Transcript Click
Neonatal Resuscitation
พ.ญ.พรมนัส พันธุส์ จุ ริตไทย
17 สิงหาคม 2554
Neonatal resuscitation
ี่ ง
1. คาดการณ์ลว่ งหน ้า ประเมินปั จจัยเสย
-ก่อนคลอด
-ระหว่างคลอด
2. การเตรียมทีม
3. การเตรียมอุปกรณ์ทค
ี่ รบถ ้วน
ี
4. ประเมินทารกถูกต ้องและสามารถปฏิบต
ั ก
ิ ู ้ชพ
ได ้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
่ ยกูช
ี
ทารกคนใดทีต
่ อ
้ งการการชว
้ พ
่ ยเหลือเพียงเล็กน ้อย
ประมาณ 10% ต ้องการการชว
เพือ
่ ให ้สามารถเริม
่ ต ้นหายใจเอง
ี
1% ทีต
่ ้องการการชว่ ยกู ้ชพ
มากกว่า 90% สามารถหายใจได ้เองและ
่ าวะหลัง
เปลีย
่ นแปลงระบบการไหลเวียนโลหิตมาสูภ
เกิดได ้ โดยไม่ต ้องการ หรือต ้องการการชว่ ยเหลือ
เพียงเล็กน ้อย
่ ยกูช
ี ทารก: ปัจจ ัยเสย
ี่ ง
การเตรียมการชว
้ พ
่ ยกู ้ชพ
ี ทารกสว่ นใหญ่ สามารถรู ้และเตรียม
การชว
ี่ งก่อน
การณ์ลว่ งหน ้าได ้ โดยการสอบถามถึงปั จจัยเสย
ี
คลอด และขณะคลอด ทีอ
่ าจต ้องการการชว่ ยกู ้ชพ
ทารก
ี่ ง
ทบทวนปั จจัยเสย
ี่ งก่อนคลอด
ปัจจ ัยเสย
•
•
•
•
•
•
•
•
มารดาเป็ นเบาหวาน
ภาวะความดันโลหิตสูงจากการตัง้ ครรภ์
โรคความดันโลหิตสูงเรือ
้ รัง
ี ของทารกหรือ isoimmunization
ภาวะซด
ี ชวี ต
เคยมีบต
ุ รเสย
ิ ในครรภ์หรือหลังคลอด
ภาวะเลือดออกในไตรมาสทีส
่ องหรือสาม
ื้ ในมารดา
ภาวะติดเชอ
่
ภาวะเจ็บป่ วยเรือ
้ รังในมารดา เชน
โรคหัวใจ โรคไต โรคปอด โรคของ
ต่อมธัยรอยด์ หรือ โรคระบบประสาท
• ครรภ์แฝดน้ า (Polyhydramnios)
• ภาวะน้ าคร่าน ้อย (Oligohydramnios)
• ถุงน้ าคร่าแตกก่อนกาหนด (Premature
rupture of membranes)
• ภาวะบวมของทารกในครรภ์ (Fetal
hydrops)
1-5
•
•
•
•
ครรภ์เกินกาหนด (Post-term gestation)
ครรภ์แฝด (Multiple gestation)
น้ าหนั กตัวเบีย
่ งเบนจากอายุครรภ์
่
การได ้รับยาบางชนิดในมารดา เชน
ี ม (magnesium), adrenergicแมกนีเซย
blocking drugs
้
• การใชยาเสพติ
ดในมารดา
• ทารกพิการแต่กาเนิด (Fetal malformation
or anomalies)
• ทารกในครรภ์ดน
ิ้ น ้อยลง
• มารดาไม่ได ้ฝากครรภ์
• มารดาอายุน ้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
ี่ ง
ทบทวนปั จจัยเสย
ี่ งขณะคลอด
ปัจจ ัยเสย
• การทาผ่าตัดฉุกเฉินทางหน ้าท ้อง
(Emergency cesarean section)
• การชว่ ยคลอดด ้วยคีมหรือเครือ
่ งดูด
สุญญากาศ (Forceps or vacuum
assisted delivery)
• ทารกท่าก ้นหรือท่าผิดปกติ
• การคลอดก่อนกาหนด
• การคลอดอย่างรวดเร็วผิดปกติ
(Precipitous labor)
ื้ ในถุงน้ าคร่า
• การติดเชอ
Chorioamnionitis)
• ถุงน้ าแตกก่อนคลอดนาน (>18 ชวั่ โมง
ก่อนคลอด)
• ระยะการคลอดนานเกินปกติ (>24
ชวั่ โมง)
• การคลอดระยะที่ 2 นานเกินปกติ (>2
ชวั่ โมง)
• ทารกตัวใหญ่ (Macrosomia)
1-6
• ทารกในครรภ์มอ
ี ต
ั ราการเต ้นของหัวใจชา้
ผิดปกติ (Persistent fetal bradycardia)
• การเต ้นของหัวใจทารกในครรภ์มล
ี ักษณะ
non-reassuring
้
• การใชยาดมสลบ
• มดลูกหดเกร็งมากกว่าปกติ (Uterine
hyperstimulation)
• มารดาได ้รับยากดประสาท (Narcotics)
ภายใน 4 ชวั่ โมงก่อนคลอด
• ภาวะขีเ้ ทาปนในน้ าคร่า (Meconiumstained amniotic fluid)
• สายสะดือย ้อย (Prolapsed cord)
• ภาวะรกลอกตัวก่อนกาหนด (Abruptio
placentae)
• ภาวะรกเกาะตา่ (Placenta previa)
ี เลือดมากในขณะคลอด
• ภาวะเสย
อาการแสดงของทารกทีม
่ ป
ี ญ
ั หาขาดออกซเิ จน
ความตึงตัวของกล ้ามเนือ
้
(muscle tone) ลดลง
เขียวและความ
ตึงตัวของ
กล ้ามเนือ
้ ปกติ
ภาวะกดการหายใจ
(respiratory depression)
้
อัตราการเต ้นของหัวใจชาลง
(bradycardia)
ความดันโลหิตตา
่
ภาวะหายใจเร็ว (tachypnea)
เขียว (cyanosis)
เขียวและความ
ตึงตัวของ
กล ้ามเนือ
้
ลดลง
้ งต้น (A)
ขนตอนเบื
ั้
อ
ให้ความอบอุน
่
ี ษะ ทาให้
จ ัดท่าศร
่ อ
* พิจารณาใสท
่ หายใจ (ในกรณีทท
ี่ ารก
ไม่หายใจ และมีขเี้ ทาปนเปื้ อนในน้ าคร่า)
• อายุครรภ์ครบกาหนดหรือไม่
• น้ าคร่าใสหรือไม่
• หายใจหรือร ้องดังหรือไม่
• ความตึงตัวของกล ้ามเนือ
้ ดีหรือไม่
ไม่ใช ่
• ให ้ความอบอุน
่
• จัดท่าศรี ษะ เปิ ดทางเดินหายใจ
ให ้โล่ง* (เท่าทีจ่ าเป็ น)
็ ตัวให ้แห ้ง กระตุ ้นให ้หายใจ
• เชด
และจัดท่าศรี ษะใหม่
การประเมิน
ทางเดินหายใจโล่ง
และดูดเสมหะตาม
ความจาเป็น
เช็ดต ัวและให้การ
ั ัส
กระตุน
้ โดยการสมผ
เพือ
่ ให้ทารกหายใจ
แรกเกิด
A
การให ้ความอบอุน
่ แก่ทารก
ี ความร ้อนโดย
ป้ องกันการสูญเสย
วางทารกไว ้ใต ้เครือ
่ งให ้ความอบอุน
่
็ ตัวให ้แห ้ง
เชด
เอาผ ้าเปี ยกออก
(radiant warmer)
วิธก
ี ารทาให ้ทางเดินหายใจโล่ง
การเปิ ดทางเดินหายใจ ทาได ้โดยการจัดศรี ษะของ
ทารกให ้อยูใ่ นท่า “sniffing”
ทารกควรนอนหงายหรือตะแคง โดยให ้คอแหงน
เล็กน ้อย
่ งคอ กล่องเสย
ี งและหลอดลม
ท่า “sniffing” ทาให ้ชอ
้
อยูใ่ นแนวเสนตรง
และลมผ่านเข ้าได ้สะดวก
การเปิ ดทางเดินหายใจ
ทางเดินหายใจ
เปิ ดโล่ง
ทางเดินหายใจอุด
ตันจากการงอคอ
มากเกินไป
ทางเดินหายใจอุดตันจากการ
แหงนคอมากเกินไป
การประเมิน
ภายหลังการดูแลชว่ ยเหลือเบือ
้ งต ้น การชว่ ยเหลือ
ขัน
้ ต่อไป ขึน
้ กับผลการประเมินดังต่อไปนี้
การหายใจ
อัตราการเต ้นของหัวใจ
ี วิ
สผ
ประเมินการหายใจ
อ ัตราการเต้นของห ัวใจ
ี วิ
และสผ
่ ยเหลือ
ท่านมีเวลาประมาณ 30 วินาที ในการชว
ิ ใจให้
แต่ละขนตอน
ั้
ก่อนการประเมินเพือ
่ ต ัดสน
่ ยเหลือขนต่
การชว
ั้ อไป
การดูแลทารกทีม
่ ข
ี เี้ ทาในน้ าครา่
ขีเ้ ทาปนในน้าครา่
ไม่
ใช่
ทารก “vigorous”*
ไม่
ใช่
ดูดเสมหะในปาก
และหลอดลมคอ
ให้การช่วยกู้ชีพเบือ้ งต้น
ดูดเสมหะในปากและจมูก
เช็ดตัวให้แห้ง, กระตุ้น, จัดท่าศีรษะใหม่
ขัน
้ ตอนเบือ
้ งต ้น: มีขเี้ ทาในน้ าครา่
ทารก Not vigorous: ดูดขีเ้ ทาในหลอดลมคอทันที
หลังคลอด ก่อนให ้การชว่ ยเหลือขัน
้ ต่อไป
ทารก Vigorous: ดูดขีเ้ ทาและสารคัดหลั่งจากปาก
และจมูก และชว่ ยเหลือตามขัน
้ ตอน
Vigorous คือ การหายใจได้ด ี
้ ดี
ความตึงต ัวของกล้ามเนือ
อ ัตราการเต้นของห ัวใจ >100 ครง/นาที
ั้
ทารกแรกเกิดทีม
่ ข
ี เี้ ทาในน้ าครา่ และทารกไม่
ค่อยร ้อง Not vigorous
ทาการดูดขีเ้ ทาจากหลอดลมคอทันที
้
ใส ่ laryngoscope และใชสายดู
ดเสมหะเบอร์ 12F หรือ 14F เพือ
่ จะดูด
่ งคอด ้านหลัง
เสมหะในปาก ชอ
้ อชว่ ยหายใจเป็ นตัวดูดเสมหะ โดยต่อท่อชว่ ยหายใจกับ
ใชท่
meconium aspirator และเครือ
่ งดูดเสมหะ แล ้วถอยท่อ
้ การดูดขีเ้ ทา ใชเวลาไม่
้
ออกชาๆ
เกิน 3-5 วินาที
ี ต่อทันที
กรณีทด
ี่ ด
ู ไม่ได ้ขีเ้ ทา ให ้เริม
่ ปฏิบต
ั ก
ิ ารชว่ ยกู ้ชพ
กรณีทท
ี่ าการดูดครัง้ แรกได ้ขีเ้ ทา ให ้ฟั งการเต ้นของหัวใจทารก
่ อ
หากหัวใจเต ้นเร็ว ให ้ทาการใสท
่ ชว่ ยหายใจทาการดูดซ้า
่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวก
หากหัวใจทารกเต ้นชา้ ควรชว
B
่ ยหายใจ (B)
การชว
ถ้าทารกหยุดหายใจ หรืออ ัตรา
การเต้นของห ัวใจ 100 ครงต่
ั้ อ
นาที :
่ ยหายใจด้วยแรงด ันบวก *
ชว
ถ้าทารกหายใจได้เอง และอ ัตรา
การเต้นของห ัวใจ 100 ครงต่
ั้ อ
นาที แต่เขียว
ให้ออกซเิ จน
่ ย
ถ้าอาการเขียวไม่ดข
ี น
ึ้ ชว
หายใจด้วยแรงด ันบวก
่ อ
* พิจารณาใสท
่ หายใจ
ประเมินการหายใจ
อ ัตราการเต้นของห ัวใจ
ี วิ
และสผ
หยุดหายใจหรือ
อัตราการเต ้นของ
หัวใจ 100
หายใจได ้เองและ
อัตราการเต ้นของ
หัวใจ 100
แต่ยังคงเขียว
ให้ออกซเิ จน
ยังคงเขียวตลอด
่ ยหายใจ
ให้การชว
ด้วยแรงด ันบวก *
การให ้ออกซเิ จนผ่านตามสาย
(Free-flow Oxygen)
ควรให ้ Free-flow oxygen เมือ
่ ทารกมีภาวะเขียว
ทัง้ ตัว
ไม่สามารถให ้ออกซเิ จน free-flow ผ่าน self-
inflating bag ทีต
่ อ
่ กับหน ้ากากได ้
ข ้อบ่งชใี้ นการชว่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวก
ื ก
หยุดหายใจหรือหายใจเฮอ
อัตราการเต ้นของหัวใจน ้อยกว่า 100 ครัง
้ /นาที
ตัวเขียวขณะได ้ก๊าซออกซเิ จนเข ้มข ้น 100%
่ ยหายใจอย่างมีประสท
ิ ธิภาพ เป็นปัจจ ัย
การชว
่ ยกูช
ี ทารกให้ประสบผลสาเร็จได้
หล ักในการชว
้ พ
้
อุปกรณ์ทใี่ ชในการช
ว่ ยหายใจ ด ้วยแรงดันบวก
Self-inflating bag ข ้อดี:
พองตัวได ้เอง
มีลน
ิ้ ลดความดัน (pop-off valve) กรณีทบ
ี่ บ
ี ความดันเกิน 40 ซม.น้ า
ี :
ข ้อเสย
พองตัวได ้เอง แม ้ไม่มก
ี า๊ ซเข ้าสู่ bag
หน ้ากากต ้องแนบสนิทกับหน ้าของทารก จึงจะทาให ้ลมจากการบีบ
bag เข ้าปอดได ้
ต ้องต่ออุปกรณ์เก็บกักออกซเิ จน (oxygen reservoir)
้
ไม่สามารถใชในการให
้ก๊าซออกซเิ จนอย่างเดียว ถ ้าไม่บบ
ี bag
เพราะมีลน
ิ้ ปิ ดกัน
้ อยู่
ไม่สามารถให ้ CPAP และ PEEP ได ้ ยกเว ้นต่อ PEEP valve
Flow-inflating bag
ลักษณะสาคัญของอุปกรณ์ชว่ ยหายใจด ้วย
แรงดันบวก
ขนาดของหน ้ากากทีเ่ หมาะสม
ความสามารถในการให ้ออกซเิ จนความเข ้มข ้นต่างๆ กัน
จนถึงออกซเิ จนเข ้มข ้น 90% to 100%
่ งหายใจเข ้า
ความสามารถในการควบคุมความดันชว
(PIP) และระยะเวลาชว่ งหายใจเข ้า (inspiratory time)
ขนาดของ bag ทีเ่ หมาะสม (200-750 มิลลิลต
ิ ร)
มาตรการป้ องกันไม่ให ้ทารกได ้รับแรงดันมากเกินไป
Self-inflating Bag: การควบคุมออกซเิ จน
ต ้องต่ออุปกรณ์เก็บกัก
ออกซเิ จน (oxygen reservoir)
จึงจะได ้ความเข ้มข ้นของ
ออกซเิ จนสูง
้
แม ้ว่าจะใชออกซ
เิ จน 100% ถ ้า
ไม่มอ
ี ป
ุ กรณ์เก็บกักออกซเิ จน
ทารกจะได ้รับออกซเิ จน
ประมาณ 40% ซงึ่ อาจไม่
ี ทารก
เพียงพอในการชว่ ยกู ้ชพ
แรกเกิด
Click on the image to play video
Self-inflating Bag: การควบคุมออกซเิ จน
ความเข ้มข ้นของออกซเิ จนที่
ได ้รับจาก bag ทีม
่ อ
ี ป
ุ กรณ์
เก็บกักออกซเิ จนอยูป
่ ระมาณ
90-100%
อุปกรณ์เก็บกักออกซเิ จน
ชนิดปลายเปิ ด
อุปกรณ์เก็บกักออกซเิ จน
อุปกรณ์เก็บกักออกซเิ จน ชนิดปลายปิ ด
Self-inflating Bag: แรงดัน
ปริมาณความด ันทีท
่ ารกได้ร ับในแต่ละครงั้
้ อยูก
ขึน
่ ับ 3 ปัจจ ัย ด ังนี้
ความแรงในการบีบ bag
มีรอยรั่วระหว่างหน ้ากาก (mask) กับหน ้าทารกหรือไม่
ระดับของความดันทีก
่ าหนดไว ้ทีล
่ น
ิ้ ลดความดัน
้
ความเข ้มข ้นของออกซเิ จนทีค
่ วรใชระหว่
างการ
ี ทารกแรกเกิด
ชว่ ยกู ้ชพ
Neonatal Resuscitation Program มีข ้อแนะนาให ้ใช ้
ออกซเิ จนเข ้มข ้น 100% ระหว่างการชว่ ยหายใจด ้วย
แรงดันบวก
ึ ษาพบว่า การให ้ก๊าซออกซเิ จนเข ้มข ้น
มีบางการศก
ี ทารกได ้สาเร็จ
น ้อยกว่า 100% ก็อาจจะสามารถกู ้ชพ
ี ทารกแรกเกิด โดยใชออกซ
้
ถ ้าเริม
่ การชว่ ยกู ้ชพ
เิ จน
เข ้มข ้นน ้อยกว่า 100% เป็ นเวลา 90 วินาที ทารกไม่ด ี
ขึน
้ ควรเพิม
่ ความเข ้มข ้นของออกซเิ จน จนถึง 100%
่ อ
การใสท
่ ชว่ ยหายใจ: ข ้อบ่งช ี้
กรณีทม
ี่ ข
ี เี้ ทาปนในน้ าครา่ หากทารก not vigorous
่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวกไม่มป
ิ ธิภาพ หรือ
การชว
ี ระสท
ต ้องชว่ ยหายใจเป็ นเวลาหลายนาที
ั พันธ์กบ
เมือ
่ ต ้องทาการกดหน ้าอก เพือ
่ ให ้สม
ั การชว่ ย
หายใจ
เมือ
่ ต ้องการให ้ยา epinephrine ระหว่างรอการหา
หลอดเลือดดา
ท่อชว่ ยหายใจ: ขนาดทีเ่ หมาะสม
GA (wk)
นา้ หน ักต ัว
< 28
< 1000 gram
ความลึกของท่ อช่ วยหายใจ
ขนาด ET-tube
นา้ หนัก
ความลึก
(กิโลกรัม)
(ซม.จากริมฝี ปาก)
2.5
1*
7
28-34
1000-2000 gram
3
2
8
34-38
2000-3000 gram
3.5
3
9
3.5 - 4
4
10
> 38
> 3000 gram
*ทารกทีน่ า้ หนักน้ อยกว่ า
750 กรัม อาจใส่ ท่อช่ วย
หายใจลึก 6 ซม. ก็เพียงพอ
ET tube
่ อ
การใสท
่ ชว่ ยหายใจ: อุปกรณ์
้
ื้ โรค และ
อุปกรณ์ทใี่ ชในการช
ว่ ยหายใจ ต ้องสะอาดปราศจากเชอ
้ เ่ สมอ
พร ้อมใชอยู
เตรียมอุปกรณ์สาหรับ
ชว่ ยหายใจด ้วย
แรงดันบวก และ
หน ้ากาก
เปิ ดออกซเิ จน
เตรียม Stethoscope
เตรียมเทปกาว
สาหรับติดท่อชว่ ย
หายใจกับหน ้าของ
ทารก
การเตรียม Laryngoscope:
อุปกรณ์ประกอบ
ควรเลือกขนาด blade ให ้เหมาะสม
เบอร์ 0 สาหรับทารกเกิดก่อนกาหนด
เบอร์ 1 สาหรับทารกเกิดครบกาหนด
ตรวจสอบความสว่างของหลอดไฟ
เปิ ดเครือ
่ งดูดเสมหะทีค
่ วามดัน 100 มม.ปรอท
ต่อกับสายดูดเสมหะขนาด 10F (หรือใหญ่กว่า) เพือ
่ ทาการ
ดูดเสมหะในปาก
้
ใชสายดู
ดเสมหะทีเ่ ล็กกว่า เพือ
่ ดูดเสมหะในท่อชว่ ยหายใจ
่ อ
การชว่ ยเหลือขณะใสท
่ ชว่ ยหายใจ
เตรียมอุปกรณ์ให ้พร ้อม
จัดท่า และจับศรี ษะทารกให ้อยูน
่ งิ่
ให ้ free-flow oxygen
ดูดเสมหะในปาก
่ ท่อชว่ ยหายใจให ้ผู ้ทีท
่ อ
สง
่ าการใสท
่
กดบริเวณ cricoid
่ อ
(ถ ้าผู ้ใสท
่ ชว่ ยหายใจร ้องขอ)
่ อ
การใสท
่ ชว่ ยหายใจ:
การเตรียมทารกเพือ
่ ไม่ให ้ขาดออกซเิ จน
่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวกก่อนทา
ให ้ออกซเิ จนและชว
่ อ
การใสท
่ ชว่ ยหายใจ (ยกเว ้นในกรณีทม
ี่ ข
ี เี้ ทาปนใน
น้ าครา่ )
่ อ
ให ้ออกซเิ จน free flow ระหว่างการใสท
่ ชว่ ยหายใจ
่ อ
ระยะเวลาในการใสท
่ ชว่ ยหายใจ ไม่เกิน 20 วินาที
่ อ
การชว่ ยเหลือขณะใสท
่ ชว่ ยหายใจ
่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวก ระหว่างการใสท
่ อ
ทาการชว
่ ชว่ ย
หายใจแต่ละครัง้
่ ยหายใจเข ้ากับอุปกรณ์ชว่ ยหายใจด ้วยแรงดัน
ต่อท่อชว
บวก
ประเมินอัตราการเต ้นของหัวใจ
ี งลมเข ้าปอด และประเมินการเคลือ
ฟั งเสย
่ นขึน
้ ของ
หน ้าอก
้
ใชเทปกาวติ
ดท่อชว่ ยหายใจกับหน ้าของทารก
่ อ
การใสท
่ ชว่ ยหายใจ: ลักษณะทางกายภาพ
่ อ
การใสท
่ ชว่ ยหายใจ: การจัดท่าของทารก
ท่ าที่
ถูก
ต้ อง
คองอ
มากเกินไป
คอแหงน
มากเกินไป
การตรวจสอบตาแหน่งของท่อชว่ ยหายใจ
สงิ่ ทีบ
่ ง่ ชวี้ า่ ท่อชว่ ยหายใจอยูถ
่ ก
ู ตาแหน่ง
ั ญาณชพ
ี (การเต ้นของหัวใจ สผ
ี วิ การเคลือ
ทารกมีสญ
่ นไหว)
ดีขน
ึ้
ี งลมเข ้าเท่ากันทัง้ สองข ้าง ไม่ได ้ยินเสย
ี งลม
ฟั งปอดได ้ยินเสย
ในกระเพาะอาหาร
่ ยหายใจ เห็นการเคลือ
ขณะชว
่ นขึน
้ ของทรวงอก
เมือ
่ ชว่ ยหายใจ ท ้องของทารกไม่อด
ื ขึน
้
่ ยหายใจ ในขณะหายใจออก
เห็นไอน้ าในท่อชว
เอ็กซเรย์ดต
ู าแหน่งท่อชว่ ยหายใจ
่ งดู และเห็นว่าท่อชว่ ยหายใจอยู่
ใช ้ laryngoscope สอ
ระหว่าง vocal cords
การตรวจสอบตาแหน่งของท่อชว่ ยหายใจ
ท่อชว่ ยหายใจ ไม่อยูใ่ นหลอดลมคอ ถ ้า
ทารกยังเขียว และหัวใจเต ้นชา้
ี งลมหายใจทีป
ฟั งไม่ได ้ยินเสย
่ อดทัง้ สองข ้าง
ท ้องอืดขึน
้
ี งลมบริเวณกระเพาะอาหาร
ได ้ยินเสย
ไม่มไ
ี อน้ าในท่อชว่ ยหายใจ
ทรวงอกของทารกไม่เคลือ
่ นขึน
้ เมือ
่ ทาการชว่ ยหายใจด ้วย
แรงดันบวก
การไหลเวียนโลหิต (C)
ถ้าอ ัตราการเต้นของห ัวใจ 60 ครงต่
ั้ อนาที
่ ยหายใจด้วยแรงด ันบวกนาน 30 วินาที
ภายหล ังการชว
่ ยหายใจต่อไป
กดหน ้าอก ร่วมกับ ชว
ประเมินอีกครัง
้
ถ ้าอัตราการเต ้นของหัวใจยัง 60 ครัง
้ ต่อนาที ให ้การ
ชว่ ยเหลือขัน
้ ต่อไป (D)
่ ยหายใจด้วยแรงด ันบวก (positive pressure ventilation) *
ชว
กดหน้าอก (chest compression) *
C
่ อ
* พิจารณาใสท
่ หายใจ
การกดหน ้าอก Chest Compressions
่ ยเพิม
ชว
่ การไหลเวียนเลือดชวั่ คราว
่ ยหายใจ
ต ้องทาร่วมกับการชว
้
ควรใชออกซ
เิ จน 100%
การกดหน ้าอก: ข ้อบ่งช ี้
เมือ
่ อัตราการเต ้น
ของหัวใจน ้อยกว่า
60 ครัง้ /นาที ทัง้ ๆ
ทีท
่ ารกได ้รับการ
ชว่ ยหายใจด ้วยแรง
ดันบวกอย่างเพียง
พอแล ้วเป็ นเวลา
30 วินาที
หยุดหายใจ
อัตราการเต ้นของหัวใจ
< 100
หายใจเอง
อัตราการเต ้นของหัวใจ
> 100 แต่เขียว
ให ้ออกซเิ จน
ยังคงเขียว
ชว่ ยหายใจ
ด ้วยแรงดันบวก *
อัตราการเต ้นของหัวใจ
< 60
อัตราการเต ้นของหัวใจ
> 60
ชว่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวก *
กดหน ้าอก
่ อ
* พิจารณาใสท
่ ชว่ ยหายใจ
การกดหน ้าอก:
ต ้องมีบค
ุ ลากร 2 คน
คนหนึง
่ กดหน ้าอก
่ ยหายใจ
อีกคนให ้การชว
การกดหน ้าอก:
หัวใจไปชนกับกระดูก
ั หลัง
ไขสน
่ งอก
ความดันในชอ
เพิม
่ ขึน
้
เกิดการไหลเวียนเลือด
ไปยังอวัยวะสาคัญ
การกดหน ้าอก: ตาแหน่งการวางมือและนิว้
้ ว้ ลากมาตามขอบ
ใชนิ
ล่างของกระดูกซโี่ ครง
จนกระทั่งมาพบกระดูก
xyphoid
วางนิว
้ หัวแม่มอ
ื หรือนิว้
มือสองนิว้ เหนือต่อจาก
กระดูก xyphoid ตาม
้ ล
แนวเสนที
่ ากระหว่าง
หัวนม
การกดหน ้าอก: เทคนิคหัวแม่มอ
ื
(Thumb Technique)
นิว
้ หัวแม่มอ
ื อยูบ
่ น
กระดูกหน ้าอก
นิว
้ อืน
่ อยูใ่ ต ้หลังทารก
ั หลัง
เพือ
่ หนุนกระดูกสน
้ ว้ หัวแม่มอ
ใชนิ
ื กดลงบน
ถูกต ้อง
กระดูกกลางอก
(sternum) และปล่อย
เพือ
่ ให ้หน ้าอกคืนรูปได ้
เต็มที่
•เมือ
่ ยล ้าน ้อยกว่า
•สามารถควบคุมความลึกของการกดหน ้าอกได ้ดีกว่า
ไม่ถก
ู ต ้อง
การกดหน ้าอก:
้
เทคนิคการใชสองนิ
ว้ มือ
(2-Finger Technique)
ปลายของนิว
้ กลางและ
ี้ รือนิว้ นางใชใน
้
นิว้ ชห
การกดหน ้าอก
มืออีกข ้างให ้วางหนุนที่
ด ้านหลังของทารก
ี ทีม
•เหมาะสาหรับผู ้ชว่ ยกู ้ชพ
่ ม
ี อ
ื ขนาดเล็ก
้ น
่ ะดือได ้ดีกว่าเมือ
•ใชพื
้ ทีไ่ ม่มาก เปิ ดทางเข ้าสูส
่ ต ้องการให ้ยา
การกดหน ้าอก:
ความแรงและความลึกในการกด
ความลึกของการกด
หน ้าอกประมาณ 1 ใน 3
ของความกว ้างทรวงอกใน
แนวหน ้าหลัง
การกดหน ้าอก: เทคนิค
้
ระยะเวลาทีใ่ ชในการกด
ั ้ กว่าระยะเวลา
ควรจะสน
ในการปล่อย เพือ
่ ให ้ได ้
ปริมาณเลือดทีอ
่ อกจาก
หัวใจมากทีส
่ ด
ุ
ถูกต ้อง
ไม่ถก
ู ต ้อง
การกดหน ้าอก :
อันตรายทีอ
่ าจเกิดขึน
้
หัวใจ
การฉีกขาดของต ับ
ปอด
ตับ
ี่ ครงห ัก
กระดูกซโ
กระดูก
ซโี่ ครงหัก
เลือดออก
ลมรั่วใน
่ งอก
ชอ
การกดหน ้าอกประสานงานกับการชว่ ยหายใจ
1 รอบ ประกอบด ้วยการกด
หน ้าอก 3 ครัง้ และการ
ชว่ ยหายใจ 1 ครัง้ ในเวลา
2 วินาที
่ ยหายใจ 30 ครัง้
ทาการชว
และกดหน ้าอก 90 ครัง้ /
นาที รวมกันเป็ น 120 ครัง้
ต่อนาที
การกดหน ้าอก: การหยุดกดหน ้าอก
หลังจากทาการกด
หน ้าอกและชว่ ย
หายใจแล ้ว 30 วินาที
ควรหยุดกดหน ้าอก
เพือ
่ ตรวจอัตราการ
เต ้นของหัวใจอีกครัง้
ประเมินการหายใจ
ี วิ
อ ัตราการเต้นของห ัวใจและสผ
หยุดหายใจ
อัตราการเต ้น
ของหัวใจ
< 100
หายใจเอง
อัตราการเต ้นของหัวใจ
> 100 แต่เขียว
ให้ออกซเิ จน
ยังคงเขียว
่ ยหายใจ
ชว
ด้วยแรงด ันบวก *
อัตราการเต ้น
ของหัวใจ< 60
อัตราการเต ้น
ของหัวใจ > 60
่ ยหายใจด้วยแรงด ันบวก *
ชว
กดหน้าอก
หายใจอย่างมี
ประสิทธิภาพ
อัตราการเต ้น
ของหัวใจ >100
สีผวิ เป็ นสีชมพู
การดูแลหล ัง
่ ยกูช
ี
การชว
้ พ
อัตราการเต ้น
ของหัวใจ < 60
ให้ยา epinephrine*
่ อ
* พิจารณาใสท
่ ชว่ ยหายใจ
การกดหน ้าอก: อัตราการเต ้นของหัวใจยังคง
ตา่ กว่า 60 ครัง้ /นาที
่ ยหายใจมีประสท
ิ ธิภาพหรือไม่
ตรวจสอบว่าการชว
่ อ
พิจารณาใสท
่ ชว่ ยหายใจ ถ ้ายังไม่ได ้ใส่
่ ายสวนหลอดเลือดของสะดือ เพือ
ใสส
่ ให ้ยา
epinephrine
การให้ยาและสารนา้ (D)
ถ้าอ ัตราการเต้นของห ัวใจ 60 ครงต่
ั้ อนาที
่ ยหายใจและกดหน้าอกอย่างเต็มที่
ภายหล ังการชว
่ ยหายใจ และกดหน ้าอกต่อไป
ให ้ยา epinephrine ร่วมกับชว
• ชว่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวก *
30 วินาที
• กดหน ้าอก *
อัตราการเต ้น
ของหัวใจ 60
ครัง้ ต่อนาที
ให ้ยา epinephrine
่ อ
* พิจารณาใสท
่ หายใจ
C
การประเมิน
D
ข ้อบ่งชใี้ นการให ้ยา epinephrine
Epinephrine เป็ นยากระตุ ้นหัวใจ โดยมีข ้อบ่งชใี้ นทารกทีย
่ ังมี
อัตราการเต ้นของหัวใจตา่ กว่า 60 ครัง้ /นาที แม ้ว่า
่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวกอย่างมีประสท
ิ ธิภาพแล ้ว
ชว
30 วินาที ตามด ้วย
่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวกร่วมกับการกดหน ้าอกอีก
ชว
30 วินาที
รวม = 60 วินาที
ไม่ควรให ้ยา epinephrine ก่อนชว่ ยหายใจด ้วย
ิ ธิภาพ
แรงดันบวกอย่างมีประสท
การให ้ยาและสารน้ าทางหลอดเลือดดาของสะดือ
่ ายสวนในหลอดเลือดของสะดือ
ใสส
เป็ นทางให ้สารน้ าและยา
้
ใชสายสวนขนาด
3.5F
หรือ 5F
้
ื้
ใชเทคนิ
คปลอดเชอ
Epinephrine: ผลของยา และการให ้ซา้
เพิม
่ อัตราการเต ้นของหัวใจ และความแรงของการ
บีบตัวของกล ้ามเนือ
้ หัวใจ
่ นปลายหดตัว
ทาให ้เกิดหลอดเลือดสว
ถ ้าให ้ยาครัง
้ แรกทางท่อชว่ ยหายใจ การให ้ยาซ้า
ควรให ้ทางหลอดเลือดดาของสะดือ
การบริหารยา Epinephrine
ความเข ้มข ้นของยาทีแ
่ นะนา = 1:10,000
วิธบ
ี ริหารยาทีแ
่ นะนา = ทางหลอดเลือดดา (ให ้
่ าย
ทางท่อชว่ ยหายใจได ้ในระหว่างรอการใสส
สวนหลอดเลือดดา)
ขนาดของยาทีแ
่ นะนา = 0.1-0.3 มล./กก. ของ
ยา epinephrine 1:10,000 (ให ้ 0.3-1 มล./กก.
ถ ้าให ้ทางท่อชว่ ยหายใจ)
อัตราการให ้ยาทีแ
่ นะนา = เร็วทีส
่ ด
ุ เท่าทีท
่ าได ้
ถ ้าทารกอาการไม่ดข
ี น
ึ้ หลังให ้ยา epinephrine
(อัตราการเต ้นของหัวใจ < 60 ครัง้ /นาที)
ิ ธิภาพของ
ตรวจสอบประสท
่ ยหายใจ
การชว
การกดหน ้าอก
่ อ
การใสท
่ ชว่ ยหายใจ ว่าอยูใ่ นหลอดลมคอหรือไม่
วิธบ
ี ริหารยา epinephrine
็ คหรือไม่
พิจารณาว่า ทารกมีภาวะความดันเลือดตา่ จนชอ
(hypovolemic shock)
ี :
ทารกไม่ตอบสนองต่อการชว่ ยกู ้ชพ
็ ค (hypovolemic shock)
ชอ
ข ้อบ่งชใี้ นการให ้สารน้ าทดแทน
่ ยกู ้ชพ
ี และ
ทารกไม่ตอบสนองต่อการชว
็ ค (สผ
ี วิ ซด
ี ชพ
ี จรเบา อัตราการเต ้น
ทารกอยูใ่ นภาวะชอ
ี )
ของหัวใจชา้ หรืออาการไม่ดข
ี น
ึ้ ภายหลังการชว่ ยกู ้ชพ
ี เลือด ได ้แก่ มารดามีเลือดออก
มีประวัตท
ิ ารกในครรภ์เสย
่ งคลอดจานวนมาก รกลอกตัวก่อนกาหนด รกเกาะ
ทางชอ
ตา่ และมีภาวะ twin-to-twin transfusion
การให ้สารน้ าทดแทน: ปริมาณและวิธก
ี ารให ้
ชนิดของสารน้ าทดแทนทีแ
่ นะนา = Normal saline
สารน้ าทดแทนอืน
่ ๆ = Ringer’s lactate หรือ
เลือดกลุม
่ O Rh-negative
ปริมาณของสารน้ าทดแทนทีแ
่ นะนา = 10 มล./กก.
วิธก
ี ารให ้ทีแ
่ นะนา= ทางหลอดเลือดดาของสะดือ
วิธก
ี ารเตรียม = เตรียมสารน้ าปริมาณทีต
่ ้องการใน
กระบอกฉีดยาขนาดใหญ่
อัตราการให ้สารน้ าทีแ
่ นะนา = ให ้ในเวลา 5-10 นาที
การตอบสนองต่อการให ้สารน้ าทดแทน
อาการทีบ
่ ง
่ ชวี้ า
่ ทารกมีอาการดีขน
ึ้ ภายหล ังการ
ให้สารนา้ ทดแทน
้
อ ัตราการเต้นของห ัวใจเพิม
่ ขึน
ี จรแรงขึน
้
ชพ
ี วิ ซด
ี ลดลง
สผ
้
ความด ันโลหิตเพิม
่ ขึน
ถ้าภาวะช็อค (hypovolemic shock) ไม่ดข
ี น
ึ้
พิจารณาให้สารนา
้ ทดแทนอีกครงั้
(ปริมาณ 10 มล./กก.)
ภายหลังการให ้ยา: ทารกอาการไม่ดข
ี น
ึ้
ิ ธิภาพของ
ตรวจสอบประสท
่ ยหายใจ
การชว
การกดหน้าอก
่ อ
่ ยหายใจ
การใสท
่ ชว
การให้ epinephrine
พิจารณาว่าทารกมี
ภาวะปริมาณสารนา้ ในร่างกายตา่
อ ัตราการเต้นของห ัวใจ <60
หรือเขียวทงต
ั้ ัว
่ ยหายใจได้
หรือไม่สามารถชว
นึกถึงภาวะต่อไปนี้
ห ัวใจหยุดเต้น
ความผิดปกติของทางเดินหายใจ
ปัญหาของปอด
่ งอก
- ลมรวในช
่ั
อ
- ไสเ้ ลือ
่ นกระบ ังลม
โรคห ัวใจพิการแต่กาเนิด
พิจารณาหยุด
่ ยกูช
ี
การชว
้ พ
ี
ทารกไม่ตอบสนองต่อการชว่ ยกู ้ชพ
ี จร
อาจเห็นควรให ้ยุตก
ิ ารชว่ ยชวี ต
ิ ถ ้าไม่มช
ี พ
หลังจากพยายามชว่ ยชวี ต
ิ อย่างเต็มทีน
่ าน 10 นาที
แรกเกิด
•
•
•
•
อายุครรภ์ครบกาหนดหรือไม่
น้ าคร่าใสหรือไม่
หายใจหรือร ้องดังหรือไม่
ความตึงตัวของกล ้ามเนือ
้ ดีหรือไม่
การดูแลทารกปกติ
ให ้ความอบอุน
่
ทาให ้ทางเดินหายใจโล่ง
เช็ดตัวให ้แห ้ง
ประเมินสีผวิ
ใช่
ไม่ใช่
30 วินาที
• ให ้ความอบอุน
่
• จัดท่าศีรษะ เปิ ดทางเดินหายใจ *
ให ้โล่ง* (เท่าทีจ่ าเป็ น)
• เช็ดตัวให ้แห ้ง กระตุ ้นให ้หายใจ
และจัดท่าศีรษะใหม่
สีผวิ แดง
ประเมินการหายใจ
อัตราการเต ้นของหัวใจ
และสีผวิ
หยุดหายใจหรือ
อัตราการเต ้นของ
หัวใจ 100
30 วินาที
หายใจเอง
อัตราการเต ้นของหัวใจ
100
หายใจได ้เองและ
อัตราการเต ้นของ
หัวใจ 100
แต่ยังคงเขียว
สังเกตอาการ
สีผวิ แดง
ใหออกซิ
้
เจน*
สีผวิ แดง
ยังคงเขียวตลอด
อัตราการ
เต ้นของหัวใจ
60
30 วินาที
ให ้การช่วยหายใจ *
ด ้วยแรงดันบวก *
60
การหายใจมี
ประสิทธิภาพ
อัตราการเต ้นของหัวใจ
100
• ช่วยหายใจด ้วยแรงดันบวก *
• กดหน ้าอก *
อัตราการเต ้น
ของหัวใจ 60 ครัง้ ต่อนาที
ให ้ยา epinephrine
* พิจารณาใส่ทอ
่ หายใจ
การดูแลภายหลัง
การช่วยกู ้ชีพ
สงิ่ สาคัญทีค
่ วรทราบ
ี
จากแผนภูมข
ิ น
ั ้ ตอนการชว่ ยกู ้ชพ
ี
อัตราการเต ้นของหัวใจ 60 ครัง
้ /นาที ให ้การชว่ ยกู ้ชพ
ตามขัน
้ ตอนต่อไป
อัตราการเต ้นของหัวใจ 60 ครัง
้ /นาที หยุดกดหน ้าอก
อัตราการเต ้นของหัวใจ 100 ครัง
้ /นาที และหายใจได ้เอง
หยุดการชว่ ยหายใจด ้วยแรงดันบวก
•
่ อ
เครือ
่ งหมาย () ในแผนภูมแ
ิ สดงถึง ความจาเป็ นทีอ
่ าจต ้องการ การใสท
่ ชว่ ย
หายใจ (endotracheal intubation)
•
ถ ้าทารกอาการไม่ดข
ี น
ึ้ ภายใน 30 วินาที ภายหลังการชว่ ยเหลือ
แต่ละขัน
้ ตอน ควรให ้การชว่ ยเหลือขัน
้ ต่อไป
ี แล ้ว
การดูแลทารกหลังจากชว่ ยกู ้ชพ
ทารกต้องการ
ิ
การติดตามอย่างใกล ้ชด
ความดันโลหิต
อัตราการเต ้นของหัวใจ
ี วิ
Oxygen saturation หรือ สผ
การตรวจทางห ้องปฏิบต
ั ก
ิ าร
ความเข ้มข ้นของเลือด (Hematacrit)
น้ าตาลในเลือด (Glucose)
เคราะห์กา
๊ ซในเลือด (Blood gas)
้
การดูแลภาวะแทรกซอน
้
ี
ภาวะแทรกซอนที
พ
่ บได ้หลังการชว่ ยกู ้ชพ
่ ยกูช
ี ต้องได้ร ับการ
ทารกแรกเกิดทีต
่ อ
้ งการการชว
้ พ
เฝ้าระว ังและให้การร ักษาปัญหาต่อไปนี้
ภาวะความดันโลหิตใน
ปอดสูง ปอดอักเสบ หรือ
้
ภาวะแทรกซอนทางปอด
อืน
่ ๆ
ภาวะเลือดเป็ นกรด
ภาวะความดันเลือดตา
่
การให ้สารน้ า
ั หรือ หยุดหายใจ
ภาวะชก
ภาวะน้ าตาลในเลือดตา
่
ปั ญหาการให ้อาหาร
การควบคุมอุณหภูม ิ
การควบคุมอุณหภูม ิ
การทาให ้ทารกมีอณ
ุ หภูมก
ิ ายสูง (hyperthermia)
ก่อให ้เกิดอันตรายกับทารก ดังนัน
้ ควรระมัดระวัง
ไม่ให ้ทารกมีอณ
ุ หภูมก
ิ ายสูงเกินไป ระหว่างหรือ
ี
ภายหลังการชว่ ยกู ้ชพ
ี่ งสูง
ทาไมทารกทีเ่ กิดก่อนกาหนดจึงมีความเสย
มากกว่าปกติ
ปอดยังขาดสารลดแรงตึงผิวของถุงลม (surfactant)
สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ อาจทาให ้ควบคุมการหายใจได ้ไม่ด ี
ี ความร ้อนได ้ง่าย และควบคุมอุณหภูมริ า่ งกายได ้ไม่ด ี
มีการสูญเสย
ี่ งสูงต่อการติดเชอ
ื้
มีความเสย
หลอดเลือดในสมองเปราะบางมาก อาจทาให ้มีเลือดออกในสมอง
ได ้ง่าย
ี่ งต่อการเกิดความดันโลหิตตา่ หรือชอ
็ คได ้ง่ายเมือ
มีความเสย
่ มีการ
ี เลือด
เสย
กล ้ามเนือ
้ อ่อนแรง ทาให ้หายใจเองได ้ลาบาก
ี่ งต่อการถูกทาลายจากการได ้รับ
เนือ
้ เยือ
่ ยังเจริญไม่สมบูรณ์ จึงเสย
ออกซเิ จนทีม
่ ากเกินไป