บทที่ 2 การรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

Download Report

Transcript บทที่ 2 การรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

มนุ ษย ์เราถูกครอบงาด ้วย
อวิชชา
คือ ความไม่รู ้ว่าอะไรเป็ น
อะไร
่ างๆตามสภาพทีเป็
่ น
ไม่รู ้สิงต่
จริง
อวิชชา คือตามสภาวธรรม(ธรรม
ความไม่รู ้ไม่เข้าใจในสภาวะเป็ นจริง
ชาติ)ของทุกข ์และการดับทุกข ์ ความไม่รู ้
้
นี ครอบคลุ
มถึง "ไม่รู ้เท่าทันหรือสติ และ
การไม่นาไปปฏิบต
ั ด
ิ ้วย" ด ้วย หรือความ
ไม่รู ้แจ ้งแทงตลอดและไม่ปฏิบต
ั ใิ นอริยสัจ
้
๔ และปฏิจจสมุปบาท หรือ อวิชชาทัง๘
ตามความเป็ นจริง
แยกได ้เป็ น 2 ส่วน
คือ
สัจธรรม
จริยธรรม
่
คาสอนเกียวกั
บธรรมชาติ
และความเป็ นไปโดยธรรมดาของสิง่
้
ต่างๆทังหลาย
นั้นคือ กฎธรรมชาติ
นั่นเอง
การนาประโยชน์จากการรู ้และ
เข ้าใจในสัจธรรมมาประยุกต ์ใช ้ในชีวต
ิ
่ ้เป็ นประโยชน์ หรือเป็ นข ้อ
เพือให
่
ผูกพันทีโยงสั
จธรรมนั้นเข ้ากับชีวต
ิ
และสังคมมนุ ษย ์
ตามหลักคาสอนของพุทธศาสนา ชีวต
ิ คือ
องค ์ประกอบของ ขันธ ์ 5 เพราะชีวต
ิ ประกอบไป
่ นเหตุและปัจจัยแก่กนั
่ งเป็
ด ้วยส่วนต่างๆ 5 ส่วนทีซึ
และกัน
องค ์ประกอบของขันธ ์ 5
่
1.รู ป : ส่วนทีผสมก
ันของธาตุดน
ิ น้ า ลม ไฟ
เช่น ผม หนัง กระดู ก โลหิต
2.เวทนา : ระบบประมวลความรู ้สึกว่า ชอบหรือไม่
ชอบ และเฉยๆ
่ ได้
้
่ ร ับรู ้และรู ้สึกถึงสิงนั
่ นๆ
3.สัญญา : จาสิงที
่ ร่ ับรู ้สึก
4.สังขาร : ระบบคิดปรุงแต่ง แยกแยะสิงที
้ั
และจาได้นนๆ
่ นๆ
้
้ กาย
5.วิญญาณ :ระบบรู ้สิงนั
ทางตา หู จมู ก ลิน
ใจ
หล ักไตรล ักษณ์ หมายถึงคาสอน
ของพระพุทธเจ้าอันว่าด้วยล ักษณะ ๓
่ ทวไปแก่
่ั
อย่าง ทีมี
สรรพสิง่ ไตรลักษณ์
เป็ นลักษณะประจาของขันธ ์ ๕ ไตร
ลักษณ์จงึ ถือว่าเป็ น "กฎ" อย่างหนึ่ ง
ของธรรมชาติ
๑. อนิจจตา ความเป็ นอนิจจัง คือ
ความไม่เทีย
่ ง ความเปลีย
่ นแปลง ลักษณะ
ของอนิจจตาหรือทีเ่ รียกว่า
"อนิจจล ักษณะ" ก็คอ
ื การเกิดขึน
้ , การ
เปลีย
่ นแปลงขณะตัง้ อยู่ , และการดับไป
ของสงิ่ ทัง้ หลาย
๒. ทุกขตา ความเป็ นทุกข์หรือความ
ทุกข์ คือสงิ่ ทีท
่ นได ้ยาก และอาการทีท
่ นอยูใ่ น
สภาวะเดิมไม่ได ้ จาแนกความทุกข์ออกเป็ น ๓
ประเภทดังนี้
(๑) ทุกขทุกขตา หรือ ทุกขทุกข์ หมายถึง
ึ ทุกข์ซงึ่ เป็ นเวทนา
ทุกข์คอ
ื ความรู ้สก
(๒) สงั ขารทุกขตา หรือ สงั ขารทุกข์ ทุกข์
ตามสภาพสงั ขารหรือทุกข์คอ
ื สงั ขาร หมายถึง
ทุกข์ของสงั ขารทัง้ ปวง
ึ สุข
(๓) วิปริณามทุกขตา หมายถึงความรู ้สก
หรือสุขเวทนาทีเ่ ป็ นความทุกข์หรือมีทก
ุ ข์แฝง
๓. อน ัตตา ความเป็ นอนัตตา คือ
่ ละไม่มส
ความไม่ใชแ
ี งิ่ ทีเ่ รียกว่า "อัตตา"
รวมทัง้ ลักษณะของความไม่เป็ นไปใน
อานาจบังคับบัญชา ความเป็ นอนัตตามี
ความหมายหลัก ๒ อย่างคือ
(๑) ความเป็ นอนัตตาหมายถึงความไม่
มีสงิ่ ทีเ่ รียกว่า "อัตตา"
(๒) ความเป็ นอนัตตาหมายถึงลักษณะ
ทีไ่ ม่เป็ นไปในอานาจบังคับบัญชา
ความสัมพันธ ์ระหว่างอนิ จจัง ทุก
ขัง และอนัตตา
ลักษณะทัง้ สามอย่างของไตรลักษณ์นม
ี้ ี
ความเกีย
่ วโยงก ันอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะ
สงิ่ ทีป
่ ระกอบก ันเป็นข ันธ์ ๕ เพราะล ักษณะไม่
เทีย
่ งหรือความเปลีย
่ นแปลงก็คอ
ื ลักษณะทีเ่ กิด
มาจากการคงทนอยูใ่ นสภาวะเดิมไม่ได ้อันเป็ น
ลักษณะของความทุกข์ ความเป็ นทุกข์ก็เกิดมา
จากการไม่มค
ี วามเป็นไปตามอานาจบ ังค ับ
่ ั เป็นอย่างทีต
บ ัญชาทีส
่ ามารถสงให้
่ อ
้ งการได้
เสมอไป เพราะถ ้าสงั่ การได ้ดังปรารถนาก็คงไม่ม ี
ในกรณีนจ
ี้ งึ อาจกล่าวโดยย่อได ้ว่า เป็ น
อนิจจ ังเพราะเป็นทุกข์ และเป็นทุกข์เพราะ
อน ัตตา กล่าวอีกอย่างคือความเป็ นอนัตตาคือ
ความไม่มต
ี วั ตนทีค
่ งทีแ
่ ละความไม่อยูใ่ นอานาจ
บังคับบัญชาของใครเกิดขึน
้ เพราะทุกสงิ่ ไม่
สามารถทนอยูใ่ นสภาวะเดิมได ้ตลอดเวลา สาเหตุ
ทีท
่ ก
ุ สงิ่ ไม่สามารถทนอยูใ่ นสภาวะเดิมได ้ก็เพราะ
ทุกสงิ่ ต ้องไม่เทีย
่ งต ้องเปลีย
่ นแปลงไปตามเหตุ
ปั จจัยนั่นเอง ในกรณีนี้ เราอาจกล่าวไดในทาง
้
่ กันว่า เป็นอน ัตตาเพราะเป็น
กล ับก ันได ้อีกเชน
ความหมาย
ปฏิจจ แปลว่า อาศ ัย
้
สมุปบาท แปลว่า เกิดขึนพร
้อม
้ ปฏิจจสมุปบาท หมายถึงเรืองที
่
่
่ ันและกันแล้ว
ดังนัน
อาศ
ัยซึงก
้
เกิดขึนพร
้อม
้ั
ผู ใ้ ดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู น
้ นเห็
นธรรม
้ั องเห็นปฏิจจสมุปบาท
ผู ใ้ ดเห็นธรรม ผู น
้ นย่
ในอภิธรรมนิ ยม เรียก ปฏิจจสมุปบาท ว่า “ปั จจ
ยาการ”
่ นปั จจัย
ปั จายการ หมายถึง อาการทีเป็
1. อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
“กิเลส” คือตัง
ผลักดันให ้คิดปรุงแต่ง ให ้เกิดการกระทาต่างๆเรียกว่า
กิเลสวัฏฏ์
2.สังขาร ภพ
“กรรม” คือ กระบวนการกระทาที่
ปรุงแต่งชวี ต
ิ ให ้เป็ นไปตาม กรรมวัฏฏ์
3.วิญญาณ นามรู ป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
“วิบาก”
คือ สภาพชวี ต
ิ อันเป็ นผลแห่งการปรุงแต่งของกรรม
และกลับเป็ นปั จจัยเสริมสร ้างกิเลสอีกต่อไป เรียกว่า
ปากวัฏฏ์
1.อวิชชา
ปั ญญา
2.สังขาร
3.วิญญาณ
4.นามรู ป
5.สฬายตนะ
6.ผัสสะ
7.เวทนา
ความไม่รู ้ ไม่รู ้ความเป็ นจริง ไม่ใช้
ความคิดปรุงแต่ง เจตจานง จิตพิสย
ั
การร ับรู ้โลกภายนอก
้
ส่วนประกอบของชีวต
ิ ทังกายและใจ
่
้ กาย ใจ
สือแห่
งการร ับรู ้ ตา หู จมู ก ลิน
การร ับรู ้ การติดต่อกับโลกภายนอก
ความรุ ้สึก ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ
8. ตัณหา
ความอยาก อยากได้ อยากมี อยาก
เป็ น
่ อมัน
่ ผู กพันค้างอยู ่ในใจ
9. อุปาทาน
ความยึดมันถื
ใฝ่นิ ยม เทิดค่า
่ นอยู ่เป็ นไป บุคลิกภาพ
10.ภพ
ภาวะทีเป็
่
11.ชาติ
การเกิดมีตวั ทีคอยออกรู
้ออกร ับการ
เป็ นผู อ
้ ยู ่ในภาวะชีวต
ิ
้ และเป็ นเจ้าของบทบาท
นัน
่ ความไม่มนคง
่ั
12.ชรามรณะ การประสบความเสือม
อวิชชา (ความไม่รู ้)
(ความอยาก)
กรรม(การกระทา)
อุปาทาน(ความหมกมุ่น)
วิบาก(ผลของการกระทา)
ตณ
ั หา
้ น
ขันต้
่ ยลดความเห็นแก่ตวั มองเห็นประโยชน์ในวงกว ้างที่
 ชว
ไม่มต
ี วั ตนมาเป็ นเครือ
่ งกีดกัน
้ จากัด
้
ขันกลาง
 ทางด ้านทิฐ ิ ทาจิตใจให ้กว ้างขึน
้ สามารถเข ้าไป
เกีย
่ วข ้อง
พิจารณาและจัดการกับปั ญหาและเรือ
่ งราวต่างๆได ้
้ ง
ขันสู
ิ่ ทัง้ หลายทีม
 การรู ้อนั ตตา การรู ้สง
่ ันเป็ นไปอย่างแท ้จริง
คือ รู ้หลักความจริงในธรรมชาติถงึ ทีส
่ ด
ุ
่ ศล
่
“ชีวต
ิ ทีมี
ิ ปะเป็ นชีวต
ิ ทีไม่
รู ้จักผิดหวัง
เพราะเราไม่หวังอะไร”
่ ธรรมมะในทุก
“ชีวต
ิ ทีมี
อิรย
ิ าบถ
1.นางสาวณั ฏฐา สมบัต ิ 5610551684
2.นางสาววนัสนันท์ หนองตรุด 5610551803