พระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 สำนักงำนคณะกรรมกำรข้อมูลข่ำวสำรของรำชกำร แนวทางการบรรยาย หลักการ แนวคิดของกฎหมาย และนโยบายรัฐบาล  สาระสาคัญของกฎหมาย แนวทางและกลไกในการปฏิบัติ  ผลกระทบของกฎหมาย กับหน่ วยงานของรัฐ และประโยชน์ สาธารณะ 1. หลักกำร – แนวคิด ของกฎหมำย.

Download Report

Transcript พระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 สำนักงำนคณะกรรมกำรข้อมูลข่ำวสำรของรำชกำร แนวทางการบรรยาย หลักการ แนวคิดของกฎหมาย และนโยบายรัฐบาล  สาระสาคัญของกฎหมาย แนวทางและกลไกในการปฏิบัติ  ผลกระทบของกฎหมาย กับหน่ วยงานของรัฐ และประโยชน์ สาธารณะ 1. หลักกำร – แนวคิด ของกฎหมำย.

พระราชบัญญัติ
ข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. 2540
สำนักงำนคณะกรรมกำรข้อมูลข่ำวสำรของรำชกำร
แนวทางการบรรยาย
หลักการ แนวคิดของกฎหมาย
และนโยบายรัฐบาล
 สาระสาคัญของกฎหมาย
แนวทางและกลไกในการปฏิบัติ
 ผลกระทบของกฎหมาย
กับหน่ วยงานของรัฐ
และประโยชน์ สาธารณะ
1. หลักกำร – แนวคิด
ของกฎหมำย
1.1 ควำมเป็ นมำของกฎหมำย
1.2 แนวคิด “สิ ทธิที่จะรู้”
1.3 หลักกฎหมำยรัฐธรรมนูญ
1.4 เหตุผลของกฎหมำย
1.5 นโยบำยรัฐบำล
รัฐธรรมนูญ
 คุม้ ครองศักดิ์ศรี สิ ทธิ เสรี ภำพ
ของบุคคล
 ประชำชนเป็ นเจ้ำของอำนำจ
อธิปไตย มี “สิ ทธิที่จะรู ้”
ข้อมูลข่ำวสำรรำชกำร
 คุ้มครองศักดิ์ศรี สิ ทธิ เสรีภาพ
ของบุคคล
ม.4 ศักดิ์ศรี ควำมเป็ นมนุษย์
ม.34 สิ ทธิในควำมเป็ นอยูส่ ่ วนตัว
 “สิ ทธิทจี่ ะร้ ู ”ข้ อมูลข่ าวสารราชการ
ม.3 อำนำจอธิปไตยเป็ นของปวงชน
ม.58 สิ ทธิรับรู ้ขอ้ มูลข่ำวสำรสำธำรณะ
ม.59 สิ ทธิได้รับข้อมูลและคำชี้แจง
จำกหน่วยงำนของรัฐ
ม.76 มีส่วนร่ วมในกำรกำหนดนโยบำย
และตรวจสอบกำรใช้อำนำจรัฐ
 ให้ ประชาชนมีโอกาสรับรู้ข่าวสาร
เกีย่ วกับการดาเนินการต่ างๆ ของรัฐ
กาหนดข้ อยกเว้ นให้ ชัดเจน
คุ้มครองสิ ทธิส่วนบุคคล
2. สำระสำคัญของกฎหมำย
2.1 ควำมหมำย
2.2 สิ ทธิในกำรเข้ำถึง
2.3
2.4
2.5
ข้อมูลข่ำวสำรรำชกำร
ข้อมูลข่ำวสำรส่ วนบุคคล
เอกสำรประวัติศำสตร์
ควำมรับผิดของเจ้ำหน้ำที่
2.1 ควำมหมำย
ข้ อมูล : ข้อเท็จจริ ง หรื อสิ่ งที่ถือหรื อ
ยอมรับว่ำเป็ นข้อเท็จจริ ง
ข่ าวสาร : ข้อควำมที่ส่งมำ
เพื่อสื่ อสำรให้รู้เรื่ องกัน
ข้ อมูลข่ าวสาร
 สิ่ งที่สื่อควำมหมำยให้รู้เรื่ องรำว ข้อเท็จจริ ง ข้อมูล
หรื อสิ่ งใด ๆ
 กำรสื่ อควำมหมำยทำได้โดยสภำพของสิ่ งนั้นเอง
หรื อโดยผ่ำนวิธีกำรใดๆ
 จัดทำไว้ในรู ปของเอกสำร แฟ้ ม รำยงำน หนังสื อ แผนผัง
แผนที่ ภำพวำด ภำพถ่ำย ฟิ ล์ม กำรบันทึกภำพหรื อเสี ยง
กำรบันทึกโดยคอมพิวเตอร์หรื อวิธีที่ทำให้สิ่งที่บนั ทึกไว้
ปรำกฏได้
ข้ อมูลข่ าวสาร ของราชการ
ข้ อมูลข่ าวสารทีอ่ ยู่ในความครอบครอง
หรือควบคุมดูแลของหน่ วยงานของรัฐ
ไม่ ว่าจะเป็ นข้ อมูลข่ าวสารเกีย่ วกับการ
ดาเนินงานของรัฐหรือข้ อมูลข่ าวสารเกีย่ วกับ
เอกชน
“ หน่ วยงานของรั ฐ ”
ราชการส่ วนกลาง ราชการส่ วนภูมภิ าค ราชการส่ วน
ท้ องถิน่ รัฐวิสาหกิจ ส่ วนราชการสั งกัดรัฐสภา ศาล
เฉพาะในส่ วนที่ไม่ เกีย่ วกับการพิจารณาพิพากษาคดี
องค์ กรควบคุมการประกอบวิชาชีพ หน่ วยงานอิสระของ
รัฐ และหน่ วยงานอืน่ ตามที่กาหนดในกฎกระทรวง
“ เจ้ าหน้ าที่ ”
ผู้ซึ่งปฏิบัตงิ านให้ แก่ หน่ วยงานของรัฐ
หน่วยงำนของรัฐในประเทศไทย
ส่ วนกลาง
กระทรวง / ทบวง
15
กรม
173
หน่ วยราชการอิสระ 11
รัฐวิสาหกิจ
58
ภูมิภำค
จังหวัด 75
อำเภอ 794
ท้องถิ่น
เทศบาล 1,129
อบจ. 75
กทม. 1
เมืองพัทยา 1
อบต. 6,397
องค์กรที่ใช้อำนำจตำมกฎหมำย
 องค์กรควบคุมกำรประกอบวิชำชีพ
 สภำทนำยควำม
 แพทยสภำ
 คณะกรรมกำรควบคุมกำรประกอบ
 อำชีพวิศวกรรมและสถำปัตยกรรม
 เนติบณ
ั ฑิตยสภำ
 สภำผูส้ อบบัญชีรับอนุญำต
2.2 สิ ทธิในกำรเข้ำถึง
ข้อมูลข่ำวสำรของรำชกำร
1) กำรพิมพ์ในรำชกิจจำนุเบกษำ
(มำตรำ 7)
2) กำรจัดไว้ให้ประชำชนตรวจดู
(มำตรำ 9)
3) กำรจัดหำให้เอกชนเฉพำะรำย
(มำตรำ 11)
1) กำรพิมพ์ในรำชกิจจำนุเบกษำ
(มำตรำ 7)
(1) โครงสร้ำงและกำรจัดองค์กร
(2) อำนำจหน้ำที่และวิธีดำเนินงำน
(3) สถำนที่ติดต่อขอรับข้อมูลข่ำวสำร
(4) กฎ มติ ค.ร.ม. ข้อบังคับ คำสัง่ ฯ
(5) ข้อมูลข่ำวสำรอื่น
2) กำรจัดไว้ให้ประชำชนตรวจดู
(มำตรำ 9)
(1) ผลกำรพิจำรณำที่มีผลต่อเอกชนโดยตรง
(2) นโยบำยและกำรตีควำม
(3) แผนงำน โครงกำรและงบประมำณ
(4) คู่มือหรื อ คำสัง่ เกี่ยวกับวิธีปฏิบตั ิงำน
(5) สิ่ งพิมพ์ที่มีกำรอ้ำงอิงถึงใน
รำชกิจจำนุเบกษำ
(6) สัญญำสำคัญของรัฐ
 สัญญำสัมปทำน
 สัญญำผูกขำดตัดตอน
 สัญญำร่ วมทุนกับเอกชน
ในกำรจัดทำบริ กำรสำธำรณะ
(7) มติ ค.ร.ม. มติคณะกรรมกำร
ที่แต่งตั้งโดยกฎหมำย
และคณะกรรมกำรที่แต่งตั้งโดย มติ ค.ร.ม.
(8) ข้อมูลข่ำวสำรอื่น
วิธีการจัดให้ ตรวจดู
ประกาศคณะกรรมการฯ 24 ก.พ.41
(1) จัดให้ มีสถานที่
(2) จัดทาดรรชนี
(3) ประชาชนสามารถค้ นหาได้ เอง
(4) คานึงถึงความสะดวก
(5) อาจเป็ นห้ องสมุดหรื อ
ห้ องในหน่วยงานอื่น
3) กำรจัดหำให้เอกชนเป็ นกำร
เฉพำะรำย (มำตรำ 11)
(1) มีกำรยืน่ คำขอระบุขอ้ มูล
ข่ำวสำรที่ตอ้ งกำรในลักษณะที่อำจ
เข้ำใจได้ตำมควร
(2) ต้องไม่ขอจำนวนมำก หรื อ
บ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ลักษณะข้อมูลที่จดั ให้
(1) ข้อมูลข่ำวสำรที่มีอยูแ่ ล้ว
(2) ไม่ตอ้ งจัดทำขึ้นใหม่ เว้นแต่กำรแปรสภำพเป็ น
เอกสำร แต่หำกเห็นว่ำมิใช่เป็ นกำรแสวงหำ
ประโยชน์ทำงกำรค้ำ และเพื่อปกป้ องสิ ทธิเสรี ภำพ
หรื อเพื่อประโยชน์แก่สำธำรณะ อำจจัดหำให้กไ็ ด้
ข้อมูลข่ำวสำรที่ไม่ตอ้ งเปิ ดเผย
ข้อมูลข่ำวสำรที่อำจก่อให้เกิดควำม
เสี ยหำยต่อสถำบันพระมหำกษัตริ ย ์
(มำตรำ 14)
ข้ อมูลข่ าวสารที่อาจไม่ ต้องเปิ ดเผย
ต้องเข้ำข้อยกเว้นต่อไปนี้ (มำตรำ 15 )
(1) ควำมมัน่ คงของประเทศ
(2) กำรบังคับใช้กฎหมำย
(3) ควำมเห็นภำยใน
(4) ควำมปลอดภัยของบุคคล
(5) ข้อมูลข่ำวสำรส่ วนบุคคล
(6) กฎหมำยหรื อบุคคลเจ้ำของข้อมูลกำหนดมิให้เปิ ดเผย
ข้อมูลข่ำวสำรที่อำจไม่ตอ้ งเปิ ดเผย
ใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเรื่ องต่อไปนี้ ประกอบกัน
1) กำรปฏิบตั ิหน้ำที่ของหน่วยงำนของรัฐ
2) ประโยชน์สำธำรณะ
3) ประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้อง
การเปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสารของราชการ
ประเด็นพิจำรณำ
1) วิธีกำรเปิ ด - เปิ ดอย่ำงไร
(ขอดู-ขอสำเนำ-ให้รับรองสำเนำ)
2) เนื้อหำที่เปิ ด - เปิ ดแค่ไหน
(ทั้งหมด - บำงส่ วน)
3) เวลำที่เปิ ด - เปิ ดเมื่อใด
(กรณี ควำมสำคัญของข้อมูลขึ้นกับเงื่อนเวลำ)
ข้อมูลไม่อยูใ่ นครอบครอง
ข้อมูลข่ำวสำรไม่อยูใ่ นครอบครองของหน่วยงำนและเห็น
ว่ำเป็ นของหน่วยงำนของรัฐแห่งอื่น
ให้แนะนำไปยืน่ คำขอที่หน่วยงำนของรัฐที่ครอบครอง
ข้อมูลนั้นๆ
(มำตรำ 12)
2.3 ข้อมูลข่ำวสำรส่ วนบุคคล
ควำมหมำย
“ข้ อมูลข่ าวสารส่ วนบุคคล” (ม. 4 วรรคทีห่ ้ า)
สิ่ งเฉพำะตัว ของบุคคล เช่ น
ข้ อมูลข่ าวสารเกีย่ วกับ __________
การศึกษา ฐานะการเงิน ประวัตสิ ุ ขภาพ ประวัติ
อาชญากรรม หรือประวัติการทางาน บรรดาที่มีชื่อของผู้น้ัน
หรือมีเลขหมาย รหัส หรือ สิ______________
่ งบอกลักษณะอื่น ทีท่ าให้ ร้ ู ตวั
ผู้น้ันได้ เช่ น ลายพิมพ์ นิว้ มือ แผ่ นบันทึกลักษณะเสี ยงของ
คน หรือรู ปถ่ าย และให้ หมายความรวมถึงข้ อมูลข่ าวสาร
เกีย่ วกับสิ่ งเฉพาะตัวของผู้ทถี่ ึงแก่ กรรมแล้ วด้ วย
รับรองสิ ทธิของประชำชน
ตำมรัฐธรรมนูญ
หลักศักดิ์ศรีความเป็ นมนุษย์ (ม. 4)
สิ ทธิส่วนบุคคล (ม.34)
รั ฐธรรมนูญ
ม.4 ศักดิ์ศรี ควำมเป็ นมนุษย์ สิ ทธิ และเสรี ภำพ
ของบุคคล ย่อมได้รับ ควำมคุม้ ครอง
ม.34 สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง
หรือความเป็ นอยู่ส่วนตัว ย่ อมได้ รับความคุ้มครอง
การกล่ าวหรือไขข่ าวแพร่ หลาย ซึ่งข้ อความหรือ
ภาพไม่ ว่ า ด้ ว ยวิธี ใ ด ไปยัง สาธารณชน อัน เป็ นการ
ละเมิ ด หรื อ กระทบถึง สิ ท ธิ ข องบุ ค คลในครอบครั ว
เกียรติยศ ชื่อเสี ยง หรือความเป็ นอยู่ส่วนตัวจะกระทา
มิได้ เว้ นแต่ กรณีที่เป็ นประโยชน์ ต่อสาธารณชน
4) หน้ าที่ของหน่ วยงานของรั ฐ
• จัดเก็บข้ อมูลเท่ าทีจ่ าเป็ น ต้ องยกเลิกเมื่อหมดความจาเป็ น
ตรวจสอบแก้ไขข้ อมูลให้ ถูกต้ องอย่ เู สมอ และ จัดระบบ รปภ.
เพือ่ มิให้ นาไปใช้ ไม่ เหมาะสม ( ม. 23)
• พยายามเก็บข้ อมูลโดยตรงจากเจ้ าของข้ อมูล (ม. 23)
• จะเปิ ดเผยข้ อมลู โดยปราศจากความยินยอมไม่ ได้ (ม.24)
• ยอมให้ เจ้ าของข้ อมลู ขอดขู ้ อมลู เกีย่ วกับตนได้ (ม. 25)
• แก้ ไขข้ อมลู ให้ ตรงความจริ งตามทีเ่ จ้ าของร้ องขอ (ม. 25)
• จัดให้ พมิ พ์ ในราชกิจจานุเบกษา ใน 6 ประเด็น (ม. 23)
ข้อมูลข่ำวสำรส่ วนบุคคลที่ตอ้ งพิมพ์ใน
รำชกิจจำฯ (ม. 23)
(ก) ประเภทของบุคคลที่มีกำรเก็บข้อมูลไว้
(ข) ประเภทของระบบข้อมูลข่ำวสำรส่ วนบุคคล
(ค) ลักษณะกำรใช้ขอ้ มูลตำมปกติ
(ง) วิธีกำรขอตรวจดูขอ้ มูลของเจ้ำของข้อมูล
(จ) วิธีกำรขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล
(ฉ) แหล่งที่มำของข้อมูล
5) เปิ ดเผยได้เฉพำะกรณี
(มาตรา 24)
 ต่ อ จนท.ในหน่ วยงานนาไปใช้ ตามอานาจหน้ าที่
 การใช้ ข้อมูลตามปกติ
 ต่ อ หน่ วยงานที่ทางานด้ านแผน/การสถิติ
 การใช้ เพือ่ ประโยชน์ ในการศึกษาวิจัย
 ต่ อ หอจดหมายเหตุฯ เพือ่ การตรวจดูคณ
ุ ค่ า ม. 26 วรรคหนึ่ง
 ต่ อ จนท. เพือ่ ป้ องกันการฝ่ าฝื นไม่ ปฏิบัติตาม กม.
 กรณีจาเป็ นเพือ่ ป้ องกัน/ระงับอันตรายต่ อชีวิต/สุขภาพ
 ต่ อ ศาล และ จนท. หน่ วยงาน /บุคคลที่มีอานาจตาม กม.
 กรณีอื่นตามที่กาหนดไว้ ในพระราชกฤษฎีกา
6) สิทธิของเจ้ าของข้ อมูล
สิทธิที่จะเข้ าตรวจ/รั บสาเนาข้ อมูลส่ วนบุคคล ตาม ม. 25
 สิ ทธิในการได้ รับแจ้ งและคัดค้ าน (ม. 17)
 สิ ทธิไม่ ยน
ิ ยอมให้ เปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสาร ตาม ม. 24
 สิ ทธิเรี ยกให้ แก้ ไข หรื อลบข้ อมูล ตาม ม. 25
 สิ ทธิให้ หน่ วยงานของรั ฐจัดระบบค้ ม
ุ ครอง ตาม ม. 23
 สิ ทธิในการร้ องเรี ยน ตาม ม. 13 อท
ุ ธรณ์ ตาม ม. 18,35
 สิ ทธิเรี ยกค่ าเสี ยหาย

2.4 เอกสารประวัติศาสตร์
เอกสาร
ทีต่ ้ องส่ งให้ หอจดหมายเหตุแห่ งชาติ
(1) หน่วยงำนของรัฐไม่ประสงค์
จะเก็บรักษำ
(2) มีอำยุครบกำหนด
ปกปิ ดตำม ม. 14 ได้ 75 ปี
ปกปิ ดตำม ม. 15 ได้ 20 ปี
กรณี ขอขยำยเวลำ
(1) หน่วยงำนขอเก็บรักษำไว้เอง
เพื่อใช้สอย ต้องจัดให้ประชำชน
ศึกษำได้
(2) ยังไม่ควรเปิ ด ต้องขอขยำย
เวลำเก็บได้ครำวละ ไม่เกิน 5 ปี
2.5 ความรับผิดของเจ้ าหน้ าที่
มาตรา 20
การเปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสารใดแม้ จะเข้ าข่ าย
ต้ องมีความรับผิดตามกฎหมายใด ให้ ถือว่ า
เจ้ าหน้ าทีข่ องรัฐไม่ ต้องรับผิด
หากเป็ นการกระทาโดยสุ จริตในกรณี
……………
(1) ข้ อมูลข่ าวสารตามมาตรา 15 ถ้ าเจ้ าหน้ าทีข่ องรัฐ
ได้ ดาเนินการโดยถูกต้ องตามระเบียบตามมาตรา 16
(2) ข้ อมูลข่ าวสารตามมาตรา 15
ถ้ าเจ้ าหน้ าทีข่ องรัฐในระดับ
ตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง มีคาสั่ งให้ เปิ ดเผยเป็ นการทั่วไป
หรือเฉพาะแก่ บุคคลใด เพือ่ ประโยชน์ อนั สาคัญยิง่ กว่ าทีเ่ กีย่ วกับ
ประโยชน์ สาธารณะ ชีวติ ร่ างกาย สุ ขภาพ หรือประโยชน์ อนื่
ของบุคคล และคาสั่ งนั้นได้ กระทาโดยสมควรแก่ เหตุ ในการนี้
จะมีการกาหนดข้ อจากัดหรือเงือ่ นไขในการใช้ ข้อมูลข่ าวสารนั้น
ตามความเหมาะสมก็ได้
การเปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสาร
ตามวรรคหนึ่ง
ไม่ เป็ นเหตุให้ หน่ วยงานของรัฐ
พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย
หากจะพึงมีในกรณีดงั กล่าว
3. แนวทาง และ กลไก
ในการปฏิ บัติตามกฎหมาย
3.3 กลไกในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.
คณะกรรมการ
ข้ อมูลข่ าวสารของราชการ
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
นรม.
ประธานกรรมการ
ปลัดกระทรวง….. นร/ กห/กส/กค/กต/ มท/ พณ
เลขาธิการ…….. สคก/กพ/สมช/สภาผูแ้ ทนราษฎร
ผูอ้ านวยการ….. สานักข่าวกรองฯ /สานักงบฯ
ผูท้ รงค ุณว ุฒิ……. จากภาครัฐ และเอกชน 9 ท่าน
อานาจหน้ าที่
(1) สอดส่ อง ดูแล แนะนาการปฏิบัตติ ามพระราชบัญญัติ
(2) ให้ คาปรึกษาแก่ เจ้ าหน้ าทีข่ องรัฐหรือหน่ วยงานของรัฐ
(3) เสนอแนะในการตราพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
หรือระเบียบ
(4) พิจารณาและให้ ความเห็นเรื่องร้ องเรียนตาม ม. 13
(5) จัดทารายงานการปฏิบัติตาม พรบ. เสนอ ครม.
อย่ างน้ อยปี ละหนึ่งครั้ง
(6) ปฏิบัตหิ น้ าทีอ่ นื่ ตามทีก่ าหนดในพระราชบัญญัตินี้
(7) ดาเนินการตามที่ ครม. หรือ นรม. มอบหมาย (ม. 28)
คณะกรรมการวินิจฉัย
การเปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสาร
ให้ มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสาร
สาขาต่ าง ๆ ตามความเหมาะสม
ซึ่ง ครม. แต่ งตั้งคณะหนึ่ง ๆ ประกอบด้ วย
บุคคลตามความจาเป็ น แต่ ต้องไม่ น้อยกว่ าสามคน
อานาจหน้ าที่
พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ คาสั่ งมิให้ เปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสาร
ตาม ม. 14 หรือ ม. 15 หรือคาสั่ งไม่ รับฟังคาคัดค้ าน
ตาม ม. 17 และคาสั่ งไม่ แก้ ไขเปลีย่ นแปลง
หรือลบข้ อมูลข่ าวสารส่ วนบุคคลตาม ม. 28
 ให้ กขร. ส่ งคาอุทธรณ์ ให้ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิ ดเผย
ข้ อมูลข่ าวสารโดยคานึงถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้ าน
ภายใน 7 วันนับแต่ วนั ทีไ่ ด้ รับคาอุทธรณ์
(เพือ่ พิจารณาภายใน 30 วัน)
คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
ที่ได้รบั การแต่งตัง้ แล้ว จานวน 5 สาขา
คณะกรรมการวินจิ ฉัย
การเปิ ดเผยข้อมูลข่าวสาร 5 คณะ
สาขา
ด้านต่างประเทศ
และความมัน่ คงฯ
สาขา
ด้านสังคมการบริหาร
ราชการแผ่นดิน
สาขา
ด้านเศรษฐกิจ
และการคลัง
สาขา
ด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี ฯ
สาขา
ด้านการแพทย์
และสาธารณสุข
สานักงานคณะกรรมการ
ข้ อมูลข่ าวสารของราชการ
มีหน้ าทีป่ ฏิบัติงานเกีย่ วกับงานธุรการและวิชาการให้ แก่
คณะกรรมการข้ อมูลข่ าวสารของราชการและคณะกรรมการ
วินิจฉัยการเปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสารประสานงานกับหน่ วยงาน
ของรัฐและให้ คาปรึกษาแก่ เอกชนเกีย่ วกับการปฏิบัติตาม
พ.ร.บ.นี้
มาตรการดาเนินงาน
1) ประสานงานภาครัฐและเอกชน
2) งานวิชาการและพัฒนาระบบ
ข้ อมูลข่ าวสาร
3) การประชาสั มพันธ์ และเผยแพร่
4) การสอดส่ องดูแลให้ คาแนะนา
และประเมินผลการปฏิบัติงาน
หน่ วยงานของรั ฐ
ขั้นเตรี ยมกำร
1. สร้ างระบบการจัดเก็บข้ อมูล
2. เตรียมบุคลากร สถานที่ และอุปกรณ์
3. จาแนกประเภทข้ อมูลข่ าวสาร
 ทัว่ ไป/ส่ วนบุคคล/ประวัติศาสตร์
จาแนกตามวิธีการเปิ ดเผย
จาแนกข้ อมูลทีไ่ ม่ อาจเปิ ดเผย
4. กาหนดรายละเอียดการดาเนินการ
 วิธีการและเจ้ าหน้ าที่
 วิธีการคุ้มครองข้ อมูลข่ าวสาร
ค่ าธรรมเนียม
5. วางระเบียบและกาหนดแนวทางอืน่
ขั้นดาเนินการ
 เปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสาร (ม.7, 9, 11)
สั่ งเปิ ดเผย หรือมิให้ เปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสาร (ม.15)
 แจ้ งให้ ผู้มีประโยชน์ ได้ เสี ยในการเปิ ดเผยข้ อมูลข่ าวสาร
คัดค้ านการเปิ ดเผยนั้น (ม.17 วรรคแรก)
จัดระบบและ รปภ.ข้ อมูลข่ าวสารส่ วนบุคคล
(ม.23 (5))
 ส่ งมอบข้ อมูลข่ าวสารที่ไม่ เก็บรักษาหรือไม่ เปิ ดเผย
แต่ ครบอายุการเก็บ ให้ หอจดหมายเหตุ เพือ่ ให้ ประชาชน
ศึกษาค้ นคว้ า (ม. 26)
4. ผลกระทบของกฎหมำยกับ
หน่วยงำนของรัฐ
และประโยชน์สำธำรณะ
4.1 สิ ทธิ ประชาชน
• สิทธิในการขอคาปรึ กษา กับ สขร. ตาม ม. 6
• สิทธิเข้ าตรวจดูข้อมูลของราชการ ตาม ม. 9
• สิทธิขอข้ อมูลข่ าวสารของราชการ ตาม ม. 11
• สิทธิทจี่ ะได้ ร้ ูถงึ ข้ อมูลส่ วนบุคคล ตาม ม. 25
• สิทธิในการดาเนินการแทนผ้ เู ยาว์ ฯลฯ ตาม ม. 25
• สิทธิในการร้ องเรี ยน ตาม ม. 13
• สิทธิในการอทุ ธรณ์ ตาม ม. 18
4.3 ปัญหาทางปฏิบัติของหน่ วยงาน
 ควำมสำคัญเชิงนโยบำย
 หน่วยงำนศูนย์กลำง
 เจ้ำหน้ำที่ผรู ้ ับผิดชอบ
 กำรจัดเก็บเอกสำร
4.4 ประชาชน
 ทัศนคติ
 ควำมไม่คุน้ เคย
 ควำมกลัว
4.5 เจ้ าหน้ าที่
 ทัศนคติ
 ควำมไม่คุน้ เคย
 ควำมกลัว
มติคณะรั ฐมนตรี
ในฐานะ
มาตรการกากับการบังคับใช้ กฎหมาย
มติ ค.ร.ม. 29 ธ.ค.41
กำหนดแนวทำงดำเนินกำรในปี งบฯ 42-43
1. ให้ กระทรวง ทบวง กรม ถือเป็ นนโยบายสาคัญ
ทีต่ ้ องปฏิบัตใิ ห้ เกิดผล โดยต้ องจัดโครงการให้ ความรู้ ข้าราชการ
2. ให้ หน่ วยงานของรัฐทุกแห่ ง แต่ งตั้งบุคคลหรือคณะกรรมการ
รับผิดชอบเป็ นการเฉพาะ
3. ให้ กระทรวง ทบวง คัดเลือกส่ วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ
อย่ างน้ อย 1 แห่ ง เพือ่ เป็ นหน่ วยงานตัวอย่ าง
มติ ค.ร.ม. 9 มี.ค.42
1. เมื่อ กขร.ให้ คาแนะนา หรือให้ ความเห็นต่ อเรื่องร้ องเรียน
ให้ หน่ วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่ างเคร่ งครัด
และโดยด่ วนทีส่ ุ ด
2. เมื่อ สขร.ขอความร่ วมมือ ขอเอกสาร/ข้ อเท็จจริง ให้
หน่ วยงานของรัฐให้ ความสาคัญและให้ ความร่ วมมือ
3. เมื่อมีคาวินิจฉัย ให้ ถือปฏิบัติตาม ภายใน 7 วัน
4. หากไม่ ปฏิบัตติ ามโดยไม่ มเี หตุผลสมควร
ให้ ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยทุกกรณี
มติ ค.ร.ม. 30 พ.ย. 42
1. ให้ มกี ารติดตามและประเมินผลการปฏิบัติ
ตาม พ.ร.บ. ข้ อมูลข่ าวสารฯ โดยให้ รายงานผลการติดตาม
ให้ กขร. ทราบ ในเดือนเมษายน และตุลาคม
้้ 2. สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรีเป็ นหน่ วยงานหลัก
โดยกาหนดเป็ นแผนการตรวจราชการ
ของผู้ตรวจราชการสานักนายกรัฐมนตรี
3. ให้ กระทรวง ทบวง กรม เร่ งรัดการติดตาม
ประเมินผล โดยมอบหมายผู้ตรวจราชการ
กระทรวง / กรม รับผิดชอบ
4. ให้ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ติดตามการ
ปฏิบัติของหน่ วยงานท้ องถิน่
มติ ค.ร.ม. 1 ก.พ. 43
1. ให้ หน่ วยงานของรัฐเร่ งรัดการปฏิบัติตามกฎหมาย
และการให้ บริการข้ อมูลข่ าวสารต่ อประชาชน
2. ขอให้ หน่ วยงานทีเ่ กีย่ วข้ องพิจารณาสนับสนุน
งบประมาณ อัตรากาลัง และการพัฒนาบุคลากร
ที่เหมาะสมแก่ สขร.
3. ให้ กรรมการผู้แทนส่ วนราชการใน กขร.
ที่ได้ รับมอบหมาย ปฏิบัติงานในฐานะ
กรรมการอย่ างต่ อเนื่อง เป็ นเวลาอย่ างน้ อย 2 ปี
เพือ่ ให้ การดาเนินงานในหน่ วยงานของรัฐ
เป็ นไปอย่ างต่ อเนื่อง และเกิดผลในทางปฏิบัติอย่ างจริงจัง
4. เพือ่ ให้ การพัฒนาข้ อมูลข่ าวสารดาเนินไป
อย่ างมีประสิ ทธิภาพและต่ อเนื่อง
ให้ สานักนายกรัฐมนตรี และหน่ วยงานของรัฐทุกแห่ ง
พิจารณากาหนดแนวทางพัฒนางานบริหารข้ อมูลข่ าวสาร
งานสารบรรณ ให้ เป็ นระบบอ้ างอิงทั่วถึงกันได้ ทั่วประเทศ
5. ให้ ก.พ. พิจารณาวางระบบการประเมินผลงาน
เพือ่ เลือ่ นระดับเจ้ าหน้ าที่ของรัฐตั้งแต่ ระดับ 7 ขึน้ ไป
โดยให้ คานึงถึงการพัฒนาความรู้ และความสามารถ
ด้ านการบริหารงานให้ เป็ นตาม พ.ร.บ.ข้ อมูลข่ าวสารฯ
และ พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
และให้ ก.พ.พิจารณาหลักเกณฑ์ การสอบแข่ งขั น
บุคคลเข้ ารั บราชการในตาแหน่ งนิ ติกร ต้ องผ่ าน
การสอบความรู้ วชิ ากฎหมาย พ.ร.บ.ข้ อมูลข่ าวสาร
ฯ และ พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ใน
ฐานะวิชาบังคับควบคู่ กับความรู้ กฎหมายว่ าด้ วย
การบริหารราชการแผ่ นดิน
รัฐรู้ อย่ างไร
ประชาชนร้ ูอย่ างนั้น
เปิ ดเผยเป็ นหลัก
 ปกปิ ดเป็ นข้ อยกเว้น
สานักงาน
คณะกรรมการข้ อมูลข่ าวสารของราชการ
โทร. 0-2281-8552-3 โทรสาร 0-2281-8543
www.oic.go.th