ่ งว่ำ “ภำษำกำรละคร”
เพรำะเหตุที่นำไปใช้เป็ นภำษำพูดของตัวละครบำงตัวในบทละครสัน สกฤต
ด้วย
3. ภาษาสมั ย ใหม่ ได้แ ก่ ภำษำต่ ำ งๆในปั จ จุ บ ัน เช่ น ภำษำฮิ น ดี
เบงกำลี ปั ญจำบี มรำฐี เนปำลี เป็ นต้น ภำษำเหล่ำนี้ แม้จะเข้ำใจกันว่ำสื บมำ
จำกภำษำปรำกฤต แต่มีลกั ษณะของภำษำผิดกันมำก เพรำะมีภำษำตระกูลอื่น
ที่ ไ ม่ ไ ด้สื บ มำจำกภำษำของชำวอำรยัน เข้ำ ไปปะปนกัน มำกบ้ำ งน้อ ยบ้ำ ง
แล้วแต่เหตุกำรณ์ทำงประวัติศำสตร์
ภาษาสั นสกฤต
ภาษาสั นสกฤต เป็ นภำษำที่มีวิวฒั นำกำรมำจำกภำษำในคัมภีร์พ ระเวท
ของชำวอำรยัน ถือเป็ นภำษำที่ศกั ดิ์สิทธิ์ ของคนชั้นสู ง แต่เดิมนั้นไม่ได้มีกำรวำง
หลักเกณฑ์เคร่ งครั ดนัก ต่อมำเมื่ อระยะเวลำล่วงไปนำนๆ ประกอบกับภำษำใน
คัมภีร์พระเวทนี้ มีภำษำพื้นเมื องปะปนอยู่มำก เป็ นเหตุให้หลักเกณฑ์ต่ำงๆ ของ
ภำษำนี้ คลำดเคลื่ อ นไปมำก จนกระทั่ง ได้มี นัก ปรำชญ์ข องอิ น เดี ย คนหนึ่ ง ชื่ อ
“ปำณิ นิ” ได้ศึกษำคัมภีร์พระเวททั้งหลำย แล้วนำมำแจกแจงวำงหลักเกณฑ์ให้เป็ น
ระเบียบและรัดกุม แต่งเป็ นตำรำไวยำกรณ์ข้ ึนเรี ยกชื่ อว่ำ “อัษฎำธยำยี” ซึ่ งได้ชื่อ
ว่ำเป็ นตำรำไวยำกรณ์เล่มแรกที่แต่งได้ดีที่สุดและมีชื่อเสี ยงไปทัว่ โลก และต่อมำ
ได้มีผเู ้ รี ยกภำษำที่ปำณิ นิได้จดั ระเบียบของภำษำไว้เป็ นอย่ำงดีและสมบูรณ์ที่สุดนี้
ว่ำ “สันสกฤต” ซึ่ งแปลตำมศัพท์ว่ำ “สิ่ งที่ ได้จดั ระเบี ยบและขัดเกลำเรี ยบร้อยดี
แล้ว ”
แต่กฎเกณฑ์ที่ปำณิ นิได้วำงไว้น้ ี กลับเป็ นสำเหตุหนึ่ งที่ทำให้ภำษำสันสกฤตไม่
มีววิ ฒั นำกำรเหมือนภำษำอื่นๆ เพรำะนอกจำกภำษำสันสกฤตจะถือว่ำเป็ น
ภำษำที่ศกั ดิ์สิทธิ์ ใช้ในหมู่ของนักปรำชญ์ โดยเฉพำะกษัตริ ยแ์ ละพรำหมณ์ที่
เป็ นบุรุษเพศ กฎเกณฑ์และรำยละเอียดปลีกย่อยยังทำให้ไม่เอื้อต่อกำรใช้ จึงทำ
ให้ภำษำสันสกฤตเป็ นภำษำตำยในที่สุด
ภาษาบาลี
ภาษาบาลี เป็ นภำษำปรำกฤตภำษำหนึ่งที่มีวิวฒั นำกำรมำจำกภำษำพระเวท
ภำษำบำลี คือ ภำษำที่ชำวมคธใช้พูดกันในแคว้นมคธ เรี ยกว่ำ “ภำษำมำคธี ”
พระพุทธเจ้ำทรงใช้ภำษำนี้ ประกำศพระศำสนำของพระองค์ ภำษำมำคธี น้ ี
แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ ( เจิม ชุมเกตุ, 2525:3 )
1. สุ ทธมำคธี เป็ นภำษำของชนชั้นสู ง คือภำษำของกษัตริ ยห์ รื อภำษำทำง
รำชกำร
2. เทสิ ยำหรื อปรำกฤต ได้แก่ ภำษำประจำถิ่น
พระพทุ ธ เจ้ำ ทรงใช้สุ ท ธมำคธี เ ป็ นหลัก ในกำรประกำศค ำสั่ ง สอนของ
พระองค์ และในสมัย นั้นทรงเผยแผ่พระธรรมด้วยวิธี มุข ปำฐะ โดยมิ ไ ด้มี
บันทึกหรื อเขียนเป็ นลำยลักษณ์อกั ษร ภำษำบำลีน้ ี นำมำใช้บนั ทึกพุทธวจนะ
เป็ นลำยลักษณ์อกั ษรเมื่อประมำณพุทธศตวรรษที่ 3
ปรำกฏเป็ นหลักฐำนครั้ งแรกในจำรึ กพระเจ้ำอโศกมหำรำช ถือเป็ นภำษำประจำ
พุทธศำสนำนิ กำยหิ นยำน ส่ วนศำสนำนิ กำยมหำยำนใช้ภำษำสันสกฤตบันทึ ก
พุทธวจนะ (สุ ภำพร มำกแจ้ง,2535 : 4 ) และต่อก็ใช้ภำษำบำลีจำรึ กพระธรรมลง
ในพระไตรปิ ฎก ซึ่ งเป็ นตำรำหลักทำงพระพุทธศำสนำอย่ำงไรก็ตำม ภำษำบำลีกม็ ี
ลักษณะเช่นเดียวกันกับภำษำสันสกฤต คือใช้เป็ นภำษำเขียนในพระไตรปิ ฎกของ
พุ ท ธศำสนำเท่ ำ นั้น ไม่ ไ ด้ใ ช้พู ด หรื อ ใช้เ ขี ย นในชี วิ ต ประจ ำวัน จึ ง ไม่ มี ก ำร
เจริ ญเติบโต ไม่มีววิ ฒั นำกำรเหมือนกับภำษำอื่นๆและกลำยเป็ นภำษำตำยในที่สุด
เหตุทคี่ าภาษาบาลีและสั นสกฤตเข้ ามาปะปนในภาษาไทย
เมื่ อพระพุทธศำสนำได้แพร่ เข้ำมำในสู่ ประเทศไทย และคนไทยได้
ยอมรั บนับถื อศำสนำพุทธเป็ นศำสนำประจำชำติ คนไทยจึ งจำเป็ นต้องเรี ยน
ภำษำบำลีและสันสกฤต เพรำะคำสอนทำงศำสนำเป็ นภำษำบำลีและสันสกฤต
ดังนั้นจึ งได้เกิดคำภำษำบำลีและสันสกฤตใช้ในภำษำไทยมำกขึ้น นอกจำกกำร
รับนับถือศำสนำพุทธแล้ว ไทยยังได้รับเอำควำมเชื่อ ขนบธรรมเนี ยมประเพณี
พิ ธี ก รรมต่ ำ งๆรวมทั้ง วรรณคดี บ ำลี แ ละสั น สกฤตเข้ำ มำเป็ นส่ ว นหนึ่ งของ
วัฒนธรรมไทย ซึ่ งเป็ นส่ วนทำให้เรำรับคำภำษำบำลีและสันสกฤตซึ่ งเป็ นคำที่
เกี่ยวเนื่องกับสิ่ งต่ำงๆเหล่ำนั้น เข้ำมำใช้ในภำษำไทย
สุ ธิ ว งศ์ พงษ์ บู ล ย์ (2523 : 5) ได้ก ล่ ำ วถึ ง เหตุ ที่ ค ำภำษำบำลี แ ละ
สันสกฤตเข้ำมำปนอยูใ่ นภำษำไทยว่ำเนื่ องมำจำกเหตุผลหลำยประกำร สรุ ปได้
ดังนี้
1.ความสั มพันธ์ ทางด้ านศาสนา
เมื่ อศำสนำพรำหมณ์และศำสนำพุทธเผยแพร่ เข้ำมำสู่ ประเทศไทยศำสนำ
พรำหมณ์ใช้ภำษำสันสกฤตและศำสนำพุทธใช้ภำษำบำลีในกำรเผยแผ่ศำสนำ
ไทยได้รับศำสนำพุทธเป็ นศำสนำประจำชำติและรับคติของศำสนำพรำหมณ์มำ
ปฏิ บตั ิในชี วิตประจำวัน โดยเฉพำะในลัทธิ ธรรมเนี ยมประเพณี ต่ำงๆ เรำจึ ง
รับคำในลัทธิ ท้ งั สองเข้ำมำใช้ในลักษณะของศัพท์ทำงศำสนำและใช้เป็ นศัพท์
สำมัญทัว่ ไปในชีวติ ประจำวัน
2.ความสั มพันธ์ ทางด้ านประเพณี
เมื่อชนชำติอินเดียได้เข้ำมำตั้งรกรำกในประเทศไทย ก็นำเอำประเพณี ของ
ตนเข้ำมำปฏิบตั ิทำให้มีคำที่เนื่ องด้วยประเพณี เข้ำมำปะปนในภำษำไทย และ
นำนเข้ำ ก็ ไ ด้ก ลำยเป็ นค ำที่ เ กี่ ย วข้อ งกับ ชี วิ ต ประจ ำวัน ของคนไทย เช่ น
ตรี ยมั ปวำย มำฆบูชำ ตักบำตรเทโว ดิ ถี กระยำสำรท เทศน์มหำชำติ กฐิ น
จรดพระนังคัลแรกนำขวัญ ฉัตรมงคล พืชมงคล เป็ นต้น
3. ความสั มพันธ์ ทางด้ านวัฒนธรรม
อินเดียเป็ นประเทศที่เจริ ญทำงด้ำนวัฒนธรรมมำนำน อิทธิ พลทำงด้ำน
วัฒนธรรมของอิ นเดี ย มี ต่อ นำนำประเทศทำงภำคพื้ นตะวันออกก่ อ นที่
วัฒนธรรมตะวันตกจะเข้ำมำ ไทยได้รับอิทธิพลของอินเดียทุกสำขำ เช่น
3.1 ศิ ล ปะ ศิ ล ปะไทยได้รั บ อิ ท ธิ พ ลจำกอิ น เดี ยทั้งโดย
ทำงตรงและทำงอ้อม เช่น ทำงดนตรี และนำฏศิลป์ ภำษำที่ ใช้เนื่ อง
ด้วยเป็ นศิ ลปะจึ งเข้ำมำปะปนในภำษำไทย เช่ น มโหรี ดนตรี ปี่
พำทย์
3.2 ดำรำศำสตร์ อินเดียมีควำมเจริ ญทำงด้ำนดำรำศำสตร์ ม ำ
ช้ำนำนจนมีตำรำเรี ยนกัน เมื่ อวิชำนี้ แพร่ หลำยเข้ำมำในประเทศไทย
ท ำให้ ค ำต่ ำ งๆที่ เ กี่ ย วข้อ งเกิ ด ขึ้ นเป็ นจ ำนวนมำก เช่ น สุ ริ ยคติ
จันทรคติ จันทรครำส
3.3 กำรแต่งกำย ศัพท์ทำงด้ำนวัฒนธรรมกำรแต่งกำยที่ได้
รับมำส่ วนใหญ่เป็ นเครื่ องทรงของพระมหำกษัตริ ย ์ เช่น มงกุฎ ชฎำ
สังวำล
4. ความสั มพันธ์ ทางด้ านวิชาการ
เนื่ องจำกวิทยำศำสตร์ และวิทยำกำรเจริ ญกว้ำงขวำงขึ้นทำให้คำที่เรำใช้
อยู่เดิ มแคบเข้ำ จึ งจำเป็ นต้องรั บคำบำลี สันสกฤต เข้ำมำใช้ เพื่อควำม
เจริ ญและควำมสะดวก เช่น วิทยุ โทรทัศน์ แพทย์ เภสัช ฯลฯ
5. ความสั มพันธ์ ทางด้ านวรรณคดี
วรรณคดี อิ น เดี ย มี อิ ท ธิ พลต่ อ วรรณคดี ไทยเป็ นอย่ำ งยิ่ง ทั้งวรรณคดี
สันสกฤต และวรรณคดีที่เนื่ องมำจำกชำดกในพระพุทธศำสนำเมื่อเรำรับ
เอำวรรณคดี เหล่ำนี้ เข้ำมำ จึ งมี ศพั ท์ต่ำงๆที่ เกี่ ยวกับวรรณคดี เหล่ำนี้ เข้ำมำ
มำกมำย เช่น ครุ ฑ สุ เมรู หิ มพำนต์
ลักษณะของภาษาบาลีและสั นสกฤต
ภำษำบำลีและสันสกฤตอยูใ่ นตระกูลภำษำที่มีวิภตั ปั จจัย คือเป็ นภำษำที่ที่มีคำ
เดิมเป็ นคำธำตุ เมื่อจะใช้คำใดจะต้องนำธำตุไปประกอบกับปั จจัยและวิภตั ติ เพื่อ
เป็ นเครื่ อ งหมำยบอกพจน์ ลึ ง ค์ บุ รุ ษ กำล มำลำ วำจก โครงสร้ ำ งของภำษำ
ประกอบด้วย ระบบเสี ยง หน่วยคำ และระบบโครงสร้ำงของประโยค ภำษำบำลี
และสั น สกฤตมี ห น่ ว ยเสี ย ง 2 ประเภท คื อ หน่ ว ยเสี ย งสระและหน่ ว ยเสี ย ง
พยัญชนะ ดังนี้
1. หน่ วยเสี ยงสระ
หน่วยเสี ยงสระภำษำบำลีมี 8 หน่วยเสี ยง คือ อะ อำ อิ อี อุ อู เอ โอ
หน่วยเสี ยงภำษำสันสกฤต ตรงกับภำษำบำลี 8 หน่วยเสี ยง และต่ำงจำกภำษำ
บำลีอีก 6 หน่วยเสี ยง เป็ น 14 หน่วยเสี ยง คือ อะ อำ อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอำ ฤ ฤำ ฦ
ฦๅ
2. หน่ วยเสี ยงพยัญชนะ
หน่ ว ยเสี ย งพยัญ ชนะภำษำบำลี มี 33 หน่ ว ยเสี ย ง ภำษำสั น สกฤตมี 35
หน่ วยเสี ยง เพิ่มหน่ วยเสี ยง ศ ษ ซึ่ งหน่ วยเสี ยงพยัญชนะทั้งสิ งภำษำนี้ แบ่ ง
ออกเป็ น 2 ประเภทคือ พยัญชนะวรรค และพยัญชนะเศษวรรค
วิธีสังเกตคาบาลี
1. สั งเกตจากพยัญชนะตัวสะกดและตัวตาม
ตัว สะกด คื อ พยัญ ชนะที่ ป ระกอบอยู่ข ำ้ งท้ำ ยสระประสมกับ สระและ
พยัญชนะต้น เช่น ทุกข์ = ตัวสะกด
ตัวตาม คือ ตัวที่ตำมหลังตัวสะกด เช่น สัตย สัจจ ทุกข เป็ นต้น คำใน
ภำษำบำลีจะต้องมีสะกดและตัวตำมเสมอ โดยดูจำกพยัญชนะบำลี มี 33 ตัว
แบ่งออกเป็ นวรรคดังนี้
แถวที่
วรรค กะ
1
ก
2
ข
3
ค
ฆ
ง
วรรค จะ
จ
ฉ
ช
ฌ
ญ
วรรค ฏะ
ฏ
ฐ
ฑ
ฒ
ณ
วรรค ตะ
ต
ถ
ท
ธ
น
วรรค ปะ
ป
ผ
พ
ภ
ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อัง
4
5
มีหลักสั งเกต ดังนี้
- พยัญชนะตัวที่ 1 , 3 , 5 เป็ นตัวสะกดได้เท่ำนั้น (ต้องอยูใ่ นวรรค
เดียวกัน)
- ถ้ำพยัญชนะตัวที่ 1 สะกด ตัวที่ 1 หรื อตัวที่ 2 เป็ นตัวตำมได้ เช่น สักกะ
ทุกข สัจจปัจฉิ ม สัตต หัตถ บุปผำ เป็ นต้น
- ถ้ำพยัญชนะตัวที่ 3 สะกด ตัวที่ 3 หรื อ 4 เป็ นตัวตำมได้ในวรรคเดียวกัน
เช่น อัคคี พยัคฆ์ วิชชำ อัชฌำ พุทธ คพภ (ครรภ์)
- ถ้ำพยัญชนะตัวที่ 5 สะกด ทุ กตัวในวรรคเดี ยวกันตำมได้ เช่ น องค์
สังข์ องค์ สงฆ์สัมปทำน สัมผัส สัมพันธ์ สมภำร เป็ นต้น
- พยัญชนะบำลี ตัวสะกดตัวตำมจะอยูใ่ นวรรคเดียวกันเท่ำนั้นจะข้ำมไป
วรรคอื่นไม่ได้
2. สั งเกตจากพยัญชนะ “ฬ” จะมีใช้ในภำษำบำลีในไทยเท่ำนั้น เช่น
จุฬำ ครุ ฬ อำสำฬห์ วิฬำร์ โอฬำร์ พำฬ เป็ นต้น
3. สั งเกตจากตัวตามในภาษาบาลี จะมำเป็ นตัวสะกดในภำษำไทย
โดยเฉพำะวรรค ฎ และวรรคอื่น ๆ บำงตัว จะตัดตัวสะกดออกเหลือแต่ตวั ตำมเมื่อ
นำมำใช้ในภำษำไทย เช่น
บำลี
ไทย
บำลี
ไทย
รัฎฐ
รัฐ
อัฎฐิ
อัฐิ
ทิฎฐิ
ทิฐิ
วัฑฒนะ
วัฒนะ
ปุญญ
บุญ
วิชชำ
วิชำ
สัตต
สัต
เวชช
เวช
กิจจ
กิจ
เขตต
เขต
นิสสิ ต
นิสิต
นิสสัย
นิสัย
ยกเว้นคำโบรำณที่นำมำใช้แล้วไม่ตดั รู ปคำซ้ ำออก เช่น ศัพท์ทำงศำสนำ
ได้แก่ วิปัสสนำ จิตตวิสุทธิ์ กิจจะลักษณะ เป็ นต้น
วิธีสังเกตคาสั นสกฤต
1.พยัญชนะสั นกฤต มี 35 ตัว คือ พยัญชนะบำลี 33 ตัว + 2 ตัว คือ ศ, ษ
ฉะนั้นจึงสังเกตจำกตัว ศ, ษ มักจะเป็ นภำษำสันสกฤต เช่น กษัตริ ย ์ ศึกษำ
เกษียร พฤกษ์ ศีรษะ เป็ นต้น ยกเว้นคำไทยบำงคำที่ใช้เขียนด้ว ยพยัญชนะ
ทั้ง 2 ตัวนี้ เช่น ศอก ศึก ศอ เศร้ำ ศก ดำษ กระดำษ ฝรั่งเศส ฝี ดำษ ฯลฯ
2. ไม่ มีหลักการสะกดแน่ นอน ภำษำสันสกฤต ตัวสะกดตัวตำมจะอยูข่ ำ้ ม
วรรคกันได้ไม่กำหนดตำยตัว เช่น อัปสร เกษตร ปรัชญำ อักษร เป็ นต้น
3. สั งเกตจากสระ สระในภำษำบำลี มี 8 ตัว คือ อะ อำ อิ อี อุ อู เอ
โอ ส่ วนสันสกฤต คือ สระภำษำบำลี 8 ตัว + เพิ่มอีก 6 ตัว คือ สระ ฤ ฤำ
ภ ภำ ไอ เอำ ถ้ำมีสระเหล่ำนี้ อยูแ่ ละสะกดไม่ตรงตำมมำตรำจะเป็ นภำษำ
สันสกฤต เช่น ตฤณมัย ไอศวรรย์ เสำร์ ไปรษณี ย ์ ฤำษี คฤหำสน์ เป็ นต้น
4.สั งเกตจากพยัญชนะควบกลา้ ภำษำสันสกฤตมักจะมีคำควบกล้ ำข้ำง
ท้ำย เช่น จักร อัคร บุตร สตรี ศำสตร์ อำทิตย์ จันทร์ เป็ นต้น
5.สั งเกตจากคาที่มีคาว่ า “เคราะห์ ” มักจะเป็ นภำษำสันสกฤต เช่ น
เครำะห์ พิเครำะห์ สังเครำะห์ อนุเครำะห์ เป็ นต้น
6. สั งเกตจากคาที่มี “ฑ” อยู่ เช่น จุฑำ กรี ฑำ ครุ ฑ มณเทียร จัณฑำล
เป็ นต้น
7 .สั งเกตจากคาที่มี “รร” อยู่ เช่น สรรค์ ธรรม์ วรรณ บรรพต ภรรยำ
บรรณำรักษ์ มรรยำท กรรม ทรรศนะ สรรพ เป็ นต้น
ลักษณะการยืมคาภาษาบาลีและสั นสกฤต
ภำษำบำลี และสันสกฤตเป็ นภำษำตระกูลเดี ยวกัน ลักษณะภำษำและ
โครงสร้ำงอย่ำงเดียวกัน ไทยเรำรับภำษำทั้งสองมำใช้ พิจำรณำได้ดงั นี้
1. ถ้ำ ค ำภำษำบำลี แ ละสั น สกฤตรู ป ร่ ำ งต่ ำ งกัน เมื่ อ ออกเสี ย งเป็ น
ภำษำไทยแล้วได้เสี ยงเสี ยงตรงกันเรำมักเลื อกใช้รูปคำสันสกฤต เพรำะภำษำ
สันสกฤตเข้ำมำสู่ ภำษำไทยก่อนภำษำบำลี เรำจึงคุน้ กว่ำ เช่น
บาลี
สั นสกฤต
ไทย
กมฺ ม
กรฺ ม
กรรม
จกฺก
จกฺร
จักร
2. ถ้ำ เสี ย งต่ ำ งกัน เล็ ก น้ อ ยแต่ อ อกเสี ย งสะดวกทั้ง สองภำษำ มัก
เลือกใช้รูปภำษำสันสกฤตมำกกว่ำภำษำบำลี เพรำะเรำคุน้ กว่ำและเสี ยงไพเรำะ
กว่ำ เช่น
บาลี
สั นสกฤต
ไทย
ครุ ฬ
ครุ ฑ
ครุ ฑ
โสตฺ ถิ
สฺ วสฺ ติ
สวัสดี
3. คำใดรู ปสันสกฤตออกเสี ยงยำก ภำษำบำลีออกเสี ยงสะดวกกว่ำ จะ
เลือกใช้ภำษำบำลี เช่น
บาลี
สั นสกฤต
ไทย
ขนฺ ติ
กฺษำนฺ ติ
ขันติ
ปจฺจย
ปฺรตฺ ย
ปัจจัย
4. รู ปคำภำษำบำลีสันสกฤตออกเสี ยงต่ำงกันเล็กน้อยแต่ออกเสี ยงสะดวก
ทั้งคู่บำงทีเรำนำมำใช้ท้ งั สองรู ปในควำมหมำยเดียวกัน เช่น
บาลี
สั นสกฤต
ไทย
กณฺ หำ
กฺฤษฺณำ
กัณหำ,กฤษณำ
ขตฺ ติย
กฺษตฺ ริย
ขัตติยะ,กษัตริ ย ์
5. คำภำษำบำลีสันสกฤตที่ออกเสี ยงสะดวกทั้งคู่ บำงทีเรำยืมมำใช้ท้ งั สอง
รู ป แต่นำมำใช้ในควำมหมำยที่ต่ำงกัน เช่น
บาลี
สั นสกฤต
ไทย ความหมาย
กิริยำ
กฺริยำ
กิริยำ อำกำรของคน
กริ ยำ ชนิดของคำ
โทส
เทฺวษ
โทสะ ควำมโกรธ
เทวษ ควำมเศร้ำโศก
คาภาษาบาลีและสั นสกฤตในวรรณคดีไทย
ค ำภำษำบำลี แ ละสั นสกฤตปรำกฏในวรรณคดี ไทยตั้ง แต่ ส มัย สุ โ ขทัย
จนกระทัง่ ในสมัย ปั จจุบนั ทั้งที่เป็ นร้อยแก้วและร้อยกรอง คือพบตั้งแต่ในศิลำจำรึ ก
สมัย พ่อ ขุน รำมค ำแหงแม้จ ะมี ไม่ ม ำกนักแต่ ก็เป็ นหลักฐำนยืนยันได้ว่ำ ในสมัย
สุ โขทัยนั้นไทยได้นำภำษำบำลีและสันสกฤตมำใช้ในภำษำไทยของเรำแล้ว และใน
สมัยต่อมำก็ปรำกฏว่ำนิยมใช้คำภำษำบำลีและสันสกฤตในกำรแต่งวรรณคดีมำกขึ้น
วิสัณติ์ กฏแก้ว (2529 : 2) ได้กล่ำวถึ งเหตุที่ทำให้คำบำลีและสันสกฤต
เป็ นที่นิยมชมชอบในกำรนำมำใช้ในทำงวรรณคดีพอจะสรุ ปได้ดงั นี้
1. วรรณคดี ไ ทยเป็ นวรรณกรรมที่ ถื อ เอำเสี ย งไพเรำะเป็ นส ำคัญ
โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งวรรณคดี ประเภทร้อยกรอง นอกจำกจะถือเอำควำมไพเรำะ
ของเสี ยงเป็ นสำคัญแล้ว ในกำรประพันธ์วรรณกรรมประเภทฉันท์ จะต้องถือคำ
ครุ ลหุ เป็ นสำคัญอี กด้วย คำที่ เป็ นเสี ยงลหุ ในภำษำไทยมี น้อยมำก จึ งจำเป็ น
จะต้องใช้ศพั ท์ภำษำบำลีและสันสกฤต เพรำะสำมำรถเลือกคำ ลหุ ครุ ได้ มำก
และสำมำรถดัดแปลงให้เข้ำกับภำษำของเรำได้ดี
ตัวอย่ำง
ข้ำขอเทิดทศนัขประณำมคุณพระศรี สรรเพชญพระผูม้ ี พระภำค
อีกธรรมำภิสมัยพระไตรปิ ฏกวำกย์ ทรงคุณคะนึงมำก ประมำณ
(สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19 – อิลรำชคำฉันท์)
2. คนไทยถือว่ำคำบำลีและสันสกฤตเป็ นคำสู ง เพรำะเป็ นคำที่ใช้เผย
แผ่คำสอนของพระพุทธเจ้ำ และผูท้ ี่ใช้คำภำษำบำลีและสันสกฤตส่วนใหญ่อยูใ่ น
ฐำนะควรแก่กำรเคำรพบูชำทัว่ ไป เช่ น พระสงฆ์ พรำหมณ์ เป็ นต้น ดังนั้นกำร
แต่งฉันท์ที่ถือกันว่ำเป็ นของสู ง จึงนิยมใช้คำบำลีและสันสกฤต
3. วรรณคดีไทยโดยมำกมักจะเป็ นเรื่ องเกี่ยวกับจักรๆวงศ์ๆ ซึ งจะต้อง
ใช้คำรำชำศัพท์ กำรใช้คำภำษำบำลีและสันสกฤตที่เป็ นคำรำชำศัพท์ จึงมี ควำม
จำเป็ นอย่ำงยิง่ เช่น พระเนตร พระพักตร์ พระกรรณ เป็ นต้น
4. กำรใช้คำภำษำบำลี และสันสกฤตแต่งฉันท์ เป็ นเครื่ องแสดงภูมิรู้
ของผูแ้ ต่งว่ำมีควำมรู ้ภำษำบำลีและสันสกฤตเป็ นอย่ำงดี มี คนเคำรพนับถือและ
ยกย่องว่ำเป็ น “ปรำชญ์”
ตัวอย่ างคาภาษาบาลีและสั นสกฤตที่ไทยนามาใช้
คา
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
กมล
กานดา
กรรม
กฐิน
กสิ กรรม
กักขฬะ
กิริยา
8. กาลี
ความหมาย
ดอกบัว,ใจ
งาม,หญิงงาม
การกระทาไม่ ดี
ผ้าที่ถวายพระทีจ่ าพรรษาแล้ ว
การทานา,ทาไร่
แข็ง,กระด้ าง,หยาบ
การกระทา,อาการทีแ่ สดงออกมาด้ วย
กายมารยาท
หญิงคนชั่ว
คา
ความหมาย
9. กภุมพี
คนมั่งมี,คนเลว
10. เขต
แดน
11. จริต
ความประพฤติของผู้หญิง
12. ตัณหา
ความยาก
13. นิมนต์
เชิญพระภิกษุ
14. ภาค
ส่ วน
15. สุ ขุม
ละเอียดอ่ อนทางความคิด
16. โอชา
อร่ อย
17. เคารพ
ความเคารพ
18. ทักษิณ
ทิศใต้
19. เนตร
ตา
20. ประมาท
เลินเล่ อ,ดูหมิ่น
21. ประสิ ทธิ์
ความสาเร็จ
22. ปราจีน
ทิศตะวันออก
คา
ความหมาย
23. ทัณฑ์
24. พายุ
25. พืช
ลงโทษ
ลมทีพ่ ดั รุ นแรง
พืช,พันธุ์ไม้
26. มุข
27. วิบาก
28. สั งหาร
หน้ า,ด้ านหน้ า
ผลไม่ ดี
การทาลาย
29. อุทยั
30. นาฏ
31. สมร
การขึน้ แห่ งแสงอาทิตย์
การฟ้ อนรา,นางงาม,สิ่ งทีใ่ ห้ ความบันเทิงใจ
สนามรบ,หญิงงาม,หญิงทัว่ ไป
32.
33.
34.
35.
ม้ าทัว่ ไป
การน้ อมไหว้ ,การติเตียน
ข้ อสอนใจ
ความดือ้ ในความเห็น,ความถือดี
อัสดร
ประณาม
คติ
ทิฐิ
เว็บไซต์อำ้ งอิง
• http://learners.in.th/file/tanuchai.doc
1.คำใดต่อไปนี้เป็ นคำภำษำบำลี
1.ปัญหำ
2.วัตถุ
3.ปรัชญำ
4.พัสดุ
2.คำใดต่อไปนี้เป็ นคำภำษำสันสกฤต
1.อัจฉริ ยะ
2.อัฐ
3. อรรณพ
4.วิสำสะ
3.ข้อใดเป็ นคำภำษำบำลีทุกคำ
1. สำมัญ
สำมำนย์
2. ปริ ศนำ พฤติ
3. พิสดำร วิถำร
4. กิริยำ กีฬำ
4.ข้อใดเป็ นคำภำษำสันสฤตทุกคำ
1. ทฤษฎี อุทยำน
2. มโน ทรัพย์
3. สูญ ปรัชญำ
4. อำสำ ปัญญำ
5.ข้อใดเป็ นคำภำษำบำลี
1. เจดีย ์
2. โกรธ
3.. ครุ ฑ
4. ศูนย์
6.ข้อใดจับคู่คำภำษำบำลี-สันสกฤตได้ถูกต้อง
1.. วุฒิ – รัฐ
2.. เขม – เกษม
3. อัคคี – สวัดดี
4. อิสิ – ฤดู
7.ข้อใดจับคู่คำภำษำบำลี-สันสกฤตได้ถูกต้อง
1. อักขร – อัปสร
2. กริ ยำ – วิยำ
3. สันติ – ศำนติ
4. สัจ –ศรัทธำ
8.คำภำษำบำลี-สันสกฤตข้อใดจับคู่ผดิ
1. สัจ – สัตย์
2. ลักขณ์ – ลักษณ์
3. บุปผำ – บุษบำ
4. วสำ – ฤดู
9.คำภำษำบำลี-สันสกฤตข้อใดจับคู่ผดิ
1. สิ ริ – ศรี
2. รัฐ –รำษฎร์
3. วิตถำร – สำมำนย์
4. หทัย – หฤทัย
10.คำภำษำบำลี-สันสกฤตข้อใดจับคู่ได้ถุกต้อง
1. มัจฉำ – อัปสร
2. อัจฉรำ – อัปสร
3. อุตุ – ฤำษี
4. ปัญญำ – ศรัทธำ
1.ก
2.ง
3.ก
4ค
5.ง
6.ก
7.ก
8.ค
9.ค
10.ข