Transcript Plastid

Plastid
Chromoplast
มีรงควัตถุท่ สี ำคัญคือ carotenoid คือ
พวก carotene และ xanthophyll มีสีส้มและ
สีเหลือง พบมำกในผลไม้ สุก ใบที่กำลังร่ วง
, กลีบดอกไม้
Plastid
Leucoplast
เป็ น plastids ที่ไม่ มีสีเป็ นแหล่ งสะสม
อำหำรของพืช
สะสมแป้ง
เรียก amyloplast
สะสม protein
proteinoplast
สะสม lipid
elaioplast
Ribosome
ประกอบด้ วย rRNA (ribosomal RNA)
และ protein มี 2 subunit คือ large subunit
และ small subunit
หลำยๆ ribosome มำรวมกันเรียก
polysome หรือ polyribosome
Prokaryote จะมี ribosome ขนำด
70S
- large subunit ขนำด 50S
- small subunit ขนำด 30S
Eukaryote จะมี ribosome ขนำด
80S
- large subunit ขนำด 60S
- small subnit ขนำด 40S
(S - Svedberg unit of sedimentation
coefficient - ค่ ำควำมเร็วในกำร
ตกตะกอน)
หน้ ำที่ของ ribosome
- สร้ ำงโปรตีน
ชนิดของ ribosome
1. Ribosome ที่ตดิ อยู่ท่ ผี ิวของ endoplasmic
reticulum จะทำหน้ ำที่สร้ ำงโปรตีนและ
ส่ งออกนอกเซลล์
2. Ribosome ที่อยู่เป็ นกลุ่มอิสระใน
cytoplasm ทำหน้ ำที่สร้ ำง protein ไว้ ภำยใน
เซลล์
Organelles ที่มีระบบ endomembrane system
1. smooth and rough endoplasmic
reticulum (ER)
2. golgi body
3. lysosome
4. vacuole
5. microbodies
ER-endoplasmic reticulum เป็ น internal
membrane ที่พับไปมำ
ลักษณะเป็ นกระเปำะ (vesicle หรือเป็ น
ถุงแบน (cisternae) ช่ องภำยในเรียก internal
space
ER จะเชื่อมต่ อกับ golgi body, lysosome
nuclear membrane และ cell membrane
endoplasmic = with in the plasm
(ภำยใน cytoplasm)
reticulum = net work
Membrane ของ endoplasmic
reticulum จะบำงกว่ ำ plasma
membrane โดยมีอัตรำส่ วน
ระหว่ ำง protein : lipid สูงกว่ ำ
ER มี 2 ชนิด คือ
(1.) RER (rough endoplasmic reticulum)
เนื่องจำกมี ribosome มำเกำะที่ผิว
membrane ทำให้ ผิวขรุ ขระ
หน้ ำที่ สังเครำะห์ proteine และลำเลียงออก
นอกเซลล์ ทำงำนร่ วมกับ smooth
endoplasmic reliculum (SER) และ golgibidy
โปรตีนที่สร้ ำงบน rough ER จะถูกส่ งไป
ยัง membrane อื่นได้ หรือหลั่งออกจำก
เซลล์ โดย transport vesicle ที่สร้ ำงขึน้ จำก
membrane budding และส่ งไปยัง cellular
membrane ที่ตำแหน่ งต่ ำงๆ
(2.) SER (smooth endoplasmic reticulum)
ผิวของ membrane จะเรียบเนื่องจำกไม่ มี
ribsome เกำะที่ผิว
หน้ ำที่ - สังเครำะห์ lipid และ
carbohydrate, ฮอร์ โมนและ steroide
- ทำลำยพิษ (detoxification)
RER พบใน cell ตับส่ วน
SER มักพบในเซลล์ ท่ มี ีกำร
สร้ ำง steroid hormone
golgi body (golgi apparatus)
golgi complex
dictyosome (ในพืช)
รูปร่ ำงคล้ ำยถุงหรือ series of flattened
membrane-bounded cisternae (saccules)
ลักษณะคล้ ำยจำนแบนๆ เรียงซ้ อนกันเป็ น
ชัน้ ๆ คล้ ำยถุง (cisternae) cisternae มำ
รวมกันเป็ นชัน้ ๆ วำงขนำนกันเรียก
dictyosome (ในพืช) ในสัตว์ เรียก golgi
stack
หน้ ำที่ของ golgi comple
1. กำจัดสำร ที่เป็ นผลผลิตภำยในเซลล์
ที่ต้องขับออกมำ (export product)
2. สร้ ำง cell plate ในพืช
3. สร้ ำงเมือก mucilage ใน root cap
(cell หมวกรำก)
ในกำรขนส่ งโปรตีนออกนอกเซลล์
ต้ องมีกำรทำงำนรวมกันคือ
Endoplasmic reticulum (ER)
golgi complex และ nucleus จะทำงำนร่ วมกัน
เพื่อขนส่ งโปรตีนออกนอกเซลล์
กระบวนกำรทำงำนมีดังนี ้
1. protein บำงส่ วนเคลื่อนที่ออกจำก
nucleus เข้ ำสู่ cytoplasm แล้ วเคลื่อนย้ ำยสู่
RER และ protein บำงส่ วนที่สังเครำะห์ จำก
RER มีกระบวนกำรเปลี่ยนแปลงรูปร่ ำง
(process and modified)
2. มีกำรรวมตัวระหว่ ำง protein และ
lipid ใน space ของ SER
3. มีกระบวนกำร budding ของ
vesicle (ภำยในมี protein และ lipid)
หลัง จำกนัน้ เคลื่อนเข้ ำสู่ golgi body
4. มีกำร modified ของ protein และ lipid
เช่ น เกิดกระบวนกำร glycosylation ได้
glycoprotein (เติมนำ้ ตำลให้
protein)
แล้ วถูกส่ งออกจำก golgi
complex
5. Vesicle ที่ budding จำก membrane ของ
golgi body จะเคลื่อนไปยัง cell
membrane โดยกระบวนกำร
exocytosis
lysosome
เป็ นถุงหรือกระเปรำะ (Vesicle) มี
เยื่อหุ้มชัน้ เดียวมีขนำดเส้ นผ่ ำศูนย์ กลำง
0.5-1.0 mm
มี hydrolytic enzyme และ digestive
enzyme หลำยชนิด
ในสภำพปกติ enzyme เหล่ ำนีจ้ ะ
inactive จะถูกกัน้ ไว้ ด้วย
lysosomal membrane
หน้ ำที่
intracellular digestion (ย่ อยสำรต่ ำงๆ)
พวก biomolecule ให้ เป็ นสำรโมเลกุลเล็กโดย
ปฏิกิริยำ hydrolysis หรือย่ อยสำรหรือ
โครงสร้ ำงเซลล์ ท่ ใี ช้ ไม่ ได้ แล้ ว รวมทัง้ สิ่ง
แปลกปลอม ถ้ ำ membrane ฉีกขำดจะมีกำร
ย่ อยตัวเองได้ (autolysis) โดยจะย่ อยตัวเองเมื่อ
เซลล์ อ่อนแอ
lysosome มีควำมสัมพันธ์
กับ ER และ golgi complex
Vacuole
มีลักษณะเป็ นถุง มีเยื่อหุ้มชัน้ เดียว
เรียก Tonoplast ของเหลวภำยในเรียก cell
sap
cell พืชอำยุมำก Vacuole จะขนำดใหญ่
เรียก large central vacuole อำจกินเนือ้ ที่ถงึ
90% ของเซลล์ เป็ นตัวที่ทำให้ เกิดแรงดันทำ
ให้ เซลล์ คงสภำพ
นำ้ เป็ นส่ วนประกอบที่สำคัญของ vacuole อำจ
มีรงควัตถุท่ ลี ะลำยนำ้ ได้ เช่ น anthocyanin
หรือผลึกของ calcium oxalate พวก essentialoil
ต่ ำงๆ นอกจำกนีย้ ังมี
organic acid เช่ น Citric acid ในพืช
ตระกูลส้ ม มะนำว มะกรูด
alkaloid เช่ น Caffein, tannin
enzyme เช่ น Peroxidase hydrolase
หน้ ำที่ของ Vacuole
1. เป็ นแหล่ งเก็บสะสมสำร
ต่ ำงๆ
2. แหล่ งควบคุมแรงดัน
3. กำจัดของเสียภำยใน cell
Vacuole มี 3 ชนิด คือ
1. Sap vacuole พบในพืชเท่ ำนัน้ ใน cell
ที่มีอำยุมำกจะมีขนำดใหญ่ เกือบเต็ม
cell
2. Contractile vacuole ใน protozoa vacuole
ที่หดตัวได้
3. food vacuole
พบใน cell สัตว์ ใช้ สะสมสำรไว้
เพื่อส่ งต่ อไป เช่ น protozoa นำ food
particte เข้ ำเซลล์ โดย phagocytosis เกิด
เป็ น food vacuole
Microbodies
เป็ นถุงที่มีเยื่อหุ้ม มี enzyme มำกมำยหลำย
ชนิด
รูปร่ ำงเป็ นรูปไข่ เส้ นผ่ ำศูนย์ กลำง
ประมำณ 0.5 ไมครอน
แบ่ งเป็ น 3 ชนิด
peroxisomes, glyoxysomes, spherosomes
Peroxisomes
คือ microbodies มี enzyme ที่ทำ
ให้ นำ้ แตกตัว และมีเยื่อหุ้มชัน้ เดียว มี
enzyme catalase อยู่มำก พบมำกในเมล็ดที่
กำลังงอก เพื่อเปลี่ยนแป้งให้ เป็ นนำ้ ตำล
หน้ ำที่ของ peroxisomes
1.
กำรหำยใจแสง โดย glycolic acid ซึ่งเป็ น
ผลพลอยได้ จำกกำรสังเครำะห์ ด้วยแสง
จะผ่ ำนจำก chloroplast เข้ ำไปใน
peroxisome ถูกย่ อยสลำยโดย O2 และ
ได้ hydrogen peroxide (H2O2)
2. metabolism ของ purine
ป้องกันเซลล์ เนื่องจำก enzyme พวก
Oxidase จะ oxidise สำรต่ ำงๆ แล้ วได้ H2O2
ซึ่งเป็ นพิษต่ อเซลล์
ดังนัน้ enzyme catalase จะเปลี่ยน H2O2 ให้
เป็ น H2O และ O2
3. สังเครำะห์ คำร์ โบไฮเดรท
glyoxysome
เป็ น microbody ทีพ
่ บใน cell พืช
โดยเฉพำะใน cell ของเมล็ดที่กำลังงอก
มี enzyme malate synthetase
หน้ ำที่ เกี่ยวข้ องกับ metabolism ของ
ไขมัน
Spherosome
microbody ขนำดเล็กพบใน cell
พืชที่ทำหน้ ำที่สังเครำะห์ ด้วยแสง
หน้ ำที่
- เกี่ยวกับ photorespiration
organell ทีท่ ำหน้ ำทีเ่ ป็ นโครงกระดูกของ cell
(cytoskeleton) เป็ นโครงสร้ ำงภำยในของเซลล์ สร้ ำง
ขั้นจำก fiber อย่ ำงน้ อย 3 ชนิด
-
ทำให้ เซลล์ คงรูปทำหน้ ำที่เป็ น frame work ของเซลล์
ช่ วยในกำรเคลื่อนที่เช่ นกำรหดตัวของกล้ ำมเนือ้
กำรพัดโบกของ cilia และ flagella
กำรแบ่ ง cell
กำรเคลื่อนที่ของ chromosome
cytoskeleton ส่ วนมำกจะแยกจำก
กันและกลับเข้ ำไปรวมกันใหม่ ได้ อย่ ำง
รวดเร็วในรูปแบบใหม่ ทำให้ รูปร่ ำงของ
cell เปลี่ยนไป
cytoskeleton แบ่ งตำมโครงสร้ ำง
และหน้ ำที่เป็ น
microtubules
microfilament
intermediate filament
Microtubules
เป็ นโครงสร้ ำงใหญ่ ท่ สี ุดของ cytoskeleten
เป็ นโครงกระดูกของ cell เป็ นท่ อกลวงที่มี
protein tubulin เป็ นหน่ วยย่ อย
ประกอบด้ วยหลำย polymer ยำวเรียก
protofilamat ซึ่งประกอบด้ วย subumit ที่
เป็ นสำยยำว
protein tubulin เป็ นหน่ วยย่ อยมี unit
แตกต่ ำงกัน 2 unit เรียก heterodimers แบ่ ง
ได้ เป็ น
heterodimers
- a-tubulin
- b-tubulin
หน้ ำที่ของ microtubules
รักษำรูปร่ ำงของเซลล์
กำรเคลื่อนที่ของเซลล์
ช่ วยในกำรแบ่ งเซลล์
พบใน axon dendrite นอกจำกนีพ้ บใน
cilia, flagella, centriole
Microfilament
เป็ น filament ที่มีเส้ นผ่ ำศูนย์ กลำงเล็กกว่ ำ
microtubule
หน่ วยย่ อยคือ protein actin monomer คือ G
actin เมื่อถูก polymerization เป็ น F actin
มีโครงสร้ ำงที่เป็ นเส้ นใยที่มีลักษณะเป็ น
ระบบท่ อเช่ นเดียวกับ microtubule แต่ ขนำดเล็ก
กว่ ำเชื่อมต่ อกับ cell membrane และสำนต่ อกันเป็ น
ร่ ำงแห เป็ นโครงสร้ ำงเล็กที่สุดใน cytoskeleton
- พบ microfilament ทัง้ ในเซลล์ พืชและ
สัตว์ โดยเฉพำะเซลล์ ท่ มี ีหน้ ำที่เกี่ยวกับกำร
เคลื่อนที่โดยกระบวนกำร polymerization และ
depolarization อย่ ำงรวดเร็ว
- ทำหน้ ำที่เกี่ยวกับกำรหดตัวของ fibril
ของ cell กล้ ำมเนือ้
- เกี่ยวกับกำรเคลื่อนไหวในกำรแบ่ งไซโต
พลำสซึม
microtubules ใช้ สร้ ำง centrioles และ basal
bodies มีกำรเรียงตัวแบบ 9+3
9 คือกลุ่มท่ อเล็ก
3 คือจำนวนท่ อตรงกลำง
Intermediated filament
สร้ ำงจำกโปรตีนหลำยชนิดและเป็ นโครงสร้ ำง
ที่ stable ประกอบด้ วย 8 protofilament
ลักษณะเป็ นรูปแท่ งปลำยซ้ อนกัน
ตำรำงเปรียบเทียบควำมแตกต่ ำงของโครงสร้ ำงและหน้ ำทีข่ อง
microtubule microfilament, และ intermediated filament
(Becker and Deamer, 1991)
โครงสร้าง
เส้นผ่าศูนย์
กลาง
Monomer
Microtubule
Mirofilament
ท่อแคบๆ ผนัง
ประกอบด้วย 13
protofilamet
ภายนอก 25 nm
ภายใน 15 nm
a-tubulin
b-tubulin
ประกอบด้วย 2
สาย ของ F-ctin
7 nm
G-actin
Intermediated
fiament
8 protofilament
ต่อกันโดยปลาย
ซ้อนกัน
8-12 nm
โปรตีนหลายๆ
ชนิ ด
Microtubule
หน้าที่ การเคลื่อนที่ของ
เซลล์รักษารู ปร่ าง
ของเซลล์สตั ว์
Mirofilament
Intermediated
fiament
-support โครงสร้าง
-รักษารูปร่างของ
เซลล์
-การหดตัวของกล้าม
เนื้อและ amoeboid
movement
การเคลื่อนที่ของเซลล์
การเปลี่ยนตาแหน่ง (cell locomotion การ -ทำให้ axon แข็งแรง
และการเคลื่อนที่ของ ไหลเวียนของไซโท มากขึ้น
organelle
พลาซึม การแบ่งเซลล์
รักษารู ปร่ างของเซลล์
สัตว์
organelles ที่ช่วยในกำรแบ่ งเซลล์
centriole
พบในสัตว์ (ในพืชจะมีpolar cap ทำ
หน้ ำที่คล้ ำย centriol) ลักษณะเป็ นท่ อกลวง
ควำมยำว 300-500 mm
centriol 2 อัน มักเรียงตัวในแนวตัง้ ฉำก
เรียก centrosome ประกอบด้ วย mirotubule
เรียงกัน 9 ชุด แต่ ละชุดมี 3 subfiber คือ A B C
บริเวณแกนกลำงไม่ มี microtubule เรียกกำร
เรียงตัวนีว้ ่ ำ 9+0
9 คือ กลุ่มที่มีท่อเล็ก
0 คือ จำนวนท่ อตรงกลำง
หน้ ำที่ของ centriole
1. สร้ ำง spindle fiberช่ วยเกี่ยวกับกำรเคลื่อน
ที่ ของ chromosome ในขณะแบ่ งเซลล์
2. ทำหน้ ำที่เป็ น based body อยู่ท่ ฐี ำนของ
cilia และ flagella เพื่อควบคุมกำรทำงำน
โครงสร้ ำงที่ใช้ ในกำรเคลื่อนที่
- cilia ขนำดสัน้ ประมำณ 10 m
- flagella ขนำดยำวประมำณ 150 m
cilia และ flagella เป็ นโครงสร้ ำงที่ย่ นื
ออกมำจำกผิวเซลล์ ใช้ ในกำรเคลื่อนที่ของ
เซลล์ สร้ ำงจำก microtubule (9+2)
9 คือ กลุ่มที่มีท่อเล็ก
2 คือ จำนวนท่ อตรงกลำง
โครงสร้ ำงของ cilia และ flagellum
เหมือนกันคือชัน้ นอกสุดเป็ นเยื่อหุ้มเซลล์
ภำยในเป็ น matrix มีท่อรู ปทรงกระบอก
ท่ อขนำดเล็กเรียงเป็ นวงเป็ นท่ อคู่มอี ยู่ 9
ชุด แต่ ละชุดมี 2 subfiber คือ A B ตรง
กลำงเป็ นแกนมี 2 ชุดแต่ ละชุดมี 1
subfiber เขียนเป็ นสูตร 9+2
Ergastic substance (cytoplasmic inclusion)
เป็ นแหล่ งเก็บอำหำรให้ เซลล์ เมื่อเกิด
ควำมขำดแคลน หรือเก็บ byproduct ของเซลล์
ตัวอย่ ำงเช่ น
คำร์ โบไฮเดรท - starch grain (พืช)
โปรตีน
- aleurone grain (พืช)
- Zymogen granule (สัตว์ )
ไขมัน
- fat and oil droplet (พืช)
นอกจำกนีย้ ังพบ crystal
- anthocyanin
- tannin
Cell พืชสร้ ำง cellulose และ polysaccharides อื่น
สร้ ำงเป็ น cell wall
Cell สัตว์ บำง cell คลุมไว้ ด้วย glycocalyx
เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane)
ทุก cell จะล้ อมรอบด้ วยเยื่อหุ้มเซลล์
(plasma membrane) เกิดเป็ น cytoplasmic
compartment ที่มีองค์ ประกอบของเซลล์
บรรจุอยู่
กำรมีเยื่อหุ้มเป็ นส่ วนๆ ทำให้ cell สำมำรถ
มีกิจกรรมภำยในบริเวณเล็กๆ ของ
cytoplasm ใช้ ในกำรทำให้ molecule เข้ มข้ น
ขึน้ ใช้ เป็ นระบบเก็บพลังงำน และใช้ ใน
กำรจัดระเบียบปฏิกริ ิยำ metabolism
ภำยใน cell
membrane
membrane จะกำหนดขอบเขต cell
และขอบเขตของ organelles ที่มีระบบ
endomembrane (intracellular membrane)
1. Cell membrane หรือ plasma
membrane
ห่ อหุ้มส่ วนประกอบทั้งหมดของ Cell ไว้
โดยแยกส่ วนประกอบภำยใน Cell ออก
จำก
ส่ วนต่ ำงๆ ภำยนอก cell
ส่ วนแรกของ cell ที่สัมผัสกับสิ่ งต่ ำงๆ
ภำยนอก
หน้ ำที่ของ membrane
ควบคุมกำรผ่ ำนเข้ ำออกของสำรต่ ำงๆ สู่ cell
ในปริมำณทีพ่ อเหมำะ (differentially permeable
membrane) และคัดเลือกสำรผ่ ำนเข้ ำออก cell
(Selectively permeable membrane) ทำให้ ปริมำณ
สำรต่ ำงๆ ภำยใน cell มีปริมำณพอเหมำะ กิจกรรม
ต่ ำงๆ และ metabolism ของ cell จะดำเนินไปด้ วยดี
หน้ ำทีข่ อง
m e m b r a n e
1.
กำหนดขอบเขตของ
c e l l
membrane จะทำหน้ ำทีแ่ ยกส่ วนประกอบต่ ำงๆ
ภำยในเซลล์
กับภำยนอก
c e l l
2.
กำรจดจำตำแหน่ ง
บน cell membraneจะเป็ นทีอ่ ยู่ของ enzyme,
s u b s t r a t e และ m o l e c u l e อืน่ ๆ ทีจ่ ำเป็ น
membraneจะทำหน้ ำทีจ่ ดจำว่ ำ cell ใดเป็ นพวก
เดียวกัน
3. ทำหน้ ำทีค่ วบคุมกำรเข้ ำออกของสำร
membrane จะยอมให้ สำรผ่ ำนเข้ ำออกได้ ไม่ เท่ ำกัน
โดยให้ นำ้ ผ่ ำนเข้ ำออกได้ สูง ส่ วนอิออนจะยอมให้ ผ่ำนตำ่
4. เป็ นตัวตรวจจับและส่ งสั ญญำณ
กิจกรรมต่ ำงๆ ภำยใน cell ทีจ่ ะเกิดขึน้ เช่ นกำรแบ่ ง
cell และกำรเปลีย่ นแปลงรู ปร่ ำงของเซลล์ (cell
differentiation) จะเกิดขึน้ ได้ เมือ่ มีสัญญำณที่
membrane
5. ทำหน้ ำทีต่ ิดต่ อระหว่ ำง cell
กำรติดต่ อกันระหว่ ำง cell โดยที่
membrane ของพืชจะมี plasmodesmata ติดต่ อ
ระหว่ ำง cell ทำให้ มกี ำรติดต่ อกันเรียก
cytoplasmic connection
ส่ วน cell สั ตว์ ติดต่ อทำง gap junction
ประวัติเกีย่ วกับกำรศึกษำเรื่อง membrane
membrane เป็ น semifluid (ลักษณะกึง่
เหลว) เหมือนทะเล (sea) ของ phosphlipid ซึ่ง
มี protein ลอยอยู่ (floating)
Singer and Nicolson : The fluid Mosaic Model
1972 S. Jonathan Singer and Garth Nicolson
เสนอโครงสร้ ำงของ membrane แบบ Fluid Mosaic
Model โดยกล่ ำวว่ ำ membrane ประกอบไปด้ วย
1 .
L i p i d
b i l a y e r
คือ membrane มีช้ นั ของไขมันเรี ยงตัวเป็ นสองชั้น
ลักษณะเป็ น amphipathic molecule คือหันด้านปลายที่
ไม่ชอบน้ า (hydrophobic region) เข้าหากัน และหัน
ด้านปลายที่ชอบน้ า (hydrophilic region) ออกด้าน
นอก
ใน lipid bilayer ประกอบด้ วย
lipid 3 ชนิด คือ
1. P h o s p h o l i p i d
2. C h o l e s t e r o l
3. glycolipid
2.
Membrane
protein
Molecule ของ protein จะฝังตัวแทรกอยู่ในชั้นของ
phospholipid และกระจำยอยู่บน bilayer อย่ ำงไม่ เป็ น
ระเบียบ เรียก mosaic ทั้ง lipid bilayer และ molecule
ของ protein สำมำรถเคลือ่ นทีไ่ ด้ คล้ ำยของเหลว (fluid)
ภำยใต้ ขอบเขตของ
b i l a y e r
Protein
แบ่ งเป็ น 2 ชนิด คือ
1. Integral membrane protein
เป็ น protein ฝังอยูด่ า้ นในของ membrane มี
ลักษณะเป็ น hydrophobic แยกจาก membrane ได้ยาก
ทาหน้าที่ส่งสารเข้าสู่ cell เรี ยก intrinsic protein มัก
มีสายของคาร์โบไฮเดรทเกาะอยูท่ ี่บริ เวณส่ วนของ
โปรตีนที่โผล่ข้ ึนมาจาก membrane ชั้นนอก
2. Peripheral membrane protein
เป็ น membrane ทีอ่ ยู่ทผี่ วิ ด้ ำนนอกของ
membrane มีลกั ษณะเป็ น hydrophilic แยก
จำก membrane ได้ ง่ำยเรียก extrinsic protein
ถ้า lipid ใน bilayer ของ membrane เป็ น
unsaturated hydro carbon ทาให้ membrane มีความ
ยืดหยุน่ เพิม่ fluidity membrane จะไม่รวมตัวเหนียว
จะมีลกั ษณะยืดหยุน่
ถ้า hydrocarbon เป็ นพวก saturated ทาให้
membrane มีลกั ษณะเหนียว ไม่ยดื หยุน่
ถ้า membrane มี cholesterol เป็ นส่ วนประกอบ
อยูม่ ากจะลด fluidity ของ membrane ลง
กำรเคลือ่ นย้ ำยสำรผ่ ำน membrane
membrane - คัดเลือกสำรผ่ ำนเข้ ำออก cell
- คัดเลือกสำรมีข้วั (polar) กับ สำรไม่ มี
ขั้ว (non polar)
ปัจจัยทีม่ ผี ลต่ อกำรเคลือ่ นทีข่ องสำรผ่ ำน membrane
1. ขนำด
Molecule ขนำดเล็ก จะเคลือ่ นทีผ่ ่ ำน
membrane ได้ ดกี ว่ ำ Molecule ใหญ่
2. Polarity
สำรพวก non polar จะเคลือ่ นทีผ่ ่ ำน membrane
ได้ ง่ำยกว่ ำสำรพวก polar
3. Ionic
สำรทีไ่ ม่ มปี ระจุจะเคลือ่ นทีผ่ ่ ำน membrane
ได้ ง่ำยกว่ ำสำรทีม่ ปี ระจุ
สำรที่เป็ น hydrphobic ขนำดเล็กจะ
แพร่ ผ่ำน membrane ได้ เร็วเหมือนกับ
molecule ไม่ มีข้วั
Molecule ทีไ่ ม่ มีประจุแต่ ขนำดใหญ่ จะ
เคลือ่ นที่ได้ ช้ำ