ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาเชิงสังคม

Download Report

Transcript ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาเชิงสังคม

ของแบนดูรา (Bandura, 1986) ทฤษฎีนีถ้ ือว่ า
พฤติกรรมส่ วนใหญ่ ของบุคคลเกิดจากการเรียนรู้ ส่ วน
หนึ่งของบุคคลเรียนรู้ จากประสบการณ์ ตรงของตนเอง
และอีกส่ วนหนึ่งจากการสั งเกตพฤติกรรมของคนอื่น ซึ่ง
ถือว่ าเป็ นการเรียนรู้ โดยการสั งเกตหรือการเรียนรู้ จากตัว
แบบ (Observational Learning or Modeling)
โดยพฤติกรรมของบุคคลมิได้ ถูกผลักดันโดยพลัง
ภายใน (Inner Force) ไม่ ได้ ถูกปรับแต่ งอย่ างอัตโนมัติ
(Automatically Shaped) และทั้งไม่ ได้ ถูกควบคุมโดยสิ่ งเร้ าจาก
ภายนอก (External Stimuli) เท่ านั้นแต่ แบนดูราอธิบายว่ า
พฤติกรรมของบุคคลเกิดขึน้ โดยการปฏิสัมพันธ์ ทขี่ นึ้ ต่ อกันจาก
องค์ ประกอบ 3 ส่ วน (Triadic Reciprocally) ดังนี้
B
P
E
B = พฤติกรรม (Behavior)
P = ปัญญาและองค์ ประกอบส่ วนบุคคล
(Cognitive and other Personal Factors)
E = สภาพแวดล้อม (Environmental Events)
1. ประเภทการเรียนรู้
1.1 การเรียนรู้ จากประสบการณ์ ตรง
(Direct Experience)

ความสามารถทางปัญญา (Cognitive Capacities)
A
B1
B2
C+
A หมายถึง สภาพแวดล้อมหรือสิ่ งเร้ า
B1 หมายถึง พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) คือ ปัญญา (Cognitive)
และองค์ ประกอบส่ วนบุคคล (Personal Factor) ซึ่งเชื่อว่าเป็ น
ตัวกาหนดให้ B2 เกิดขึน้
B2 หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงออกมา (Overt Behavior)
C+ หมายถึง ผลที่ได้ มีท้ังผลทางบวก (C+) และผลทางลบ (C-)
การกระทาพฤติกรรมใดจะก่ อให้ เกิดผลทางบวก หรือทางลบ
กระบวนการนีท้ าหน้ าที่ 3 ประการ คือ
1) ทาหน้ าทีใ่ ห้ ข้อมูล (Information Function)
2) ทาหน้ าทีใ่ ห้ แรงจูงใจ (Motivational Function)
3) ทาหน้ าที่ในการเสริมแรง (Reinforcing Function)
การเรียนรู้ โดยการสั งเกตจากตัวแบบ
(Observational Modeling)
บุคคลสามารถเรียนรู้และเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมได้ จากการสั งเกต
พฤติกรรมของตัวแบบต่ างๆ ทีอ่ ยู่ในสั งคมรวมทั้งเรียนรู้ จาก
ผลลัพธ์ ทเี่ กิดขึน้ จากการกระทาของตนเอง การเรียนรู้จากตัวแบบ
ไม่ ใช่ การเลียนแบบพฤติกรรมจากตัวแบบเท่ านั้น แต่ เป็ นการเรียนรู้
ทีผ่ ่ านกระบวนการทางการใช้ ปัญญาของบุคคลทีซ่ ับซ้ อนก่อน
ทีจ่ ะมีการเปลีย่ นแปลงของผู้สังเกตเกิดขึน้
ขั้นการเรียนรู้ โดยการสั งเกตจากตัวแบบ
สิ่ งเราหรือการรับเข้ า
(Input)
บุคคล
(Person)
ขั้นที่ 1
ขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้
(Acquisition)
พฤติกรรมการสนองตอบ
หรือการส่ งออก
(Output)
ขั้นที่ 2
ขั้นการแสดงออก
(Performance)
การเรียนรู้ ปัญญาเชิงสั งคมด้ วยการสั งเกตจากตัว
แบบจึงสามารถแยกได้ เป็ น 2 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 เป็ นขั้นการได้ รับมาซึ่งการเรียนรู้
(Acquisition)
ขั้นที่ 2 เป็ นขั้นการแสดงออก (Performance)
ขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้
ตัวแบบ (Model)
Input
ความใส่ ใจเลือกสิ่ งเร้ า
(Selective Attention)
การเข้ ารหัส การเก็บจา
(Coding) (Retention)
กระบวนการทางปัญญาเชิงสั งคม (Cognitive Processes)
กระบวนการเรียนรู้ โดยการสั งเกต
กระบวนการเสนอตัวแบบ
(Modeling Procedures)
ความหมายของตัวแบบและการใช้ เทคนิคเสนอตัวแบบ
ตัวแบบ หมายถึงการเสนอตัวอย่ างที่ได้ รับการคัดเลือกแล้ วว่ า
เป็ นตัวอย่ างที่ดี สามารถใช้ เป็ นแบบอย่ างของการกระทาให้ แก่ ผู้
สั งเกตได้
ส่ วนการใช้ เทคนิคเสนอตัวแบบ หมายถึง กลวิธีในการ
สร้ างหรือสอนพฤติกรรมใหม่ โดยผู้สังเกตหรือผู้ทปี่ ระสงค์ จะ
เลียนแบบ สั งเกต ฟัง หรืออ่ านเกีย่ วกับพฤติกรรมของบุคคล
หรือสั ญลักษณ์ แทนบุคคล และประมวลเป็ นข้ อมูลในการ
ที่จะเลียนแบบ และแสดงพฤติกรรมของตนเองต่ อไป
ลักษณะของกระบวนการเสนอตัวแบบ
B1
A
โดยที่
A
B1
B
C
B
C
หมายถึง การเสนอตัวแบบ
หมายถึง ความคิดหรือความรู้ สึกของผู้สังเกตตัวแบบ
หมายถึง พฤติกรรมทีแ่ สดงออก
หมายถึง ผลทีไ่ ด้ รับ
อิทธิพลของตัวแบบทีม่ ตี ่ อผู้สังเกต
- การสร้ างพฤติกรรมใหม่
- การสร้ างกฎเกณฑ์ หรือหลักการใหม่
- การสอนความคิดและพฤติกรรมสร้ างสรรค์
- การยับยั้งการกระทา
- การส่ งเสริมการกระทา
- ทางด้ านอารมณ์
- การเอือ้ อานวยให้ เกิดการกระทาตามตัวแบบ
ประเภทของเทคนิคการเสนอตัวแบบ
การเสนอตัวแบบที่มีชีวิต (Live Model)
การเสนอตัวแบบในรู ปสัญลักษณ์ (Symbolic Model)
วิธีการเสนอตัวแบบ
1) การเสนอตัวแบบเป็ นขั้นตอน (Graduated Modeling)
2) การเสนอตัวแบบเป็ นขั้นตอนร่ วมกับการชี้แนะ (Guided Modeling)
3) การเสนอตัวแบบเป็ นขั้นตอนกับการชี้แนะ และการเสริมแรง (Guided Modeling With
Reinforcement)
4) การเสนอตัวแบบร่ วมกับการแนะนาการปฏิบัติการ (Modeling with guided Performance)
5) การเสนอตัวแบบที่ผู้สังเกตมีส่วนร่ วม (Participant Modeling)
6) การเสนอตัวแบบที่มรี ะบบสั มผัสทางกาย (Content Desensitization)
7) การเสนอตัวแบบภายใน (Covert Modeling)
8) การเสนอตัวแบบกับอุปกรณ์ นาการตอบสนอง และประสบการณ์ ที่เชี่ยวชาญ ซึ่งเกิดจาก
การควบคุมตนเองของผู้สังเกต (Modeling with Response-induction Aids and Self-directed master
Experience)
9) การเสนอตัวแบบที่แสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปทีละขั้นกับการเสนอตัวแบบที่แสดง
ความชานาญในการกระทาพฤติกรรม (Coping Modeling and Mastery Modeling)
หลักในการดาเนินการใช้ เทคนิคการเสนอตัวแบบ
1. กาหนดพฤติกรรมทีต่ ้ องการให้ เกิดแก่ ผ้เู รียน
2. มีตวั แบบทีเ่ หมาะสมแสดงตัวอย่ างพฤติกรรมนั้นให้ ผู้เรียนเห็น
3. ให้ การเริมแรงแก่ ตัวแบบเมื่อแสดงพฤติกรรมทีต่ ้ องการ
4. ให้ การเสริมแรงแก่ ผู้เรียนเมื่อแสดงพฤติกรรมทีต่ ้ องการตาม
อย่ างตัวแบบ
สมโภชน์ เอีย่ มสุ ภาษิต (2528) กล่าวถึง หลักการทีใ่ ช้ ตัวแบบในการเสริมสร้ าง
พฤติกรรมให้ มีประสิ ทธิภาพ ดังนี้
1) ต้ องกาหนดพฤติกรรมที่ต้องการจะให้ ตวั แบบแสดงเพือ่ ให้ บุคคลสั งเกตและ
ลอกเลียนแบบให้ ชัดเจน
2) ความชัดเขนของพฤติกรรมนั้น จะต้ องหมายถึงการสั งเกตให้ เห็นได้ วัดได้ โดยใช้ คน
ตั้งแต่ 2 คน สามารถสั งเกตและวัดได้ ตรงกัน
3) จะต้ องแน่ ใจได้ ว่าพฤติกรรมที่ตัวแบบแสดงนั้น อยู่ภายในระดับความสามารถของ
ผู้สังเกต มิฉะนั้นจะก่ อให้ เกิดความคับข้ องใจในการเรียนรู้
4) จะต้ องแน่ ใจว่ าพฤติกรรมทีจ่ ะให้ บุคคลเลียนแบบนั้น สามารถแยกออกเป็ นพฤติกรรม
ย่อยๆ ได้
5) จะต้ องแน่ ใจว่ าผู้สังเกตตั้งใจสั งเกตพฤติกรรมของตัวแบบอย่ างแท้ จริง (มองหรือฟัง)
อาจใช้ สัญญาณทีเ่ ป็ นคาพูดแก่ ผ้ สู ั งเกตก่ อน เพือ่ กระตุ้นให้ เกิดความสนใจ
6) จะต้ องแน่ ใจว่ าพฤติกรรมที่ตวั แบบแสดงออกนั้นชัดเจน และกระทาอย่างสมา่ เสมอ
7) เมือ่ ผู้สังเกตเลียนแบบพฤติกรรมของตัวแบบถูกต้ องหรือใกล้ เคียงแล้ ว
ผู้เลียนแบบจะต้ องได้ รับการเสริมแรงทันที
8) การเสริมแรงทีใ่ ห้ กบั ผู้สังเกตนั้นจะต้ องใช้ ตวั เสริมแรงทีม่ ปี ระสิ ทธิภาพ
9) ผู้ดาเนินโปรแกรมจะต้ องไม่ ควบคุมความสนใจของผู้สังเกตตัวแบบด้ วยวิธีที่
รุ นแรง เช่ น ตี หรือดุด่า เป็ นต้ น
10) ควรมีการรวบรวมข้ อมูลที่แสดงถึงความก้ าวหน้ าของผู้สังเกตด้ วย เพราะจะทา
ให้ ผ้ สู ั งเกตรู้ ว่าตนเองก้ าวหน้ าอย่ างแท้ จริง
11) ในกรณีทผี่ ้ สู ั งเกตไม่ สามารถเลียนแบบพฤติกรรมของตัวแบบได้ อาจใช้ การ
ชี้แนะช่ วยด้ วย เพราะจะทาให้ เรียนรู้ ได้ เร็วขึน้
12) ในการเสนอตัวแบบนั้น เมือ่ ตัวแบบแสดงพฤติกรรมควรมีการเสริมแรงแก่ ตัว
แบบด้ วย เพือ่ เป็ นการจูงใจให้ ผ้ สู ั งเกตอยากเลียนแบบมากขึน้
13) ควรเลือกตัวแบบทีม่ ลี กั ษณะคล้ ายคลึงกับผู้สังเกตพร้ อมทั้งให้ มีความเด่ น
ตลอดจนสามารถแสดงพฤติกรรมทีจ่ ะให้ ลอกเลียนแบบได้ อย่างคล่องแคล่ วด้ วย
ปัจจัยทีส่ ่ งผลต่ อประสิ ทธิภาพของการเสนอตัวแบบ
1) ปัจจัยส่ งเสริมการเรียนรู้และการเก็บจา (Factor Enhancing
Learning and Retention)
2) ปัจจัยที่ส่งเสริมการแสดงออก (Factor Enhancing Performance)
ลักษณะของตัวแบบ
1) ตัวแบบ ควรจะมีลกั ษณะทีค่ ล้ ายคลึงกับผู้สังเกต ทั้งในด้ านเพศ เชื้อชาติ และ
เจตคติ
2) ตัวแบบ ควรจะเป็ นผู้ทมี่ ชี ื่อเสี ยงในสายตาของผู้สังเกต
3) ระดับของวามสามารถของตัวแบบ ควรมีระดับทีใ่ กล้ เคียงกับผู้สังเกต
4) ตัวแบบนั้น ควรจะมีลกั ษณะทีเ่ ป็ นกันเองและสร้ างความอบอุ่นใจเมือ่ อยู่ใกล้
5) ตัวแบบเมือ่ แสดงพฤติกรรมแล้ วได้ รับการเสริมแรง จะทาให้ ได้ รับความ
สนใจจากผู้สังเกตมากขึน้
ลักษณะของผู้สังเกต
1) ความสามารถในการดาเนินการและเก็บข้ อมูล
2) ความไม่ แน่ ใจในการแสดงออกของพฤติกรรม
3)ความวิตกกังวลของผู้สังเกต
ลักษณะของการเสนอตัวแบบ
1) การเสนอตัวแบบทีเ่ ป็ นชีวติ จริง หรือตัวแบบสั ญลักษณ์
2) การเสนอตัวแบบภายใน
3) การเสนอตัวแบบหลายๆ ตัว
4) การเสนอตัวแบบทีแ่ สดงถึงความสามารถในการแก้ปัญหาได้ เป็ นอย่ างดีกบั
ตัวแบบที่ค่อยๆ แสดงถึงการเพิม่ ความสามารถในการแก้ปัญหานั้น
5) การเสนอตัวแบบแบบค่ อยๆ แสดงออกทีละขั้นตอน
6) การใช้ การสอน
7) การให้ ผ้ สู ั งเกตสรุ ปถึงลักษณะของพฤติกรรมของตัวแบบทีเ่ ข้ าสั งเกต
8) การซักถาม
9) สภาพการณ์ ทจี่ ะเสนอตัวแบบ ควรเป็ นสภาพการณ์ ทสี่ ามารถลดการ
รบกวนจากสิ่ งเร้ าภายนอกได้ เป็ นอย่ างดี
ปัจจัยทีจ่ ะส่ งเสริมการแสดงออก
1) การสร้ างสิ่ งทีล่ ่ อใจเพือ่ ให้ บุคคลแสดงออก
2) การทาให้ การแสดงออกนั้นมีประสิ ทธิภาพมากขึน้
3) การให้ บุคคลนาเอาสิ่ งทีเ่ รียนรู้ น้ันไปใช้ ในสถานการณ์ อนื่
ขั้นตอนในการนาวิธีการเสนอตัวแบบไปใช้
1. กาหนดพฤติกรรมเป้าหมายทีต่ ้ องการให้ ผ้สู ั งเกตเรียนรู้
2. เลือกตัวแบบทีจ่ ะแสดงพฤติกรรมทีต่ ้ องการให้ ผู้สังเกตเรียนรู้
อย่ างเหมาะสม
3. ฝึ กหัดตัวแบบให้ มคี วามชานาญในการแสดงพฤติกรรมอย่ างเป็ น
ขั้นตอน
4. ให้ ตัวแบบแสดงพฤติกรรมเป้าหมายแก่ผู้สังเกต
5. ให้ การเสริมแรงแก่ตัวแบบทันทีทแี่ สดงพฤติกรรมเป้าหมาย
6. ให้ การเสริมแรงแก่ผู้สังเกตทันทีทแี่ สดงพฤติกรรมตามอย่ างตัว
แบบได้ ตามความต้ องการ
7. ให้ ข้อมูลย้ อนหลังกลับหรือชี้แนะข้ อมูลบางอย่ างแก่ ผู้สังเกต
ในกรณีที่ยงั ไม่ สามารถเลียนแบบพฤติกรรมได้ อย่ างเหมาะสม
ข้ อดีและข้ อจากัดของเทคนิคการเสนอตัวแบบ
ข้ อดีของเทคนิคการเสนอตัวแบบ
1) จะทาให้ความถี่ของพฤติกรรมเป้ าหมาย หรื อพฤติกรรมที่พึงประสงค์ค่อยๆ เกิดขึ้น
และค่อยๆ มีความถี่สูงขึ้นและจะคงทนถาวรยิง่ ขึ้น
2) จะทาให้ผสู้ งั เกตหรื อผูเ้ ลียนแบบเกิดพฤติกรรมที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
3) จะช่วยเพิม่ พฤติกรรมที่พึงประสงค์หรื อระงับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของผูส้ ังเกต
หรื อผูเ้ ลียนแบบ
4) ช่วยเอื้ออานวยให้พฤติกรรมของผูส้ งั เกตหรื อผูเ้ ลียนแบบที่เคยเรี ยนรู้มาก่อนแล้วมี
แนวโน้มที่จะแสดงออกมา
ข้ อจากัดของเทคนิคการเสนอตัวแบบ
1) การให้ตวั แบบอย่างเดียวในการสร้างหรื อสอนพฤติกรรมใหม่
2) ผูค้ ดั เลือกตัวแบบตลอดทั้งกิจกรรมที่จะให้เลียนแบบต้องตระหนักถึง
ความสาคัญของตัวแบบและกิจกรรมมิฉะนั้นจะทาให้เสี ยเวลาในการทดลองโดยไร้ประโยชน์
การรับรู้ ความสามารถของตนเอง (Perceived Self-Efficacy)
การรับรู ้ความสามารถของตนเอง หมายถึง การที่บุคคลมีความ
เชื่อมัน่ ต่อความสามารถของตนเองที่มีอยูใ่ นการที่จะกระทาพฤติกรรมอย่าง
ใดอย่างหนึ่งให้สาเร็ จตามที่ได้ต้ งั เป้ าหมายไว้
ความสาคัญของการรับรู ้ความสามารถของตนเอง แบนดูรา เชื่อว่า
การรับรู ้ความสามารถของตนเองมีผลต่อการกระทาโดยถ้าบุคคล 2 คน มี
ความสามารถไม่ต่างกัน แต่อาจแสดงออกในคุณภาพที่แตกต่างกันได้ถา้
พบว่า คน 2 คนนี้มีการรับรู ้ความสามารถของตนเองแตกต่างกัน หรื อในคน
คนเดียวกันก็เช่นกันถ้ารับรู ้ความสามารถของตนเองในแต่ละสภาพการณ์
แตกต่างกัน ก็อาจแสดงพฤติกรรมออกมาได้แตกต่างกันเช่นกัน
1) ก่ อนทาพฤติกรรมใดๆ ถ้ าบุคคลรับรู้ ความสามารถของตนเองสู ง จะทา
ให้ ต้งั เป้ าหมายของการทางานสู ง และมีผลต่ อการกล้ าตัดสิ นใจเลือกทาพฤติกรรม
นั้นๆ อยากมีส่วนร่ วมในการทาพฤติกรรมนั้นและทาให้ ไม่ เกิดความหวาดหวัน่
ล่วงหน้ าว่ าจะไม่ สามารถทาพฤติกรรมนั้นได้
2) ขณะทาพฤติกรรม บุคคลทีร่ ับรู้ ว่าตนเองมีความสามารถจะมีความ
กระตืนรืนร้ นในการทาพฤติกรรมจะชอบทาพฤติกรรมทีเ่ สี่ ยงท้ าทายความสามารถ
มีความเพียรพยายาม มีแรงจูงใจทีจ่ ะทาพฤติกรรมใดๆให้ ประสบความสาเร็จ เมือ่ พบ
ปัญหาอุปสรรคก็จะไม่ ท้อถอย จะทุ่มเทความพยายามมากยิง่ ขึน้ เอาใจใส่ ในการทา
พฤติกรรม ใช้ เวลานานในการแก้ ปัญหาอุปสรรคต่ างๆ
3) ผลของการทาพฤติกรรม บุคคลทีร่ ับรู้ ว่าตนเองมีความสามารถจะส่ งผล
ต่ อคุณภาพทีด่ ขี องงานทาให้ ทางานได้ อย่ างมีประสิ ทธิภาพ ประสบความสาเร็จ
ตามทีค่ าดหวังไว้
การรับรู้ ความสามารถของตนเองมีผลต่ อการแสดง
พฤติกรรมของบุคคลหลายประการ คือ
1) มีผลต่อการเลือกกิจกรรมที่จะทา
2) มีผลต่อการฝึ กอบรมการเรี ยนรู้เรื่ องใดเรื่ องหนึ่ง
3) มีผลต่อการเข้าร่ วมกิจกรรมต่างๆ
4) มีผลต่อการแก้ไขปั ญหาในกิจกรรมที่ทีความยากและ
ซับซ้อน
5) มีผลต่อความรู ้ของผูก้ ระทากิจกรรมนั้น
ปัจจัยทีเ่ กีย่ วข้ องกับการรับรู้ความสามารถของตนเอง
การรับรู ้ความสามารถของตนเองมีผลต่อการทาพฤติกรรมของบุคคลและการที่
บุคคลจะเลือกทาพฤติกรรมใดนอกจาจกจะพิจารณาความสามารถของตนเองและผลกรรม
ที่เกิดขึ้นจากการทาพฤติกรรมแล้วการรับรู ้ความสามารถของตนเองเป็ นอีกองค์ประกอบ
หนึ่งที่มีส่วนในการตัดสิ นใจทาพฤติกรรมของบุคคล
1. ประสบการณ์ ซึ่ งถ้าข้อมูลป้ อนกลับเป็ นประสบการณ์ที่บุคคลประสบ
ความสาเร็ จก็จะทาให้การรับรู ้ความสามารถของตนเองเพิม่ ขึ้น
2. ตัวแบบ แต่ตวั แบบที่จะมีอิทธิ พลต่อความคิดความรู ้สึกของบุคคลได้น้ นั
ควรเป็ นตัวแบบที่มีความสามารถไม่ต่างจากผูส้ ังเกตมากนัก กล่าวคือ ถ้าตัวแบบมีลกั ษณะ
เด่น มีความสามารถสู งกว่ามาก
แบนดูรา (Bandura, 1986) เสนอว่า ตัวแบบที่มีอิทธิ พลต่อการรับรู ้ความสามารถ
ของตนเองนั้น มีลกั ษณะดังนี้
1) ความเหมือนกับตัวแบบ
2) ความหลากหลายของตัวแบบ
3. การใช้คาพูดชักจูง
4. การกระตุน้ ทางอารมณ์ ความวิตกกังวลหวาดหวัน่ มาก
เกินไป โดยมีอาการที่แสดงออกทางด้านร่ างกาย เช่น ความเครี ยด
เหงื่อออกมาก ใจสัน่ อ่อนเพลีย ฯลฯ อาการเหล่านี้วา่ เกิดความไม่
มัน่ ใจในความสามารถของตนเองที่มีอยูแ่ ละจะบกพร่ องของตนเองอยู่
เสมอทาให้ไม่พยายามที่จะพัฒนา
วิธีพฒั นาการรับรู้ความสามารถของตนเอง จากปัจจัย 4 ประการ ได้แก่
ประสบการณ์ตวั แบบ การใช้คาพูดชักจูงและการกระตุน้ ทางอารมณ์ที่ได้กล่าวไป
แล้วนั้นในการพัฒนาการรับรู ้ความสามารถของตน
1) การใช้ประสบการณ์ที่ประสบความสาเร็ จ
2) การใช้ตวั แบบเป็ นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถพัฒนาการรับรู้
ความสามารถของตนเองของผูส้ ังเกตได้ ประสบความสาเร็ จได้รับผลที่พึงพอใจ
3) การใช้คาพูดชักจูงเป็ นการบอกว่าบุคคลนั้นมีความสามารถที่จะ
ประสบความสาเร็ จได้
4) การกระตุน้ ทางอารมณ์
การกากับตนเอง (Self-Regulation)
หมายถึง กระบวนการที่บุคคลวางแผน ควบคุมและกากับพฤติกรรมของ
ตนเอง กระบวนการสังเกตตนเอง กระบวนการตัดสิ น และกระบวนการแสดงปฏิกิริยา
ต่อเนื่อง โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองไปสู่ พฤติกรรม
เป้ าหมายที่ตอ้ งการ ประกอบด้วยกระบวนการย่อย 3 กระบวนการ คือ
1) กระบวนการสังเกตตนเอง (Self-Observation) กระบวนการแรกในการ
กากับตนเอง ทั้งนี้ เพราะบุคคลจะต้องทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตนเสี ยก่อน จึงจะคิด
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นมีองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบ คือ
1.1) การตั้งเป้ าหมาย (Goal Setting) หมายถึงการกาหนดพฤติกรรม
เป้ าหมายหรื อกาหนดเกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรมที่ตอ้ งการกระทาอย่างชัดเจน และ
ยังใช้เป็ นเกณฑ์ในการประเมินเพื่อเปรี ยบเทียบพฤติกรรมที่บุคคลกระทาจริ ง การ
ตั้งเป้ าหมายในการกระทาพฤติกรรมนั้นมีผลดังนี้
1.1.1 มีผลต่อแรงจูงใจ
1.1.2 มีผลต่อความคาดหวังเกี่ยวกับความสามารถของตนเอง
1.1.3 มีผลต่อความสนใจเพิ่มขึ้น
การตั้งเป้ าหมายนั้นมี 2 วิธี ดังนี้
1) การตั้งเป้ าหมายด้วยตนเอง การที่บุคคลเป็ นผูก้ าหนดพฤติกรรมเป้ าหมายที่
ต้องการกระทาด้วยตนเองซึ่ งการตั้งเป้ าหมายด้วยตนเองจะมีขอ้ ดี คือ จะทาให้บุคคล
รู ้สึกว่าเขาเป็ นผูก้ ระทาและเป็ นผูต้ ดั สิ นใจด้วยตนเองทาให้เกิดความรู้สึกสบายใจและ
พยายามกระทาพฤติกรรมให้บรรลุเป้ าหมายที่ตนกาหนดไว้
2) การตั้งเป้ าหมายโดยบุคคลอื่น
2) การเตือนตนเอง (Self-Monitoring)
ขั้นตอนในการเตือนตนเองให้มีประสิ ทธิ ภาพ
2.1 จาแนกพฤติกรรมเป้ าหมายให้ชดั เจนว่าจะต้องสังเกตพฤติกรรมอะไร
2.2 กาหนดเวลาที่จะสังเกตและบันทึกพฤติกรรม
2.3 กาหนดวิธีการบันทึกและเครื่ องมือที่ใช้ในการบันทึกพฤติกรรม
2.4 ทาการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของตนเอง
2.5 แสดงผลการบันทึกพฤติกรรมของตนเองเป็ นกราฟ หรื อแผนภาพ
2.6 วิเคราะห์ขอ้ มูลที่บนั ทึกเพื่อใช้เป็ นข้อมูลย้อนกลับ และเพื่อพิจารณาผลการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ปัจจัยอืน่ ๆ ที่มีอทิ ธิพลต่ อการสั งเกตตนเอง
1. เวลาที่ทาการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของตนเอง
2. การให้ขอ้ มูลย้อนกลับ
3. ระดับของแรงจูงใจ
4. คุณค่าของพฤติกรรมที่สงั เกต
5. ความสาเร็ จและความล้มเหลวของพฤติกรรมที่สังเกต
6. ระดับของความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมที่สังเกต
กระบวนการตัดสิ น (Judgment Process)
เมื่อบุคคลสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของตนเองแล้ว บุคคลก็จะนาเอาข้อมูลที่
ได้น้ นั ไปเปรี ยบเทียบกับเป้ าหมายหรื อมาตรฐานที่ต้ งั ไว้ ทั้งนี้เพื่อจะตัดสิ นว่าจะ
ดาเนินการกับพฤติกรรมที่ตน
กระทาอย่างไรต่อไป
การตั้งเป้ าหมายในการกระทาพฤติกรรมให้มีประสิ ทธิ ภาพและสะดวกต่อการตัดสิ นหรื อ
ประเมินพฤติกรรมตนเองนั้น ควรตั้งเป้ าหมายให้มีลกั ษณะ ดังนี้
1) ควรเป็ นเป้ าหมายที่มีลกั ษณะเฉพาะเจาะจง
2) ควรเป็ นเป้ าหมายที่มีลกั ษณะท้าทาย
3) ควรเป็ นเป้ าหมายที่ระบุแน่ชดั และมีทิศทางในการกระทาที่แน่นอน
4) ควรเป็ นเป้ าหมายระยะสั้น
5) ควรเป็ นเป้ าหมายที่อยูใ่ นระดับที่ใกล้เคียงกับความเป็ นจริ งและสามารถ
ปฏิบตั ิได้
การเปรียบเทียบเชิงอ้ างอิงทางสั งคม (Social Referential
Comparison)
1. การเปรี ยบเทียบกับบรรทัดฐานที่เป็ นมาตรฐานของกลุ่ม
2. การเปรี ยบเทียบกับตนเอง
3. การเปรี ยบเทียบกับสังคม
4. การเปรี ยบเทียบกับกลุ่มคุณค่าของกิจกรรมการอนุมานสาเหตุ
ในการกระทา
กระบวนการแสดงปฏิกริ ิยาต่ อตนเอง (Self-Reaction)
1. ทาหน้าที่ตอบสนองต่อผลการประเมินพฤติกรรมของตนเองจาก
กระบวนการตัดสิ น
2. ทาหน้าที่เป็ นตัวจูงใจสาหรับการกระทาพฤติกรรมของตนเอง
2.1 สิ่ งจูงใจตนเองจากภายนอก
2.2 สิ่ งจูงใจตนเองจากภายใน
2.2.1 การแสดงปฏิกิริยาต่อตนเองทางบวก
2.2.2 การแสดงปฏิกิริยาต่อตนเองทางลบ
ปัจจัยต่ างๆ ทีม่ อี ทิ ธิพลต่ อกระบวนการกากับตนเอง ดังนี้
1) ประโยชน์ ส่วนตัว
2) รางวัลทางสั งคม
3) การสนับสนุนจากตัวแบบ
4) ปฏิกริ ิยาทางลบจากผู้อนื่
5) การสนับสนุนจากสภาพแวดล้อม
6) การลงโทษตนเอง
กระบวนการย่ อยในกระบวนการกากับตนเอง
การสั งเกตตนเอง
(Self-Observation)
ด้านต่างๆ ของการกระทา
- ด้านคุณภาพ
- ด้านอัตราความเร็ว
- ด้านปริ มาณ
- ด้านความคิดริ เริ่ ม
- ด้านความสามารถในการเข้าสังคม
- ด้านจริ ยธรรม
- ด้านความเบี่ยงเบน
ความสม่าเสมอ
ความใกล้เคียง
ความถูกต้อง
กระบวนการตัดสิ น
(Judgment Process)
มาตรฐานส่ วนบุคคล
- ท้าทาย
- แน่นอน
- ระยะสั้น
- ใกล้เคียงความเป็ นจริ ง
การกระทาเชิงอ้างอิง
- บรรทัดฐานที่เป็ นมาตรฐาน
- การเปรี ยบเทียบกับสังคม
- การเปรี ยบเทียบกับตนเอง
- การเปรี ยบเทียบกับกลุ่ม
คุณค่าของกิจกรรม
- มีคุณค่าสู ง
- มีคุณค่าปานกลาง
- ไม่มีคุณค่า
การอนุมานสาเหตุในการกระทา
- แหล่งภายในตัวบุคล
- แหล่งภายนอก
การแสดสงปฏิกริ ิยาต่ อ
ตนเอง (Self-Reaction)
การประเมินปฏิกิริยาต่อตนเอง
- ทางบวก
- ทางลบ
ปฏิกิริยาต่อตนเองที่เป็ นวัตถุสิ่งของ
- การให้รางวัล
- การลงโทษ
ไม่มีปฏิกิริยาต่อตนเอง
เมตาคอกนิชัน
การทีผ่ ้ ูเรียนมีสติและมีความรู้ เกีย่ วกับกระบวนการเรียนรู้
ของตนเอง พร้ อมกับการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง หมายถึง
ระดับการมีส่วนร่ วมในกระบวนการเรียนรู้ ของตนเอง
ในด้ านเมตาคอกนิชัน ด้ านแรงจูงใจและด้ านพฤติกรรม
การเรี ยนรู ้โดยการกากับตนเอง
1. การมีส่วนร่ วมในการเรี ยนรู ้ดา้ นเมตาคอกนิชนั
2. การมีส่วนร่ วมในการเรี ยนรู้ดา้ นแรงจูงใจ
3. การมีส่วนร่ วมในการเรี ยนรู ้ดา้ นพฤติกรรม
การเรียนร้ ู โดยการกากับตนเอง
1. การมีส่วนร่ วมในการเรียนรู้
ด้ านเมตาคอกนิชัน
2. การมีส่วนร่ วมในการเรียนรู้
ด้ านแรงจูงใจ
3. การมีส่วนร่ วมในการเรียนรู้
ด้ านพฤติกรรม
ลักษณะทีส่ าคัญของการเรียนรู้
โดยการกากับตนเอง 3 ประการ
1. การใช้ กลยุทธเมตาคอกนิชัน กลยุทธทางแรงจูงใจ
และกลยุทธทางพฤติกรรมอย่ างเป็ นระบบ ซิมเมอร์ แมน กล่ าวว่ า
การเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง ความแตกต่ างระหว่ างกระบวนการ
กากับตนเอง (Self-Regulation Process) กับกลยุทธทีอ่ อกแบบมา
เพือ่ ทาให้ กระบวนการนีเ้ หมาะสม (Self-Regulated Learning
Strategies) กลยุทธการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง คือ การกระทา
และกระบวนการทีม่ ่ ุงให้ ตนเองมีความรู้ และทักษะเพิม่ ขึน้
โดยเป็ นไปตามวิธีการ เป้าหมายและการรับรู้ ทผี่ ้ ูเรียนเป็ นผู้กาหนด
และรับรู้ ด้วยตนเอง
ส่ วนกระบวนการกากับตนเองนั้นเป็ นกระบวนการ
ทีค่ วบคุมให้ ตนเองเข้ าสู่ กระบวนการเรียนรู้ ผลจากกระบวนการ
เรียนรู้ เป็ นอย่ างไรขึน้ อยู่กบั ระดับของเป้าหมายทีต่ ้งั ไว้
การใช้ กระบวนการเรียนรู้ โดยการกากับตนเองมากบ้ าง น้ อยบาง
แตกต่ างกันไป แต่ ผ้ ูเรียนทีเ่ รียนรู้ โดยการกากับตนเองจะมีความ
แตกต่ างจากผู้อนื่ 2 ประการ คือ มีความตระหนักถึงความสั มพันธ์
ระหว่ างกระบวนการกากับตนเองกับผลลัพธ์ จากการเรียนรู้
และมีการใช้ กลยุทธ เพือ่ ให้ บรรลุถึงเป้าหมายการเรียนของตนเอง
โดยสรุปแล้ วเมือ่ กล่ าวถึงผู้เรียนทีเ่ รียนรู้ โดยการกากับตนเอง
2. มีวงจรการให้ ข้อมูลป้อนกลับของตนเอง
(“Self-Oriented Feedback” Loop) การรับรู้ ตนเองจนถึง
การเปลีย่ นแปลงภายนอก เช่ น ทฤษฎี Phenomenological
วงจรนีเ้ ป็ นกระบวนการรับรู้ ตนเองภายใน เช่ น ความภาคภูมใิ จ
ในตนเอง (self-esteem) อัตมโนทัศน์ (Self-concept) ขณะที่
ทฤษฎีเงือ่ นไขแบบการกระทา (Operant Theory) อธิบายวงจรนี้
ในลักษณะพฤติกรรมภายนอก คือ การบันทึกตนเอง
(Self-Recording) การสอนตนเอง (Self-Instruction)
การให้ แรงเสริมตนเอง (Self-Reinforcement)
3. มีกระบวนการด้ านแรงจูงใจที่มีปฏิสัมพันธ์ กนั (Interdependent
Motivational Process) รับสิ่ งของตอบแทนเป็ นรู ปธรรม ขณะที่ทฤษฎี
Phenomenological มองว่ า ผู้เรียนถูกจูงใจให้ กากับตนเองจากลักษณะ
ในภาพรวมของ ความภาคภูมิใจในตนเอง หรือการบรรลุเป้าหมายชีวติ
ของตนเองในอุดมคติ (Self-Actualization) สองทฤษฎีนี้ มีทฤษฎีอนื่ ที่
อธิบายแรงจูงใจในการกากับตนเองว่ าเกิดจากการรับรู้ ความสามารถ
ของตนเอง (Self-Efficacy) การประสบความสาเร็จ และความสมดุลของ
สติปัญญา (Cognitive Equilibrium) แรงจูงใจเป็ นกระบวนการที่ต่าง
พึง่ พิงกัน (Interdependent Process) ไม่ สามารถเข้ าใจได้ อย่ างสมบูรณ์
ถ้ าพิจารณาแยกจากกัน
การเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง คือ การเรียนบนพืน้ ฐานของการรับรู้
ความสามารถของตนเอง (Zimmerman. 1989 : 329) ความสาคัญกับองค์ ประกอบ
3 ส่ วน คือ กลยุทธการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง (Self-Regulated Learning Strategies)
ทักษะทีจ่ าเป็ นต้ องใช้ เพือ่ ให้ บรรลุเป้าหมาย (Self-Efficacy) และการมีความผูกพันกับ
เป้ าหมายของการเรียน (Commitment to Academic Goals) วิธีทผี่ ู้เรียนแสดงพฤติกรรม
อันเป็ นกลยุทธทีจ่ ะทาให้ บรรลุถงึ เป้ าหมาย โดยเชื่อว่ าการจูงใจให้ ผู้เรียนใช้ กลยุทธใน
การเรียนคือ การรับรู้ ความสามารถของตนเองอย่ างต่ อเนื่องขณะเรียน ดังนั้นการจะ
บอกว่ าการกระทาใดเป็ นการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง ต้ องรู้ เป้ าหมายการเรียนรู้
ของผู้เรียนและรู้ ถงึ การรับรู้ ความสามารถในการเรียนรู้
ซิมเมอร์ แมน (Zimmerman. 1989 : 330)
กล่ าวถึงทฤษฎีปัญญาทางสั งคมว่ า การกากับตนเองมีปัจจัย
ทีเ่ ป็ นสาเหตุ 3 ประการ คือ บุคคล สิ่ งแวดล้ อม และพฤติกรรม
และขณะเดียวกันปัจจัยด้ านบุคคล สิ่ งแวดล้ อม และพฤติกรรม
ต่ างก็มอี ทิ ธิพลซึ่งกันและกัน (Reciprocal) ดังแผนภูมิ
ของซิมเมอร์ แมน ต่ อไปนี้
การวิเคราะห์ อทิ ธิพลซึ่งกันและกันระหว่ างปัจจัยของการกากับตนเอง
ด้ านบุคคล สิ่ งแวดล้ อม และพฤติกรรม
Person
(self)
Behavioral
Self-regulation
Covert self-regulation
Environment
Environmental
Self-regulation
Behavior
การใช้ กลยุทธ (Strategy use)
ข้ อมูลป้ อนกลับจากการกระทา (Enactive Feedback)
กลยุทธเพือ่ กากับกระบวนการภายใน (covert process)
การกากับตนเองด้ านพฤติกรรม การใช้ กลยุทธการประเมินตนเอง
การตรวจการบ้ าน
ดังแผนภูมิข้างต้ น การกากับตนเองภายในก็มีผลต่ อกัน
และกันด้ วยเช่ นกัน ทฤษฎีการเรียนรู้ ปัญญาทางสั งคม มีความสนใจ
ผลของกระบวนการเมตาคอกนิชันต่ อกระบวนการอืน่ ๆ ในบุคคล
เช่ น ต่ อความรู้ หรือสภาวะทางอารมณ์
กลยุทธการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง
1. การประเมินตนเอง (Self-evaluation)
2. การจัดระบบและการแปลงรู ป (Organizing and transtorming)
3. การตั้งเป้าหมายและการวางแผน (Goal Setting and planning)
4. การแสวงหาข้ อมูล (Seeking information)
5. การบันทึกและตรวจสอบ (Keeping record and monitorining)
6. การจัดสิ่ งแวดล้ อม (Environment Structuring)
7. การให้ ผลกรรมแก่ ตนเอง (Self-Consequences)
กลยุทธการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง (ต่ อ)
8. การฝึ กซ้าและการจา (Reheassing and Memorizing)
9. การแสวงหาความช่ วยเหลือจากเพือ่ น (Seeking peer Assistance)
10. การแสวงหาความช่ วยเหลือจากครู (Seeking teacher Assistance)
11. การแสวงหาความช่ วยเหลือจากผู้ใหญ่ (Seeking adult Assistance)
12. การทบทวนแบบฝึ กหัด (Review test)
13. การทบทวนสมุดบันทึก (Review notes)
14. การทบทวนตารา (Review text)
ระบบย่ อยของการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง
ทฤษฎีการเรียนรู้ ทางปัญญาสั งคม กระบวนการการกากับตนเอง ระบบย่ อย 3 ระบบ
ได้ แก่ การสั งเกตตนเอง การตัดสิ นตนเอง และการมีปฏิกริ ิยาต่ อตนเอง เมือ่ ผู้เรียนเริ่มต้ น
กิจกรรมการเรียนรู้ ด้ วยการมีเป้ าหมายของตนเอง
ระบบย่ อยของกระบวนการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง
1. การสั งเกตตนเอง (Self-Observation)
2. การตัดสิ นตนเอง (Self-Judgment) การตัดสิ นตนเองซึ่งหมายถึง การเปรียบเทียบผลงาน
ในปัจจุบันกับเป้ าหมายของตนเอง ชนิดของมาตรฐานทีน่ ามาใช้ ในการตัดสิ นตนเอง
คุณสมบัตขิ องเป้ าหมาย ความสาคัญของการบรรลุเป้ าหมาย และการอนุมานสาเหตุ
อยู่ในรู ปมาตรบานที่กาหนดไว้ แน่ นอนกับเกณฑ์ ใดเกณฑ์ หนึ่ง หรือมาตรฐานทีอ่ งิ บรรทัดฐาน
ของสั งคม
มาตรฐานให้ สิ่งทีเ่ ป็ นประโยชน์ 2 ประการ คือ ให้ ข้อมูลและให้ การจูงใจ
การเปรียบเทียบผลงานของตนเองกับมาตรฐานให้ ข้อมูลเกีย่ วกับความก้าวหน้ า
ไปสู่ เป้าหมาย ผู้เรียนทีท่ างานได้ 3 หน้ าใน 10 นาที ตระหนักดีว่าตนเองกาลัง
ก้าวหน้ าไปตามตารางเวลาทางาน และควรจะบรรลุเป้าหมายของตนเองได้
ความยากของเป้าหมาย (Goal Difficulty)
การอนุมานสาเหตุของผลงาน (Performance Attribution)
ร่ วมกับการตัดสิ นความก้าวหน้ าไปสู่ เป้าหมาย มีอทิ ธิพลต่ อความคาดหวัง
ในผลงาน แรงจูงใจ ความสาเร็จ และปฏิกริ ิยาทางอารมณ์
การมีปฏิกริ ิยาต่ อตนเอง (Self-Reaction)
คือ การตอบสนองผลงานที่ได้ รับการตัดสิ นตนเองมาแล้ ว
ปฏิกริ ิยาเชิงประเมิน หมายถึง ปฏิกริ ิยาทีอ่ อกมาในรู ปความเชื่อ
ของผู้เรียน
การประเมินตนเองและ
การตรวจสอบ
(Self-Evaluation and
Monitoring)
การตรวจสอบ
ผลการใช้ กลยุทธ
(Strategic Outcome
Monitoring)
การตั้งเป้าหมายและ
การวางแผนกลยุทธ
(Goal Setting and Strategic
Planning)
การนากลยุทธไปใช้
และการตรวจสอบ
(Strategy Implementation
and Monitoring)
วงจรการกากับตนเอง (Zimmerman. 1998 : 83)
การวิเคราะห์ อทิ ธิพลทีม่ ีต่อการพัฒนาการกากับตนเองของผู้เรียน
ตามทฤษฎีการเรียนรู้ปัญญาทางสั งคม
ระดับของพัฒนาการ
(Levels of Development)
การสังเกต (Observational)
การเลียนแบบ (Imitative)
การควบคุมตนเอง
(Self-controlled)
การกากับตนเอง
(Self-regulated)
อิทธิพลของสั งคม
(Social Influences)
อิทธิพลของตนเอง
(Self-Influences)
แม่แบบ (Models)
การพูดอธิบาย
(Verbal description)
การแนะแนวและการให้ขอ้ มูลป้ อนกลับ
จากสังคม (Social guidance and
feedback)
มาตรฐานภายในตนเอง
(Intermal standards)
การให้แรงเสริ มตนเอง
(Self-reinforcement)
กระบวนการกากับตนเอง
(Self-regulatory process)
ความเชื่อในความสามารถของตนเอง
(Self-efficacy beliefs)
ทฤษฎีปัญญาทางสั งคมมีความเชื่อว่ า ประสิ ทธิภาพของบุคคลเพิม่ ขึน้ ได้
จากการได้ ใช้ กระบวนการกากับตนเอง การได้ ปรับปรุงคุณภาพของกระบวนการ
กากับตนเอง และการรับรู้ความสามารถของตนเอง แต่ กม็ ีปัจจัยอืน่ ทีม่ ีอทิ ธิพล
ต่ อผลงานเช่ นกัน เช่ น ความสามารถทางกายและทางสมอง ทักษะการกากับตนเอง
การกากับตนเองตามทฤษฎีปัญญาทางสั งคมของชิมเมอร์ แมน
และบอนเนอร์ เป็ นหลักฐานว่ าความสนใจภายในเกิดขึน้ จากการรับรู้ความสามารถ
ของตนเองมีสูง เด็กทีร่ ายงานมาว่ ามีความสนใจภายในสู ง รายงานเพิม่ เติมมาว่ า
จะไปซื้อกระดานปาลูกดอกมาเล่นทีบ่ ้ าน
ปัจจัยทีม่ อี ทิ ธิพลของการเรียนรู้ โดยการกากับตนเอง
อิทธิพลจากตัวแปรด้ านบุคคล
การรับรู้ ความสามารถในการกากับตนเอง (Self-Efficacy for self-regulated learning)
การรับรู้ ความสามารถของตนเอง (Self-Efficacy) ความเชื่อทีบ่ ุคคล
มีเกีย่ วกับความสามารถของตนเอง ในการจัดระบบและลงมือกระทากิจกรรม การรับรู้
ความสามารถของตนเองนีม้ ไิ ด้ ขนึ้ อยู่กบั ทักษะทีบ่ ุคคลมีอยู่ในขณะนั้น
การรับรู้ ความสามารถของตนเองนั้นแตกต่ างจากความคาดหวังเกีย่ วกับ
ผลกรรมทีจ่ ะเกิดขึน้ กล่ าวคือ การรับรู้ ความสามารถของตนเอง หมายถึง การทีบ่ ุคคลตัดสิ น
เกีย่ วกับความสามารถของตนว่ าเขาสามารถกระทาพฤติกรรมอย่ างใดอย่ างหนึ่งได้ สาเร็จหรือไม่
ในระดับใด ส่ วนความคาดหวังเกีย่ วกับผลกรรมทีจ่ ะเกิดขึน้ หมมายถึงการทีบ่ ุคคลตัดสิ น
ว่ าถ้ ากระทาพฤติกรรมอย่างใดอย่ างหนึ่ง
แบบดูรา (Bandura. 1986 : 393-395) กล่าวถึงการรับรู้ความสามารถ
ของตนเองว่ ามีผลต่ อบุคคลในด้ านต่ างๆ ดังนี้
1. การเลือกกระทาพฤติกรรม
2. การใช้ ความพยายามและความมุมมานะในการทางาน
3. กระบวนการคิดและปฏิกริ ิยาทางอารมณ์
4. เป็ นสิ่ งกากับผลทีเ่ กิดขึน้ จากการกระทาพฤติกรรมมากกว่ า
เป็ นสิ่ งทานายพฤติกรรม
ปัจจัยทีม่ ีอทิ ธิพลต่ อการรับรู้ ความสามารถของตนเอง
1. ความสาเร็จจากการกระทา
2. การได้ เห็นประสบการณ์ ของผู้อนื่ ประสบความสาเร็จ
3. การพูดเกลีย้ กล่ อมจากผู้อนื่
4. สภาวะทางสรีรวิทยา
การรับรู้ ความสามารถในการกากับตนเองและการกากับตนเอง
ทฤษฎีปัญญาสั งคมอธิบายการเรียนรู้โดยการกากับตนเองโดยเน้ นการรับรู้
ความสามารถในการกากับตนเองว่ าเป็ นแหล่งของแรงจูงใจทีแ่ ท้ จริงของการเรียนรู้
โดยการกากับตนเอง ซิมเมอร์ แมน กล่าวว่ ากากับตนเองทีม่ ีประสิ ทธิภาพขึน้ อยู่กบั
การรับรู้ความสามารถของตนเองในการใช้ ทกั ษะทีจ่ ะนาไปสู่ ผลสาเร็จทีต่ ้ องการ
และความสามารถคาดหวังเกีย่ วกับผลสั มฤทธิ์ของการเรียนรู้ ขณะทีผ่ ู้เรียนทางาน
ผู้เรียนจะเปรียบเทียบการกระทาของตนเองกับเป้าหมายของตนเอง การประเมิน
ความก้าวหน้ าของตนเองส่ งเสริมการรับรู้ความสามารถในการกากับตนเอง
และรักษาแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเองให้ ได้ ดขี นึ้ อีก ผู้เรียนทีร่ ู้สึกว่ าตนเอง
มีความสามารถเกีย่ วกับการเรียนรู้และสามารถแสดงออกถึงผลการเรียน
ทีด่ ีมักจะนากลยุทธในการกากับตนเองทีม่ ีประสิ ทธิภาพ แสวงหาความช่ วยเหลือ
ทีจ่ าเป็ น ตรวจสอบผลงานของตนเอง ปรับกลยุทธการเรียนตามความจาเป็ น
Self-efficacy for
self-regulated
learning
Self-efficacy for
academic
achievement
Student’s
grade
Student’s
prior grade
Parents’
grade goals
Parents’
grade goals
รู ปแบบอิทธิพลของการรับรู้ ความสามารถ, การตั้งเป้ าหมายของพ่อแม่ และการตั้งเป้ าหมาย
ของนักเรียนที่มตี ่ อผลสั มฤทธิ์ทางการเรียน
.41*
Self-regulatory
Efficacy for writing
Self-efficacy for
academic achievement
.26*
.19*
.31*
.36*
Writing Class
.37*
Grade Goal
Verbal aptitude
.20*
Self-evaluative
standard
Final Grades
.41*
.44*
รู ปแบบความสั มพันธ์ เชิงสาเหตุของการกากับตนเองแสดงอิทธิพลของตัวแปร
ภายในการกากับตนเองที่มีต่อผลของการสอนเขียนเพือ่ พัฒนาทักษะการเขียน
การมุ่งเป้ าหมาย (Goal Orientation)
1. ความเชื่อเกีย่ วกับคุณสมบัตขิ องบุคคล
2. มุมมองเกีย่ วกับความพยายาม
3. การตอบสนองต่ อความยากของงานหรือต่ อความล้มเหลว
ในการทางาน
ความสั มพันธ์ ระหว่ างความสนใจในกิจกรรม
การรับรู้ ความสาคัญของกิจกรรม
และการกากับตนเอง
การวัดความสนใจในกิจกรรมและการรับรู้ ความสาคัญของกิจกรรม
1. การวัดโดยใช้ แบบรายงานตนเอง (Self-report)
2. การวัดพฤติกรรม (Behavior Measure)
ปัจจัยที่มีผลต่ อความสนใจในกิจกรรม
1. การมีโอกาสได้ เลือกทากิจกรรมด้ วยตนเอง
2. การประเมินผลและการให้ ข้อมูลป้อนกลับ
3. การรับรู้ความสามารถของตนเอง
4. รางวัล (Reward)
5. การคุกคามจากภายนอก
การเรียนการสอนเพือ่ กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
1. การให้ เหตุผล
2. การให้ โอกาสเลือก
3. การจัดกิจกรรมให้ ดงึ ดูดความสนใจ
4. เปิ ดโอกาสให้ ต้งั เป้าหมายหรือมาตรฐานเอง
สนับสนุนความเป็ นอิสระ (Autonomy Support)
- การให้ คุณค่ า และการใช้ เทคนิคสนับสนุนความริเริ่ม และการแก้ปัญหาของเด็ก
ความเอาใจใส่ เด็ก (Involvement)
- จัดหาแหล่งประโยชน์ ให้ แก่เด็ก
โครงสร้ างสิ่ งแวดล้อม (Structure)
- ชัดเจน, มีแนวทางทีส่ มา่ เสมอ, มีกฎและมีความคาดหวัง
บริบทของพ่อแม่ ในการส่ งเสริมการกากับตนเองในเด็กระดับประถมศึกษา
บรรยากาศครอบครัวและการกับตนเอง
การสนับสนุนความเป็ นอิสระลูก ความเอาใจใส่ และการจัดโครงสร้ าง
สิ่ งแวดล้อมในบ้ านต่ อการกากับตนเอง การรับรู้ความสามารถด้ านการศึกษา
การรับรู้การควบคุมอิทธิพลของการสนับสนุนความเป็ นอิสระของพ่อแม่
ความเอาใจใส่ ของพ่อแม่
บรรยากาศการเรียนการสอน
1. ความเอาใจใส่ (Involvement)
2. โครงสร้ างสิ่ งแวดล้ อม
3. การสนับสนุนความเป็ นอิสระ (Autonomy Suppurt)
ห้ องเรียนทีส่ นับสนุนความเป็ นอิสระของผู้เรียน
ความมีลกั ษณะ ประการต่ อไปนีค้ อื
1. ยอมรับมุมมองของผู้เรียน
2. กระตุ้นให้ ผู้เรียนมีทางเลือกและมีความริเริ่ม
3. สื่ อสารให้ ผ้ ูเรียนเข้ าใจเหตุผลของข้ อจากัด หรือขอบเขต
ของพฤติกรรม
4. ยอมรับปฏิกริ ิยาทางลบทีเ่ กิดจากการควบคุมของครู
5. สื่ อสารในลักษณะทีไ่ ม่ ควบคุมและให้ ข้อมูลป้อนกลับทางบวก