วิชา สศ 402 โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค บทที่ 9 การจัดการให้ อาหารโค ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ ปริมาณอาหารทีใ่

Download Report

Transcript วิชา สศ 402 โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค บทที่ 9 การจัดการให้ อาหารโค ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ ปริมาณอาหารทีใ่

Slide 1

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 2

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 3

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 4

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 5

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 6

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 7

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 8

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 9

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 10

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 11

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 12

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 13

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 14

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 15

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 16

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 17

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 18

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 19

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 20

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 21

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 22

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาหารผสม
ราละเอียดมีโปรตีน 12% ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 8% กากฝ้ ายมีโปรตีน 40%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์

ส่ วนผสมทีม่ ีราละเอียด+ข้ าวโพด +กากฝ้ าย = 80 กก.(100-20)
 ในอาหาร 80 กก. ถ้ าราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = X กก.
กากฝ้ าย
= 80 – X กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน(ต่ อ)
หญ้ าแห้ ง +[รา+ ข้ าวโพด(60 : 40)] + กากฝ้ าย = โปรตีนในอาหารผสม
20x0.08+ [(0.60X) x 0.12 +(0.40 X) x 0.10] +( 80 – X) x 0.40 = 14
1.6 + [ 0.072X +0.04X ] + 32 - 0.40X = 14
0.288X = 19.60
X = 68.06
ต้ องใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 68.06 กก.
และกากฝ้ าย 80 - 68.06 = 11.94 กก.
ปริมาณราละเอียดในอาหารผสม 68.06 x 0.60 = 40.84 กก.
ปริมาณข้ าวโพดป่ นในอาหารผสม 68.06 x 0.40 = 27.22 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ใช้ วธิ ี Pearson’s squar
หาโปรตีนในหญ้ าแห้ ง 20 กก.=1.6 กก. (0.08 x 20)
ส่ วนผสม 80 กก. [รา+ ข้ าวโพด (60 : 40)]+ กากฝ้ าย ต้ องมีโปรตีน= 12.4 กก.(14 - 1.6)
หาโปรตีนรวมในส่ วนผสม(ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น) จานวน 100 กก.
ราละเอียด
60 กก. มีโปรตีน = 7.2 กก.
ข้ าวโพดป่ น
40 กก. มีโปรตีน = 4.0 กก.
ส่ วนผสมราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น 100 กก. มีโปรตีน = 11.2 กก.
ในส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด+กากฝ้ าย) 80 กก.ต้ องมีโปรตีน = 12.4 กก.
ในส่ วนผสม 100 กก.
ต้ องมีโปรตีน = 15.5 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน (ต่ อ)
รา+ข้ าวโพด 12.4

24.5
15.5

กากฝ้ าย 40

4.3
28.8

ส่ วนผสม 28.8 กก.ใช้ กากฝ้ าย 4.3 กก.และรา+ข้ าวโพด (60 : 40) =24.5 กก.
ส่ วนผสม 100 กก. จะใช้ กากฝ้ าย = 14.93 กก.(4.3x100/28.8)
ใช้ ราละเอียด+ ข้ าวโพดป่ น (60 : 40) = 85.07 กก. (100 - 14.93)
ในส่ วนผสม 80 กก.ต้ องใช้ กากฝ้ าย 14.93 x 80/100 = 11.94 กก.

เป็ นส่ วนผสม(รา+ข้ าวโพด) = 68.06 กก.
คิดเป็ นรา = 68.06x.60=40.84 กก. เป็ นข้ าวโพดป่ น =27.22 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
ตัวอย่ างที่ 4 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 12 % และ TDN 74% โดยใช้ หญ้ า
แห้ งบด ข้ าวโพดป่ น และกากถั่วเหลืองที่มีโปรตีน 8,10, 40% และมี TDN 55,
80,80 %ตามลาดับ จงหาปริมาณของส่ วนผสม
วิธี Pearson’s square
ครั้งที่ 1 หาส่ วนผสมที่ 1 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN > 74%
SBM 40
2
ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 30 กก.เป็ น
12

corn 10

กากถั่วเหลือง 2 กก.ข้ าวโพด 28 กก.
28 ส่ วนผสมที่ 1 จานวน 100 กก.เป็ นกากถั่วเหลือง
6.67 กก. เป็ นข้ าวโพด 93.33 กก.
30

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด
กากถั่วเหลือง 6.67 กก. มี TDN = = 5.34 % (6.67 x 0.80)
ข้ าวโพดป่ น 93.33 กก. มี TDN = = 74.66 % (93.33 x 0.80)
รวมส่ วนผสมที่ 1 (กากถั่วเหลืองและข้าวโพดป่ น) 100 กก. มี TDN = 80.00 %
ครั้งที่ 2 หาส่ วนผสมที่ 2 โดยใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด ให้ มีโปรตีน 12% TDN < 74%
SBM 40

4 ส่ วน
12

Hay 8

28 ส่ วน
32

ถ้ าส่ วนผสม 100 กก. ใช้ กากถั่วเหลือง = 12.5 กก. (4 x 100/32 ) มีTDN 10%
ใช้ หญ้ าแห้ ง = 87.5 กก.(28x100/32) มีTDN48.13%
ในส่ วนผสมที่ 2 จานวน 100 กก. มี TDN = 58.13 %

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
หาส่ วนผสมที่ 3 ให้ มี
ส่ วนผสมที่ 1 มี

ส่ วนผสมที่ 2 มี
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 3
ส่ วนผสมที่ 1
ส่ วนผสมที่ 1

TDN >74% โดยใช้ ส่วนผสมที่ 1 และ 2
80
15.87 ส่ วน
74
58.13
6 ส่ วน
ผลรวมส่ วน = 21.87

จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 15.87 กก.
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 1 = 72.57 กก. (15.87 x 100/21.87)
จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 6.67 กก.
จานวน 72.57 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 4.84 กก. (6.67x 0.7257)
มีข้าวโพดป่ น
= 72.57-4.84 = 67.73 กก.

คานวณโภชนะสมดุล 2 กลุ่มใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิด(ต่ อ)
ส่ วนผสมที่ 3 จานวน 21.87 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 6
กก.
ส่ วนผสมที่ 3
100 กก. ใช้ ส่วนผสมที่ 2 = 27.43 กก. (6 x100/ 21.87)
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีกากถั่วเหลือง
= 12.50 x .2743 = 3.43 กก.
ส่ วนผามที่ 2 จานวน 100 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 กก.
ส่ วนผสมที่ 2 จานวน 27.43 กก. มีหญ้ าแห้ ง
= 87.50 x .2743 = 24.00 กก.
ในสู ตรอาหารใช้ กากถั่วเหลือง = 3.43+4.84 = 8.27 กก.
หญ้ าแห้ ง = 24.0 กก.
ข้ าวโพดป่ น =67.73 กก.

ตัวอย่างที่ 5 โคขุนมีนา้ หนัก 250 กก. กินหญ้ าสดอย่างเต็มที่ ความต้ องการโภชนะต่ อวัน
คือ โปรตีน 0.61 กก./ตัว /วัน และ TDN 3.6 กก./ตัว/วัน กาหนดให้ หญ้ าสดมีวตั ถุแห้ ง
24.4% มีโปรตีน 7.38 % ในวัตถุแห้ ง และ TDN 50 % ในวัตถุแห้ ง จะต้ องใช้ หญ้ าสดเลีย้ ง
โคในแต่ ละวันเป็ นจานวนกีก่ โิ ลกรัม
แต่ ละวันต้ องการ TDN จากหญ้ าสด = 3.6 กก.
หญ้ าสดมี TDN 50 กก. จากวัตถุแห้ ง = 100 กก.
TDN 3.6 กก. จากวัตถุแห้ ง = 7.2กก.
วัตถุแห้ งในหญ้ าสด24.4 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด= 100
กก.
ต้ องการวัตถุแห้ ง 7.2 กก. คิดเป็ นหญ้ าสด = 29.51 กก.
ในหญ้ าสด 29.15 กก. มีโปรตีน = 29.15x0.738 = 0.531 กก.
โคกินหญ้ าเต็มที่ได้ TDN เพียงพอแต่ โปรตีนไม่ เพียงพอ ขาด= 0.61-0.531= 0.079 กก.
ถ้ าต้ องการเสริมอาหารข้ นโปรตีน 12% จานวน = 0.658 กก. (0.079x0.12)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 0.774 กก.(อาหารข้ นมีวตั ถุแห้ ง 90%)


Slide 23

วิชา สศ 402
โภชนศาสตร์ และการให้ อาหารโค

บทที่ 9
การจัดการให้ อาหารโค
ในบทนีน้ ักศึกษาจะได้ เรียนรู้ถึงการจัดการในการ
ให้ อาหารโคในระยะต่ างๆของการเจริญเติบโต เพือ่ ให้ ได้ รับโภชนะ
ตามต้ องการ เทคนิคในการให้ อาหารในระยะต่ างๆ การประมาณ
ปริมาณอาหารทีใ่ ช้ ในฟาร์ มและการคานวณสู ตรอาหารเบือ้ งต้น

ให้ อาหารลูกโคแรกเกิดทาอย่ างไร
ลูกโคแรกเกิด: ต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
 เนื่องจาก: จะมีค่าเฉลีย่ โปรตีน ไขมัน วัตถุแห้ ง ไวตามินและแร่ ธาตุสูง
กว่ านา้ นมปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรค (immunoglobulins) สู ง เช่ น
immunoglobulin G (IgG)


ภูมิคุ้มกันโรค :ป้องกันการติดเชื้อต่ างๆ โดยเฉพาะเชื้อโรคติดต่ อทาง
ระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร เช่ นปอดบวมและท้ องร่ วง

ทาไมต้ องกินนมนา้ เหลืองภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด


เนื่องจาก : ส่ วนประกอบต่ างๆในนมนา้ เหลืองจะดูดซึมผ่ านผนังลาไส้
เข้ าไปใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง โดยไม่ ถูกย่ อยจากเอนไซม์
:ผนังลาไส้ ยงั ผลิตเอนไซม์ ในการย่ อยอาหารไม่ ได้ ภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด ส่ วนประกอบในนมนา้ เหลืองจึงดูดซึมไปใช้ ได้ อย่ างมี
ประสิ ทธิภาพทีส่ ุ ด
:ส่ วนประกอบทางโภชนะในนมนา้ เหลืองมีค่าสู งกว่ านมสด เช่ น
โปรตีน ไวตามิน แร่ ธาตุ และมีภูมิคุ้มกันโรค

การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
นมนา้ เหลืองให้ กนิ 8 – 10%ของ
นา้ หนักตัว ไม่ น้อยกว่ า 3 วัน
 ในทางปฏิบัต-ิ สอนให้ ลูกโคกินนม
จากถังแทนการให้ จากขวด
 นมนา้ เหลืองใช้ ไม่ หมดควรเก็บ
รักษา โดยการนาไปแช่ แข็ง หรือ
ทาเป็ นนมนา้ เหลืองหมัก ใช้ เลีย้ ง
ลูกโคตัวอืน่ ได้


การให้ อาหารลูกโคอายุ 4 วันถึงหย่ านม
1. ให้ อาหารแทนนม (milk replacer) 10 %ของนา้ หนักตัว
อาหารแทนนมควรมีโปรตีน 20-22% และไขมันระหว่ าง 10-20%
2. ให้ อาหารข้ นสาหรับลูกโค (calf starter)
3. ให้ หญ้ าแห้ งหรือหญ้ าสดทีม่ ีคุณภาพให้ ลูกโคหัดกิน

หญ้ าแห้ งดีกว่ าหญ้ าสด: เร่ งการกระตุ้นการพัฒนาของกระเพาะรูเมน
: ป้องกันไม่ ให้ มีการถ่ ายมูลเหลว (ท้ องเสี ย)

มีหลักเกณฑ์ ในการเลือกอาหารแทนนมอย่างไร
: ดูแหล่ งโปรตีน ควรเป็ นโปรตีนจากนมหรือผลิตภัณฑ์ นม เช่ นหาง
นม (dried skim milk) หางเนย (dried whey) โปรตีนเข้ มข้ นจาก
หางเนย (whey protein concentrate) และ เคซีน (casein)
: แหล่งโปรตีนจากถัว่ เหลือง เช่ นแป้งถัว่ เหลืองใช้ เป็ นส่ วนผสมใน
อาหารแทนนมได้ แต่ ไม่ ควรใช้ ในส่ วนผสมเกิน 50 %ของโปรตีน
ในนม
 ในระยะลูกโคเล็กไม่ มีเอนไซม์ ย่อยโปรตีนจากถัว่ เหลือง

อาหารข้ นลูกโคควรมีลกั ษณะอย่ างไร
: เป็ นอาหารเม็ด
: มีความน่ ากินสู ง
: มีค่าโภชนะที่ย่อยได้ สูงกว่ า 70%
: มีค่าโปรตีนเฉลีย่ 18 -20 % และไขมันไม่ ต่ากว่า 3%
หลักการให้ อาหารข้ นลูกโค
 ใส่ ในถังอาหารให้ กน
ิ อิสระตลอดเวลา
 อาหารข้ นควรเปลีย่ นใหม่ ทุกวัน
 ไม่ ให้ อาหารเปี ยก หรื อเป็ นเชื้อรา

วิธีการสอนให้ ลูกโคกินอาหารข้ นและอาหารหยาบ



ใช้ มอื กาอาหารข้ นเล็กน้ อยใส่ ปากให้ ทดลองกิน
ทาอาหารข้ นไว้ ทบี่ ริเวณรอบปากหลังจากลูกโคกินนมเสร็จใหม่ ๆ
ผลของอาหารข้ นทีก่ นิ - จุลนิ ทรีย์จะย่ อย ได้ กรดไขมันทีร่ ะเหยง่ าย
เกีย่ วข้ องกับการพัฒนาของ papillae และขนาดกระเพาะรู เมน



อาหารหยาบ: ใช้ หญ้ าที่ทาเป็ นก้ อนเล็กๆใส่ ปากให้ หัดกินเอง

ทาไมต้ องหย่ านมลูกโค
การหย่ านมลูกโค คือ การหยุดให้ ลูกโคกินนม ให้ กนิ แต่ หญ้ าและ
เสริมอาหารข้ น
วิธีการ : หยุดให้ นมทันที หรือ ลดลงวันละ 0.5 กก.
จุดประสงค์ ของการหย่ านม
- กระเพาะรู เมนจะทางานได้ เต็มที่
- สั ตว์เคีย้ วเอือ้ งต้ องกินหญ้ าเป็ นอาหารหลัก
- ประหยัดค่ าอาหาร

เมื่อใดควรหย่ านมลูกโค
เกษตรกรสามารถที่จะหย่ านมลูกโคได้
: เมื่อลูกโคกินอาหารข้ นได้ ไม่ ต่ากว่ า 700 – 1,000 กรัมต่ อวัน
เป็ นเวลาติดต่ อกันนาน 5-7 วัน
: กินหญ้ าสดได้ ไม่ ต่ากว่า 3 กิโลกรัม
: หรือกินหญ้ าแห้ งได้ ไม่ ต่ากว่า 0.5 กิโลกรัมต่ อวัน
 ทั้งนีใ้ นขณะหย่ านมลูกโคควรมีสุขภาพแข็งแรงด้ วย

หลังหย่ านมลูกโคควรให้ อาหารอย่ างไร
ให้ อาหารข้ นประมาณ 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน
 อาหารหยาบทีม
่ ีคุณภาพดี ให้ กนิ อย่ างอิสระตลอดเวลา
 มีแร่ ธาตุเสริมในรู ปแร่ ธาตุก้อน หรื อกระดูกป่ นและเกลือ
 ไม่ ควรให้ อาหารข้ นทีม
่ ยี ูเรียเป็ นแหล่งโปรตีน หรือให้ ฟางหมักยูเรียแก่
ลูกโคทีม่ ีอายุต่ากว่ า 6 เดือน เนื่องจากกระเพาะรูเมนยังพัฒนาไม่ เต็มที่
 กระเพาะยังพัฒนาไม่ เต็มทีใ่ ห้ ยูเรียโคอาจตายได้ ง่าย


การเลีย้ งโคอายุ 6 เดือนถึง 18 เดือน







: ให้ อาหารหยาบกินอย่างเต็มที่
: มีนา้ สะอาดและแร่ ธาตุ ให้ กนิ อิสระ
ตลอดเวลา
: กรณีให้ อาหารหยาบมีคุณภาพต่า
หรือวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร
ควรมีการเสริมไวตามินเอด้ วย
อาหารข้ นทีใ่ ห้ มี NPN เสริมได้
อาหารข้ นควรมีโปรตีนเฉลีย่ 15 %
การเลีย้ งโคสาวในคอกแบบขังรวม

หลักในการให้ อาหารข้ นโคท้ องแรก
: ใช้ body score ในการเพิม่ หรือลดปริมาณอาหารข้ น
 :ให้ อาหารหยาบกินเต็มที่
 : 2 เดือนก่ อนคลอด แยกโคไปรวมฝูงกับแม่ โครีดนม เพือ
่ ฝึ กโคให้
คุ้นเคยกับการรีดนม
 ระยะ 2 เดือนก่ อนคลอดลูกโคในท้ องเจริ ญเติบโตเร็ ว จึงควรดูแลเป็ น
พิเศษ โคควรได้ รับอาหารทีม่ ีความเข้ มข้ นของโภชนะสู งขึน้ กว่ าในระยะ
โคสาวหรือตั้งท้ องระยะแรก


การให้ อาหารโคในระยะรีดนม
แบ่ งออกเป็ น 4 กลุ่มคือ
1.ระยะแรกของการให้ นม (หลังคลอด - ให้ นม 100 วัน)
: ให้ อาหารหยาบคุณภาพดีกนิ อย่ างเต็มที่
: อาหารข้ นโปรตีน 16 % ไม่ ควรให้ เพิม่ ทันทีหลังคลอด แต่ ค่อยๆ
เพิม่ ให้ แก่โคทีละน้ อยไม่ เกิน 0.5 – 1.0 กิโลกรัมต่ อวัน
ระยะนีเ้ ป็ นระยะทีโ่ คต้ องนาโภชนะที่สะสมในร่ างกายมาใช้ เป็ นพลังงานใน
การสร้ างนา้ นม การนาโภชนะที่สะสมมาใช้ เป็ นพลังงาน

การให้ อาหารระยะให้ นม 100 – 200 วัน
2. ระยะให้ นม 100 – 200 วัน (ผ่ านระยะการให้ นมสู งสุ ดมาแล้ ว)
- การให้ นมอยู่ในสภาพคงทีร่ ะยะหนึ่งก่ อนแล้ วจึงเริ่มทีจ่ ะลดลง
- เป็ นระยะที่ตัวอ่อนเริ่มมีการพัฒนาอีกครั้งหนึ่ง


การให้ อาหาร :ให้ อาหารหยาบทีม่ คี ุณภาพให้ กนิ เต็มที่
: ปริมาณอาหารข้ นทีใ่ ห้ ควรลดลงจากระยะหลังคลอด หรื อ
ให้ อาหารตามปริมาณการให้ นม

ให้ อาหารในระยะให้ นม 200 – 305 วัน
3. ระยะให้ นม 200 – 305 วัน
 ระยะนีป
้ ริมาณนา้ นมทีผ่ ลิตลดลง
 ลูกโคเจริญเติบโตเพิม
่ ขึน้
 แม่ โคจึงมีความต้ องการอาหารเพือ
่ การเจริญเติบโต (กรณีโคท้ องแรก)
เพือ่ ดารงชีพ เพือ่ ให้ นม และเพือ่ การเติบโตของลูกในท้ อง
การให้ อาหาร : อาหารหยาบควรเป็ นอาหารทีม่ ีคุณภาพ
: ให้ อาหารข้ นให้ ตามปริมาณการให้ นม เช่ นเดียวกับในระยะให้
นม 100-200 วัน โปรตีนอาหารข้ น 16 %

ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
4. ระยะโคพักรีดนม(โคดราย)
: เป็ นระยะที่โคมีการสะสมไขมันในร่ างกาย
: ซ่ อมแซมส่ วนทีส่ ึ กหรอก่ อนการให้ นมครั้งต่ อไป

การให้ อาหาร: ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างเพียงพอ (อาหารข้ นให้
ประมาณ 1.0 – 2.0 กิโลกรัมต่ อวัน)
: ให้ ตรวจค่ าคะแนนความสมบูรณ์ ของร่ างกาย
ไม่ ให้ โคอ้วนเกินไป (คะแนนมากกว่ า 4) จะมีปัญหาการคลอดยาก

การคานวณสู ตรอาหารและการให้ อาหารโค
อาหารโค แตกต่ างจากอาหารสุ กร และสั ตว์ ปีก
เนื่องจากโคมีจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะ ที่ช่วยในการย่ อยอาหาร จึงแบ่ ง
ประเภทของอาหารเป็ น 2 ประเภท คือ
 อาหารหยาบ และ อาหารข้ น ที่มีความแตกต่ างกันทาง
องค์ ประกอบทางเคมี และลักษณะทางกายภาพอย่ างเห็นได้ ชัด
โดยเฉพาะปริมาณความชื้นที่มีในอาหาร
โดยทั่วไปมีหลักการในการคิดคานวณหรือการให้ อาหาร 3 แบบคือ
 As fed basis, air dry basis , dry matter basis

As fed basis, air dry basis , dry matter basis
As fed basis : อาหารที่อยูใ่ นรู ปสด ยังมีความชื้นตามสภาพเป็ นจริ ง
 Air dry basis : อาหารที่มีความชื้นเท่ากับสภาพบรรยากาศ
 อาหารผ่านการทาให้แห้งมาแล้ว
 Dry matter basis : อาหารที่ไม่มีความชื้นอยูเ่ ลย
ปริ มาณสิ่ งแห้งในอาหาร(Dry matter) มีความสาคัญต่อโคมาก
เพราะเป็ นส่ วนที่บอกถึงปริ มาณโภชนะที่โคจะได้รับจริ งในแต่ละ
วันว่าเพียงพอหรื อไม่


การให้ อาหาร
 อาจให้ ตามปริ มาณสิ่ งแห้ ง หรื อให้ ตามความต้ องการ

การให้ ตามปริมาณสิ่ งแห้ งในอาหาร มีคาศัพท์ คอื
 dry matter intake, DMI = ปริ มาณสิ่ งแห้ งที่กน

 Voluntary feed intake = จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ โดยที่สัตว์ มีกนิ
อย่ างอิสระตลอดเวลา
 ad libitum feeding =จานวนอาหารที่ให้ กน
ิ มากกว่าความต้ องการ
อย่ างน้ อย 10% ทุกวันมีการเอาอาหารเก่ าออกละอาหารใหม่ เข้ า

การให้ ตามความต้ องการโภชนะ
 โดยทั่วไปให้ ตามมาตรฐาน NRC (National research Council)

เป็ นระบบของสหรัฐอเมริกา และ ระบบมาตรฐาน ARC
(Agricultural research Council) เป็ นระบบของอังกฤษ

 มาตรฐานการให้ อาหาร คือตารางแสดงจานวนหรื อ ปริ มาณ

โภชนะแต่ ละตัวที่จาเป็ นสาหรับสั ตว์ตามประเภท ชนิดสั ตว์ อายุ
และเพศ รวมทั้งระยะการให้ ผลผลิต

มาตรฐานอาหารสั ตว์




ประเทศไทยไม่ มีมาตรฐานของตัวเอง ปกตินิยมใช้
มาตรฐานตาม NRC
มีข้อจากัดคือ ส่ วนใหญ่ ค่าที่แสดงเป็ นค่ าเฉลี่ยที่แตกต่ างกัน
ไปในแต่ ละท้ องถิ่น และเหมาะสมกับบางที่ นอกจากนีไ้ ม่
บอกว่ าอาหารมีความน่ ากิน และสั ตว์ จะกินอาหารชนิดนั้น
หรือไม่

ทาไมต้ องรู้ปริมาณอาหารทีส่ ั ตว์ กนิ
- เตรียมอาหารให้ โคได้ กนิ ตามต้ องการ
 - นาข้ อมูลไปคานวณเพือ่ เตรี ยมเงินทุน
 - เตรียมสถานที่ในการเก็บรักษาอาหาร
 - ไม่ มีปัญหาเรื่องการขาดอาหาร ทีท
่ าให้ มีผลต่ อการเจริญเติบโตและการ
ให้ ผลผลิต
 ในแต่ ละวันสามารถประมาณปริมาณอาหารทีโ่ คกินในรู ปวัตถุแห้ งได้ โดย
คานวณจากค่ าเฉลีย่ นา้ หนักตัว หรืออายุโค


ตัวอย่ างคานวณปริมาณอาหารที่กนิ
1. คิดความต้ องการตามนา้ หนักตัว
1.1 การให้ อาหารหยาบอย่ างเดียว
ถ้ าโคมีนา้ หนัก 500 กก. กิน 3% นา้ หนักตัว

ปริมาณการกินอาหาร(DM) = 15 kg.DM/ วัน ( 500x3/100)
เนื่องจากไม่ มอี าหารหยาบที่มวี ตั ถุแห้ ง 100 %
จึงต้ องรู้ เปอร์ เซ็นต์ ความชื้นในอาหารหยาบที่กนิ
โดยทั่วไป: อาหารหยาบสดเช่ นหญ้ าสดมีวตั ถุแห้ งเฉลีย่ 20 %

ปริมาณหญ้ าสดที่โคต้ องกินต่ อวัน = 75 กก./วัน (15x100/20)

มีสัดส่ วนอาหารหยาบและอาหารข้ น
1.2 มีสัดส่ วนอาหารข้ นและอาหารหยาบ = 1:2
โคมีนา้ หนักตัว 500 กก. กินอาหาร 3% นา้ หนักตัว
เป็ นอาหารข้ น 5 kg.DM ( 1x500/100)
อาหารหยาบ 10 kg.DM (2x500/100)
คิดเป็ นอาหารข้ น = 5.56 กก. ( 5x100/90)
เป็ นอาหารหยาบ = 50 กก.(10x100/20)

2. กรณีลูกโคก่ อนหย่านม
ให้ ลูกโคกินอาหารแทนนมวันละ 4 กก. มีระยะหย่ านม 90 วัน
 อาหารแทนนมทีต
่ ้ องใช้ เลีย้ ง= 360 กก.
คิดเป็ นอาหารแทนนม 40 กก. (อัตราส่ วน 1:8 คิดเป็ น 360/9 )
 ให้ อาหารหยาบ และอาหารข้ นอย่ างละ 1 % นา้ หนักตัว
ถ้ าลูกโคมีนา้ หนักตัว 50 กก.
 ต้ องให้ อาหารข้ น และ อาหารหยาบ อย่ างละ 0.5 กก.ต่ อวัน(DM)
ลูกโคก่อนหย่ านม ให้ กนิ อาหารแทนนม, อาหารข้ นลูกโค, อาหารหยาบ

คานวณอาหารลูกโค(ต่ อ)




คิดเป็ นอาหารข้ นลูกโค 0.55 กก./วัน
คิดเป็ นหญ้ าแห้ งทีต่ ้ องให้ ลกู โคกินต่ อวัน 0.55 กก./วัน
สามารถคานวณปริมาณหญ้ าแห้ ง และอาหารข้ นทีใ่ ช้ เลีย้ งลูกโคจากแรก
เกิดจนกระทัง่ หย่านมเป็ นเวลา 90 วัน
ต้ องใช้ หญ้ าแห้ ง และอาหารข้ น อย่ างละ = 49.5 กก.( 0.55x90)
อาหารแทนนมที่ใช้ = 40 กก.

รูปแบบในการให้ อาหารโค
การให้ อาหารโคแบ่ งออกเป็ น 2 รูปแบบ คือ
1.แบบให้ อาหารหยาบแยกจากอาหารข้ น ซึ่งเป็ นวิธีที่เกษตรกรนิยมใช้
2.แบบอาหารหยาบผสมรวมกับอาหารข้ น (total mixed ration, TMR หรือ
complete feeding)
 ทราบรู ปแบบการให้ อาหารช่ วยให้ คานวณสู ตรอาหารได้ ถูกต้ องตาม
ความต้ องการ

การคานวณสู ตรอาหารต้ องรู้อะไรบ้ าง



ต้ องทราบความต้ องการโภชนะต่ อวันต่ อตัวของสั ตว์ แต่ ละชนิด อายุ
ระยะการเจริญเติบโต ใช้ ตารางมาตราฐานตาม NRC (national
research council) หรือ แบบ ARC ( agricultural research council)
ทราบชนิดวัตถุดิบอาหารสั ตว์ และองค์ประกอบทางเคมี ทีใ่ ช้



ทราบวิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร



วิธีการในการคานวณสู ตรอาหาร
1.
2.

3.
4.

การคานวนโดยใช้ หลักพีชคณิต เป็ นการตั้งสมการ
การคานวนด้ วยวิธีใช้ รูปสี่ เหลีย่ ม
การใช้ ตารางคานวนแบบลองผิดลองถูก
การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ excel

การย่ อยในกระเพาะรวม


ตัวอย่ างที่ 1 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มโี ปรตีน16 % ใช้ ราละเอียด (RB) และกากถั่ว
เหลือง (SBM) เป็ นส่ วนประกอบปริมาณเท่ าใด

กาหนดให้ : ราละเอียดมีโปรตีน 10% และกากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
 ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
ให้ ใช้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 100 กก.
ราละเอียดต้ องใช้ = 100 – X กก.


จากโจทย์ :ในอาหาร 100 กก.

ต้ องการโปรตีน 16 % หรือ 16 กก.

คานวณสู ตรอาหารใช้ วตั ถุดบิ 2 ชนิด(ต่ อ)











โปรตีนของ SBM + RB = 16
0.45X + ( 100 – X ) ( 0.10 ) = 16
0.45X + 10 - 0.10X = 16
0.45X - 0.10X = 6
0.35X = 6
X = 17.14
ต้ องใช้ กากถั่วเหลือง = 17.14 กก.
และใช้ ราละเอียด 100 - 17.14 = 82.86 กก.

การคานวณแบบ Pearson’s square
ขั้นตอน:
 กาหนดรู ปสี่ เหลีย่ มลากเส้ นทแยงมุม
 ใส่ ค่าโปรตีนในวัตถุดิบทีม
่ ุมด้ านซ้ ายของสี่ เหลีย่ ม
 ใส่ ค่าโปรตีนทีต
่ ้ องการตรงกลางรูปสี่ เหลีย่ ม
 ลบตัวเลขตามเส้ นทแยงมุม ให้ ใช้ ค่ามากเป็ นตัวตั้ง

การคานวณแบบ Pearson’s square





5.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมบนขวาคือสั ดส่ วนของวัตถุดบิ ทีม่ ุมบนซ้ าย
6.ค่ าทีไ่ ด้ ทมี่ ุมลางขวาคือค่าวัตถุดบิ ทีม่ ุมล่างซ้ าย
7.รวมตัวเลขทางขวามือคือสั ดส่ วนทั้งหมดในอาหารผสม
8.เทียบสั ดส่ วนเป็ นร้ อยละ
ราละเอียด 10

16

กากถั่วเหลือง 45
35


29

สั ดส่ วนของราละเอียด

6

สั ดส่ วนของกากถั่วเหลือง
สั ดส่ วนของอาหารผสม

คิดเป็ นกากถั่วเหลือง =17.14 และราละเอียด =82.86 กก.

การทาตารางตรวจสอบผล
ชนิดวัตถุดบิ

จานวน(กก.)

โปรตีนในวัตถุดบิ โปรตีนในอาหาร

ราละเอียด

82.86

10

8.29

กากถัว่ เหลือง

17.14

45

7.71

รวม

100

16

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด
ตัวอย่างที่ 2 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 16 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก.
ข้ าวโพดป่ น 10 กก. ไวตามินและแร่ ธาตุรวม 5 กก. จะต้ องใช้ ราสกัดนา้ มัน (RM)
และกากถั่วเหลือง (SBM) เท่ าใด
ราสกัดนา้ มันมีโปรตีน 14% กากถั่วเหลืองมีโปรตีน 45%
หญ้ าแห้ งมีโปรตีน 6%
ข้ าวโพดป่ นมีโปรตีน 10%
ไวตามินและแร่ ธาตุรวมมีโปรตีน 0%
ใช้ วธิ ีคณิตศาสตร์
 ปริมาณราสกัดฯและกากถั่วเหลือง = 100 – ผลรวมของวัตถุดบ
ิ ทีก่ าหนด
= 100 - ( 20 + 10 + 5 )
= 65 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด



กาหนดให้ กากถั่วเหลือง = X กก. ในอาหาร 65 กก.
ดังนั้น ราสกัดน้ามัน = 65 – X กก.
โปรตีนทีต่ ้ องการ= 16 %
หาโปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนดคือ หญ้ าแห้ งบด+ข้ าวโพดป่ น+ไวตามินฯ
โปรตีนในวัตถุดบิ ทีก่ าหนด = 1.2+0.1+0 = 1.3 กก.



ต้ องการโปรตีนอีก= 16-1.3 (14.7) ในอาหารผสมทีม่ ีราสกัดและกากถั่ว






ใช้ วตั ถุดบิ >2 ชนิดและกาหนดปริมาณวัตถุดบิ บางชนิด









อาหารผสม 65 กก. ต้ องมีโปรตีน = 14.7 กก.
0.45x + (65-x)0.14
= 14.7
0.45x+ 9.1- 0.14x
= 14.7
0.31x
= 5.6
x
= 18.06
กากถัว่ เหลือง = 18.06 กก.
ราสกัดนา้ มัน = 65-18.06= 46.94 กก.

ใช้ วตั ถุดบิ > 2 ชนิดมีการกาหนดปริมาณและสั ดส่ วน
ตัวอย่างที่ 3 ผสมอาหาร 100 กก. ให้ มีโปรตีน 14 % ใช้ หญ้ าแห้ งบด 20 กก. รา
ละเอียดและข้ าวโพดป่ นในอัตราส่ วน 60 : 40 และกากฝ้ าย จงหาปริมาณของ
ราละเอียด ข้ าวโพดป่ นและกากฝ้ ายในอาห