มะเขือขื่น

Download Report

Transcript มะเขือขื่น

มะเขือ ขื่น ชื่อ สามัญ Cock roach berry, Dutch
eggplant, Indian Nightshade ชื่อ
วิท ยาศาสตร ์ Solanum aculeatissimum Jacq.
(ชื่อ พ้ องวิท ยาศาสตร ์ Solanum cavaleriei H.
Léveillé & Vaniot, Solanum khasianum
C.B.Clarke.) จัด อยู่ในวงศ์ SOLANACEAE
ยัง มีชื่อ ท้ องถิ่น อื่น ๆ อีก ว่า มะเขือ แจ้ ดิน
มะเขือ เปราะ มะเขือ เสวย (เชีย งใหม่), มัง คิเ ก่
(กะเหรี่ย ง-แม่ฮ่ องสอน), เขือ เพา
 ต้นมะเขือขืน
่ สั นนิษฐานวามี
่ิ กาเนิดดัง้ เดิมใน
่ ถน
บริเวณเขตรอนของทวี
ปเอเชีย ซึง่ ก็รวมถึงประเทศ
้
ไทยดวย
โดยจัดเป็ นไม้ลมลุ
ก มี
้
้ กกึง่ ไมพุ
่ มขนาดเล็
่
ความสูงของลาตนประมาณ
1-3 เมตร ตามลาตนมี
้
้
หนามสั้ น ลาต้นและกิง่ กานเป็
นรูปทรงกระบอกตัง้
้
ตรง มีสีมวงทั
ง้ ลาตน
่
้ กิง่ ก้านและใบมีขนออน
่
ละเอียดขึน
้ อยูทั
2
่ ว่ ไป มีขนรูปดาวยาวไดประมาณ
้
มิลลิเมตร และยังพบขนชนิดมีตอม
มีขนสั้ นปกคลุม
่
ทัง้ ลาตน
้ มีหนามตรงหรือโค้งขนาดประมาณ 1-5 x
2-10 มิลลิเมตร โคนต้นแกมี
่ เนื้อไม้แข็ง สาหรับการ
ปลูกมะเขือขืน
่ นั้นจะขยายพันธุด
ธก
ี ารเพาะเมล็ด
้
์ วยวิ
เจริญเติบโตไดดี
ย มักพบขึน
้ ตามทีร่ ก
้ ในดินรวนซุ
่
 ใบมะเขือขืน
่ ใบเป็ นใบเดีย
่ ว ออกเรียงสลับ
ลักษณะของแผนใบมี
หลายรูปราง
แผนใบรู
ปไข่
่
่
่
ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบเป็ นรูปหัวใจ ฐาน
ใบทัง้ สองดานจะเยื
อ
้ งกันเล็กน้อย ส่วนขอบใบ
้
หยักเว้าเป็ นพูตน
ื้ ๆ ประมาณ 5-7 พู มีขนาด
กว้างประมาณ 4-12 เซนติเมตร และยาว
ประมาณ 4.5-18 เซนติเมตร หลังใบเป็ นสี เขียว
ส่วนทองใบเรี
ยบเป็ นมัน แผนใบมี
ขนรูปดาวทัง้
้
่
สองดาน
มีหนามแหลมตามเส้นกลางใบ ก้านใบ
้
อวนสั
้ น ยาวไดประมาณ
3-7 เซนติเมตร และ
้
้
อาจพบหนามตามกานใบ
้
 ดอกมะเขือขืน
่ ออกดอกเป็ นช่อสั้ นแบบช่อกระจะ มี
ดอกยอยประมาณ
4-6 ดอก หรือออกดอกเดีย
่ ว
่
ตามซอกใบ ก้านช่อยาวประมาณ 1 เซนติเมตร
ส่วนกานดอกย
อยยาวประมาณ
0.5-1 เซนติเมตร
้
่
มีขนหางยาวๆ
กลีบดอกมี 5 กลีบ กลีบเป็ นสี มวง
่
่
โคนกลีบดอกเชือ
่ มติดกันเป็ นรูปกรวยสั้ น ส่วนปลาย
แยกเป็ น 5 แฉก ลักษณะของกลีบดอกเป็ นรูปหอก
ขนาดประมาณ 4×14 มิลลิเมตร มีขนนุ่ มเหมือนวง
กลีบเลีย
้ ง ส่วนกลีบเลีย
้ งเป็ นสี เขียว โคนเชือ
่ ม
ติดกัน ปลายแยกเป็ นแฉก 5 แฉก ติดอยูจนติ
ด
่
ผล แตละแฉกเป็
นรูปหอกแกมรูปขอบขนาน
่
ขนาดประมาณ 5×15 มิลลิเมตร มีขนนุ่ ม วงกลีบ
เลีย
้ งมีลก
ั ษณะเป็ นรูประฆังขนาดประมาณ 5.5
เซนติเมตร ดอกมีเกสรสี เหลือง 5 อัน ก้านชูอบ
ั
 ผลมะเขือขืน
่ ลักษณะของผลเป็ นรูปทรงกลม มี
ขนาดเส้นผานศู
นยกลางประมาณ
2-3 เซนติเมตร
่
์
ผิวผลเรียบเป็ นมัน เปลือกเหนียว ผลออนผิ
วจะ
่
เรียบลืน
่ เป็ นสี เขียวเข้ม มีลายขาวแทรก เมือ
่ สุก
แลวจะเป็
นสี เหลืองสด ชัน
้ เนื้อผลบางมีสีเขียวออน
้
่
อมสี เหลืองใส มะเขือขืน
่ จะมีกลิน
่ เฉพาะ โดยจะมี
รสขืน
่ ภายในผลจะมีเมล็ดจานวนมาก เมล็ดมี
ลักษณะเป็ นรูปกลมแบนขนาดเล็กสี น้าตาลออน
มี
่
ขนาดเส้นผานศู
นยกลางประมาณ
2-2.8 มิลลิเมตร
่
์
โดยจะติดผลช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
สรรพคุณของมะเขือขืน
่
 ผลมีรสเปรีย
้ วขืน
่ เย็น ใช้เป็ นยาบารุงรางกาย
(ผล)
่
 รากและผลมีสรรพคุณเป็ นยาแกไข
้ สั
้ นนิบาต (ราก
,ผล)
 ตารายาไทยจะใช้รากเป็ นยาแกไข
่ พ
ี ษ
ิ รอน
ช่วย
้ ที
้ ม
้
กระทุงพิ
้ ษไข้ (ราก)
 ผลและรากมีสรรพคุณเป็ นยาแกไอ
(ราก,ผล)
้
 รากมีรสขืน
่ เอียน เปรีย
้ วเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็ น
ยาขับเสมหะและน้าลาย โดยจะช่วยลางเสมหะใน
้
ลาคอ และทาให้น้าลายน้อยลง ทาให้น้าลายแห้ง
(ราก)
 ผลมีสรรพคุณเป็ นยากัดเสมหะ (ผล)
 ชวยแกน้าลายเหนียว (ราก,ผล)
 รากใช้ฝนเป็ นกระสายยาแกเด็
้ กเป็ นโรคทรางชัก
(ราก)
 ช่วยแกอาการปวดกระเพาะอาหาร
(ไมระบุ
แน่ชัด
้
่
วาใช
่
้ส่วนใด)
 รากใช้ปรุงรวมกั
บยาอืน
่ เป็ นยาแกกามตายด
าน
่
้
้
และบารุงความกาหนัดไดผลดี
ในระดับหนึ่ง (ราก)
้
 ใช้เป็ นยาแกอั
้ ณฑะอักเสบ ดวยการใช
้
้ 15 กรัม,
หญ้าแซ่มา้ 15 กรัม และต้นทิง้ ถอน
นามา
่
รวมกันตมกั
้ บน้ารับประทาน (ราก)
 ใบสดใช้ภายนอกนามาตาพอกแกพิ
้ ษ แก้ฝี หนอง
(ใบสด)
 เมล็ดมีสรรพคุณเป็ นยารักษามะเร็งเพลิง (เมล็ด)
 ช่วยแกอาการปวดบวม
ปวดหลัง ฟกชา้ ดาเขียว
้
และใช้เป็ นยาขับน้าชืน
้ (ไมระบุ
แน่ชัดวาใช
่
่
้ส่วน
 ใช้เป็ นยาช่วยขับลมชืน
้ แก้อาการปวดข้อ
เนื่องจากลมชืน
้ ติดเกาะ แก้ไขข้ออักเสบ มือเท้า
ชา ดวยการใช
้
้ผลสดประมาณ 70-100 กรัม
นามาตุนกั
ั ประทาน (ผล)
๋ บไตหมูรบ
 สารสาคัญในมะเขือขืน
่ คือสารอัลคาลอยดต
่
์ างๆ
ในทางเภสั ชกรรมลานนา
จะใช้สารดังกลาวเป็
น
้
่
ส่วนประกอบในตารับยาหลายชนิด เช่น ยาบารุง
กาลัง, ยาเสลด (ยาแกเสมหะและรั
กษาตาตอ),
้
้ ยา
ยางเหลืองมักเป็ นขางเขีย
้ นขาว (ยารักษาโรค
ผิวหนัง กลาก เกลือ
้ น), ยาแกไอ
ขับเสมหะ
้
แก้อาเจียน รักษาแผลเป็ นหนองและหืด เป็ นต้น
 ในชนบททางภาคกลางของบานเรา
จะใช้ใบปรุง
้
เป็ นยารวมกั
บใบสมุนไพรชนิดอืน
่ ๆ และยังเชือ
่ วา่
่
ในทองถิ
น
่ และภาคอืน
่ ๆ ของไทย คงนามะเขือขืน
่
้
 คนไทยนิยมนาผลมะเขือขืน
่ ทีแ
่ กแล
่ วมาใช
้
้ปรุงเป็ น
อาหาร โดยจะใช้เฉพาะส่วนเปลือกและเนื้อเทานั
่ ้น
(แยกเมล็ดทิง้ ) โดยอาจนามาใช้กินเป็ นผักจิม
้
รวมกั
บน้าพริกหรือปลารา้ มีบางครัง้ จะใช้เนื้อผล
่
ในการปรุงเครือ
่ งจิม
้ เช่น เยือ
่ เคยทรงเครือ
่ ง
ฯลฯ ปรุงอาหารกับส้มผัก เช่น ส้มผักบัว่ ส้ม
ผักกาด หรือจะนามาใช้ปรุงรสอาหารบางชนิด
ฝานเปลือกใส่ในส้มตาอีสาน ส้มตาลาว โดยรส
ขืน
่ จะช่วยลดความเค็มของปลาราได
้
้ ทาให้ชาติ
ส้มตามีรสกลมกลอม
หรือนามาใช้ยากับสาหราย
่
่
ใช้ตากับผลตะโกและมะขามทีเ่ รียกวาเมี
่ ง
่ ย
ส่วนในภาคกลางจะใช้เนื้อนามาทาแกง เช่น แกง
ส้มมะเขือขืน
่ แกงป่าตางๆ
เป็ นต้น ส่วนชาวลานนาจะ
่
้
ใช้ผลออนน
ามารับประทานทัง้ ผล ใช้เป็ นผักจิม
้ และผัก
่
แกง นามายา (ส้าบาเขื
่ อแจ้”) ใช้ใส่ในน้าพริก (น้าพริก
อีเ่ ก๋ น้าพริกบาเขื
่ อแจ้) บ้างนาผลแกไปเผาให
่
้สุกตาจน
ละเอียดแลวผสมลงในเนื
้อสั บทีจ
่ ะทาลาบเนื้อหมูหรือลาบ
้
เนื้อ โดยจะช่วยทาให้ลาบนั้นนุ่ มเหนียวยิง่ ขึน
้ อาจมีคน
สงสั ยวามะเขื
อขืน
่ ทีท
่ ง้ั เหนียวและขืน
่ จะมีรสชาติอรอยได
่
่
้
อยางไร
เพราะตางจากมะเขื
อทัว่ ไปทีม
่ ค
ี วามกรอบและ
่
่
ความหวาน แตด
มป
ิ ญ
ั ญาบวกกับฝี มอ
ื คนไทย จึงทา
่ วยภู
้
ให้ความขืน
่ และความเหนียวกลายเป็ นอาหารทีอ
่ รอยมี
่
เอกลักษณไปได
่ งั คงเป็ นเสน่ห ์
้ เช่นเดียวกับชะอมทีย
์
สาหรับคนไทยนั่นเอง
มะเขือขืน
่ อุดมไปดวยวิ
ตามินและแรธาตุ
หลายชนิด
้
่