LOGO บทที่ 3 แรงจูงใจและความต้องการ อาจารย์บรรพต พิจิตรกาเนิด แรงจูงใจ : ต้นกาเนิดแห่งพฤติกรรม ความหมายของแรงจูงใจและการจูงใจ แรงจูงใจ (motive) หมายถึง แรงผลักดัน หรือสิ่งกระตุ้นให้บคุ คล มุ่งแสดงพฤติกรรม อย่างใดอย่างหนึง่ ออกมา เพื่อตอบสนอง ความต้องการหรือจุดมุง่ หมายที่กาหนดไว้
Download
Report
Transcript LOGO บทที่ 3 แรงจูงใจและความต้องการ อาจารย์บรรพต พิจิตรกาเนิด แรงจูงใจ : ต้นกาเนิดแห่งพฤติกรรม ความหมายของแรงจูงใจและการจูงใจ แรงจูงใจ (motive) หมายถึง แรงผลักดัน หรือสิ่งกระตุ้นให้บคุ คล มุ่งแสดงพฤติกรรม อย่างใดอย่างหนึง่ ออกมา เพื่อตอบสนอง ความต้องการหรือจุดมุง่ หมายที่กาหนดไว้
LOGO
บทที่ 3 แรงจูงใจและความต้องการ
อาจารย์บรรพต พิจิตรกาเนิด
แรงจูงใจ : ต้นกาเนิดแห่งพฤติกรรม
ความหมายของแรงจูงใจและการจูงใจ
แรงจูงใจ (motive) หมายถึง แรงผลักดัน
หรือสิ่งกระตุ้นให้บคุ คล มุ่งแสดงพฤติกรรม
อย่างใดอย่างหนึง่ ออกมา เพื่อตอบสนอง
ความต้องการหรือจุดมุง่ หมายที่กาหนดไว้
การจูงใจ (motivation)
หมายถึง กระบวนการที่บคุ คล
ถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ ทาให้
เกิดแรงผลักดันให้แสดงพฤติกรรม
ออกมาเพือ่ ให้บรรลุเป้าหมาย
ตามที่ผู้ทาการชักจูงใจกาหนด
* พฤติกรรมของมนุษย์ จะเกิดขึน้ เนือ่ งจากมีแรงจูงใจ
บางอย่างเร้าให้บคุ คลมุ่งไปสูเ่ ป้าหมายนัน้ (ยกเว้น
พฤติกรรมที่เกิดจากปฏิกริ ิยาสะท้อน) และเมื่อถูกจูงใจ
จะมีความกระตือรือร้น ขวนขวายที่จะทากิจกรรมนั้นๆ
เพื่อไปยังเป้าหมายทีค่ ิดเอาไว้
* เป้าหมายบางทีเรียกว่ารางวัล (reward)
* บางทีอาจเกิดเป้าหมายใหม่ขนึ้ ได้
* พฤติกรรมที่ถกู กระตุ้นหรือถูกเร้าให้แสดงออกมา
เรียกว่าพฤติกรรมที่ถกู จูงใจ ซึ่งจะแสดงออกมา
3 ลักษณะ
1. มีพลัง แสดงออกด้วยกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งใน
ลักษณะที่เป็นการเพิม่ พลัง
2. มีทิศทาง ต้องมุ่งไปทางใดทางหนึง่
3. การดารงไว้ เป็นการรักษาระดับของพฤติกรรม
ให้ดารงอยู่
* สิ่งที่จะมาเร้าหรือผลักดันให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ
ขึ้นมาได้นนั้ ต้องเป็นสิง่ ที่จะทาให้บคุ คลเกิดความ
ต้องการและเกิดความสนใจอาจเป็นสิง่ เร้าภายนอก
ที่มาล่อหรือสิง่ เร้าภายใน
* การจูงใจเป็นกระบวนการที่ไม่อยูน่ งิ่
เกิดต่อเนื่องเป็นวัฏจักร
ทฤษฎีแรงจูงใจ
1. พฤติกรรมนิยม
2. ปัญญานิยม
3. การเรียนรูท้ างสังคม
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (แรงขับ)
มีความต้องการ
ไม่พอใจ
พอใจ
แรงขับ (drives)
แรงขับ (ลดลง)
กาหนดเป้าหมาย
ได้รับการตอบสนอง
แสดงพฤติกรรม
มีความต้องการ
หากขอพร ได้ 3 อย่าง จะขออะไร ???
1. ........................................................
2. ........................................................
3. ........................................................
เกิดความต้องการ
ความต้องการ
* กระบวนการจูงใจจะเกิดขึ้นตลอดเวลาเนือ่ งจาก
ร่างกายมีความต้องการและแรงขับ
* ความต้องการเกิดจากความขาดแคลนภายในร่างกาย
ทาให้ร่างกายขาดความสมดุลย์
ความต้องการแบ่งเป็น 2 ประเภท
1. ความต้องการทางด้านร่างกาย เป็นความต้องการที่มพี ลัง
ผลักดันทางร่างกาย ได้แก่ ความต้องการ เพื่อให้อวัยวะ
ภายในร่างกายทางานตามปกติ หรืออยูใ่ นภาวะ
สมดุล์ เช่น ความต้องการอาหาร น้า อากาศ การพักผ่อน
นอนหลับ การขับถ่าย การออกกาลังกาย ความต้องการ
ทางเพศ ความต้องการการเคลื่อนไหว
2. ความต้องการทางด้านจิตใจและสังคม เป็นความ
ต้องการที่เกิดขึ้นภายในจิตใจและอารมณ์ ได้แก่ ความ
ต้องการความปลอดภัย ความรักความอบอุน่ การ
ยอมรับนับถือ ความสาเร็จ ความต้องการ ให้สังคม
ยอมรับ ความต้องการเกียรติยศ ชื่อเสียง
ทฤษฎีลาดับขัน้ ความต้องการของมาสโลว์
(Maslow’s Hierarchy of Needs Theory)
การเข้าใจตนเอง
(Self Actualization)
ได้รับการยกย่องนับถือ
(Esteem needs)
ความรักและความเป็นเจ้าของ
(Belongingness and love needs)
ความปลอดภัย
(Safety needs)
ทางด้านร่างกาย
(Physiological needs)
สาระสาคัญของทฤษฎีลาดับขั้น
ความต้องการของมาสโลว์
1. ความต้องการของบุคคลจัดลาดับความสาคัญจากต่าสุด
ไปสู่ระดับสูงสุด
2. เมื่อความต้องการอย่างหนึ่งได้รับการตอบสนอง
ความต้องการนั้นจะลดความสาคัญลง แต่จะเกิดความ
ต้องการอย่างอืน่ เข้ามาแทนที่
3. เมื่อความต้องการระดับต่าได้รับ การตอบสนองแล้ว
จะเกิดความต้องการในระดับที่สงู ขึน้
4. ความต้องการยิ่งอยูใ่ นระดับสูงความรีบด่วนที่จะ
ตอบสนองเพือ่ คงชีวติ อยูจ่ ะยิง่ น้อยลง เลื่อนระยะเวลา
ออกไปได้มาก และมีโอกาสหายไปได้งา่ ย
5. ความต้องการต่างๆในแต่ละระดับจะเกีย่ วเนือ่ ง และ
เหลื่อมล้ากัน
มีความต้องการ
แรงขับ (drives)
หมายถึง สภาพเร้าอันเกิดจากความ
ต้องการภายในตัวอินทรีย์ ทาให้เกิด
กิจกรรมต่างๆ เช่น ความหิว
* ความต้องการและแรงขับเกิดควบคูก่ นั เสมอ ถ้าความต้องการมี
มาก แต่แรงขับไม่ได้สูงตามไปด้วย พฤติกรรมจะไม่เกิด
ประเภทของแรงขับ
1. แรงขับปฐมภูมิ
(Primary Drive)
2. แรงขับทุติยภูมิ
(Secondary Drive)
1. แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive)
1.1 แรงขับทางด้านสรีระ
(Physiological drive)
1.2 แรงขับทัว่ ไป
(General drive)
1.1 แรงขับทางด้านสรีระ (Physiological drive)
* เกิดจากความต้องการของร่างกายหรือสภาวะภายใน
ร่างกาย ถ้าร่างกายขาดแคลน เสียสมดุลย์ จะเกิด
ความต้องการและแรงขับขึน้ เพือ่ กระตุ้นให้แสดง
พฤติกรรมบางอย่าง เพื่อทาให้ร่างกายอยูใ่ นภาวะ
สมดุลย์เรียกว่า “โฮมิโอสแตซิส” (Homiostasis)
แรงขับทางด้านสรีระ ได้แก่
(ก) ความอุ่น ความเย็นและความเจ็บปวดอวัยวะรับสัมผัส
จะรับความอุ่น ความเย็นและความเจ็บปวด ส่งไปยังสมอง
ส่วนไฮโปทาลามัส ทาหน้าที่เกีย่ วกับการเปลี่ยนแปลงของ
ร่างกายทั้งหมด และมีปฏิกริ ิยาโดยตรงกับอุณหภูมิของ
เลือดที่ไหลผ่านไป ดังนัน้ อุณหภูมิเปลีย่ นแปลงสมองจะ
สั่งให้รา่ งกายแสดงพฤติกรรม
(ข) ความหิว เกิดจากการขาดสารเคมีบางอย่างใน
เลือด ทาให้กระเพาะอาหารหดตัว รู้สึกเจ็บแสบใน
กระเพาะอาหาร
(ค) ความกระหาย เกิดจากปริมาณน้าของเซลล์ใน
ร่างกายลดลง โดยเฉพาะที่ไฮโปทาลามัสมีนวิ โรนกลุม่
หนึ่ง ที่เร็วต่อการสูญเสียน้าของร่างกายส่งกระแส
ความรู้สกึ ไปยังสมองทาให้รู้สึกกระหายน้า
(ง) การนอนหลับ เป็นแรงขับที่ต้องการให้อยูเ่ ฉยๆ ให้
ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สกึ หรอ และขจัดความเมือ่ ยล้า
(จ) แรงขับทางเพศ มีองค์ประกอบ 2 ประการคือ
1) ฮอร์โมนเพศ ต่อมเพศ (Gonad gland) ในเพศ
ชายอัณฑะจะสร้างฮอร์โมนเพศเรียกว่าแอนโดรเจน
และรังไข่ ในเพศหญิงจะสร้างเอสโตรเจนฮอร์โมนทั้งสอง
ทาหน้าที่พฒ
ั นาลักษณะ ทุตยิ ภูมิทางเพศ
2) การเรียนรู้
(ฉ) แรงขับในการเป็นแม่ ได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนโปร
แลคตินที่ต่อมพิทอู ิทารีหลัง่ ออกมาขณะตั้งครรภ์ และ
หลังจากคลอดแล้วทาให้แม่มีความต้องการปกปัก
รักษาลูก หรือเตรียมตัวเพือ่ ที่จะเลีย้ งลูก
1.2 แรงขับทัว่ ไป เป็นแรงจูงใจทางจิตวิทยา หรือ
แรงจูงใจที่เกิดจากความต้องการพืน้ ฐานทางจิตใจ
ได้แก่
(ก) การประกอบกิจกรรมธรรมชาติของสัตว์มีการ
เคลื่อนไหวและโต้ตอบต่อสิง่ แวดล้อมอยูต่ ลอดเวลา
(ข) ความอยากรู้อยากเห็นความสนใจในสิง่ แปลกๆ
ใหม่ๆ ซึ่งความสนใจนัน้ จะเร้าให้เกิดพฤติกรรม
(ค) การจับต้อง เป็นแรงขับทีจ่ ะหยิบฉวย จับต้องทาโน่นทา
นี่กับวัตถุหรือสิง่ ของ
(ง) ความกลัว จะเร้าให้คนหรือสัตว์พยายามหลีกหนีจาก
สภาพการณ์หรือวัตถุที่ทาให้เกิดความกลัว ความกลัวส่วนใหญ่
เกิดจากการเรียนรู้
(จ) ความรัก เป็นแรงขับที่มพี ลังมากต่อพฤติกรรมของมนุษย์
เกิดขึน้ ได้เองตามวุฒิภาวะหรือเกิดจากการเรียนรู้
2. แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive)
* เป็นแรงขับทีเ่ กิดจากการเรียนรูเ้ รียกว่าแรงจูงใจทางสังคม
ได้แก่ (ก) ความผูกพันกับบุคคลอื่น
(ข) การเป็นที่ยอมรับของสังคม
(ค) ฐานะตาแหน่ง
(ง) ความรู้สึกมั่นคง
(จ) ความสาเร็จ
(ฉ) ความเป็นอิสระ
มีความต้องการ
แรงขับ (drives)
กาหนดเป้าหมาย
โดยปกติจะเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อเกิด
ความต้องการ สมองจะสัง่ การกาหนด
เป้าหมายขึ้นทันที แต่เป้าหมายอาจ
เป็นระยะสัน้ หรือระยะยาว ต่างกัน
มีความต้องการ
แรงขับ (drives)
กาหนดเป้าหมาย
แสดงพฤติกรรม
เป้าหมายที่ถกู กระตุ้น เรียกว่า
พฤติกรรมถูกจูงใจ จะแสดงออกมา
ตามความต้องการ ด้วยวิธีการต่างๆ
ขึ้นอยู่กบั สภาวะแรงขับของแต่ละ
บุคคล (ไม่เหมือนกัน)
มีความต้องการ
แรงขับ (drives)
กาหนดเป้าหมาย
แสดงพฤติกรรม
แรงขับ (ลดลง)
เมื่อความต้องการได้รับการตอบสนอง
แรงขับทีเ่ คยมีกจ็ ะลดลง (ซึ่งอาจเกิด
ความต้องการสิ่งใหม่ต่อไป) แต่หาก
ความต้องการยังไม่ได้รับการตอบสนอง
แรงขับก็จะไม่ลด (ซึ่งอาจจะทาให้เกิด
พฤติกรรมใหม่ๆ ที่จะทาให้ได้ตาม
ความต้องการ)
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (แรงขับ)
มีความต้องการ
ไม่พอใจ
แรงขับ (drives)
พอใจ
แรงขับ (ลดลง)
มีความต้องการ
ไม่พอใจ
แรงขับ (drives)
แรงขับ (ลดลง)
กาหนดเป้าหมาย
ได้รับการ
ตอบสนอง
แสดงพฤติกรรม
กาหนดเป้าหมาย
ได้รับการตอบสนอง
แสดงพฤติกรรม
พอใจ
ทฤษฎีปัญญานิยม ของ Chomsky
เชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ เกิดขึ้นจากจิตใจ ความคิด และความรู้สึกที่มี
ความแตกต่างกัน พฤติกรรมที่แสดงออกนั้น มีความเชื่อมโยงกัน
ความเข้าใจ การรับรู้ การระลึก ประสบการณ์ การคิดอย่างมีเหตุผล
การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การสร้างจิตนาการ การจัดกลุ่มสิ่งของ
และการตีความ จึงควรต้องคานึงถึงแตกต่างด้านความคิด ความรู้สึก
และโครงสร้างการรับรู้ด้วย นักทฤษฎีกลุ่มปัญญานิยม มีแนวคิด
เกี่ยวกับการเรียนรู้ว่าการเรียนเป็นการผสมผสานข้อมูลข่าวสารเดิม
ร่วมกับข้อมูลข่าวสารใหม่เข้าด้วยกัน
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ของ Bandara
เชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ นอกเหนือจากปฏิกิริยาสะท้อนเบื้องต้นแล้ว
เกิดจากการเรียนรู้ทั้งสิ้น และการเรียนรู้พฤติกรรมใหม่เหล่านั้น
สามารถเรียนรู้ได้โดยประสบการณ์ตรงหรือไม่ก็โดยการสังเกต
องค์ประกอบทางชีววิทยามีบทบาทสาคัญในกระบวนการเรียนรูโ้ ดย
พฤติกรรม กล่าวคือองค์ประกอบในตัวบุคคลมีบทบาทสาคัญในการ
เรียนรู้พฤติกรรมในการอธิบายกระบวนการเกิดพฤติกรรมของมนุษย์
องค์ประกอบทาง
สิ่งแวดล้อม
องค์ประกอบส่วน
บุคคล
พฤติกรรม
การจูงใจ
องค์ประกอบของการจูงใจ
1. ภาวะที่กาลังถูกเร้า ได้แก่ ความต้องการ แรงขับ
หรือแรงจูงใจ
2. พฤติกรรมที่ถกู จูงใจ เกิดขึ้นเพราะถูกเร้า
3. ภาวะที่อนิ ทรียไ์ ปสูเ่ ป้าหมายทาให้เกิดความพึง
พอใจและสภาพการเร้าลดลง
ลักษณะของการจูงใจ
1. การจูงใจภายใน (intrinsic motivation) เป็นสภาวะที่
บุคคลต้องการที่จะกระทา หรือเรียนรู้บางสิง่ บางอย่างด้วย
ตนเองโดยไม่ต้องอาศัยการชักจูงจากสิง่ เร้าภายนอก ได้แก่
ความต้องการ ความรู้สกึ นึกคิด ความสนใจ หรือเจตคติ
ของแต่ละบุคคล
2. การจูงใจภายนอก (extrinsic motivation) เป็น
สภาวะที่บคุ คลรับการกระตุ้นจากสิง่ เร้าภายนอก เร้า
ให้เกิดความต้องการ และแสดงพฤติกรรมไปสูเ่ ป้าหมาย
นั้น ได้แก่ การเสริมแรงด้วยสิง่ ล่อใจ รางวัล
การจูงใจในมนุษย์
* แรงจูงใจที่สามารถเร้าให้แสดงพฤติกรรมออกมา เรียกว่า
ตัวเร้าแรงจูงใจ (motivational arousal)
* แรงจูงใจที่ไม่สามารถเร้าให้แสดงพฤติกรรมออกมา
เรียกว่า แรงจูงใจแฝง (motivational disposition)
ข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องแรงจูงใจ
จากพฤติกรรมที่แสดงออกมา
1. การแสดงออกของแรงจูงใจแต่ละคนจะแตกต่างกัน
ไปตามการเรียนรู้ ประสบการณ์
2. แรงจูงใจอย่างเดียวกัน อาจทาให้แสดงพฤติกรรม
ต่างกัน
3. แรงจูงใจต่างกัน อาจทาให้บคุ คลแสดงออกมาเหมือนกัน
4. แรงจูงใจหลายอย่างแสดงออกมาในรูปปลอมแปลงได้
ได้แก่ การแสดงออกมาในรูปความฝัน อาการทางประสาท
5. พฤติกรรมที่แสดงออกมาในขณะหนึง่ อาจเกิดจาก
แรงจูงใจหลายๆอย่าง
ทฤษฎีการจูงใจ
ทฤษฎีลาดับขัน้ ความต้องการของมาสโลว์
(Maslow’s Hierarchy of Needs Theory)
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
ทฤษฎีพฤติกรรม
ทฤษฎีแรงขับ
ทฤษฎีการรู้การคิด
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
* ซิกมันด์ ฟรอยด์ กล่าวว่า แรงจูงใจของคนเป็น
แรงจูงใจไร้สานึก (Unconscious motivation)
* ฟรอยด์เชือ่ ว่าพฤติกรรมทั้งหมดที่บคุ คลแสดงออก
มาจากสัญชาตญาณ แรงขับ (instrinctual drive)
สัญชาตญาณแรงขับ (instinctual drive) มี 2 ประเภท
1. สัญชาตญาณแห่งการมีชวี ิตอยู่ (life instinct) เป็น
ตัวกระตุ้นให้บคุ คลได้พัฒนาและเจริญเติบโต
2. สัญชาตญาณแห่งความตาย (dead instinct) กระตุ้นให้
บุคคลแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวนาไปสูก่ ารทาลายตนเองหรือ
บุคคลอืน่
“ฟรอยด์” เชื่อว่ามนุษย์มีแรงขับ 2 ประการคือ
1. ความต้องการทางเพศ เป็นแรงผลักดันขัน้ มูลฐาน
ของพฤติกรรมทุกอย่าง ทาให้คนเราทากิจกรรมทีจ่ ะทาให้
เกิดความพึงพอใจ หรือบางครั้งเกิดความวิตกกังวล ซึ่ง
เกิดจากความพยายามที่จะระงับไว้
* แรงจูงใจทางเพศทาให้เกิดพฤติกรรมทางเพศที่ให้ความ
พอใจทางร่างกายและเป็นแรงจูงใจทางสังคมที่ทาให้เกิด
ความผูกพัน ความรักและการสืบพันธุม์ นุษย์
2. ความก้าวร้าว เป็นแรงจูงใจที่รนุ แรงมาก เพื่อ
ปกป้องสิง่ ที่ไม่ถกู ใจ
* การได้เห็นคนอืน่ บาดเจ็บแล้วเกิดความรูส้ กึ สุขใจ
เรียกว่า ซาดิสม์ (sadism)
* ตนเองถูกทาให้เจ็บช้า หรือชอบทาให้ตนเองทุกข์
ทรมาน เรียกว่า มาโซคิสม์ (masochism)
* แรงจูงใจทางเพศและความก้าวร้าวเกิดมาตั้งแต่เด็ก
ทางเพศจะจับต้องลูบคลาบริเวณที่ออ่ นไหวของร่างกาย
ความก้าวร้าวแสดงออกโดยการถีบและกัด เมื่อเติบโตพ่อ
แม่ห้ามปรามเด็กจะเก็บกดไว้ในจิตไร้สานึก และ
มักแสดงออกมาในรูปของการปลอมแปลงต่างๆ ได้แก่
1. ความฝัน
2. การเคลือ่ นไหวอิริยาบถที่ไม่รสู้ กึ ตัว เช่น การ
ละเมอ การพลัง้ ปาก
3. อาการของโรคประสาท
4. กลไกในการป้องกันตัวเอง
ตัวอย่างของกลไกป้องกันตนเอง
การก้าวร้าว (Aggression)
* เป็นการปรับตัวประเภทการต่อสูช้ นิดไม่คานึงถึงอุปสรรค
ที่มาขวางกัน้ ไม่คานึงว่าสังคมจะยอมรับหรือไม่ ใช้
พละกาลังทุ่มเทเพือ่ เอาชนะ
“ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก”
การเลียนแบบ
(Identification)
การรับเอาเข้ามาไว้ในตัว
(Introjection)
การเพ้อฝันหรือการสร้างวิมาน
ในอากาศ (Fantasy)
การปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง
(Denial)
การหนีสงั คม (Isolation)
การถดถอย (Regression)
การขัดขืน (Negativism)
ปฏิกิริยาเปลี่ยนกลับหรือการหนี
เข้าสูค่ วามเจ็บป่วย (Conversion)
“Psychosomatic disorder”
การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง
(Rationalization)
1.1 แบบองุน่ เปรี้ยว
(Sour Grape)
1.2 แบบมะนาวหวาน
(Sweet lemon)
การซัดโทษ (Projective)
“ราไม่ดีโทษปีโ่ ทษกลอง”
การย้ายที่ (Displacement)
คือการเปลี่ยนพฤติกรรมต่อบุคคลหรือ
สิ่งของหรือสถานการณ์จากจุดหนึ่ง
ไปยังอีกจุดหนึ่ง
การเก็บกด (Repression)
พยายามลืมหรือกลบเกลือ่ นหรือ
เก็บกด ความรู้สึกไว้ในจิตใต้สานึก
(Unconsciousness mind)
ทฤษฎีพฤติกรรม
* ทฤษฎีนเี้ ชือ่ ว่าสิ่งเร้าและการตอบสนอง
เป็นรากฐานของการเรียนรู้ เป็นตัวสร้าง
นิสัยและทาให้เกิดรูปแบบพฤติกรรม
* วิททิงค์และไชด์ อธิบายว่าพฤติกรรมแบ่งออกเป็น 5
ระบบ คือ
1. พฤติกรรมเกีย่ วกับการกินเป็นแรงจูงใจเพือ่ สนองความ
ต้องการทางปาก นอกจากเป็นแรงจูงใจเพือ่ ให้ได้อาหาร
แล้ว ยังแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การผลิต
การสงวนอาหาร การปรุงอาหาร วิธีการรับประทาน
อาหาร และพิธีการเกีย่ วกับอาหาร
2. พฤติกรรมเกีย่ วกับการขับถ่าย
* เป็นแรงจูงใจด้านความสาราญของมนุษย์ แสวงหาความ
สนุกสนานตลอดเวลา
3. พฤติกรรมเกีย่ วกับการสืบพันธุ์
* เป็นแรงจูงใจทางเพศที่ผลักดันให้มนุษย์แสดงพฤติกรรม
ต่างๆ เช่น การแต่งงาน
4. พฤติกรรมพึง่ พา
* เกิดจากความคับข้องใจในวัยทารกจากการเลีย้ งดูของแม่
เช่น การเลี้ยงดูที่ทะนุถนอมมากเกินไป ทาให้เด็กมีนิสยั
ชอบพึง่ พาผูอ้ นื่
5. พฤติกรรมก้าวร้าว
* เกิดจากความคับข้องใจเมื่อถูกลงโทษและเลียนแบบจาก
ผู้ใหญ่ แสดงออกเช่น เยาะเย้ยถากถาง เสียดสี ไม่ร่วมมือ
พูดให้อาย ทาหน้าบึง้ เฉยเมย ลงโทษ
ทฤษฎีการรู้การคิด
* แรงจูงใจเกีย่ วข้องกับความสานึกและการมีธาตุรู้
* คนที่มีความสานึก มีสติปญ
ั ญา จะสามารถตั้งเป้าหมาย
วางแผน และคาดผลที่จะเกิดขึ้นในบัน้ ปลายได้
* แรงจูงใจทีเ่ ร้าให้เกิดพฤติกรรมขึ้นอยูก่ บั ความคาดหวัง
หรือผลของพฤติกรรมทีเ่ คยกระทามาก่อน
ทฤษฎีแรงขับ
* แรงจูงใจเกิดมาจากความต้องการของร่างกายผลักดัน
ให้เกิดแรงขับซึง่ จะเร้าให้เกิดพฤติกรรมใดๆ เพื่อไปสู่
เป้าหมาย
1. พลังแรงขับจะสูงขึน้ ถ้าปรับปรุงสิ่งล่อใจให้ใหม่ขึ้น
2. ความพึงพอใจจะจากัดอยูเ่ ฉพาะแต่สิ่งล่อใจที่
เจ้าตัวเลือกแล้วเท่านั้น
3. ถ้าแรงขับสัมพันธ์กบั สิง่ ล่อใจหลายตัว แรงขับ
ตัวหนึ่งส่งผลกระทบต่อสิง่ ล่อใจตัวหนึ่งแล้วสิง่ ล่อใจ
ตัวอื่นๆ จะได้รับผลกระทบด้วย
การจูงใจในการทางาน
1. การจูงใจในทางบวก (positive motivation) การใช้
รางวัลเป็นสิง่ ล่อใจ เช่น เพิ่มเงินเดือน ให้สองขัน้ ให้สิทธิ
ในการแสดงความคิดเห็น ให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ อาจ
ทาได้โดย
ก. เอาใจใส่ต่อคนงานเสมอในทุกเรื่อง ไม่มีการว่ากล่าว
จะใช้วิธีชมเชย
ข. เอาใจใส่และให้รางวัลเฉพาะการทางานที่ได้ผลดีเท่านั้น
2. การจูงใจในทางลบ (negative motivation)
เช่น การลงโทษถ้าใช้บอ่ ยๆจะทาลายขวัญและกาลังใจ
ชนิดของสิง่ ล่อใจ
1. สิ่งล่อใจที่เป็นเงิน
2. สิ่งล่อใจที่ไม่ใช่เงิน ได้แก่ การยกย่องสรรเสริญ
การแข่งขันการร่วมมือกัน รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่ง
ของกลุม่ เป็นต้น