Transcript Plastid
Plastid Chromoplast มีรงควัตถุท่ สี ำคัญคือ carotenoid คือ พวก carotene และ xanthophyll มีสีส้มและ สีเหลือง พบมำกในผลไม้ สุก ใบที่กำลังร่ วง , กลีบดอกไม้ Plastid Leucoplast เป็ น plastids ที่ไม่ มีสีเป็ นแหล่ งสะสม อำหำรของพืช สะสมแป้ง เรียก amyloplast สะสม protein proteinoplast สะสม lipid elaioplast Ribosome ประกอบด้ วย rRNA (ribosomal RNA) และ protein มี 2 subunit คือ large subunit และ small subunit หลำยๆ ribosome มำรวมกันเรียก polysome หรือ polyribosome Prokaryote จะมี ribosome ขนำด 70S - large subunit ขนำด 50S - small subunit ขนำด 30S Eukaryote จะมี ribosome ขนำด 80S - large subunit ขนำด 60S - small subnit ขนำด 40S (S - Svedberg unit of sedimentation coefficient - ค่ ำควำมเร็วในกำร ตกตะกอน) หน้ ำที่ของ ribosome - สร้ ำงโปรตีน ชนิดของ ribosome 1. Ribosome ที่ตดิ อยู่ท่ ผี ิวของ endoplasmic reticulum จะทำหน้ ำที่สร้ ำงโปรตีนและ ส่ งออกนอกเซลล์ 2. Ribosome ที่อยู่เป็ นกลุ่มอิสระใน cytoplasm ทำหน้ ำที่สร้ ำง protein ไว้ ภำยใน เซลล์ Organelles ที่มีระบบ endomembrane system 1. smooth and rough endoplasmic reticulum (ER) 2. golgi body 3. lysosome 4. vacuole 5. microbodies ER-endoplasmic reticulum เป็ น internal membrane ที่พับไปมำ ลักษณะเป็ นกระเปำะ (vesicle หรือเป็ น ถุงแบน (cisternae) ช่ องภำยในเรียก internal space ER จะเชื่อมต่ อกับ golgi body, lysosome nuclear membrane และ cell membrane endoplasmic = with in the plasm (ภำยใน cytoplasm) reticulum = net work Membrane ของ endoplasmic reticulum จะบำงกว่ ำ plasma membrane โดยมีอัตรำส่ วน ระหว่ ำง protein : lipid สูงกว่ ำ ER มี 2 ชนิด คือ (1.) RER (rough endoplasmic reticulum) เนื่องจำกมี ribosome มำเกำะที่ผิว membrane ทำให้ ผิวขรุ ขระ หน้ ำที่ สังเครำะห์ proteine และลำเลียงออก นอกเซลล์ ทำงำนร่ วมกับ smooth endoplasmic reliculum (SER) และ golgibidy โปรตีนที่สร้ ำงบน rough ER จะถูกส่ งไป ยัง membrane อื่นได้ หรือหลั่งออกจำก เซลล์ โดย transport vesicle ที่สร้ ำงขึน้ จำก membrane budding และส่ งไปยัง cellular membrane ที่ตำแหน่ งต่ ำงๆ (2.) SER (smooth endoplasmic reticulum) ผิวของ membrane จะเรียบเนื่องจำกไม่ มี ribsome เกำะที่ผิว หน้ ำที่ - สังเครำะห์ lipid และ carbohydrate, ฮอร์ โมนและ steroide - ทำลำยพิษ (detoxification) RER พบใน cell ตับส่ วน SER มักพบในเซลล์ ท่ มี ีกำร สร้ ำง steroid hormone golgi body (golgi apparatus) golgi complex dictyosome (ในพืช) รูปร่ ำงคล้ ำยถุงหรือ series of flattened membrane-bounded cisternae (saccules) ลักษณะคล้ ำยจำนแบนๆ เรียงซ้ อนกันเป็ น ชัน้ ๆ คล้ ำยถุง (cisternae) cisternae มำ รวมกันเป็ นชัน้ ๆ วำงขนำนกันเรียก dictyosome (ในพืช) ในสัตว์ เรียก golgi stack หน้ ำที่ของ golgi comple 1. กำจัดสำร ที่เป็ นผลผลิตภำยในเซลล์ ที่ต้องขับออกมำ (export product) 2. สร้ ำง cell plate ในพืช 3. สร้ ำงเมือก mucilage ใน root cap (cell หมวกรำก) ในกำรขนส่ งโปรตีนออกนอกเซลล์ ต้ องมีกำรทำงำนรวมกันคือ Endoplasmic reticulum (ER) golgi complex และ nucleus จะทำงำนร่ วมกัน เพื่อขนส่ งโปรตีนออกนอกเซลล์ กระบวนกำรทำงำนมีดังนี ้ 1. protein บำงส่ วนเคลื่อนที่ออกจำก nucleus เข้ ำสู่ cytoplasm แล้ วเคลื่อนย้ ำยสู่ RER และ protein บำงส่ วนที่สังเครำะห์ จำก RER มีกระบวนกำรเปลี่ยนแปลงรูปร่ ำง (process and modified) 2. มีกำรรวมตัวระหว่ ำง protein และ lipid ใน space ของ SER 3. มีกระบวนกำร budding ของ vesicle (ภำยในมี protein และ lipid) หลัง จำกนัน้ เคลื่อนเข้ ำสู่ golgi body 4. มีกำร modified ของ protein และ lipid เช่ น เกิดกระบวนกำร glycosylation ได้ glycoprotein (เติมนำ้ ตำลให้ protein) แล้ วถูกส่ งออกจำก golgi complex 5. Vesicle ที่ budding จำก membrane ของ golgi body จะเคลื่อนไปยัง cell membrane โดยกระบวนกำร exocytosis lysosome เป็ นถุงหรือกระเปรำะ (Vesicle) มี เยื่อหุ้มชัน้ เดียวมีขนำดเส้ นผ่ ำศูนย์ กลำง 0.5-1.0 mm มี hydrolytic enzyme และ digestive enzyme หลำยชนิด ในสภำพปกติ enzyme เหล่ ำนีจ้ ะ inactive จะถูกกัน้ ไว้ ด้วย lysosomal membrane หน้ ำที่ intracellular digestion (ย่ อยสำรต่ ำงๆ) พวก biomolecule ให้ เป็ นสำรโมเลกุลเล็กโดย ปฏิกิริยำ hydrolysis หรือย่ อยสำรหรือ โครงสร้ ำงเซลล์ ท่ ใี ช้ ไม่ ได้ แล้ ว รวมทัง้ สิ่ง แปลกปลอม ถ้ ำ membrane ฉีกขำดจะมีกำร ย่ อยตัวเองได้ (autolysis) โดยจะย่ อยตัวเองเมื่อ เซลล์ อ่อนแอ lysosome มีควำมสัมพันธ์ กับ ER และ golgi complex Vacuole มีลักษณะเป็ นถุง มีเยื่อหุ้มชัน้ เดียว เรียก Tonoplast ของเหลวภำยในเรียก cell sap cell พืชอำยุมำก Vacuole จะขนำดใหญ่ เรียก large central vacuole อำจกินเนือ้ ที่ถงึ 90% ของเซลล์ เป็ นตัวที่ทำให้ เกิดแรงดันทำ ให้ เซลล์ คงสภำพ นำ้ เป็ นส่ วนประกอบที่สำคัญของ vacuole อำจ มีรงควัตถุท่ ลี ะลำยนำ้ ได้ เช่ น anthocyanin หรือผลึกของ calcium oxalate พวก essentialoil ต่ ำงๆ นอกจำกนีย้ ังมี organic acid เช่ น Citric acid ในพืช ตระกูลส้ ม มะนำว มะกรูด alkaloid เช่ น Caffein, tannin enzyme เช่ น Peroxidase hydrolase หน้ ำที่ของ Vacuole 1. เป็ นแหล่ งเก็บสะสมสำร ต่ ำงๆ 2. แหล่ งควบคุมแรงดัน 3. กำจัดของเสียภำยใน cell Vacuole มี 3 ชนิด คือ 1. Sap vacuole พบในพืชเท่ ำนัน้ ใน cell ที่มีอำยุมำกจะมีขนำดใหญ่ เกือบเต็ม cell 2. Contractile vacuole ใน protozoa vacuole ที่หดตัวได้ 3. food vacuole พบใน cell สัตว์ ใช้ สะสมสำรไว้ เพื่อส่ งต่ อไป เช่ น protozoa นำ food particte เข้ ำเซลล์ โดย phagocytosis เกิด เป็ น food vacuole Microbodies เป็ นถุงที่มีเยื่อหุ้ม มี enzyme มำกมำยหลำย ชนิด รูปร่ ำงเป็ นรูปไข่ เส้ นผ่ ำศูนย์ กลำง ประมำณ 0.5 ไมครอน แบ่ งเป็ น 3 ชนิด peroxisomes, glyoxysomes, spherosomes Peroxisomes คือ microbodies มี enzyme ที่ทำ ให้ นำ้ แตกตัว และมีเยื่อหุ้มชัน้ เดียว มี enzyme catalase อยู่มำก พบมำกในเมล็ดที่ กำลังงอก เพื่อเปลี่ยนแป้งให้ เป็ นนำ้ ตำล หน้ ำที่ของ peroxisomes 1. กำรหำยใจแสง โดย glycolic acid ซึ่งเป็ น ผลพลอยได้ จำกกำรสังเครำะห์ ด้วยแสง จะผ่ ำนจำก chloroplast เข้ ำไปใน peroxisome ถูกย่ อยสลำยโดย O2 และ ได้ hydrogen peroxide (H2O2) 2. metabolism ของ purine ป้องกันเซลล์ เนื่องจำก enzyme พวก Oxidase จะ oxidise สำรต่ ำงๆ แล้ วได้ H2O2 ซึ่งเป็ นพิษต่ อเซลล์ ดังนัน้ enzyme catalase จะเปลี่ยน H2O2 ให้ เป็ น H2O และ O2 3. สังเครำะห์ คำร์ โบไฮเดรท glyoxysome เป็ น microbody ทีพ ่ บใน cell พืช โดยเฉพำะใน cell ของเมล็ดที่กำลังงอก มี enzyme malate synthetase หน้ ำที่ เกี่ยวข้ องกับ metabolism ของ ไขมัน Spherosome microbody ขนำดเล็กพบใน cell พืชที่ทำหน้ ำที่สังเครำะห์ ด้วยแสง หน้ ำที่ - เกี่ยวกับ photorespiration organell ทีท่ ำหน้ ำทีเ่ ป็ นโครงกระดูกของ cell (cytoskeleton) เป็ นโครงสร้ ำงภำยในของเซลล์ สร้ ำง ขั้นจำก fiber อย่ ำงน้ อย 3 ชนิด - ทำให้ เซลล์ คงรูปทำหน้ ำที่เป็ น frame work ของเซลล์ ช่ วยในกำรเคลื่อนที่เช่ นกำรหดตัวของกล้ ำมเนือ้ กำรพัดโบกของ cilia และ flagella กำรแบ่ ง cell กำรเคลื่อนที่ของ chromosome cytoskeleton ส่ วนมำกจะแยกจำก กันและกลับเข้ ำไปรวมกันใหม่ ได้ อย่ ำง รวดเร็วในรูปแบบใหม่ ทำให้ รูปร่ ำงของ cell เปลี่ยนไป cytoskeleton แบ่ งตำมโครงสร้ ำง และหน้ ำที่เป็ น microtubules microfilament intermediate filament Microtubules เป็ นโครงสร้ ำงใหญ่ ท่ สี ุดของ cytoskeleten เป็ นโครงกระดูกของ cell เป็ นท่ อกลวงที่มี protein tubulin เป็ นหน่ วยย่ อย ประกอบด้ วยหลำย polymer ยำวเรียก protofilamat ซึ่งประกอบด้ วย subumit ที่ เป็ นสำยยำว protein tubulin เป็ นหน่ วยย่ อยมี unit แตกต่ ำงกัน 2 unit เรียก heterodimers แบ่ ง ได้ เป็ น heterodimers - a-tubulin - b-tubulin หน้ ำที่ของ microtubules รักษำรูปร่ ำงของเซลล์ กำรเคลื่อนที่ของเซลล์ ช่ วยในกำรแบ่ งเซลล์ พบใน axon dendrite นอกจำกนีพ้ บใน cilia, flagella, centriole Microfilament เป็ น filament ที่มีเส้ นผ่ ำศูนย์ กลำงเล็กกว่ ำ microtubule หน่ วยย่ อยคือ protein actin monomer คือ G actin เมื่อถูก polymerization เป็ น F actin มีโครงสร้ ำงที่เป็ นเส้ นใยที่มีลักษณะเป็ น ระบบท่ อเช่ นเดียวกับ microtubule แต่ ขนำดเล็ก กว่ ำเชื่อมต่ อกับ cell membrane และสำนต่ อกันเป็ น ร่ ำงแห เป็ นโครงสร้ ำงเล็กที่สุดใน cytoskeleton - พบ microfilament ทัง้ ในเซลล์ พืชและ สัตว์ โดยเฉพำะเซลล์ ท่ มี ีหน้ ำที่เกี่ยวกับกำร เคลื่อนที่โดยกระบวนกำร polymerization และ depolarization อย่ ำงรวดเร็ว - ทำหน้ ำที่เกี่ยวกับกำรหดตัวของ fibril ของ cell กล้ ำมเนือ้ - เกี่ยวกับกำรเคลื่อนไหวในกำรแบ่ งไซโต พลำสซึม microtubules ใช้ สร้ ำง centrioles และ basal bodies มีกำรเรียงตัวแบบ 9+3 9 คือกลุ่มท่ อเล็ก 3 คือจำนวนท่ อตรงกลำง Intermediated filament สร้ ำงจำกโปรตีนหลำยชนิดและเป็ นโครงสร้ ำง ที่ stable ประกอบด้ วย 8 protofilament ลักษณะเป็ นรูปแท่ งปลำยซ้ อนกัน ตำรำงเปรียบเทียบควำมแตกต่ ำงของโครงสร้ ำงและหน้ ำทีข่ อง microtubule microfilament, และ intermediated filament (Becker and Deamer, 1991) โครงสร้าง เส้นผ่าศูนย์ กลาง Monomer Microtubule Mirofilament ท่อแคบๆ ผนัง ประกอบด้วย 13 protofilamet ภายนอก 25 nm ภายใน 15 nm a-tubulin b-tubulin ประกอบด้วย 2 สาย ของ F-ctin 7 nm G-actin Intermediated fiament 8 protofilament ต่อกันโดยปลาย ซ้อนกัน 8-12 nm โปรตีนหลายๆ ชนิ ด Microtubule หน้าที่ การเคลื่อนที่ของ เซลล์รักษารู ปร่ าง ของเซลล์สตั ว์ Mirofilament Intermediated fiament -support โครงสร้าง -รักษารูปร่างของ เซลล์ -การหดตัวของกล้าม เนื้อและ amoeboid movement การเคลื่อนที่ของเซลล์ การเปลี่ยนตาแหน่ง (cell locomotion การ -ทำให้ axon แข็งแรง และการเคลื่อนที่ของ ไหลเวียนของไซโท มากขึ้น organelle พลาซึม การแบ่งเซลล์ รักษารู ปร่ างของเซลล์ สัตว์ organelles ที่ช่วยในกำรแบ่ งเซลล์ centriole พบในสัตว์ (ในพืชจะมีpolar cap ทำ หน้ ำที่คล้ ำย centriol) ลักษณะเป็ นท่ อกลวง ควำมยำว 300-500 mm centriol 2 อัน มักเรียงตัวในแนวตัง้ ฉำก เรียก centrosome ประกอบด้ วย mirotubule เรียงกัน 9 ชุด แต่ ละชุดมี 3 subfiber คือ A B C บริเวณแกนกลำงไม่ มี microtubule เรียกกำร เรียงตัวนีว้ ่ ำ 9+0 9 คือ กลุ่มที่มีท่อเล็ก 0 คือ จำนวนท่ อตรงกลำง หน้ ำที่ของ centriole 1. สร้ ำง spindle fiberช่ วยเกี่ยวกับกำรเคลื่อน ที่ ของ chromosome ในขณะแบ่ งเซลล์ 2. ทำหน้ ำที่เป็ น based body อยู่ท่ ฐี ำนของ cilia และ flagella เพื่อควบคุมกำรทำงำน โครงสร้ ำงที่ใช้ ในกำรเคลื่อนที่ - cilia ขนำดสัน้ ประมำณ 10 m - flagella ขนำดยำวประมำณ 150 m cilia และ flagella เป็ นโครงสร้ ำงที่ย่ นื ออกมำจำกผิวเซลล์ ใช้ ในกำรเคลื่อนที่ของ เซลล์ สร้ ำงจำก microtubule (9+2) 9 คือ กลุ่มที่มีท่อเล็ก 2 คือ จำนวนท่ อตรงกลำง โครงสร้ ำงของ cilia และ flagellum เหมือนกันคือชัน้ นอกสุดเป็ นเยื่อหุ้มเซลล์ ภำยในเป็ น matrix มีท่อรู ปทรงกระบอก ท่ อขนำดเล็กเรียงเป็ นวงเป็ นท่ อคู่มอี ยู่ 9 ชุด แต่ ละชุดมี 2 subfiber คือ A B ตรง กลำงเป็ นแกนมี 2 ชุดแต่ ละชุดมี 1 subfiber เขียนเป็ นสูตร 9+2 Ergastic substance (cytoplasmic inclusion) เป็ นแหล่ งเก็บอำหำรให้ เซลล์ เมื่อเกิด ควำมขำดแคลน หรือเก็บ byproduct ของเซลล์ ตัวอย่ ำงเช่ น คำร์ โบไฮเดรท - starch grain (พืช) โปรตีน - aleurone grain (พืช) - Zymogen granule (สัตว์ ) ไขมัน - fat and oil droplet (พืช) นอกจำกนีย้ ังพบ crystal - anthocyanin - tannin Cell พืชสร้ ำง cellulose และ polysaccharides อื่น สร้ ำงเป็ น cell wall Cell สัตว์ บำง cell คลุมไว้ ด้วย glycocalyx เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) ทุก cell จะล้ อมรอบด้ วยเยื่อหุ้มเซลล์ (plasma membrane) เกิดเป็ น cytoplasmic compartment ที่มีองค์ ประกอบของเซลล์ บรรจุอยู่ กำรมีเยื่อหุ้มเป็ นส่ วนๆ ทำให้ cell สำมำรถ มีกิจกรรมภำยในบริเวณเล็กๆ ของ cytoplasm ใช้ ในกำรทำให้ molecule เข้ มข้ น ขึน้ ใช้ เป็ นระบบเก็บพลังงำน และใช้ ใน กำรจัดระเบียบปฏิกริ ิยำ metabolism ภำยใน cell membrane membrane จะกำหนดขอบเขต cell และขอบเขตของ organelles ที่มีระบบ endomembrane (intracellular membrane) 1. Cell membrane หรือ plasma membrane ห่ อหุ้มส่ วนประกอบทั้งหมดของ Cell ไว้ โดยแยกส่ วนประกอบภำยใน Cell ออก จำก ส่ วนต่ ำงๆ ภำยนอก cell ส่ วนแรกของ cell ที่สัมผัสกับสิ่ งต่ ำงๆ ภำยนอก หน้ ำที่ของ membrane ควบคุมกำรผ่ ำนเข้ ำออกของสำรต่ ำงๆ สู่ cell ในปริมำณทีพ่ อเหมำะ (differentially permeable membrane) และคัดเลือกสำรผ่ ำนเข้ ำออก cell (Selectively permeable membrane) ทำให้ ปริมำณ สำรต่ ำงๆ ภำยใน cell มีปริมำณพอเหมำะ กิจกรรม ต่ ำงๆ และ metabolism ของ cell จะดำเนินไปด้ วยดี หน้ ำทีข่ อง m e m b r a n e 1. กำหนดขอบเขตของ c e l l membrane จะทำหน้ ำทีแ่ ยกส่ วนประกอบต่ ำงๆ ภำยในเซลล์ กับภำยนอก c e l l 2. กำรจดจำตำแหน่ ง บน cell membraneจะเป็ นทีอ่ ยู่ของ enzyme, s u b s t r a t e และ m o l e c u l e อืน่ ๆ ทีจ่ ำเป็ น membraneจะทำหน้ ำทีจ่ ดจำว่ ำ cell ใดเป็ นพวก เดียวกัน 3. ทำหน้ ำทีค่ วบคุมกำรเข้ ำออกของสำร membrane จะยอมให้ สำรผ่ ำนเข้ ำออกได้ ไม่ เท่ ำกัน โดยให้ นำ้ ผ่ ำนเข้ ำออกได้ สูง ส่ วนอิออนจะยอมให้ ผ่ำนตำ่ 4. เป็ นตัวตรวจจับและส่ งสั ญญำณ กิจกรรมต่ ำงๆ ภำยใน cell ทีจ่ ะเกิดขึน้ เช่ นกำรแบ่ ง cell และกำรเปลีย่ นแปลงรู ปร่ ำงของเซลล์ (cell differentiation) จะเกิดขึน้ ได้ เมือ่ มีสัญญำณที่ membrane 5. ทำหน้ ำทีต่ ิดต่ อระหว่ ำง cell กำรติดต่ อกันระหว่ ำง cell โดยที่ membrane ของพืชจะมี plasmodesmata ติดต่ อ ระหว่ ำง cell ทำให้ มกี ำรติดต่ อกันเรียก cytoplasmic connection ส่ วน cell สั ตว์ ติดต่ อทำง gap junction ประวัติเกีย่ วกับกำรศึกษำเรื่อง membrane membrane เป็ น semifluid (ลักษณะกึง่ เหลว) เหมือนทะเล (sea) ของ phosphlipid ซึ่ง มี protein ลอยอยู่ (floating) Singer and Nicolson : The fluid Mosaic Model 1972 S. Jonathan Singer and Garth Nicolson เสนอโครงสร้ ำงของ membrane แบบ Fluid Mosaic Model โดยกล่ ำวว่ ำ membrane ประกอบไปด้ วย 1 . L i p i d b i l a y e r คือ membrane มีช้ นั ของไขมันเรี ยงตัวเป็ นสองชั้น ลักษณะเป็ น amphipathic molecule คือหันด้านปลายที่ ไม่ชอบน้ า (hydrophobic region) เข้าหากัน และหัน ด้านปลายที่ชอบน้ า (hydrophilic region) ออกด้าน นอก ใน lipid bilayer ประกอบด้ วย lipid 3 ชนิด คือ 1. P h o s p h o l i p i d 2. C h o l e s t e r o l 3. glycolipid 2. Membrane protein Molecule ของ protein จะฝังตัวแทรกอยู่ในชั้นของ phospholipid และกระจำยอยู่บน bilayer อย่ ำงไม่ เป็ น ระเบียบ เรียก mosaic ทั้ง lipid bilayer และ molecule ของ protein สำมำรถเคลือ่ นทีไ่ ด้ คล้ ำยของเหลว (fluid) ภำยใต้ ขอบเขตของ b i l a y e r Protein แบ่ งเป็ น 2 ชนิด คือ 1. Integral membrane protein เป็ น protein ฝังอยูด่ า้ นในของ membrane มี ลักษณะเป็ น hydrophobic แยกจาก membrane ได้ยาก ทาหน้าที่ส่งสารเข้าสู่ cell เรี ยก intrinsic protein มัก มีสายของคาร์โบไฮเดรทเกาะอยูท่ ี่บริ เวณส่ วนของ โปรตีนที่โผล่ข้ ึนมาจาก membrane ชั้นนอก 2. Peripheral membrane protein เป็ น membrane ทีอ่ ยู่ทผี่ วิ ด้ ำนนอกของ membrane มีลกั ษณะเป็ น hydrophilic แยก จำก membrane ได้ ง่ำยเรียก extrinsic protein ถ้า lipid ใน bilayer ของ membrane เป็ น unsaturated hydro carbon ทาให้ membrane มีความ ยืดหยุน่ เพิม่ fluidity membrane จะไม่รวมตัวเหนียว จะมีลกั ษณะยืดหยุน่ ถ้า hydrocarbon เป็ นพวก saturated ทาให้ membrane มีลกั ษณะเหนียว ไม่ยดื หยุน่ ถ้า membrane มี cholesterol เป็ นส่ วนประกอบ อยูม่ ากจะลด fluidity ของ membrane ลง กำรเคลือ่ นย้ ำยสำรผ่ ำน membrane membrane - คัดเลือกสำรผ่ ำนเข้ ำออก cell - คัดเลือกสำรมีข้วั (polar) กับ สำรไม่ มี ขั้ว (non polar) ปัจจัยทีม่ ผี ลต่ อกำรเคลือ่ นทีข่ องสำรผ่ ำน membrane 1. ขนำด Molecule ขนำดเล็ก จะเคลือ่ นทีผ่ ่ ำน membrane ได้ ดกี ว่ ำ Molecule ใหญ่ 2. Polarity สำรพวก non polar จะเคลือ่ นทีผ่ ่ ำน membrane ได้ ง่ำยกว่ ำสำรพวก polar 3. Ionic สำรทีไ่ ม่ มปี ระจุจะเคลือ่ นทีผ่ ่ ำน membrane ได้ ง่ำยกว่ ำสำรทีม่ ปี ระจุ สำรที่เป็ น hydrphobic ขนำดเล็กจะ แพร่ ผ่ำน membrane ได้ เร็วเหมือนกับ molecule ไม่ มีข้วั Molecule ทีไ่ ม่ มีประจุแต่ ขนำดใหญ่ จะ เคลือ่ นที่ได้ ช้ำ