กรอบความรู้

Download Report

Transcript กรอบความรู้

สื่อประกอบการเรี ยนรู้
หน่ วยการเรี ยนรู้ ชีวติ มนุษย์ และสัตว์
นางรุ่ งทิพย์ วงค์ ภูมี
ตาแหน่ งครู วิทยฐานะครู ชานาญการ
โรงเรี ยนเวียงคาวิทยาคาร
สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 21
กรอบ
ความรู้
ระบบยอยอาหารของมนุ
ษย ์
่
ตามปกติอาหารทีค
่ นเรากินเขาไปส
้
่ วนใหญร่ างกายจะ
่
ไมสามารถดู
ดซึมไปยังเซลลต
ๆ ไดในทั
นที
่
่
้
์ าง
เนื่องจากอาหารยังมีอนุ ภาคขนาดใหญอยู
รางกาย
่ ่
่
จะตองย
อยอาหารเหล
านี
้ ห้มีอนุ ภาคเล็กลง
โดย
้
่
่ ใ
ให้อยูในรู
ปของสารอาหารกอน
จึงจะสามารถดูดซึม
่
่
เขาสู
อยางไรก็
ตามสารอาหารทีค
่ นเรากิน
้ ่ เซลลได
่
์ ้
เขาไปมี
หลายประเภท
เช่น
โปรตีน
้
คารโบไฮเดรต
ไขมัน
เป็ นตน
ซึ่ง
้
์
สารอาหารเหลานี
้ ส
ี มบัตแ
ิ ละขนาดของอนุ ภาค
่ ม
แตกตางกั
น
จึงทาให้มีผลตอการดู
ดซึมไปยังเซลล ์
่
่
ตาง
ๆ แตกตางกั
น
ขนาดอนุ ภาคของสารอาหาร
่
่
มีผลตอการดู
ดซึมไปยังเซลลแตกต
างกั
น
จากการ
่
่
์
ทดลอง ในบัตรกิจกรรมที่ 1 นักเรียนจะเห็ นไดว
้ า่
ในของเหลวทีน
่ ามาทดสอบตรวจพบอนุ ภาคของ
น้าตาลกลูโคส
แสดงวา่
อนุ ภาคของน้าตาล
กลูโคสมีขนาดเล็กกวาแป
่ ้ งและเล็กกวารู
่ ของกระดาษ
เซลโลเฟน
จึงสามารถลอดผานรู
กระดาษออกมา
่
ได้
ส่วนอนุ ภาคของแป้งไมพบในของเหลวเลย
่
แสดงวา่ อนุ ภาคของแป้งมีขนาดใหญกว
่ าน
่ ้าตาล
กลูโคสและใหญว่ ารู
จึงไม่
่ ของกระดาษเซลโลเฟน
สามารถลอดผานออกมาได
่
้
ถาเปรี
ยบกระดาษเซลโลเฟนเป็ นเยือ
่ หุ้ม
้
กรอบ
ความรู้
อวัยวะและกลไกการยอยอาหาร
่
นักเรียนคงทราบมาแลวว
เมือ
่ เรากินอาหารเขาไป
้ า่
้
อาหารนั้นจะถูกบดเคีย
้ วและยอยให
่
้มีอนุ ภาคเล็กลง
โดยกลไกการทางานของอวัยวะตาง
ๆ
ภายใน
่
รางกาย
จากนั้นรางกายก็
จะดูดซึมและลาเลียงไป
่
่
ยังเซลลต
ๆ ทัว่ รางกาย
กลไกทีท
่ าให้อาหารที่
่
่
์ าง
กินเขาไปซึ
่งมีอนุ ภาคใหญให
่ ุด
้
่ ้มีขนาดอนุ ภาคเล็กทีส
พอทีจ
่ ะดูดซึมและลาเลียงไปยังเซลลต
ๆ ไดนั
่
้ ้น
์ าง
เรียกวา่ การยอยอาหาร
( Digestion )
่
การยอยอาหารของคนเราประกอบด
วย
2
่
้
กระบวนการคือ
1. การยอยเชิ
งกล เป็ นการเปลีย
่ นแปลง
่
อาหารให้มีอนุ ภาคเล็กลง
โดยการบดเคีย
้ วของฟัน
2. การยอยเชิ
งเคมี
เป็ นการเปลีย
่ นแปลง
่
อาหารให้มีอนุ ภาคเล็กลง โดยอาศั ยเอนไซมหรื
์ อ
น้ายอย
่
ในกลไกการยอยอาหารนั
้น
อาหารจะผาน
่
่
อวัยวะทีเ่ ป็ นทางเดินอาหารซึ่งประกอบดวย
ปาก
้
หลอดอาหาร
กระเพาะอาหาร
ลาไส้เล็ก และ
ลาไส้ใหญ่ นอกจากนีย
้ งั มีอวัยวะอืน
่ ๆ อีกทีม
่ ส
ี ่ วน
กรอบ
ความรู้
รูปที่ 3 แสดงตาแหน่งอวัยวะตาง
ๆ ทีเ่ กีย
่ วกับ
่
ทางเดินอาหาร
ทีม
่ า
:
ยุพา
หนังสื อเรียน รายวิชาพืน
้ ฐาน
วิทยาศาสตร ์
กรุงเทพฯ
:
หน้า 8.
วรยศ
และคณะ.
ชัน
้ มัธยมศึ กษาปี ท ี่ 2
เลม
่ 1.
อักษรเจริญทัศน,์ ม.ป.ป.
กรอบ
ความรู้
การยอยอาหารในปาก
่
การยอยอาหารของคน
เริม
่ ตัง้ แตในปาก
่
่
คือ เมือ
่ อาหารเขาปาก
ฟันจะทาหน้าทีต
่ ด
ั ฉี กและบด
้
เคีย
้ วอาหารให้มีขนาดเล็กลง
โดยมีลน
ิ้ ทีค
่ ลุกเคลา้
อาหารให้ผสมกับน้าลาย ซึ่งน้าลายทีผ
่ ลิตจากตอม
่
น้าลายใตหู
ใตลิ
้
และใตขากรรไกรล
าง
จะ
้
้ น
้
่
ช่วยให้อาหารลืน
่ ออนนุ
ย
้ วและการ
่
่ ม สะดวกตอการเคี
่
กลืน
นอกจากน้าลายจะช่วยให้อาหารลืน
่ แลวน
้ ้าลายยังมี
หน้าทีอ
่ น
ื่ อีก
ซึ่งนักเรียนไดศึ
้ กษาจากบัตรกิจกรรมที่
3 พบวา่ นักเรียนตรวจพบน้าตาลในของเหลว ทัง้ ๆ
ทีก
่ ารทดลองนีไ
้ มได
่ ใส
้ ่ น้าตาลในถุงกระดาษเซลโลเฟน
และในน้าทีแ
่ ช่ถุงกระดาษ
และเมือ
่ ตรวจสอบน้าลาย
และแป้งทีละอยางโดยหยดสารละลายเบเนดิ
กตลงไป
่
์
ก็พบวาไม
มี
่ นแปลงเกิดขึน
้
แสดงวาทั
่
่ การเปลีย
่ ง้ ใน
น้าตาลและแป้งไมมี
ดังนั้นจึงยืนยันไดว
่ น้าตาลอยู่
้ า่
น้าตาลทีต
่ รวจสอบพบเกิดจากปฏิกริ ย
ิ าระหวางน
้าลาย
่
และแป้ง
ทัง้ นีเ้ นื่องจากน้าลายจะเปลีย
่ นแป้งทีม
่ ี
อนุ ภาคขนาดใหญให
น้าตาล
่ ้แป้งมีโมเลกุลเล็กลงและ
จึงสามารถลอดผานรู
เซลโลเฟนไดการเปลี
ย
่ นแป้งซึ่งเป็ น
่
้
สารทีม
่ อ
ี นุ ภาคใหญให
่ อ
ี นุ ภาคขนาด
่ ้กลายเป็ นน้าตาลทีม
เล็กดังกลาวนี
เ้ รียกวา่ การยอย
่
่
นักเรียนจะเห็ นไดว
้ า่
นอกจากน้าลายจะทา
กรอบ
ความรู้
ตอมน
้าลาย
่
น้าลายจากตอมน
้าลายมี 3 คู่ ไดแก
้าลายใต้
่
้ ่ ตอมน
่
ลิน
้ 1 คู่ ตอมน
าง
้าลายใกลขากรรไกรล
่
้
่ 1 คู่ และตอม
่
น้าลายใตกกหู
1 คู่ ตอมน
้าลายจะผลิตน้าลายได้
้
่
ประมาณวันละ 1 – 1.5 ลิตร
รูปที่ 4 แสดงลักษณะของลิน
้
ทีม
่ า
:
http://talung.pt.ac.th/ptweb/studentweb/body/
arweb/c4/c41.jpg
2554
สื บคนวั
้ นที่ 16 เมษายน
กรอบ
ความรู้
อวัยวะทางเดินอาหาร
*เอ็นไซม(enzyme)
เป็ นสารประกอบประเภทโปรตีน ซึ่ง
์
สิ่ งมีชวี ต
ิ สรางขึ
น
้ เพือ
่ เป็ นตัวเรง่ (catalyst)ในปฏิกริ ย
ิ า
้
ทีเ่ กิดขึน
้
ในการยอยแป
นั
้ อยูกั
่
้ งดวยเอนไซม
้
่ บภาวะที่
์ ้นขึน
เหมาะสม โดยปกติน้าลายจะ
มี pH 6.4 - 7.2 ซึ่งเป็ นภาวะทีเ่ อนไซมท
้
์ างานไดดี
นอกจากนีเ้ อนไซมยั
ทีอ
่ ุณหภูม ิ
้
์ งทางานไดดี
ใกลเคี
เอนไซมส
้ ยงกับรางกาย
่
่ กทาลายที่
์ ่ วนใหญถู
อุณหภูมป
ิ ระมาณ 100 องศาเซลเซียส อยางไรก็
ตามมี
่
เอนไซมหลายชนิ
ดถูกทาลายไดที
่ ุณหภูมต
ิ า่ กวา่ 100
้ อ
์
องศาเซลเซียส
คอหอย เป็ นทางผานของอาหาร
ซึ่งไมมี
่
่ การยอย
่
ใด ๆ ทัง้ สิ้ น
หลอดอาหาร ทอล
ง
่ าเลียงอาหารอยูด
่ านหลั
้
ของหลอดลมและทะลุกระบังลมไปตอกั
่ บปลายบนของ
กระเพาะอาหาร ทาหน้าทีล
่ าเลียงอาหารทีเ่ คีย
้ วแลวลง
้
สู่กระเพาะอาหาร โดยการบีบรัดของผนังกลามเนื
อ
้
้
กรอบ
ความรู้
จากกิจกรรมการทดลองนักเรียนจะเห็ นไดว
้ า่
ดินน้ามันกอนใหญ
เมือ
่ ตัดให้เป็ นกอนเล็
กๆ
้
่ 1 กอน
้
้
หลายๆ กอน
จะทาให้มีพน
ื้ ทีร่ วมของกอนดิ
นน้ามัน
้
้
เพิม
่
มากขึน
้ กอนดิ
นน้ามันทีม
่ ี
้
ขนาดเล็กลงๆ
จะมีพน
ื้ ทีห
่ น้าตัดเพิม
่ มากขึน
้
จึงทา
ให้มีโอกาสสั มผัสกับสิ่ งตางๆ
เช่น
อากาศไดมากขึ
น
้
่
้
ในการกินอาหารก็เช่นเดียวกัน
เหตุทเี่ ราตองเคี
ย
้ วอาหารให้ละเอียดก็เพือ
่ เพิม
่ เนือ
้ ทีข
่ อง
้
ชิน
้ อาหาร
ทาให้มีโอกาสสั มผัสกับเอนไซมในน
้าลาย
์
มากทีส
่ ุด
มีผลทาให้การยอยอาหารเป็
นไปอยาง
่
่
รวดเร็ว
และมีประสิ ทธิภาพมากทีส
่ ุด
การยอยอาหารในกระเพาะอาหาร
่
การหดตัวเเละคลายตัวของกลามเนื
อ
้ หลอดอาหารทา
้
ให้อาหารเคลือ
่ นทีเ่ ขาสู
้ ่ กระเพราะอาหาร
รูปที่ 7 แสดงการเคลือ
่ นทีข
่ องอาหารผานหลอดอาหารสู
่
่
กระเพราะอาหาร
กรอบ
ความรู้
กระเพาะอาหาร ( Stomach ) เป็ นอวัยวะ
เกีย
่ วกับทางเดินอาหาร อยูใต
งลมทางดานบนซ
่ กะบั
้
้
้าย
ของช่องทอง
ขณะทีไ่ มมี
กระเพาะ
้
่ อาหารอยู่
อาหารของคนเราจะมีขนาดประมาณ 50 ลูกบาศก ์
เซนติเมตร แตสามารถขยายขนาดได
อี
่
้ ก10-40 เทา่
เมือ
่ มีอาหารกระเพาะอาหารประกอบดวยผนั
งหลายชัน
้
้
ชัน
้ ในสุดมีตอมสร
างน
ซึ่งมีเอนไซมเพปซิ
้ายอยอาหาร
่
้
่
์
นเเละกรดไฮโดรคลอริก เป็ นส่วนประกอบ
ขณะที่
กระเพาะอาหารวาง
หรือมีการเคีย
้ วอาหาร กระเพาะ
่
อาหารจะสรางเอนไซม
เพปซิ
น และกรดไฮโดรคลอริก
้
์
ออกมาเล็กน้อย แตเมื
่ อาหารเคลือ
่ นลงสู่กระเพาะ
่ อ
อาหารแลว
กระเพาะอาหารก็จะสรางเอนไซม
และ
้
้
์
กรดไฮโดรคลอริกมากขึน
้ เพือ
่ ช่วยในการยอยอาหาร
่
รูปที่
8 แสดงตาแหน่งและโครงสรางของกระเพาะ
้
อาหาร
กรอบ
ความรู้
สาหรับกรดไฮโดรคลอริกทีป
่ ลอยออกมา
่
ใหมๆ่
มีความเขมข
สามารถทาลายเนือ
้ เยือ
่
้ นมาก
้
ตางๆ
ภายในรางกายได
จ
้ ะไมเป็
่
่
้ แตกรดนี
่
่ นอันตรายตอ
่
กระเพาะอาหาร
เนื่องจากกรดไฮโดรคลอริกจะ
รวมกับอาหารทีอ
่ ยูในกระเพาะอาหาร
ทาให้กรดมีฤทธิ ์
่
เจือจางลง นอกจากนีผ
้ นังเซลลซึ
์ ่งบุกระเพาะยังสร้างน้า
เมือกฉาบไวด
าให้กรด
ไมสามารถ
้ วยท
้
่
ทาลายผนังกระเพาะอาหารได้ อยางไรก็
ตาม บางครัง้
่
การทางานของกระเพาะอาหารไมเป็
่ นไปตามปกติ
โดยปกติจะปลอยน
ไ่ มมี
้ายอยออกมาขณะที
่
่
่ อาหาร
น้ายอยจะไปท
าลายผนังกระเพาะอาหารทาให้เกิดเป็ น
่
แผล
ถาเป็
้ นมากจะมีอาการเจ็บปวดมาก และมี
อุจจาระสี ดา
ส่วนเอนไซมเฟปซิ
นในกระเพาะอาหารจะทา
์
หน้าทีย
่ อยโปรตี
นให้มีขนาดเล็กลง แตก็
่ ุด
่
่ ยงั ไมเล็
่ กทีส
พอทีร่ างกายจะสามารถดู
ดซึมเขาสู
ดังนั้น
่
้ ่ เซลลได
์ ้
สารอาหารประเภทโปรตีนจะถูกส่งไปยังลาไส้เล็กเพือ
่
ยอยต
อไป
่
่
นักเรียนจะสั งเกตเห็ นไดว
สารอาหาร
้ า่
ประเภทคารโบไฮเดรตและไขมั
นจะ ไมมี
่ การยอยสลาย
่
์
ในกระเพาะอาหาร
ทัง้ นีเ้ นื่องจากในกระเพาะอาหารมี
สภาพความเป็ นกรด จึงไมมี
่ าหน้าทีย
่ อย
่ เอนไซมที
่
์ ท
อาหารทัง้ สองประเภทนี้
หรือมีปริมาณน้อย จึงไม่
สามารถทางานไดดังนั้นสารอาหารประเภท
กรอบ
ความรู้
การยอยอาหารในล
าไส้เล็ก
่
อาหารทีผ
่ านการย
อยจากกระเพาะอาหารแล
วจะเคลื
อ
่ นที่
่
่
้
เขาสู
ลาไส้เล็ก
(Small intestine) โดยการ
้ ่
ทางานของกลามเนื
อ
้ กระเพาะอาหารและกลามเนื
อ
้ หูรด
ู
้
้
ลาไส้เล็กมีลก
ั ษณะเป็ นทอยาวประมาณ
7 เมตร ขด
่
อยูในช
ทีผ
่ นังดานในของล
าไส้เล็กมีลก
ั ษณะ
่
่ องทอง
้
้
ไมเรี
่ ออกมา
่ ยบเป็ นปุ่มปมเล็กๆ จานวนมากมายยืน
เพือ
่ เพิม
่ เนือ
้ ทีผ
่ วิ ในการสั มผัสกับอาหาร ช่วยให้อาหาร
ถูกยอยได
เร็
้
่
้ วขึน
รูปที่ 9 แสดงตาแหน่งและลักษณะภายในของลาไส้เล็ก
ทีม
่ า
:
กรอบ
ความรู้
การยอยอาหารในล
าไส้เล็กเกิดจากการทางานรวมกั
น
่
่
ของเอนไซมหลายชนิ
ด
จากแหลงต
ๆ ไดแก
่ าง
่
้ ่
์
ผนังลาไส้เล็ก
ตับออน
และตับ
่
ผนังลาไส้เล็ก ทาหน้าทีส
่ รางเอนไซม
หลายชนิ
ด
้
์
แตละชนิ
ดมีหน้าทีย
่ อยอาหารต
างกั
น
ไดแก
่
่
่
้ ่
ซึ่ง
1. เอนไซมมอลเทส
ทาหน้าทีช
่ ่ วยยอย
่
์
น้าตาลมอลโทสให้เป็ นน้าตาลกลูโคส
2. เอนไซมซู
ทาหน้าทีช
่ ่ วยยอยน
้าตาล
่
์ เครส
ซูโครสให้เป็ นน้าตาลกลูโคสและฟรักโทส
3. เอนไซมแล็
ทาหน้าทีช
่ ่ วยยอยน
้าตาล
่
์ กเทส
แล็กโทสในเป็ นน้าตาลกลูโคส
และกา
แล็กโทส
4. เอนไซมอิ
์ เรพซิน
ในเป็ นกรดอะมิโน
ทาหน้าทีย
่ อยโปรตี
นโมเลกุลยอย
่
่
ตับออน
ทาหน้าทีส
่ รางเอนไซม
หลายชนิ
ดแลวส
่
้
้ ่ งไปยัง
์
ลาไส้เล็ก
ซึ่งแตละชนิ
ดมีหน้าทีย
่ อยอาหารแตกต
าง
่
่
่
กัน
ไดแก
้ ่
1. เอนไซมไลเพส
ทาหน้าทีย
่ อยไขมั
นให้เป็ น
่
์
กรดไขมันและกลีเซอรอล
2. เอนไซมอะไมเลส
์
น้าตาลมอลโทส
3. เอนไซมทริปซิน
ทาหน้าทีย
่ อยแป
่
้ งให้เป็ น
ทาหนาทีย
่ อยโปรตีน
กรอบ
ความรู้
รูปที่ 10 แสดงลาไส้เล็ก
ทีม
่ า
ตับออน
่
น้าดี
ตับ
และถุง
: http://www.thaigoodview.com/files/u4620/
12_clip_image002_0002.jpg
16 เมษายน 2554
สื บคนวั
้ นที่
นักเรียนจะเห็ นไดว
การยอยอาหารที
ล
่ าไส้เล็ก
มี
้ า่
่
เอนไซมหลายชนิ
ดช่วยในการยอย
ทัง้ นีเ้ พราะลาไส้
่
์
เล็กจะมีการยอยอาหารประเภทโปรตี
นตอจากที
ย
่ อย
่
่
่
มาแลวครัง้ หนึ่งในกระเพาะอาหาร
ยอยสารอาหาร
กรอบ
ความรู้
จึงสรุปไดว
ทัง้ สารอาหารประเภทโปรตีน
้ า่
คารโบไฮเดรต
และไขมันจะถูกยอยอย
างสมบู
รณที
่
่
์
์ ่
ลาไส้เล็ก
จนไดขนาดอนุ
ภาคทีเ่ ล็กทีส
่ ุด
และ
้
สามารถดูดซึมผานผนั
งลาไส้เล็กเขาสู
่
้ ่ หลอดเลือด
จากนั้นจะถูกส่งไปเลีย
้ งส่วนตางๆ
ของรางกายได
่
่
้
ส่วนกากอาหารทีเ่ หลือจากการยอยและย
อยไม
ได
่
่
่ ้
เช่น
เซลลูโลส
จะเคลือ
่ นไปยังลาไส้ใหญ่
ลาไส้ใหญ่
( Large intestine ) เป็ นทางเดินอาหาร
ส่วนสุดทายต
อจากล
าไส้เล็ก
มีความยาวประมาณ
้
่
1.5 เมตร
ทีผ
่ นังลาไส้ใหญจะไม
มี
่
่ การยอยอาหาร
่
แตจะมี
การดูดซึมน้า
แรธาตุ
วิตามินบางชนิด
่
่
และกลูโคส
ออกจากกากอาหารกลับเขาสู
้ ่ กระแสเลือด
ทาให้กากอาหารเหนียว
ขน
และเป็ นกอน
้
้
จากนั้นก็จะเคลือ
่ นทีเ่ ขาไปรวมกั
นทีล
่ าไส้ใหญส
้
่ ่ วนที่
เรียกวา่
ลาไส้ตรง
ซึ่งอยูเหนื
อทวารหนัก
และ
่
จะถูกขับถายออกมาทางทวารหนั
ก
เป็ นอุจจาระ
่
กรอบ
ความรู้
ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุ ษย ์
หัวใจ
หัวใจของคนตัง้ อยูในบริ
เวณทรวงอก
ระหวางปอดทั
ง้
่
่
สองขาง
คอนไปทางด
านซ
ั ษณะเป็ นโพรง
้
่
้
้ายภายในมีลก
มี
4 ห้อง
โดยแบงเป็
่ นห้องบน 2 ห้อง
เรียกวา่
เอเตรียม (Atrium) ห้องลาง
2 ห้อง
่
เรียกวา่ เวนตริเคิล (Ventricle) โดยหัวใจห้องบนจะรับ
เลือดเขาหั
้ วใจ ส่วนห้องลางจะส
่
่ งเลือดออกจากหัวใจ
ซึ่งห้องลางจะใหญ
และหนากว
าห
่
่
่ ้องบน และหัวใจห้อง
บนซ้ายและลางซ
ิ้ ไบคัสพิด (Bicupid) คัน
่ อยู่
่
้ายมีลน
ส่วนห้องบนขวาและลางขวามี
ลน
ิ้ ไตรคัสพิด (Tricuspid )
่
คัน
่ อยู่
ซึ่งลิน
้ ทัง้ สองนีท
้ าหน้าทีค
่ อยปิ ด - เปิ ด
เพือ
่ ไมให
บ
หัวใจทาหน้าทีส
่ บ
ู ฉี ด
่ ้เลือดไหลยอนกลั
้
เลือดโดยการบีบตัวและคลายตัวของกลามเนื
อ
้ หัวใจเป็ น
้
จังหวะ
ทาให้เลือดไหลไปตามหลอดเลือดตาง
ๆ
่
กรอบ
ความรู้
หลอดเลือด
หลอดเลือดแบงออกเป็
น 3 ชนิดคือ
่
1. หลอดเลือดแดง (Arteries) เป็ นหลอดเลือดทีน
่ าเลือดที่
ฟอกแลว
ของรางกาย
้ ออกจากหัวใจไปยังส่วนตางๆ
่
่
หลอดเลือดแดงเป็ นเลือดทีม
่ ก
ี ๊ าซออกชิเจนมาก ยกเวน
้
หลอดเลือดทีส
่ ่ งไปยังปอดจะมีก๊าซคารบอนไดออกไซด
์
์
มาก หลอดเลือดแดงมีผนังหนาและแข็งแรงเพือ
่ ให้มี
ความทนทานตอแรงดั
นสูงทีถ
่ ก
ู ฉี ดออกจากหัวใจ
่
2. หลอดเลือดดา (Veins) เป็ นหลอดเลือดออกจากส่วน
ตางๆ
ของรางกายเข
าสู
้ ะมี
่
่
้ ่ หัวใจ โดยเลือดในส่วนนีจ
ปริมาณก๊าซคารบอนไดออกไซด
มาก
ยกเวนหลอดเลื
อด
้
์
์
ดาทีน
่ าเลือดจากปอดมายังหัวใจ จะเป็ นเลือดทีม
่ ก
ี ๊ าซ
ออกซิเจนสูง
3. หลอดเลือดฝอย(Capillaries) เป็ นหลอดเลือดทีม
่ ี
ขนาดเล็กละเอียด มีอยูจ
หลอด
่ านวนมากในรางกาย
่
เลือดฝอยประกอบดวยเซลล
ชั
้ เดียว หลอดเลือดฝอยมี
้
์ น
อยูเกื
จานวนมากบริเวนผนัง
่ อบทุกส่วนในรางกายและมี
่
ของเลือดฝอยเป็ นบริเวณทีก
่ ารแลกเปลีย
่ นสารอาหาร
ก๊าซตางๆ
ระหวางเลื
อดกับเซลลของร
างกาย
่
่
่
์
กรอบ
ความรู้
การหมุนเวียนของเลือด
สารอาหาร
ก๊าซ
และสิ่ งตางๆ
จะถูกส่งไป
่
เลีย
้ งเซลลต
ๆ ทัว่ รางกายพร
อมกั
บเลือดโดยทาง
่
่
้
์ าง
หลอดเลือด
ในการเคลือ
่ นทีห
่ รือการไหลเวียนของ
เลือดนั้นบางครัง้ มีการไหลจากทีส
่ งู ไปยังทีต
่ า่ กวา่
บางครัง้ จะไหลจากทีต
่ า่ ไปยังทีส
่ งู กวา่ การทีเ่ ลือด
ไหลไปไดในทิ
ศตาง
ๆ นั้น เนื่องมาจากรางกาย
้
่
่
ของคนเรามีหวั ใจ(Heart) ซึ่งเป็ นอวัยวะทีท
่ าหน้าที่
เสมือนเครือ
่ งสูบฉี ด
ทาให้เกิดแรงดันในเลือดไหล
ไปตามหลอดเลือด
แลวไหลต
อไปยั
งส่วนตาง
ๆ
้
่
่
ของรางกาย
และไหลกลับคืนเขาสู
่
้ ่ หัวใจ*
* วิลเลียม ฮารวี์ ย ์
นักวิทยาศาสตรชาวอั
งกฤษ
์
เป็ นคนแรกทีค
่ นพบการหมุ
นเวียนของเลือด
โดย
้
ชีใ้ ห้เห็ นวา่
เลือดมีการไหลเวียนไปทางเดียวกัน
ระบบการหมุนเวียนเลือดแบงเป็
2 ระบบ ดังนี้
่ น
ระบบเลือดวงจรเปิ ด (open circulatory
system) พบในสั ตวพวกแมลง
หอย และกลุม
่
์
ของดาวทะเล ซึ่งจะมีช่องวางในล
าตั
ว
ท
าหน
าที
ค
่
ลาย
่
้
้
หลอดเลือด
เลือดจะสั มผัสกับเซลล ์
โดยตรง ดังนั้นสั ตวที
่ ก
ี ารไหลเวียนเลือดแบบระบบ
์ ม
กรอบ
ความรู้
ระบบหมุนเวียนเลือดในรางการมนุ
ษย ์
่
หัวใจห้องเอเตรียมขวาจะรับเลือดจากหลอดเลือดดา
ชือ
่ ชุพเี รียเวนาคาวา โดยจะนาเลือดมาจากศี รษะและ
แขน และรับเลือดจากหลอดเลือดดา ชือ
่ อินฟี เรีย
เวนาคาวา ซึ่งนาเลือดจากลาตัวและขา กลับเขาสู
้ ่
หัวใจ
เมือ
่ หัวใจห้องเอเตรียมขวา บีบตัว เลือดจะ
ไหลลงสู่บริเวณ เวนตริเคิลขวาโดยผานลิ
น
้ ไตรคัสพิด
่
เมือ
่ เวนตริเคิลขวาบีบตัวเลือดจะผานลิ
น
้ พัลโมนารีเซ
่
มิลน
ู าร ์ หลอดเลือดนีจ
้ ะนาเลือดไปฟอกยังปอดเพือ
่
แลกเปลีย
่ นก๊าซ โดยเปลีย
่ นก๊าซคารบอนไดออกไซด
์
์
ออกและรับก๊าซออกซิเจน ไหลกลับสู่หัวใจทางหลอด
เลือดดา เขาสู
่ เอเตรียมซ้ายบีบ
้ ้ ห้องเอเตรียมซ้าย เมือ
ตัวเลือดก็จะผานลิ
น
้ ไบคัสพิดเขาสู
่
้ ้ ห้องเวนตริเคิลซ้าย
แลวบี
ลิน
้ เอออรติ
้ บตัวดันเลือดให้ไหลผาน
่
์ กเซ
มิลน
ู าร ์ เขาสู
้ ่ เอออรตา
์ ซึ่งเป็ นหลอดเลือดใหญ่ จาก
เอออรตาจะมี
หลอดเลือดแตกแขนงแยกไปยังส่วนตางๆ
่
์
ในรางกาย
่
รูปที่ 3 แสดงการหมุนเวียนเลือดในรางกายมนุ
ษย ์
่
ทีม
่ า
: http://th.upic.me/i/ie/circulatory6.jpg
สื บคนวั
้ นที่ 17 เมษายน 2554
กรอบ
ความรู้
ความดันเลือด ( Blood pressure ) คือความดันที่
เกิดขึน
้ เนื่องจากการบีบตัวและคลายตัวของหัวใจ
โดยขณะทีห
่ วั ใจบีบตัว
เลือดจะถูกดันให้ไหลไป
ตามหลอดเลือดแดงดวยความดั
นสูง
ทาให้เลือด
้
สามารถเคลือ
่ นทีไ่ ปยังส่วนตางๆ
ของรางกายได
่
่
้
และในขณะทีห
่ วั ใจคลายตัวเลือดจะไหลกลับสู่หัวใจ
ตามหลอดเลือดดาดวยความดั
นตา่
ดังนั้นจึงกลาว
้
่
ไดว
า
หลอดเลื
อ
ดที
น
่
าเลื
อ
ดเข
าสู
หั
ว
ใจจะมี
ค
วาม
้ ่
้ ่
ดันตา่
และส่วนเลือดทีน
่ าเลือดออกจากหัวใจจะมี
ความดันสูง
การวัดความดันเลือดจะวัดจากหลอดเลือดที่
อยูใกล
หั
เพือ
่ ให้ไดค
เคี
่
้ วใจ
้ าใกล
่
้ ยงกับความดัน
ในหัวใจมากทีส
่ ุด
หลอดเลือดทีเ่ หมาะสาหรับวัด
ความดันเลือด
คือ
หลอดเลือดแดงบริเวณตน
้
แขน
เครือ
่ งมือทีแ
่ พทยใช
์ ้วัดความดันเลือด
เรียกวา่
มาตรวัดความดันเลือด
(Sphygmoanometer) ซึ่งแพทยจะใช
้คูกั
่ บหูฟงั
์
หรือ สเตทโทสโคป (Stethoscope)
กรอบ
ความรู้
คาความดั
นเลือดทีแ
่ พทยวั
่
้ ้นมี
์ ดออกมาไดนั
หน่วยเป็ นมิลลิเมตรของปรอท
โดยปกติผใหญ
ู้
จะมี
่
ความดันเลือดประมาณ 120 / 80 มิลลิเมตรของปรอท
จะเห็ นวา่ ความดันเลือดทีม
่ ค
ี าตั
่ วเลข 2 คา่ คือ
ตัวเลขแรก หมายถึง
คาความดั
นเลือด
่
สูงทีส
่ ุดทีข
่ ณะหัวใจบีบตัวให้เลือดออกจากหัวใจ
ตัวเลขตัวหลัง
หมายถึง
คาความดั
นเลือดตา่ สุด
่
ขณะทีห
่ วั ใจคลายตัวรับเลือดเขาสู
้ ่ หัวใจ
ในคนปกติค วามดัน เลือ ดสูง ขณะที่ห ัว ใจบีบ ตัว ให้
เลือดออกจากหัวใจนั้น
จะมีคาประมาณ
100 +
่
อายุ
สาหรับความดันเลือดขณะทีห
่ ว
ั ใจคลายตัวรับ
เลือดเขาสู
คา่
้ ่ หัวใจไมเกิ
่ น 90 มิลลิเมตรของปรอท
ความดันเลือดของคนปกติเปลีย
่ นแปลงได้
ซึ่งจะมาก
หรือน้อยขึน
้ อยูกั
ไดแก
่ บปัจจัยหลายประการ
้ ่
1.เพศ โดยทัว่ ไปเพศหญิงมักจะมีความดันเลือดสูง
กวาเพศชายที
ม
่ อ
ี ายุ
เทาๆ
กัน
ในวัยหนุ่ มสาว
่
่
เพศหญิงจะมีความดันเลือดเฉลีย
่ 110 / 70 มิลลิเมตร
ของปรอท ขณะทีเ่ พศชายมีความดันเลือดเฉลีย
่ 120
/ 80 มิลลิเมตรของปรอท
2.อายุ คนยิง่ มีอายุสงู ขึน
้
คาความดั
นก็จะยิง่
่
เพิม
่ ขึน
้ เนื่องจากผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุนลดลง
่
ทาให้มีการบีบตัวของผนังหลอดเลือดมีน้อยลง
เช่น
ผูใหญ
มี
20 - 30 ปี
จะมีความดัน
้
่ อายุระหวาง
่
เลือดปกติเฉลีย
่ 120/80 มิลลิเมตรของปรอท
ขณะที่
กรอบ
ความรู้
5.การทางานและการออกกาลังกาย คนทีท
่ างาน
หนัก
หรือ
ขณะกาลังออกกาลังกาย
จะมีความกันเลือดสูงกวา่
คนทีท
่ างานเบา
หรือขณะพักผอน
่
6.อิรย
ิ าบถ คนทีอ
่ ยูในอิ
รย
ิ าบถนั่งจะมีความดัน
่
เลือดตา่ กวา่
คนทีย
่ น
ื
จะเห็ นไดว
เ่ รา
้ าขณะที
่
เปลีย
่ นอิรย
ิ าบถจากนั่งเป็ นลุกขึน
้ ยืนอยางรวดเร็
ว
่
ทาให้รูสึ้ กเวียนศี รษะ
ทีเ่ ป็ นเช่นนีก
้ ็เพราะขณะนั่ง
ความดันเลือดจะตา่ กวาขณะยื
น
เมือ
่ ลุกขึน
้ ทันที
่
รางกายยั
งปรับความดันเลือดไมทั
่
่ นจึงทาให้เกิด
ความรูสึ้ กเวียนศี รษะ
เมือ
่ ลุกขึน
้ ยืนสั กครูความรู
สึ้ ก
่
เวียนศี รษะก็จะคอยๆ
หายไป
ทัง้ นีเ้ ป็ นเพราะ
่
รางกายปรั
บความดันเลือดให้ปกติสาหรับทายื
่
่ นไดแล
้ ว
้
คนทีร่ สึู้ กเวียนศี รษะครัง้ ทีม
่ ก
ี ารเปลีย
่ นแปลงอิรย
ิ าบถ
หรือมักหน้ามืดบอยๆ
เป็ นเพราะความดันเลือดตา่
่
บุคคลเหลานี
้ วรจะออกกาลังกายเป็ นประจา
่ ค
นอกจากนีเ้ รายังพบวา่
ขนาดของหลอดเลือดมีผล
ตอความดั
นเลือดดวยเช
คนทีม
่ ห
ี ลอดเลือดตีบ
่
้
่ นกัน
และแคบจะมีความดันเลือดสูงกวาปกติ
ทัง้ นีเ้ พราะ
่
หัวใจจะสูบฉี ดแรง
เพือ
่ ให้มีแรงดันมากในการทาให้
เลือดไหลผานได
ถาผนั
งเลือดเปราะบางจะมีผลทา
่
้
้
ให้หลอดเลือดแตกเป็ นอันตรายถึงตายได้
โรคความ
กรอบ
ความรู้
เลือด (blood)
ภายในหลอดเลือดประกอบดวยเลื
อด
ในรางกาย
้
่
คนเรามีเลือดอยูประมาณร
อยละ
9
10
ของน
้าหนัก
่
้
ตัว
ส่วนประกอบของระบบหมุนเวียนเลือด
1. ส่วนประกอบทีเ่ ป็ นของเหลว เรียกวา่ น้าเลือด
หรือ พลาสมา (Plasma) จะมีอยูประมาณ
55
่
เปอรเซ็
้าประมาณ
้
์ นต ์ โดยน้าเลือดจะประกอบดวยน
91 เปอรเซ็
่ ๆ ไดแก
้ ่
์ นต ์ และนอกจากนีเ้ ป็ นสารอืน
เอมไซม ์ ฮอรโมน
และก๊าซ รวมทัง้ ของเสี ยใน
์
รางกายที
ไ่ มต
่
่ องการเช
้
่ น ยูเรีย ก๊าซคารบอนไซด
์
์
ออกไซค ์ เป็ นตน
่ าเลียง
้ น้าเลือดทาหน้าทีล
สารอาหาร เอมไซด ์ ฮอรโมน
และก๊าซไปเลีย
้ ง
์
เซลลต
ของรางกาย
และลาเลียงของเสี ยงตางๆ
่
่
่
์ างๆ
มาทีป
่ อด เพือ
่ ขับออกจากรางกาย
่
2. ส่วนทีเ่ ป็ นของแข็ง ไดแก
้ ่ เซลลเม็
์ ดเลือด
(Corpuscle) และ เกล็ดเลือด (Platelet) ซึ่งมีอยู่
ประมาณ 45 เปอรเซ็
์ นต ์ ของปริมาณทัง้ หมด
2.1 เซลลเม็
์ ดเลือด มีอยู่ 2 ชนิดคือ
กรอบ
ความรู้
1. เซลลเม็
ู รางค
อนข
างกลมแบน
่
่
้
์ ดเลือดแดง มีรป
เมือ
่ โตเต็มทีจ
่ ะ
ไมมี
่ นิวเคลียส เซลลเม็
้
์ ดเลือดแดง จะประกอบดวย
สารประเภทโปรตีน ทีเ่ รียกวา่ ฮี โมโกลบิน ซึ่งมีธาตุ
เหล็กเป็ นส่วนประกอบทีส
่ าคัญ ฮี โมโกลบิน จะทา
หน้าทีใ่ นการรวมตัวกับก๊าซออกซิเจนเพือ
่ นาไปเลีย
้ ง
เซลลต
ทัว่ รางกายและล
าเลียงก๊าซ
่
่
์ างๆ
คารบอนไดออกไซด
่ ทา
์
์ จากเซลลกลั
์ บไปสู่ปอดเพือ
การแลกเปลีย
่ นก๊าซ เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ
100-120 วัน หลังจากนั้นจะถูกทาลายโดยตับและมาม
้
แหลงสร
างเซลล
เม็
่
้
์ ดเลือดแดง คือไขกระดูก
รูปที่ 7 แสดงลักษณะของเซลลเม็
์ ดเลือดแดง
กรอบ
ความรู้
2. เซลลเม็
ี ิวเคลียส มี
่ สีมน
์ ดเลือดขาว ไมมี
รูปรางกลมใหญ
กว
่
่ า่
เซลลเม็
อยู่
่
์ ดเลือดแดง เซลลเม็
์ ดเลือดขาวในรางกายมี
หลายชนิด โดยมีหน้าทีต
่ อต
าลายเชือ
้ โรค
่ านและท
้
หรือสิ่ งทีแ
่ ปลกปลอมทีเ่ ขาสู
เซลลเม็
้ ่ รางกาย
่
์ ดเลือด
ขาวมีอายุประมาณ 7-14 วัน แหลงที
่ รางเซลล
เม็
่ ส
้
์ ด
เลือดขาว ไดแก
ไขกระดูก ตอมน
้าเหลือง
้ ่ มาม
้
่
รูปที่ 8 แสดงลักษณะของเซลลเม็
์ ดเลือดขาว
ทีม
่ า
:
http://kanchanapisek.or.th/kp6/New/pictures8/l8211.jpg
กรอบ
ความรู้
3. เกล็ดเลือด มีรป
ู รางเป็
นรูปไขและแบน
มี
่
่
ขนาดเล็กมากไมมี
่ สี
ไมมี
่ นิวเคลียส เป็ นส่วนประกอบของเลือดทีไ่ มใช
่ ่ เซลล ์
แตเป็
่
่ นส่วนของเซลล ์ ช่วยทาให้เลือดแข็งตัวเมือ
เลือดออกสู่ภายนอกรางกาย
โดยจะจับตัวเป็ นกระจุก
่
รางแหอุ
ดรูของหลอดเลือดฝอยจะช่วยให้เลือดหยุดไหล
่
เกล็ดเลือดจะมีอายุเพียง 4 วัน ก็จะถูกทาลาย แหลง่
ทีส
่ รางเกล็
ดเลือด คือไขกระดูก
้
รูปที่ 9 แสดงการจับตัวเป็ นกระจุกรางแหของเกล็
ด
่
กรอบ
ความรู้
ระบบขับถาย
่
ระบบขับถาย
เป็ นระบบซึ่งทาหน้าทีก
่ าจัด
่
และขับถายของเสี
ยทีเ่ หลือใช้จากการเผาผลาญอาหาร
่
ในรางกายเพื
อ
่ ให้เกิดพลังงานและสะสมพลังงาน นั่นก็
่
คือการกาจัดของเสี ยทีเ่ กิดจากปฏิกริ ย
ิ าเคมีภายในเซลล ์
ซึ่งเรียกวา่ เมแทบอลิซม
ึ (Metabolism)
การขับถาย
(Excretion) หมายถึง การ
่
กาจัดของเสี ยทีเ่ กิดจากกระบวนการเมแทบอลิซม
ึ ของ
เซลลออกจากร
างกาย
ซึ่งไมได
งกากอาหารแต่
่
่ รวมถึ
้
์
การกาจัดกากอาหารอาจมีของเสี ยทีเ่ กิดจากกระบวนการ
เมเทบอลิซม
ึ ปนออกมาดวย
้
การกาจัดของเสี ยในระบบขับถายของมนุ
ษย ์
่
เกิดขึน
้ ไดหลายทาง
ไดแก
้
้ ่
ไต
ผิวหนัง
ปอด
และลาไส้ใหญ่
การกาจัดของเสี ยทางไต
ไตของมนุ ษยมี
ั ษณะคลายเมล็
ดถัว่ อยู่
้
์ ลก
ดานหลั
งช่องทอง
2 ขาง
ของกระดูกสั นหลัง ภายใน
้
้
้
ไตจะกลวง เรียกวา่ กรวยไต
ทาหน้าทีก
่ รองของ
เสี ยซึ่งมีทง้ั
ยูเรีย
และเกลือแร่
ตาง
ๆ ทีล
่ ะลายน้าได้ เรียกวา่
น้าปัสสาวะ
่
(urine) ไหลผานท
อไตไปรวมกั
นในกระเพาะปัสสาวะ
่
่
เพือ
่ รอการขับถายออกนอกร
างกาย
่
่
กรอบ
ความรู้
1. โครงสรางของไต
้
ไต (kidney) ยาวประมาณ 10 – 13
เซนติเมตร กวาง
6 เซนติเมตร และหนา
3
้
เซนติเมตร ไตแตละข
างหนั
กประมาณ 150 กรัม ตอ
่
้
่
จากไตทัง้ สองขางมี
ท
อไต
(ureter)
ท
าหน
าที
ล
่
าเลี
ย
งน
้า
้
่
้
ปัสสาวะจากไตไปเก็บไวที
่ ระเพาะปัสสาวะ (urinary
้ ก
bladder) กอนจะขั
บถายออกนอกร
างกายทางท
อ
่
่
่
่
ปัสสาวะ
โครงสรางภายในของไตประกอบด
วยเนื
อ
้ ไต ซึ่ง
้
้
มี 2 ชัน
้ ชัน
้ นอก เรียกวา่
คอร ์
เทกซ ์ ชัน
้ ในเรียกวาเมดั
ลลา แตละข
างประกอบด
วย
่
่
้
้
หน่วยไต (nephron) นับลานหน
้
่ วย ในแตละหน
่
่ วยไต
ประกอบดวย
้
1โบวแมนส
์
์ แคปซูล (Bowman ‘s capsule) มี
ลักษณะเป็ นกระเปาะอยูปลายข
างหนึ
่งของหน่วยไต
่
้
ภายในกระเปาะมีโกลเมอรูรส
ั หรือกลุมหลอดเลื
อด
่
ฝอยอยู่
1 โกลเมอรูรส
ั (glomerulus) เป็ นกลุมหลอดเลื
อดฝอย
่
อยูในโบว
แมนส
่ รองของเสี ยออกจาก
่
์
์ แคปซูล ทาหน้าทีก
เลือด อัตราการกรองประมาณ
125 มิลลิลต
ิ ร/นาที
สารทีก
่ รองไดประกอบด
วยน
่ ว
้าตาล โมเลกุลเดีย
้
้
กรดอะมิโน โซเดียมคลอไรด ์ ซัลเฟต ฟอสเฟต ยู
เรีย
และกรดยูรก
ิ
กรอบ
ความรู้
รูปที่ 2
แสดงโครงสร้างภายในไต
ทีม
่ า :
http://www.bloggang.com/data/g/goodluckthailand/
picture/1270224806.jpg
เมษายน 2554
สื บคนวั
้ นที่ 20
รูปที่ 3 แสดงองคประกอบและการท
างานในหน่วยไต
์
ทีม
่ า :
กรอบ
ความรู้
2. กระบวนการขับถายของเสี
ยโดยไต
่
หลอดเลือดทีน
่ าเลือดมายังไตนั้น เป็ นหลอดเลือดทีอ
่ อก
จากหัวใจ (หลอดเลือดอารเทอรี
) ซึ่งจะลาเลียงสารทัง้ ที่
์
มีประโยชนและไม
มี
องการก
าจัด
่ ปะโยชนที
่
้
์
์ ร่ างกายต
ออกไป สารเหลานี
้ ะถูกลาเลียงเขาสู
่ จ
้ ่ หน่วยไต โดย
ผานทางหลอดเลื
อดฝอย เพือ
่ ให้หน่วยไตทาหน้าทีก
่ รอง
่
สารทีม
่ อ
ี ยูในเลื
อด ของเหลวทีก
่ รองได้ จะมีลก
ั ษณะ
่
คลายเลื
อด ยกเวน
้
้ ไมมี
่ สารโมเลกุลใหญ่ เช่น เซลล ์
เม็ดเลือดแดง โปรตีน ไขมัน
เป็ นตน
่ ป
ี ระโยชนเช
้ สารทีม
์ ่ นกลูโคส กรดอะมิโน น้า
จะถูกคูดกลับทีท
่ อหน
ทุกส่วน
่
่ วยไต
ของเหลวเมือ
่ ไหลมาถึงทอรวม
จะเรียกวา่ “น้า
่
ปัสสาวะ” น้าปัสสาวะจะไหลไปตามทอไตเก็
บทีก
่ ระเพาะ
่
ปัสสาวะ น้าปัสสาวะประกอบดวยน
้า ยูเรีย เป็ นส่วน
้
ใหญ่ และมีเกลือแรเล็
ละ
่ กน้อย ปริมาณการขับถายในแต
่
่
วันจะมากหรือน้อยขึน
้ อยูกั
รั
่ บ ปริมาณน้าทีร่ างกายได
่
้ บ
ชนิดของอาหารและเครือ
่ งดืม
่ เช่น แตงโม เหลา้ ทา
ให้การขับถายปั
สสาวะมากขึน
้ การเสี ยน้าของรางกาย
่
่
ทางอืน
่
ไตเป็ นอวัยวะทีท
่ างานหนัก
วันหนึ่ง ๆ
เลือด
ทัง้ หมดทีห
่ มุนเวียนในรางกายต
องผ
านมายั
งไต
่
้
่
ประมาณวาในแต
ละนาที
จะมีเลือดมาทีไ่ ต 1,200
่
่
ลูกบาศกเซนติ
เมตร
หรือวันละ 180 ลิตร
โดยไต
์
กรอบ
ความรู้
3. หน้าทีข
่ องไต
.กาจัดของเสี ยทีเ่ ป็ นสารละลายของยูเรีย
เกลือ
และสารอืน
่ ๆ ออกมาทางน้าปัสสาวะ
.ช่วยรักษาสมดุลของน้าและเกลือแรในร
างกายให
่
่
้
เหมาะสม
.รักษาระดับความเขมข
อดและสิ่ งอืน
่ ใน
้ นของเลื
้
รางกาย
่
.รักษาระดับแรงดันออสโมติกของเลือด
ในน้าปัสสาวะนอกจากจะมีน้า
ยูเรีย
และของเสี ย
อืน
่ ๆ ทีร่ างกายไม
ต
วบางครั
ง้ เราอาจพบสาร
่
่ องการแล
้
้
บางชนิดเช่น
น้าตาลกลูโคส
โปรตีนบางชนิด
เม็ดเลือดแดง
เป็ นตน
ปะปนมากับน้าปัสสาวะดวย
้
้
ซึ่งสารเหลานี
ทาให้การ
่ เ้ กิดจากไตทางานผิดปกติ
กรองสารตาง
ๆ ผิดปกติได้
ดังนั้นการตรวจสอบน้า
่
ปัสสาวะจึงเป็ นการตรวจสอบเบือ
้ งตนเกี
ย
่ วกับการทางาน
้
ของไต
นอกจากนีก
้ ารตรวจสอบน้าปัสสาวะยังมี
ความสาคัญตอการวิ
นิจฉัยโรคของแพทยได
่
้ กดวย
้
์ อี
เช่น
โรคเบาหวาน
เนื่องจากโรคนีเ้ กิดจากความ
ผิดปกติของตับออนที
ไ่ มสามารถควบคุ
มระดับน้าตาลใน
่
่
กรอบ
ความรู้
การกาจัดของเสี ยทางผิวหนัง
ส่วนหนึ่งของของเสี ยทีเ่ ป็ นของเหลว
นอกจาก
รางกายจะก
าจัดออกมาทางไตในรูปของน้าปัสสาวะแลว
่
้
รางกายยั
งมีการกาจัดออกทางผิวหนังในรูปของเหงือ
่ อีก
่
ดวย
้
ของเสี ยทีก
่ าจัดออกมาในรูปของเหงือ
่ มี
อวัยวะทีเ่ กีย
่ วของ
คือ
้
1. ผิวหนัง
(skin)
ทาหน้าทีก
่ าจัดของเสี ยในรูปของเหงือ
่ ซึ่งถูกขับออก
ตามส่วนตางๆ
ของรางกาย
เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเทา้ ใต้
่
่
รักแร้ และแผนหลั
ง เป็ นตน
นรางกายจะ
่
้ แตละวั
่
่
สูญเสี ยน้าในรูปของเหงือ
่ ประมาณ 500-1,000 cm3
และยิง่ ในวันทีอ
่ ากาศรอนหรื
อออกกาลังกายอาจมีเหงือ
่
้
3
ออกไดมากถึ
ง 2,000 cm
ถานั
่
้
้ กเรียนลองชิมเหงือ
จะรูสึ้ กเค็ม เพราะเหงือ
่ ประกอบดวยน
้า 99% และสาร
้
อืน
่ ๆ อีก 1% ไดแก
้ ่ โซเดียมคลอไรด ์ และ
สารอินทรีย ์ ซึ่งมียเู รีย เป็ นส่วนใหญ่ นอกนั้นเป็ น
แอมโมเนีย กรดอะมิโน กรดแลกติก และน้าตาล
นอกจากนีผ
้ วิ หนังยังทาหน้าทีส
่ าคัญอีกหลายอยาง
เช่น
่
ระบายความรอนให
อ
่ ขับเหงือ
่ ออกสู่
้
้แกร่ างกายเพื
่
ภายนอก โดยปกติความรอนที
เ่ สี ยไปทางผิวหนังจะมี
้
ปริมาณ 87.4 % ช่วยควบคุมความชุ่มชืน
้ ภายในเซลล ์
ของรางกาย
ช่วยปรับระดับอุณหภูมภ
ิ ายในรางกายของ
่
่
สั ตวเลื
อ
ดอุ
นให
คงที
่
ป
องกั
น
สารแปลกปลอมและเชื
อ
้
่
้
้
์
กรอบ
ความรู้
ผิวหนังของคนเป็ นเนือ
้ เยือ
่ ทีอ
่ ยูชั
้ นอกสุด ที่
่ น
ห่อหุ้มรางกายเอาไว
่ง มีเนือ
้ ที่
่
้ ผิวหนังของผู้ใหญคนหนึ
่
ประมาณ 3,000 ตารางนิ้ว ผิวหนังตามส่วนตางๆของ
่
รางกาย
จะหนาประมาณ 1-4 มิลลิเมตร แตกตางกั
น
่
่
ไปตามอวัยวะ และบริเวณทีถ
่ ก
ู เสี ยดสี เช่น ผิวหนังที่
ศอก และ เขา่ จะหนากวาผิ
่ ขนและขา
่ วหนังทีแ
โครงสร้างของผิวหนัง
ผิวหนังของคนเราแบงออกได
เป็
้ คือ
่
้ น 2 ชัน
หนังกาพราและหนั
งแท้
้
1.1 หนังกาพรา้ (Epidermis) เป็ นผิวหนังที่
อยู่ ชัน
้ บนสุด มีลก
ั ษณะบางมาก ประกอบไปดวย
้
เชลล ์ เรียงซ้อนกันเป็ นชัน
้ ๆ โดยเริม
่ ตนจากเซลล
ชั
้ ใน
้
์ น
สุด ติดกับหนังแท้ ซึ่งจะแบงตั
้ แลวค
่ วเติบโตขึน
้ อยๆ
่
เลือ
่ น มาทดแทนเซลลที
่ ยูชั
้ บนจนถึงชัน
้ บนสุด แลวก็
่ น
้
์ อ
กลายเป็ นขีไ้ คลหลุดออกไป
นอกจากนีใ
้ นชัน
้ หนังกาพรายั
้ งมีเซลล ์ เรียกวา่ เมลา
นิน ปะปนอยูด
เมลานิน
มีมากหรือน้อยขึน
้
่ วย
้
อยูกั
้ ชาติ จึงทาให้สี ผวิ ของคนแตกตาง
่ บบุคคลและเชือ
่
กันไป ในชัน
้ ของหนังกาพราไม
มี
้
่ หลอดเลือด เส้น
ประสาท และตอมต
างๆ
นอกจากเป็ นทางผานของรู
เหงือ
่
่
่
่
เส้นขน และไขมันเทานั
่ ้น
รูปที่ เป็ 7นผิแสดงภาพ
1.2 หนังแท้ (Dermis)
วหนังทีอ
่ ยู่
ผิวหนังาหนั
ชัน
้ ลาง
์ า้
่ ถัดจากหนังกาพรา้ และหนากว
่ มนุงษกยาพร
มาก ผิวหนังชัน
้ นีป
้ ระกอบไปดวยเนี
อ
้ เยือ
่ คอลลาเจน
้
(Collagen) และอีลาสติน (Elastin) หลอดเลือดฝอย
เส้นประสาท กลามเนื
อ
้ เกาะเส้นขน ตอมไขมั
น ตอม
้
่
่
เหงือ
่ และรูขุมขนกระจายอยูทว่ ั ไป
กรอบ
ความรู้
2. ตอมเหงื
อ
่ โครงสรางภายในต
อมเหงื
อ
่ จะ
่
้
่
มีทอขดอยู
เป็
และมีหลอดเลือดฝอยมาหลอเลี
้ ง
่
่ นกลุม
่
่ ย
โดยรอบ
หลอดเลือดฝอยเหลานี
้ ะลาเลียงของเสี ย
่ จ
มายังตอมเหงื
อ
่
เมือ
่ ของเสี ยมาถึงบริเวณตอมเหงื
อ
่ ก็จะ
่
่
แพรออกจากหลอดเลื
อดฝอยเขาสู
อมเหงื
อ
่
่
้ ่ ทอในต
่
่
จากนั้นของเสี ยซึ่งก็คอ
ื
เหงือ
่ จะถูกลาเลียงไปตามทอ
่
จนถึงผิวหนัง ชัน
้ บนสุด
ซึ่งมีปากทอเปิ
หรือ
่ ดอยู่
ทีเ่ รียกวา่
รูเหงือ
่
ตอมเหงื
อ
่ ของคนเราแบงได
เป็
่
่
้ น
2 ชนิด
คือ
2.1 ตอมเหงื
อ
่ ขนาดเล็ก มีอยูที
่ วิ หนังทัว่ ทุก
่
่ ผ
แหงของร
างกาย
ยกเวนที
ริมฝี ปากและที่
่
่
้ ่
อวัยวะสื บพันธุบางส
ตอมเหงื
อ
่ เหลานี
้ ด
ิ อยูกั
่ วน
่
่ ต
่ บทอ
่
์
ขับถายซึ
่งเปิ ดออกทีผ
่ วิ หนังชัน
้ นอกสุด ตอมเหงื
อ
่ ขนาด
่
่
เล็กนีส
้ รางเหงื
อ
่ แลวขั
้
้ บถายออกมาตลอดเวลา
่
เนื่องจากมีการระเหยไปตลอดเวลาเช่นกัน
ดังนั้นจึง
มักสั งเกตไมค
แตเมื
่ อุณหภูมภ
ิ ายนอกของ
่ อยได
่
้
่ อ
รางกายสู
งขึน
้ และขณะออกกาลังกาย
ปริมาณเหงือ
่ ที่
่
ขับถายออกมาจะเพิ
ม
่ ขึน
้ จนสั งเกตเห็ นได้
ทีอ
่ ุณหภูม ิ
่
32 องศาเซลเซียส
จะมีการขับเหงือ
่ ออกมาเห็ นได้
ชัดเจน
เหงือ
่ จากตอมเหงื
อ
่ ขนาดเล็กเหลานี
่
่ ้
ประกอบดวยน
99 สารอืน
่ ๆ รอยละ
1
้ารอยละ
้
้
้
ซึ่งไดแก
เกลือโซเดียมคลอไรดและสารอิ
นทรียพวกยู
้ ่
์
์
เรีย
นอกนั้นเป็ นสารอืน
่ อีกเล็กน้อย
เช่น
กรอบ
ความรู้
การกาจัดของเสี ยทางปอด
มนุ ษยสามารถมี
ชวี ต
ิ อยูได
นสั ปดาหแม
ได
่ นานเป็
้
้
่ รั
้ บ
์
์ จะไม
อาหารเลยและจะอยูได
นในสภาวะขาดน้า แต่
่ หลายวั
้
เมือ
่ ใดทีข
่ าดอากาศ จะตายในเวลาไมกี
่ าที ออกซิเจน
่ น
เป็ นแก๊สทีพ
่ บทัว่ ไปในบรรยากาศและจาเป็ นตอเมตาบอลิ
่
ซึมของเซลล ์ ซึ่งเป็ นกระบวนการสาคัญในการเปลีย
่ น
อาหารให้เป็ นพลังงาน การหายใจนาแก๊สออกซิเจนเขาสู
้ ่
รางกายและปล
อยแก
่
่
๊ สคารบอนไดออกไซด
์
์ ซึ่งเป็ นของ
เสี ยจากกระบวนการ
เมตาบอลิซม
ึ ออกไป
พรอมกั
บไอน้า
้
การแลกเปลีย
่ นแก๊สนีเ้ กิดขึน
้ ทีถ
่ ุงลมขนาด
เล็กจานวนมากมายทีอ
่ ยูเกื
่ อบเต็มปอด ออกซิเจนทีเ่ ขามา
้
ในถุงลมจะเขาสู
่ ยูรอบๆแล
วถู
้ ่ หลอดเลือดฝอยทีอ
่
้ กนาไป
ในกระแสเลือด ส่งไปให้เซลลต
ว่ รางกาย
ในทานอง
่
่
์ างๆทั
เดียวกัน คารบอนไดออกไซด
จากเซลล
ก็
์
์
์ จะถูกส่งจาก
หลอดเลือดฝอยไปยังถุงลมและปลอยออกไปจากปอด
่
ของเสี ยทีถ
่ ก
ู กาจัดออกจากรางกายทางปอด
่
ไดแก
้ ่ น้า และแก๊สคารบอนไดออกไซด
์
์ ซึ่งเป็ นผลที่
เกิดขึน
้ จากกระบวนการหายใจของเซลลต
างกาย
่
่
์ างๆในร
รูปที่ 8 แสดงการ
แลกเปลีย
่ นแก๊ส
ทีถ
่ ุงลม
กรอบ
ความรู้
แสดงปริมาณแก๊สตางๆ
และไอน้าในลมหายใจเขาและ
่
้
ลมหายใจออก
แก๊ส
ลมหายใจเขา้
ลมหายใจออก
ออกซิเจน
21%
คารบอนไดออกไซด
์
์ 0.04%
17%
4%
ไนโตรเจน
79%
79%
ไอน้า
ไมคงที
่
่
อิม
่ ตัว
แก๊สคารบอนไดออกไซด
และไอน
้าเป็ นของ
์
์
เสี ยทีเ่ กิดจากการสลายสารอาหารเพือ
่ สรางเป็
นพลังงาน
้
ของเซลล ์ ทีเ่ รียกวา่ กระบวนการหายใจ
กรอบ
ความรู้
การกาจัดของเสี ยทางลาไส้ใหญ่
หลังจากกินอาหารประมาณ 8 - 9 ชัว
่ โมง
อาหาร
ส่วนทีเ่ หลือจากการยอยและส
่ อยไม
ได
ซึ่ง
่
่ วนทีย
่
่ ้
รวมกันเรียกวา่
กากอาหาร
จะเคลือ
่ นเขาสู
้ ่ ลาไส้
ใหญซึ
่ ่งมีความยาวประมาณ 1.50 เมตร
ลาไส้ใหญจะท
าหน้าทีส
่ ะสมกากอาหารดังกลาวและดู
ด
่
่
ซึมสารทีม
่ ป
ี ระโยชนต
ไดแก
น้า
แร่
่ างกาย
่
้ ่
์ อร
ธาตุ
วิตามิน
และกลูโคส
ออกจากกากอาหาร
ทาให้กากอาหารมีลก
ั ษณะเหนียวและขนขึ
้ จนเป็ นกอน
้ น
้
แข็ง
จากนั้นลาไส้ใหญจะบี
บตัวเพือ
่ ให้กากอาหาร
่
เคลือ
่ นทีไ่ ปรวมกันทีล
่ าไส้ตรง
และขับออกมาสู่
ภายนอกรางกายทาง
ทวารหนัก
กาก
่
อาหารทีถ
่ ก
ู าจัดออกมาภายนอกนีเ้ รียกวา่
อุจจาระ
กระบวนการทัง้ หมดนีจ
้ ะกินเวลาประมาณ 22 – 23
ชัว
่ โมง
รูปที่ 9 แสดงตาแหน่งและลักษณะภายในของลาไส้
ใหญ่
กรอบ
ความรู้
การกาจัดของเสี ยทางลาไส้ใหญ่
หลังจากกินอาหารประมาณ 8 - 9 ชัว
่ โมง
อาหาร
ส่วนทีเ่ หลือจากการยอยและส
่ อยไม
ได
ซึ่ง
่
่ วนทีย
่
่ ้
รวมกันเรียกวา่
กากอาหาร
จะเคลือ
่ นเขาสู
้ ่ ลาไส้
ใหญซึ
่ ่งมีความยาวประมาณ 1.50 เมตร
ลาไส้ใหญจะท
าหน้าทีส
่ ะสมกากอาหารดังกลาวและดู
ด
่
่
ซึมสารทีม
่ ป
ี ระโยชนต
ไดแก
น้า
แร่
่ างกาย
่
้ ่
์ อร
ธาตุ
วิตามิน
และกลูโคส
ออกจากกากอาหาร
ทาให้กากอาหารมีลก
ั ษณะเหนียวและขนขึ
้ จนเป็ นกอน
้ น
้
แข็ง
จากนั้นลาไส้ใหญจะบี
บตัวเพือ
่ ให้กากอาหาร
่
เคลือ
่ นทีไ่ ปรวมกันทีล
่ าไส้ตรง
และขับออกมาสู่
ภายนอกรางกายทาง
ทวารหนัก
กาก
่
อาหารทีถ
่ ก
ู าจัดออกมาภายนอกนีเ้ รียกวา่
อุจจาระ
กระบวนการทัง้ หมดนีจ
้ ะกินเวลาประมาณ 22 – 23
ชัว
่ โมง
กรอบ
ความรู้
การถายอุ
จจาระเป็ นปกติของแตละคนอาจจะ
่
่
แตกตางกั
นไป
เช่น บางคนถายทุ
กวันหรือสองวัน
่
่
ครัง้
แตบางคนถ
ายวั
นละสองครัง้
อยางไรก็
ตาม
่
่
่
ในบางครัง้
การถายอุ
จจาระอาจผิดปกติได้
่
เนื่องจากมีอุจจาระตกคางอยู
ในล
าไส้ใหญเป็
้
่
่ นเวลานาน
หลายวัน
ซึ่งขณะทีอ
่ ุจจาระตกคางอยู
นี
น้าหรือ
้
่ ้
ของเหลวอืน
่ ในอุจจาระ
จะถูกผนังลาไส้ใหญดู
่ ด
ซึมกลับเขาไปสู
ั ษณะแข็ง
้
่ หลอดเลือดทาให้อุจจาระมีลก
เกิดความยากลาบากในการถาย
อาการนีเ้ รียกวา่
่
ทองผู
ก
้
ผูที
่ องผู
กจะมีอาการหลายอยาง
เช่น
รูสึ้ กแน่น
้ ท
้
่
ทอง
อึดอัด
บางรายอาจมีอาการปวดทองหรื
อปวด
้
้
หลังดวย
แตอาการเหล
านี
้ ะหายไปเมือ
่ ถายอุ
จจาระ
้
่
่ จ
่
ออกมา
ผูที
่ องผู
กเป็ นเวลาหลายวัน
เมือ
่ ถาย
้ ท
้
่
อุจจาระจะตองใช
จึงทาให้เป็ นโรค
้
้แรงเบงมาก
่
ริดสี ดวงทวารได้
อาการทองผู
กเกิดจากหลายสาเหตุ
ไดแก
กิน
้
้ ่
อาหารทีม
่ ก
ี ากหรือใยอาหารน้อยเกินไปถายอุ
จจาระไม่
่
เป็ นเวลา
เกิดอารมณเครี
สูบบุหรี่
์ ยดและวิตกกังวล
จัด
ดืม
่ น้าชากาแฟมากไป
ตลอดจนกินอาหาร
รสจัด
การป้องกันการเกิดอาการทองผู
ก
้
ไดแก
้ ่
1. กินอาหารทีม
่ ก
ี ากหรือใยอาหารสูง
ข้อ
ควรรู้
ใยอาหารเป็ นสารจากพืช
ผัก
ผลไม้
ธัญพืช
และเมล็ดพันธุต
ซึ่งเมือ
่ กินเขา้
่
์ างๆ
ไปแลวเอนไซม
ในกระเพราะอาหารและล
าไส้เล็ก
้
์
ไมสามารถ
ยอยได
ใยอาหารเป็ นสารพวก
่
่
้
เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส
เพคติน
และ
ลิกนิน
ซึ่งสารทัง้ สี่ ส่ิ งนีเ้ ป็ นโครงสรางของผนั
ง
้
เซลล ์
ใยอาหารสามารถอุมน
จึงช่วย
้ ้าไดดี
้
ให้ลาไส้ใหญบี
่ บตัวโดยดูดน้าจากลาไส้ใหญเข
่ า้
ไวในตั
ว
ทาให้น้าหนักของกากอาหารมีมาก
้
นอกจากนีแ
้ บคทีเรียในลาไส้ใหญจะย
อยอาหาร
่
่
ได้
กรดไขมัน
ก๊าซ
คารบอนไดออกไซด
และก๊าซมีเทน
กรด
์
์
ไขมันจะกระตุนให
้
มี
้
้ลาไส้ใหญบี
่ บตัวมากขึน
ผลในระยะเวลาทีอ
่ าหารผานจากปากถึ
งทวาร
่
หนักสั้ นลง ส่งผลทาให้การขับถายเร็
วขึน
้
ผู้
่
กินใยอาหารอยูเสมอท
าให้น้าหนักอุจจาระและ
่
จานวนครัง้ ในการถายอุ
จจาระมากกวาผู
่
่ กิ
้ นใย
อาหารน้อย
นอกจากนีก
้ ารทีใ่ ยอาหารช่วยให้
อาหารผานจากปากถึ
งทวารหนักไดเร็
่
้ วทาให้
สารพิษตาง
ๆ ซึ่งรวมทัง้ สารทีท
่ าให้เป็ นมะเร็ง
่
สั มผัสกับลาไส้ใหญเป็
โอกาสที่
่ นเวลาสั้ น
สารพิษจะทาลายเยือ
่ บุผนังลาไส้ใหญไปได
น
่
้ ้ อย
ดังนั้นการกิน
ใยอาหารจึงอาจป้องกันการเกิด