เอกสาร - ว็บไซต์ครูเสกสรรค์

Download Report

Transcript เอกสาร - ว็บไซต์ครูเสกสรรค์

รายวิชา ชีววิทยา 1 (30141)
ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปี ที่ 4
จัดทำโดย....ครู เสกสรรค์ สุ วรรณสุ ข
โรงเรียนแก่นนครวิทยำลัย
www.kruseksan.com
สำรบัญ
บทที่ 1 ชีวติ กับสิ่ งแวดล้ อม
บทที่ 2 ดุลยภำพของสิ่ งมีชีวติ
บทที่ 3 กำรถ่ ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม และ
ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ
โครงสร้ ำงและออร์ แกน
1. ผนังเซลล์
2. เยือ่ หุ้มเซลล์
3. นิวเคลียส
4. ไรโบโซม
5. เอนโดพลำสมิกเรติควิ ลัม
6. กอลจิบอดี
7. ไมโทคอนเดรีย
8. แวคิวโอล
9. เซนทริโอล
10. คลอโรพลำสต์
11. ไซโทพลำสซึม
12. ไลโซโซม
เซลล์พชื
เซลล์สัตว์
ใบงำนที่ 2 กิจกรรมที่ 2.1 บทที่ 2 ดุลยภำพของสิ่ งมีชีวติ
1.ให้ นักเรียนบอกข้ อแตกต่ างของเซลล์พชื และเซลล์ สัตว์ โครงสร้ าง หน้ าที่
ว่ าแตกต่ างกันอย่ างไร
..................................................................................................................
..................................................................................................................
..................................................................................................................
2.ให้ นักเรียนบอกข้ อแตกต่ างของ Prokaryotic Cell และ Eukaryotic Cell
..................................................................................................................
..................................................................................................................
Nucleolus
Nucleus
Risosomes
Vesicles
rough endoplasmic reticulum :
RER
Golgi apparatus
cytoskeleton
smooth endoplasmic
reticulum : SER
mitochondria
vacuole
Cytoplasm
lysosome
centriole
เรื่อง
เซลล์พชื และเซลล์สัตว์
โครงสร้ ำงและออร์ แกน
1. ผนังเซลล์
2. เยือ่ หุ้มเซลล์
3. นิวเคลียส
4. ไรโบโซม
5. เอนโดพลำสมิกเรติควิ ลัม
6. กอลจิบอดี
7. ไมโทคอนเดรีย
8. แวคิวโอล
9. เซนทริโอล
10. คลอโรพลำสต์
11. ไซโทพลำสซึม
12. ไลโซโซม
เซลล์พชื
มี
มี
มี
มี
มี
มี
มี
มี
ไม่ มี
มี
มี
มี
เซลล์สัตว์
ไม่ มี
มี
มี
มี
มี
มี
มี
มี
มี
ไม่ มี
มี
มี
เซลล์ และทฤษฎีเซลล์
● เซลล์ เป็ นหน่ วยโครงสร้ ำงทีเ่ ล็กทีส่ ุ ดของสิ่ งมีชีวติ
- เซลล์ รวมกันเป็ นเนือ้ เยือ่
- เนือ้ เยือ่ รวมกันเป็ นอวัยวะ
● สิ่ งมีชีวติ บำงชนิดมีเพียงเซลล์ เดียว
บำงชนิดมีหลำยเซลล์
● เซลล์ ของสิ่ งมีชีวติ มีรูปร่ ำง ขนำด และ
โครงสร้ ำงแตกต่ ำงกัน
เซลล์ และทฤษฎีเซลล์
เซลล์ และทฤษฎีเซลล์
● ค.ศ. 1665 Robert Hook
นักพฤกษศาสตร์ ชาวอังกฤษ ได้ ประดิษฐ์
กล้ องจุลทรรศน์ ชนิดเลนส์ ประกอบ
(compound microscope) นามาศึกษา
ไม้ คอร์ ก พบว่ า ประกอบด้ วยช่ องว่ างเล็ก ๆ
จานวนมากเรียงต่ อกัน
จึงเรียกช่ องนีว้ ่ า “เซลล์ ” (cell) พบครั้งแรก
เป็ นเซลล์ ตายแล้ ว ยังคงรู ปได้ เนื่องจากมี
ผนังเซลล์ (cell wall)
เซลล์ และทฤษฎีเซลล์
● พ.ศ. 2381 มัทติอสั ยอคอบ ชไลเดน นักพฤกษศาสตร์
เยอรมัน ค้ นพบว่ า
- พืชเป็ นสิ่ งมีชีวติ ทีม่ หี ลายเซลล์
● พ.ศ. 2382 เทโอดอร์ ชวันน์
นักสั ตววิทยา เยอรมัน ค้ นพบว่ า
- สั ตว์ ท้งั หลายมีเซลล์ เป็ นองค์ ประกอบ
ทั้ง 2 คนจงก่ อตั้ง ทฤษฎีเซลล์ (Cell Theory)
สิ่ งมีชีวติ ประกอบด้ วยเซลล์ และเซลล์ เป็ นหน่ วยพืน้ ฐาน
ของสิ่ งมีชีวติ
โครงสร้ ำงเซลล์ (รู ปร่ ำงและขนำด)
Unit
abbreviation
1 centimeter
cm
1 millimeter
mm
1 micrometer
µm
1 nanometer
nm
1 angstrom
A
value
10-2 meter
10-3 meter
10-6 meter
10-9 meter
10-10 meter
โครงสร้ ำงเซลล์ (จำแนกเซลล์ )
เซลล์ โพรแคริโอต (prokaryotic cell)
เป็ นสิ่ งมีชีวติ ที่มีขนาดเล็ก มีขนาด
ประมาณ 0.1 – 10 ไมครอน
ไม่มีเยือ่ หุม้ นิวเคลียส
(nuclear membrane) เช่น
แบคทีเรี ย ไมโคพลาสมา
สาหร่ ายสี เขียวแกมน้ าเงิน
โครงสร้ ำงเซลล์ (จำแนกเซลล์ )
เซลล์ ยูแคริโอต (eukaryotic cell)
เป็ นสิ่ งมีชีวติ ที่มีความหลากหลาย
ทั้งขนาด รู ปร่ างลักษณะ จัดระบบ
อวัยวะ และการดารงชีวติ ได้แก่
อาณาจักรพืช , อาณาจักรสัตว์
อาณาจักรฟังไจ อาณาจักรโพรทิสตา
โครงสร้ ำงของเซลล์
เซลล์ โดยทัว่ ไปไม่ ว่ำจะมีรูปร่ ำงและขนำดแตกต่ ำงกัน
อย่ ำงไรก็ตำม แต่ จะมีลกั ษณะโครงสร้ ำงพืน้ ฐำนส่ วนใหญ่
คล้ ำยคลึงกัน เซลล์ ของสิ่ งมีชีวติ มีส่วนประกอบที่เป็ น
โครงสร้ ำงพืน้ ฐำนอยู่ 3 ส่ วนใหญ่ ๆ คือ
1. นิวเคลียส (nucleus)
2. ไซโทพลำสซึม
3. ส่ วนทีห่ ่ อหุ้มเซลล์ ได้ แก่
เยือ้ หุ้มเซลล์ (cell membrane) และ ผนังเซลล์ (cell wall)
1.นิวเคลียส (Nucleus)
 เป็ นส่ วนประกอบทีส
่ ำคัญทีส่ ุ ดของเซลล์ เกีย่ วข้ องกับ
กำรถ่ ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม เพรำะเป็ นที่
บรรจุสำรพันธุกรรม และควบคุมกำรทำงำนของเซลล์
 พบในเซลล์ โดยทัว
่ ไปเซลล์ จะมี 1 นิวเคลียส ยกเว้ น
พำรำมีเซียม มี 2 นิวเคลียส
 เซลล์ พวกยูแคริ โอตจะมีเยือ
่ หุ้มนิวเคลียสล้ อมรอบ
มีลกั ษณะเหมือนเยือ่ หุ้มเซลล์ บนเยือ่ มีรูเล็ก ๆมำกมำย
เรียกว่ ำ นิวเคลียร์ พอร์ ( nuclear pore )
นิวเคลียส (Nucleus)
โครงสร้ ำงของนิวเคลียส
แบ่ งออกเป็ น 3 ส่ วนคือ
1. เยือ่ หุ้มนิวเคลียส (Nuclear Membrane)
- เยือ่ หุ้มนิวเคลียส (Nuclear Membrane) เป็ นเยือ่ บำง ๆ
2 ชั้นอยู่รอบนิวเคลียส มีสมบัตเิ ป็ นเยือ่ เลือกผ่ ำนเช่ นเดียวกับ
เยือ่ หุ้มเซลล์
- มีรูเล็ก ๆ (nuclear pore) กระจำยอยู่ทวั่ ไปเพือ่ เป็ นช่ องทำง
แลกเปลีย่ นของสำรระหว่ ำงนิวเคลียสกับไซโทพลำซึม โดย
- บริเวณเยือ่ ชั้นนอกจะมีไรโบโซมเกำะติดอยู่ทำหน้ ำที่
สั งเครำะห์ โปรตีน
เยือ่ หุ้มนิวเคลียส (Nuclear Membrane)
2. สำรในนิวเคลียส (nucleoplasm)
1. นิวคลีโอลัส (Nucleolus)
- เป็ นโครงสร้ ำงทีป่ รำกฏเป็ นก้อนเล็ก ๆ อยู่ในนิวเคลียส เห็นได้ ชัดในช่ วง
ไม่ มีกำรแบ่ งเซลล์
- เซลล์โดยทัว่ ไปมีนิวคลีโอลัส 1-2 อัน หรือมำกกว่ ำขึน้ กับกิจกรรม เช่ น
ในเซลล์ตับจะมีนิวคลีโอลัส 2 อัน
- ประกอบด้ วย กรดนิวคลีอกิ RNA และ โปรตีนชนิด ฟอสโฟโปรตีน
- เป็ นบริเวณทีส่ ั งเครำะห์ ไรโบนิวคลีอกิ (Ribonucleic acid หรือ RNA)
และสำรอืน่ ทีเ่ ป็ นองค์ ประกอบของไรโบโซม โดยสำรเหล่ำนีจ้ ะถูกส่ งผ่ ำนรู
ของเยือ่ หุ้มนิวเคลียสออกไปยังไซโทพลำซึมเพือ่ เป็ นส่ วนประกอบสำคัญ
ของไรโบโซม
นิวคลีโอลัส (Nucleolus)
Nucleolus
นิวคลีโอลัส และโครมำทิน
2. โครมำทิน (Chromatin)
- มีลกั ษณะเป็ นเส้ นใยขดไปมำเป็ นร่ ำงแห โดยในระยะแบ่ งเซลล์จะขดแน่ น
ขึน้ จนเห็นลักษณะเป็ นแท่ ง เรียกว่ ำ โครโมโซม (Chromosome)
- เป็ นโครงสร้ ำงของกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอกิ (Deoxyribonucleic acid
หรือ DNA)
- เมื่อแบ่ งเซลล์จะมีจำนวนเพิม่ ขึน้ เป็ น 2 เท่ ำ
- โครมำทิน หรือ โครโมโซม เป็ นส่ วนของสำรพันธุกรรมทีค่ วบคุมลักษณะ
พันธุกรรมของสิ่ งมีชีวติ สำมำรถถ่ ำยทอดไปยังรุ่นลูกได้
3. สำรประกอบทำงเคมีของนิวเคลียส ประกอบด้วย
1. ดีออกซีไรโบนิวคลีอกิ
(deoxyribonucleic acid) หรือ
DNA เป็ นส่ วนประกอบของ
โครโมโซมนิวเคลียส
2. ไรโบนิวคลีอกิ แอซิด
(ribonucleic acid) หรือ RNA
เป็ นส่ วนที่พบในนิวเคลียสโดย
เป็ นส่ วนประกอบของ
นิวคลีโอลัส
2. ไซโทพลำสซึม
- ไซโทพลำซึมเป็ น ของเหลวทีอ่ ยู่รอบนอกนิวเคลียส
- ขณะเมื่อเซลล์ ยงั มีชีวติ อยู่ไซโทพลำซึมจะไหลวนอยู่ภำยใน
เซลล์ และมีกำรเปลีย่ นแปลงทำงเคมีตลอดเวลำ
- ไซโทพลำซึมประกอบด้ วยสำร ได้ แก่ นำ้ โปรตีน
คำร์ โบไฮเดรต เกลือแร่ ต่ำง ๆ และผลิตภัณฑ์ จำกเซลล์
อินคลูชัน(inclusion)
- ประกอบด้ วยออร์ แกเนลล์ ที่เทียบได้ กบั อวัยวะของเซลล์ ที่ทำ
หน้ ำที่ต่ำง ๆ ให้ แก่ เซลล์
ออร์ แกเนลล์
ออร์ แกเนลล์ เป็ นโครงสร้ ำงย่ อยอยู่ภำยในไซโตพลำสซึม
-ออร์ แกเนลล์ ส่วนใหญ่ มเี ยือ่ หุ้ม ทำให้ องค์ ประกอบภำยใน
ออร์ แกเนลล์ แยกออกจำกองค์ ประกอบอืน่ ๆ ใน
ไซโตพลำสซึม
ออร์ แกเนลล์
-ปฏิกริ ิยำทำงชีวเคมีในแต่ ลออแกเนลล์เกิดขึน้ ได้
อย่ ำงอิสระ
-ภำยในเซลล์ มีออร์ แกเนลล์หลำยชนิด แต่ ละชนิด
จะมี โครงสร้ ำงและหน้ ำที่แตกต่ ำงกัน
1. ออร์ แกเนลล์ ทไี่ ม่ มเี ยือ่ หุ้ม
1. ไรโบโซม (Ribosome)
ลักษณะของไรโบโซม
- เป็ นออร์ แกเนลล์ ทไี่ ม่ มีเยือ่ หุ้ม
- เป็ นออร์ แกเนลล์ ที่มีขนำดเล็กมำก
พบในเซลล์ ยูแคริโอต
และโพรแคริโอต แต่ ไม่ พบในไวรัส
สเปิ ร์ มที่แก่ เต็มที่ และเม็ดเลือดแดง
ออร์ แกเนลล์ ทไี่ ม่ มเี ยือ่ หุ้ม
- ประกอบด้ วย โปรตีนและกรดไรโบนิวคลีอกิ (rRNA)
ทำหน้ ำที่ สั งเครำะห์ โปรตีน เพือ่ ใช้ ภำยในหรือนอกเซลล์
- ประกอบด้ วยหน่ วยย่ อย 2 หน่ วย คือ หน่ วยย่ อยขนำดเล็กและหน่ วย
ย่ อยขนำดใหญ่ จะอยู่แยกกันและจะประกบติดกัน
ขณะสั งเครำะห์ โปรตีน
- ไรโบโซมอิสระ อยู่ในไซโทพลำซึม จะสร้ ำงโปรตีนใช้ ในเซลล์ พบที่
เม็ดเลือดแดงทีอ่ ำยุน้อย ทำหน้ ำที่ สร้ ำงฮีโมโกลบิน
ไรโบโซม
- ไรโบโซม เกำะรวมกับ ร่ ำงแหเอนโดพลำสมิค เรติควิ ลัม
ทำหน้ ำที่ สั งเครำะห์ โปรตีนเพือ่ กำรส่ งออกนอกเซลล์
- ไรโบโซมทีเ่ ยือ่ หุ้มนิวเคลียส สั งเครำะห์ โปรตีนใช้ ใน
นิวเคลียส
2. เซนทริโอล (centriole)
ลักษณะ
- เป็ นออร์ แกเนลล์ ทไี่ ม่ มีเยือ่ หุ้ม พบในเซลล์ สัตว์ และ
สิ่ งมีชีวติ เซลล์ เดียว ไม่ พบในเซลล์ พชื และพวกเห็ด รำ
- มีลกั ษณะเป็ นทรงกระบอกสองอันวำงตัวในแนวตั้งฉำกกัน
อยู่ใกล้ ๆ กับเยือ่ หุ้มนิวเคลียส
- แต่ ละอันประกอบด้ วยหลอดเล็กๆ เรียกว่ ำ ไมโครทิวบูล
(microtubule) เรียงตัวกันเป็ นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 3 หลอด
มีท้งั หมด 9 กลุ่ม (9+0=27)
โครงสร้ ำงเซนทริโอล (centriole)
หน้ าที่ของเซนทริ โอล
- เซนทริโอลแต่ ละคู่ เรียกว่ ำ เซนโทรโซม (centrosome) ซึ่งเป็ น
แหล่ งกำเนิดเส้ นใยไมโทติกสปิ นเดิล
- เกีย่ วข้ องกับกำรเคลือ่ นทีข่ องโครโมโซมและแยกโครมำติดแต่ ละ
คู่ออกจำกกันขณะเกิดกำรแบ่ งเซลล์ ของเซลล์สัตว์ มี
โพลำร์ แคป ( polar cap) ทำหน้ ำที่คล้ ำย เซนทริโอล
- เป็ นเบซัลบอดี (Basal body) คือ โครงสร้ ำงที่ยดึ ติดกับเซลล์ ของ
ร่ ำงกำย โดยสร้ ำงและควบคุมกำรเคลือ่ นไหวของซีเลียและแฟล
เจลลัม
- ซีเลีย และแฟลเจลลัม ประกอบด้ วย ไมโครทิวบูลเรียงตัวเป็ น วง 9
กลุ่มๆละ 2 อัน และตรงกลำงอีก 2 อัน = 20 ตำมสู ตร 9+ 0 = 20
3. ไซโทสเกเลตอน (cytoskeleton) : โครงร่ ำงทีค่ ำ้ จุนเซลล์
- เป็ นเส้ นใยโปรตีนที่เชื่อมโยงกันเป็ นร่ ำงแหเพือ่ คำ้ จุนรู ปร่ ำง
ของเซลล์ และเป็ นที่ยดึ เกำะของออร์ แกเนลล์ เช่ น ไมโทคอนเดรีย
ให้ อยู่ตำมตำแหน่ งต่ ำง ๆ จึงเปรียบคล้ ำยกับโครงกระดูกของ
เซลล์ พบทั้งเซลล์ พชื และเซลล์ สัตว์
- ทำหน้ ำที่ลำเลียงออร์ แกเนลล์
ให้ เคลือ่ นทีภ่ ำยในเซลล์
รวมทั้งกำรเคลือ่ นที่
ของเซลล์ บำงชนิด
3. ไซโทสเกเลตอน (cytoskeleton) : โครงร่ ำงทีค่ ำ้ จุนเซลล์
- แบ่ งเป็ น 3 ชนิด ตำมองค์ ประกอบของหน่ วยย่ อย
1. ไมโครฟิ ลำเมนท์ ( microfilament )
2. ไมโครทิวบูล (microtublue)
3. อินเตอร์ มีเดียทฟิ ลำเมนท์ (intermediate filaments)
1.ไมโครฟิ ลำเมนท์ (microfilament) หรือแอกทินฟิ ลำเมนท์
(actin filaments)
ประกอบด้ วย เส้ นใยโปรตีนแอกทินทีม่ ีขนำดเส้ นผ่ ำนศูนย์ กลำง
ประมำณ 7 นำโนเมตร รู ปร่ ำงกลมต่ อกันเป็ นสำย 2 สำยพันกันเป็ น
เกลียวคล้ ำยสำยสร้ อยไข่ มุก
หน้ ำที่ของไมโครฟิ ลำเมนท์
1.ทำให้ เกิดกำรหดตัวและคลำยตัวของเซลล์ กล้ ำมเนือ้ ของสั ตว์
เกิดจำกกำรเลือ่ นตัวเข้ ำหำกันของโปรตีนแอกทิน (Actin)
1.ไมโครฟิ ลำเมนท์ (microfilament) หรือแอกทินฟิ ลำเมนท์
(actin filaments)
2. ทำหน้ ำทีเ่ กีย่ วกับกำรเคลือ่ นทีข่ องเซลล์ เช่ น เซลล์ อะมีบำ
เซลล์ เม็ดเลือดขำวกำรเลือ่ นตัวของแอกทินจะทำให้ เกิด เท้ ำเทียม
(Pseudopodium) เรียกกำรเคลือ่ นไหวแบบอะมีบอย (Amoeboid
movement )
3.โปรตีนแอกทินจะรัดให้ ไซโทพลำซึมแยกออกจำกกันเกิดเป็ น
2 เซลล์
4.ทำให้ เกิดกำรหด และยืดตัวของไมโครวิลลัส และเซลล์ ท่อ
หน่ วยไต
ภำพกำรยึดเกำะกับไซโทสเกเลตอน ของออร์ แกเนลล์
2.ไมโครทิวบูล (microtubule)
- เป็ นหลอดกลวงมีขนำดเส้ นผ่ ำนศูนย์ กลำง 25 นำโนเมตร เกิดจำก
โปรตีนที่เรียกว่ ำ ทูบูลนิ (tubulin) เรียงต่ อกันเป็ นสำย
หน้ าทีข่ องไมโครทิวบูล
1. ควบคุมกำรไหลของไซโทพลำซึมทีเ่ รียกว่ ำ ไซโคลซิส มีบทบำท
ในกำรเคลือ่ นทีเ่ กือบทุกอย่ ำงในเซลล์
2. กำรทำงำนของซีเลียและแฟกเจลลัม กำรแยกโครโมโซมออกจำก
กันรวมทั้งช่ วยควบคุมรูปร่ ำงของเซลล์ จึงเป็ นเสมือนโครงกระดูกของ
เซลล์
ภำพโครงสร้ ำงโปรตีนทูบูลนิ เรียงต่ อกันเป็ นสำย
ภำพโครงสร้ ำงโปรตีนทูบูลนิ ควบคุมรูปร่ ำงของเซลล์
3.อินเทอร์ มีเดียทฟิ ลำเมนท์ (intermediate filaments)
- ลักษณะเป็ นเส้ นใยทีม่ ีขนำดเส้ นผ่ ำนศูนย์ กลำง 8-10 นำโนเมตร
ประกอบด้ วยเส้ นใยโปรตีนซึ่งเรียงตัวเป็ นสำยยำวๆ 4 สำย 8 ชุ ดพันบิดกัน
เป็ นเกลียว อินเทอร์ มีเดียทฟิ ลำเมนท์ มี 8 ชุ ด จัดเรียงตัวเป็ นร่ ำงแหตำม
ลักษณะรูปร่ ำงของเซลล์
- หน้ ำที่ ทำให้ เซลล์คงรูปร่ ำง
- ผิวหนัง จะสร้ ำงอินเทอร์ มเี ดียทฟิ ลำเมนท์ จำกโปรตีนพวกเคอรำทิน
เมื่อเซลล์ผวิ หนังตำย อินเทอร์ มีเดียทฟิ ลำเมนท์ ยงั คงอยู่ ผม และเล็บของ
สั ตว์ เลีย้ งลูกด้ วยนำ้ นมก็สร้ ำงด้ วยวิธีเดียวกัน
ภำพโครงสร้ ำงอินเทอร์ มีเดียทฟิ ลำเมนท์ เรียงตัวเป็ นสำยยำวๆ พัน
บิดกันเป็ นเกลียว
ภำพโครงสร้ ำงอินเทอร์ มเี ดียทฟิ ลำเมนท์ ควบคุมรู ปร่ ำงของเซลล์
ออร์ แกเนลล์ ทมี่ ีเยือ่ หุ้ม 1 ชั้น
1.เอนโดพลำสมิกเรติคูลมั (Endoplasmic reticulum:ER) =
โรงงำนผลิตและลำเลียงสำรในเซลล์
- มีลกั ษณะเป็ นท่ อแบนใหญ่ บำงบริเวณโป่ งออกเป็ นถุง
เรียงขนำนและซ้ อนกันเป็ นชั้น ๆ
- ภำยในมีของเหลวบรรจุอยู่และมีท่อเชื่อมถึงกันเป็ นร่ ำงแห
- อยู่ล้อมรอบนิวเคลียสและเชื่อมกับเยือ่ หุ้มนิวเคลียส
ออร์ แกเนลล์ ทมี่ เี ยือ่ หุ้ม 1 ชั้น
แบ่ งออกเป็ น 2 ประเภท
1. เอนโดพลำสมิกเรติคูลมั แบบผิวขรุขระ
(Rough Endoplasmic reticulum , r-ER )
2. เอนโดรพลำสมิกเรติคูลมั แบบผิวเรียบ
(Smooth Endoplasmic reticulum , s-ER)
ภำพโครงสร้ ำงเอนโดพลำสมิกเรติควิ ลัมแบบขรุขระ และแบบเรียบ
1 . เอนโดพลำสมิกเรติคูลมั แบบผิวขรุขระ (Rough Endoplasmic
reticulum r-ER )
ทีผ่ วิ นอกของเอนโดพลำสมิกเรติคูลมั มีไรโบโซม เกำะอยู่ทำให้
มองดูคล้ ำยผิวขรุขระ
- หน้ ำที่ ผลิตสำรพวกไกลโคโปรตีน และขับออกนอกเซลล์ ในรู ป
ซีครีชั่น เช่ น เซลล์ ตับอ่ อนสร้ ำงนำ้ ย่ อย และฮอร์ โมน เพือ่ ขับออก
นอกเซลล์
- กำรสั งเครำะห์ โปรตีน เกิดขึน
้ บน ไรโบโซมทีอ่ ยู่บนผนัง r-ER แล้ ว
ลำเลียงเข้ ำไปใน r-ER รวมกับเอนไซม์ ภำยใน r-ER จึงส่ งต่ อไป
กอลจิบอดี
2. เอนโดพลำสมิกเรติคูลมั แบบผิวเรียบ (Smooth Endoplasmic
reticulum s-ER)
- ลักษณะเป็ นร่ ำงแหทีไ่ ม่ มีไรโบโซมเกำะอยู่บนผิวเมมเบรน
หน้ ำที่ของ s-ER
1. ในเซลล์ ต่อมไร้ ท่อ เช่ น เซลล์ ช้ันนอกของต่ อมหมวกไต อัณฑะ
รังไข่ จะสั งเครำะห์ สำร สเตียรอยด์ เช่ น ฮอร์ โมนเพศ
ไตรกรีเซอไรด์ และสำรประกอบของคอเลสเทอรอล
2. ในเซลล์ ตบั ทำลำยสำรพิษทีอ่ ยู่ในเซลล์ ในเซลล์ ตบั จึงมี
s-ER มำก
2. เอนโดพลำสมิกเรติคูลมั แบบผิวเรียบ (Smooth Endoplasmic
reticulum s-ER)
3. ในเซลล์ กล้ ำมเนือ้ ยึดกระดูกและและกล้ำมเนือ้ หัวใจ จะควบคุม
กำรผ่ ำนเข้ ำออกของแคลเซียมไอออน ซึ่งมีบทบำทในกำรควบคุม
กำรหดตัวของกล้ ำมเนือ้
4. ในเซลล์ เยือ่ บุผวิ ลำไส้ เล็ก ทำหน้ ำทีด่ ูดซึมสำรอำหำรประเภท
ไขมัน
เซลล์ ที่ทำหน้ ำที่สร้ ำงพวกโปรตีนหรือเอนไซม์ จะมี r-ER มำก
เช่ น เซลล์ ตับอ่ อน ส่ วนเซลล์ ที่ขบั สำรสเตรอยด์ เช่ น เซลล์ ที่
ต่ อมหมวกไต อัณฑะ และรังไข่ จะมี s-ER มำก
2. กอลจิแอพพำรำตัส: ( Golig apparatus) แหล่ งรวบรวม บรรจุ
และขนส่ ง
- ลักษณะเป็ นกลุ่มของถุงกลมแบน ๆ คล้ ำยจำน เรียกว่ ำ
ซิสเทอร์ นำ (cisterna) เรียงซ้ อนกันเป็ นชั้นๆ ประมำณ 5- 6 ชั้น
- บริเวณตรงขอบโป่ งพองเป็ นถุงเล็กๆ เรียก เวสิ เคิล (vesicle)
มักพบอยู่ใกล้ กบั ER ถุงด้ ำนทีร่ ับเวสิ เคิลเรียกว่ ำ ซิส (cis) ด้ ำนที่
สร้ ำงเวสิ เคิลเรียกว่ ำ ทรำนส์ (trans)
- มีในเซลล์ พชื และสั ตว์ ช้ันสู งเกือบทุกชนิด ยกเว้ นเซลล์ เม็ดเลือด
แดงทีโ่ ตเต็มทีข่ องสั ตว์ เลีย้ งลูกด้ วยนม
2. กอลจิแอพพำรำตัส: ( Golig apparatus) แหล่ งรวบรวม
บรรจุและขนส่ ง
หน้ าที่ของกอลจิคอมเพล็กซ์
- เติมกลุ่มคำร์ โบไฮเดรต ให้ กบั โปรตีนหรือลิพดิ ที่ส่งมำจำก
r-ER เกิดเป็ น ไกลโคโปรตีน และไกลโคลิพดิ แล้ วสร้ ำงเวสิ เคิล
บรรจุสำรเหล่ ำนีไ้ ว้ เพือ่ ส่ งออกไปภำยนอกเซลล์
- มีส่วนสำคัญในกำรสร้ ำงผนังเซลล์ และสำรเคลือบเยือ่ หุ้มเซลล์
โครงสร้ ำงของกอลจิแอพพำรำตัส
3. ไลโซโซม ( Lysosome ): ผู้ขนส่ งเอนไซม์
ลักษณะ
- พบเฉพำะใน เซลล์ สัตว์ เกือบทุกชนิด และโพรติสต์ บำงชนิด
ไม่ พบในเซลล์ พชื
- ไลโซโซม มีกำเนิดมำจำก เอนโดพลำมิก เรติควิ ลัม และกอลจิ
แอพพำรำตัส
เป็ นถุงเล็กๆบรรจุเอนไซม์ เป็ นไลโซโซมลำดับทีห่ นึ่ง
หน้ ำที่
- เก็บสะสมเอนไซม์ ทีใ่ ช้ ย่อยสลำยสำรอำหำรทั้งคำร์ โบไฮเดรต
ไขมัน โปรตีน และกรดนิวคลีอกิ
- ย่ อยออร์ แกเนลล์ ทีห่ มดอำยุ ของเซลล์ ตวั เอง (autolysis) หรือสิ่ ง
แปลกปลอม เช่ น แบคทีเรียเข้ ำสู่ ร่ำงกำย หำงลูกอ๊ อดทีห่ ดสั้ นลง
ในขณะ เมแทบอลิซึม
- ถุงเอนไซม์ เมื่อรวมกันกับ Food vacuole มีกำรย่ อยเกิดเป็ น
ไลโซโซมลำดับทีส่ อง
- ในคน ไลโซโซมพบมำกในเม็ดเลือดขำวชนิดฟำโกไซต์ ทกี่ นิ เชื้อโรค
ภำพแสดงกำรเกิดและโครงสร้ ำงไลโซโซม
4. แวคิวโอล (Vacuole) ถุงบรรจุสำร
ลักษณะ
- เป็ นถุงทีม่ ีเยือ่ หุ้มชั้นเดียว สำหรับเวสิ เคิลทีม่ ีขนำดใหญ่ อำจเรียกว่ ำ
แวคิวโอล มีรูปร่ ำงและขนำดแตกต่ ำงกัน
แวคิวโอลมีหลำยชนิดทำหน้ ำที่แตกต่ ำงกันไป คือ
1. คอนแทร็กไทล์ แวคิวโอล (contractile vacuole) ทำหน้ ำที่ขบั
นำ้ ที่มำกและของเสี ยออกจำกเซลล์ พบในสิ่ งมีชีวติ เซลล์ เดียว เช่ น
อะมีบำ พำรำมีเซียม
4. แวคิวโอล (Vacuole) ถุงบรรจุสำร
2. ฟูดแวคิวโอล (food vacuole) เกิดจำกเซลล์ เม็ดเลือดขำว
สิ่ งมีชีวติ เซลล์ เดียวไฮดรำ นำอำหำรจำกภำยนอกเข้ ำสู่ เซลล์ เพือ่ ย่ อย
สลำยด้ วยเอนไซม์ จำกไลโซโซมต่ อไป
3. แซบแวคิวโอล (sap vacuole) เป็ นแวคิวโอลที่พบในเซลล์ พชื
ขณะทีเ่ ซลล์ พชื อำยุน้อยมีแวคิวโอลขนำดเล็กจำนวนมำก แต่ เมื่อเซลล์
มีอำยุมำกขึน้ แวคิวโอลเหล่ ำนีจ้ ะรวมเป็ นถุงเดียวกันทำให้ มีขนำด
ใหญ่ ขนึ้ ทำหน้ ำที่ สะสมสำรบำงชนิด เช่ น นำ้ แก๊ ส เกลือ รงควัตถุ
ไอออน นำ้ ตำล กรดอะมิโน ผลึกและสำรพิษต่ ำงๆ
สี ของกลีบดอกไม้ สีแดง ม่ วง นำ้ เงิน มีสำรสี แอนไธไซยำนิน (Anthocyanin)
ละลำยอยู่ในแซบแวคิวโอล
โครงสร้ ำงแวคิวโอลของเซลล์พชื
5. เพอรอกซิโซม (Peroxisome)
ลักษณะ
- เป็ นถุงกลมมีกำเนิดมำจำกกอลจิ บอดี ภำยในบรรจุ
เอนไซม์ เพอรอกซิเดส หรือ คำทำเลส
หน้ ำที่
-เอนไซม์ คำทำเลส ใช้ สลำยสำรพิษไฮโดรเจนเปอร์ ออกไซด์ ไปเป็ นนำ้
และออกซิเจน
โครงสร้ ำงเพอรอกซิโซมในเซลล์สัตว์ และพืช
ออร์ แกเนลล์ ทมี่ ีเยือ่ หุ้ม 2 ชั้น
1.ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria)
ลักษณะ
- มีรูปร่ ำงค่ อนข้ ำงยำว เยือ่ หุ้มไมโทคอนเดรียมี 2 ชั้น เยือ่ ชั้นนอกมี
ลักษณะเรียบ ชั้นในจะพับทบแล้ วยืน่ เข้ ำไปด้ ำนใน ส่ วนที่ยนื่ เข้ ำไปนี้
เรียกว่ ำ คริสตี (cristae) เพือ่ เพิม่ พืน้ ที่ผวิ
ออร์ แกเนลล์ ทมี่ ีเยือ่ หุ้ม 2 ชั้น
1.ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria)
- ภำยในไมโทคอนเดรียมีของเหลวบรรจุอยู่เรียกว่ ำ เมทริกซ์ (matrix) มีสำร
พันธุกรรมเป็ น DNA จะควบคุมกำรสร้ ำง โพลีเพปไทด์ ทีเ่ ป็ นองค์ ประกอบ
ของเอนไซม์ ในกระบวนกำร ออกซิเดทีฟ ฟอสฟอรีเรชัน (OXIDATIVE
PHOSPHORYLATION) ที่เกีย่ วกับกระบวนกำรหำยใจระดับเซลล์ สร้ ำง
พลังงำน ATP และ กำรจำลองตัวของไมโทคอนเดรีย
-เซลล์ที่ทำกิจกรรมมำกจะมีไมโทคอนเดรียมำก เช่ น เซลล์ตับสร้ ำงนำ้ ดี
หน้ าที่ของไมโทคอนเดรี ย
- ผลิตพลังงานเพื่อใช้ภายในเซลล์และการทากิจกรรมของร่ างกาย
ในรู ปสารอินทรี ย ์ ATP
- การสร้างพลังงานเกิดขึ้นที่ผนังชั้นในที่มีเอนไซม์จานนนมาก
โครงสร้ ำงของไมโทคอนเดรีย
2.พลำสติด (plastid)
ลักษณะ
เป็ นออร์ แกเนลล์ ทมี่ ีเยือ่ หุ้ม 2 ชั้นพบในเซลล์พชื ทัว่ ไปและสำหร่ ำย ยกเว้ นสำหร่ ำย
สี เขียวแกมนำ้ เงิน
พลำสติดมีสีแตกต่ ำงกันจำแนกได้ 3 ชนิด คือ
1.คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) ลักษณะคลอโรพลำสต์
- เป็ นพลำสติดที่มีสีเขียวเนื่องจำกมีสำรคลอโรฟิ ลล์ เป็ นองค์ ประกอบเป็ น
ส่ วนใหญ่ และแคโรทีนอย เป็ นแหล่งสร้ ำงอำหำรของเซลล์พชื และโพรทิสต์ บำงชนิด
- เยือ่ หุ้มชั้นในเป็ นเยือ่ บำงๆ แผ่ เข้ ำไปเรียก ลำเมลลำ มีลกั ษณะพับไปมำคล้ำยถุง
แบนๆทีม่ ีเยือ่ หุ้มเรียกว่ ำ ไทลำคอยด์ (thylakoid) และไทลำคอยด์ เรียงซ้ อนกัน
เรียกว่ ำ กรำนุม(granum) แต่ ละกรำนุมมีโครงสร้ ำงเชื่อมต่ อถึงกัน
- บนไทลำคอยด์ มีสำรสี ที่ใช้ ในกระบวนกำรสั งเครำะห์ ด้วยแสง เช่ น คลอโรฟิ ลล์
แคโรทีนอยด์ (carotenoid) และมีของเหลวทีเ่ รียกว่ ำ สโตรมำ (stroma) อยู่
โดยรอบไทลำคอยด์ ในของเหลวนีม้ ีเอนไซม์ ที่เกีย่ วข้ องกับกระบวนกำร
สั งเครำะห์ ด้วยแสง
หน้ าทีข่ องคลอโรพลาสต์
- สั งเครำะห์ ด้วยแสง โดยคลอโรฟิ ลล์บนไทลำคอยด์ จะรับพลังงำนแสงเข้ ำสู่ เซลล์
- สั งเครำะห์ โปรตีน เนื่องจำกคลอโรพลำสต์ มี DNA และไรโบโซม
- แบ่ งตัวเองได้ เนื่องจำก มีสำรพันธุกรรม (DNA)
2. ลิวโคพลาสต์ (leucoplast)
ลักษณะ
- เป็ นพลำสติดที่ไม่ มีรงควัตถุ (Pigment) จึงมีสีขำว
- พบตำมเซลล์ ของเนือ้ เยือ่ สะสมอำหำรของรำก ผล หรือลำต้ น
ใต้ ดนิ
หน้ าที่
- สะสมเม็ดแป้ งที่ได้ จำกกำรสั งเครำะห์ ด้วยแสง พบในเซลล์ ของ
รำกและเซลล์ ที่
สะสมอำหำร เช่ นเซลล์ ของหัวมันเทศ มันแกว เผือก ผลไม้
กล้ วยและใบพืชบริเวณ ที่ไม่ มีสี
3. โครโมพาสต์ (chromoplast)
ลักษณะ
- เป็ นพลำสติดที่มีสำรทีท่ ำให้ เกิดสี ต่ำงๆ ยกเว้ นสี เขียว ทำให้
ดอกไม้ ผลไม้ และใบไม้ มีสีสันสวยงำม เช่ น ผลสี แดงของพริก
รำกของแครอท และใบไม้ แก่ ๆ เนื่องจำกมี
สำรพวกแคโรทีนอยด์ จึงทำให้ เกิดสี แดง สี ส้ม และสี เหลือง
3. ไซโทซอล (Cytosol)
- เป็ นส่ วนของไซโทพลำซึมทีไ่ ม่ รวมออร์ แกเนลอืน่ ๆ มี
ลักษณะเป็ นสำรกึง่ แข็งกึง่ เหลว มีอยู่ประมำณร้ อยละ 50-60
ของปริมำตรเซลล์ ท้งั หมด
- เซลล์ ส่วนใหญ่ มกั มีปริมำตรของไซโทซอล ประมำณ 3 เท่ ำ
ของปริมำตรนิวเคลียส
ไซโทซอล (Cytosol)
- เซลล์ บำงเซลล์ มกี ำรไหลของไซโทพลำซึมไปรอบๆเซลล์ เรี ยก
กำรไหลนีว้ ่ ำ ไซโคลซิส (cyclosis ) เป็ นผลจำกกำรหดและ
คลำยของไมโครฟิ ลำเมนท์
- บริเวณเอนโดพลำซึมมีลกั ษณะค่ อนข้ ำงเหลวเป็ นที่อยู่ของ
ออร์ แกเนลล์ ต่ำงๆ นอกจำกนีใ้ นไซโทซอลยังอำจพบโครงสร้ ำง
อืน่ ๆ เช่ น ก้ อนไขมัน เม็ดสี ต่ำง ๆ เป็ นต้ น
3. ส่ วนทีห่ ่ อหุ้มเซลล์
ส่ วนของเซลล์ ทที่ ำหน้ ำทีห่ ่ อหุ้มองค์ ประกอบภำยใน
เซลล์ ให้ คงรู ปอยู่ได้ ประกอบด้ วย
1. เยือ่ หุ้มเซลล์ (Cell Membrane)
2. ผนังเซลล์ (Cell wall)
1. เยือ่ หุ้มเซลล์ (Cell Membrane)
ลักษณะ
- เป็ นเยือ่ ทีบ่ ำงมำกประมำณ 10 นำโนเมตร ประกอบด้ วยโปรตีน
ประมาณ 60% ลิพดิ ประมาณ 40%
- ประกอบด้ วยฟอสโฟลิปิดจัดเรียงตัวกันเป็ น 2 ชั้น (lipid bilayer)
หันปลำยข้ ำงที่มีข้วั (polar head) มีสมบัตชิ อบนำ้ ออกด้ ำนนอกและ
ปลำยที่ไม่ มีข้วั (non polar tail)
1. เยือ่ หุ้มเซลล์ (Cell Membrane)
มีสมบัตไิ ม่ ชอบนำ้ เข้ ำด้ ำนใน โดยมีโปรตีนแทรกอยู่เป็ นระยะ
นอกจำกนีย้ งั มีคอเลสเทอรอล ไกลโคลิปิด และไกลโคโปรตีนเป็ น
ส่ วนประกอบอยู่ด้วย เรียกลักษณะกำรเรียงตัวแบบนีว้ ่ ำ ฟลูอดิ โมเซอิก
โมเดล (fluid mosaic model)
- มีรูเล็ก ๆ ช่ วยให้ จำกัดขนำดของโมเลกุลของสำรทีจ่ ะผ่ ำนเยือ่ หุ้ม
เซลล์ ได้
ทำหน้ ำที่ควบคุมปริมำณและชนิดของสำรทีผ่ ่ ำนเข้ ำออกจำกเซลล์ด้วย
โครงสร้ ำงเยือ่ หุ้มเซลล์
หน้ ำทีข่ องเยือ่ หุ้มเซลล์
1. ห่ อหุ้มส่ วนของโพรโทพลำซึมทีอ่ ยู่ข้ำงในทำให้ เซลล์ แต่ ละ
เซลล์ แยกออกจำกกัน
2. ช่ วยควบคุมกำรเข้ ำออกของสำรต่ ำงๆ ระหว่ ำงภำยในเซลล์ และ
สิ่ งแวดล้ อม มีคุณสมบัตเิ ป็ นเซมิเพอร์ มเี อเบิล เมมเบรน
(semipermeable membrane) จะยอมให้ สำรบำงชนิดเท่ ำนั้นที่
ผ่ ำนเข้ ำออกได้ ซึ่งกำรผ่ ำนเข้ ำออกจะมีอตั รำเร็วที่แตกต่ ำงกัน
หน้ ำทีข่ องเยือ่ หุ้มเซลล์
3. ทำให้ เกิดควำมต่ ำงศักย์ ทำงไฟฟ้ำ (electrical potential) ของภำยใน
และภำยนอกเซลล์ เนื่องมำจำกกำรกระจำยของไอออนและโปรตีนไม่
เท่ ำกัน มีควำมสำคัญในกำรนำสำรพวกไอออนเข้ ำหรือออกจำกเซลล์
ซึ่งมีควำมจำเป็ นต่ อกำรทำงำนของเซลล์ ประสำทและเซลล์
กล้ ำมเนือ้ มำก
4. เยือ่ หุ้มเซลล์ ทำหน้ ำทีร่ ับสั มผัสสำรสร้ ำงเป็ นเวสิ เคิลเข้ ำในเซลล์
5. เยือ่ หุ้มเซลล์ บำงชนิดยืน่ ออกเป็ นท่ อเล็กๆ เรียก ไมโครวิลไล ที่
ลำไส้ เล็ก เพือ่ เพิม่ พืน้ ทีใ่ นกำรดูดสำร
2. ผนังเซลล์ (Cell Wall)
ลักษณะโครงสร้ ำงและคุณสมบัตขิ องผนังเซลล์
- พบได้ ในเซลล์ พชื ทุกชนิด และในเซลล์ ของสิ่ งมีชีวติ เซลล์เดียว
รำและแบคทีเรียบำงชนิด
- เป็ นผนังแข็งไม่ มีชีวติ ห่ อหุ้มเยือ่ หุ้มเซลล์ไว้ อกี ชั้นหนึ่ง
- ประกอบด้ วยเซลลูโลสเป็ นส่ วนใหญ่ และสำรพวกลิกนิน
คิวติน เพคติน ซู เบอรรินแทรกปะปนกับเซลลูโลส
2. ผนังเซลล์ (Cell Wall)
2.ผนังเซลล์ (Cell Wall)
- ผนังเซลล์ ของโพรคำริโอต มักประกอบด้ วยสำรเพพทิโดไกลแคน
- ผนังเซลล์ ของสำหร่ ำยสี นำ้ ตำลแกมเหลือง เช่ น ไดอะตอมมี
เซลลูโลส และซิลกิ ำ
- ผนังเซลล์ ของเห็ดรำจะเป็ นสำรประกอบไคทิน
- ถึงแม้ ผนังเซลล์ จะหนำ แต่ มักจะยอมให้ สำรเกือบทุกชนิดผ่ ำน
เข้ ำออกอย่ ำงสะดวก (permable membane) ผนังเซลล์ บำง
แห่ งจะมีช่องเล็กๆ (plasmodesma pore)
- plasmodesma pore เป็ นทำงสำหรับให้ กงิ่ (สำยใย) ของไซ
โทพลำซึมจำกเซลล์ หนึ่งติดต่ อกับกิง่ (สำยใย) ของไซโทพลำซึม
ของเซลล์ ข้ำงเคียงที่เกีย่ วข้ องกับกำรลำเลียงสำร ระหว่ ำงเซลล์
ซึ่งจะเห็นเป็ นแถบเล็ก ๆ ผ่ ำนช่ องเล็ก ๆ ของ ผนังเซลล์ เรียก
ไซโทพลำซึมบริเวณนีว้ ่ ำพลำสโมเดสมำตำ (plasmodesmata)
หน้ ำที่ของผนังเซลล์
- เป็ นผนังแข็งห่ อหุ้มเซลล์ เพิม่ ควำมแข็งแรง และป้องกัน
อันตรำยให้ แก่ เซลล์ ป้องกันกำรระเหยของนำ้
โครงสร้ ำงของผนังเซลล์และเซลลูโลส
โครงสร้ ำงของเซลล์ สัตว์
โครงสร้ ำงของเซลล์ พชื
สวัสดี