คำบรรยาย วิ อาญา โดย อ.ไพโรจน์ - วิทยาลัย การ จัดการ เพื่อ การ พัฒนา

Download Report

Transcript คำบรรยาย วิ อาญา โดย อ.ไพโรจน์ - วิทยาลัย การ จัดการ เพื่อ การ พัฒนา

คำบรรยำยกฎหมำยวิธพ
ี จ
ิ ำรณำ
ควำมอำญำ
ว่ำด้วยกำรสอบสวน
โดย
อ.ไพโรจน์ ไพมณี
น.บ.(มธ.เกียรตินิยม),น.บ.ท.,น.
ม.(มธ.)
ผู พ
้ พ
ิ ำกษำศำลจังหวัดสงขลำ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
กำรสอบสวน
เกี่ยวกับ ลัก ษณะการสอบสวนแยก
อธิบายเป็ น 3 หัวข ้อ ดังต่อไปนี ้
่
1. หลักทัวไป
2. การสอบสวนสามัญ
3. การสอบสวนวิสามัญ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
่
1. หลักทัวไป
พออธิบายได ้ดังได ้
(1)กำรสอบสวนเป็ นเงื่อนไขของกำรฟ้อง
คดี (ดู ม าตรา 120) มาตรา 120 บัญ ญัติ ว่ ำ “ห้ำ มมิใ ห้
่ ้ องคดีอำญำต่อศำลโดยมิได้มก
พนักงำนอย
ั กำรยืนฟ
ี ำร
สอบสวนในควำมผิด นั้นก่ อ น” จากบทบัญ ญัติด งั กล่ า ว
่
ย่อมแสดงให ้เห็นว่า กฎหมายกาหนดให ้การสอบสวนเป็ นเงือนไข
ในการฟ้ องร ้องคดีอ าญาของอัย การ ดัง นั้ นต อ้ งเฉพาะการ
่ น
สอบสวนเท่ า นั้ นที่เป็ นการเริมต
้ ของด าเนิ น คดีอ าญา การ
สอบสวนไม่ได ้หมายรวมถึงการจับกุมผูก้ ระทาความผิด โดยถือ
ว่ า การจับ กุ ม ผู ก
้ ระท าความผิ ด เป็ นคนละขั้นตอนกับ การ
สอบสวน และกฎหมายมิไ ดบ้ ญ
ั ญัติให ก้ ารจับ กุมเป็ นเงื่อนไข
่ นเช่นนี แม้
้ การ
ของการฟ้ องคดีเหมือนกับการสอบสวน เมือเป็
จับกุมจะไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย แต่หากการสอบสวนชอบดว้ ย
่ ้นได ้
กฎหมาย อัยการย่อมมีอานาจฟ้ องคดีอาญาเรืองนั
้ธพี จิ ารณาความ บ การสอบสวน
การตรวจค
น
้ ์ไพโรจน์
ก็ เ ป็ไพมณี
นคนละขั
โดย อาจารย
วิชากฎหมายวีนตอนกั
อาญา
่ จะว่
่ ากล่าวกัน
หากการตรวจต ้นไม่
ชอบด ้วยกฎหมายก็เป็ นเรืองที
่
่ ม้ ีการสอบสวนใช ้เฉพาะการฟ้ องคดีอาญาของอัย การ
เงือนไขที
ให
้ จาตอ้ งมีการ
เท่านั้น หากผูเ้ สียหายหรือราษฎรฟ้ องคดีอาญาเอง เช่นนี ไม่
สอบสวนคดีน้ันก่อน ดังนั้นในคดีทผู
ี่ เ้ สียหายหรือราษฎรเป็ นโจทก ์ แม้ไม่มี
การสอบสวนเลย ผูเ้ สียหายย่อมสามารถฟ้ องคดีอาญานั้นได ้ เพียงแต่การ
่ ้ไต่สวนมูลฟ้ องเสียก่อน
ฟ้ องคดีอาญาของผูเ้ สียหายหรือราษฎรศาลจะสังให
แต่ ห ากอัย การฟ้ องคดี ศาลจะไม่ ไ ต่ ส วนมู ล ฟ้ อง เพราะคดีน้ั นได ผ
้ ่าน
้
ขันตอนการสอบสวนจากอ
านาจของร ัฐมาแล ้ว
เมื่อกฎหมายก าหนดให ก
้ ารสอบสวนเป็ นเงื่อนไขของการฟ้ อง
คดีอาญาของอัยการ ไม่ว่าจะเป็ นความผิดอันยอมความได ้ หรือความผิด
่ การสอบสวนในความผิด
อาญาแผ่นดิน อัยการจะมีอานาจฟ้ องก็ต่อเมือมี
นั้นก่อน
ค าว่า “ค ำว่ำ กำรสอบสวนในควำมผิด นั้น” หมายถึง การ
่
สอบสวนเกียวกั
บการกระทาความผิด ไม่ใช่ขอ้ หาหรือบทความผิด การ
ปรบั บทความผิดหรือขอ้ หาเป็ นอานาจของพนักงานสอบสวน ในบางครง้ั
อาจมีการปรบั บทหรือขอ้ หาผิดก็เป็ นไปไดท
้ จะต
ี่ อ้ งปรบั บทหรือขอ้ หานั้น
้ อ้ งถือว่าการกระทานั้นไดไ้ ดท้ าการ
ใหม่ ในการปรบั บทหรือขอ้ หาใหม่นีต
สอบสวนแล ้ว ไม่ต ้องทาการสอบสวนบทหรือข ้อหานั้นใหม่อก
ี
แม้พ นั ก งานสอบสวนจะไม่ ไ ด แ้ จ ง้ ข อ้ หาทุ ก ข อ้ หา ทุ ก กระทง
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
ความผิด เมื่อภายหลั
้ าเนิ นการสอบสวนแลว้ ปรากฏว่าการกระท า
อาญา งได ด
้
ตัวอย่ำง ชันสอบสวนพนั
กงานสอบสวนแจ ้งขอ้ หา
แก่จ าเลยว่า มีก ญ
ั ชาไว ใ้ นครอบครองเพื่อจ าหน่ ายและ
จาหน่ าย ถือได ้ว่าความผิดฐานมีกญ
ั ชาไว ้ในครอบครอง
โดยไม่ ไ ด ร้ บั อนุ ญ าตได ม้ ีก ารสอบสวนความผิด นั้ นด ว้ ย
แล ้ว อัยการย่อมมีอานาจฟ้ องในความผิดฐานดังกล่าว
ตัว อย่ ำ ง ผู เ้ สีย หายมอบอ านาจให ร้ ้องทุ ก ข แ์ ก่
จาเลยฐานท าให เ้ สีย ทรัพ ย เ์ พีย งข อ้ หาเดีย ว ไม่ ไ ด ม
้ อบ
่
อานาจให ้ร ้องทุกข ์ในความผิดฐานบุกรุก แต่เมือความผิ
ด
้
่
่ องกัน และเป็ นการกระทา
ทังสองฐานเป็
นความผิดเกียวเนื
กรรมเดียวกัน การร ้องทุกข ์ความผิดฐานทาให ้เสีย ทรพ
ั ย์
่
ก็เท่ากับได ้มีการร ้องทุกข ์ในความผิดฐานบุกรุก ด ้วย เมือ
้
มีการสอบสวนความผิดทังสองข
้อหาแล ้ว อัยการมีอานาจ
้
ฟ้ องทังสองข
อ้ หา และศาลมีอ านาจลงโทษฐานบุกรุกได ้
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
(ฎีกาที่ 2439/2537)
อาญา
้ กงาน
(2) อำนำจของพนักงำนสอบสวน กรณี นีพนั
สอบสวนจะเข า้ ไปท าการสอบสวนไดใ้ นคดีอ าญาประเภทใด
้
้ั
ต อ้ งขึนอยู
่กบ
ั บทบัญ ญัต ิข องกฎหมาย บางคร งพนั
ก งาน
สอบสวนไม่ อ าจเข า้ ไปสอบสวนได ใ้ นทัน ทีท น
ั ใด ต อ้ งผ่ า น
เงื่ อนไขบางอย่ า งที่ กฎหมายก าหนดไว อ
้ ี ก ขั้ นตอนหนึ่ ง
เกี่ ยวกับ อ านาจของพนั ก งานสอบสวน แบ่ ง อ านาจการ
สอบสวนตามประเภทคดีออกเป็ น ๒ ประการคือ
ก.กำรสอบสวนคดีอำญำแผ่นดิน
ข.กำรสอบสวนคดี ค วำมผิ ด ต่ อ
ส่วนต ัว
ก.กำรสอบสวนคดีอ ำญำแผ่ น ดิน (ดูม าตรา 121
วรรคหนึ่ ง) กรณี นี ้จากหลัก กฎหมายดัง กล่ า วจะเห็ นได ว้ ่ า
พนั กงานสอบสวนมีอานาจสอบสวนคดีอาญาแผ่นดินทุกคดี
และสามารถเข า้ ไปสอบสวนคดีป ระเภทนี ้ได ท
้ ัน ที เ มื่ อเกิด
์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
จิ ารณาความ
้ โดย
ความผิ ด ขึน
ไม่อาจารย
ว่ า จะมี
ค าร อ้ งทุ ก ขี ห
์ รือ ค ากล่ า วโทษตาม
อาญา
ข.กำรสอบสวนคดีค วำมผิด ต่ อ ส่ ว นตัว (ดู ม าตรา 121
วรรคสอง) กรณี นี ้ จากหลัก กฎหมายดัง กล่ า วจะเห็ นได ว้ ่ า ในคดี
ความผิด ต่ อ ส่ ว นตัว หากไม่ มีก ารร ้องทุ ก ข ต์ ามกฎหมาย พนั ก งาน
สอบสวนสอบจะทาการสอบสวนไม่ได ้ หากขืนสอบสวนไปเท่ากับเป็ น
่ มอ
การสอบสวนทีไม่
ี านาจ และไม่ชอบด ้วยกฎหมาย
การร อ้ งทุ ก ข ท
์ ี่จะท าให พ
้ นั ก งานสอบสวนมี อ านาจ
สอบสวนคดีความผิดต่อส่วนตัวไดจ้ ะตอ้ งกล่าวใหช
้ ดั แจง้ ว่าจะดาเนิ น
คดีอาญากับผู ้ใด
้
่ ้
การร ้องทุกข ์ในความผิดต่อส่วนตัวอาจทาขึนภายหลั
งจากทีได
่
มีการสอบสวนความผิดไปบ ้างแล ้ว หรือก่อนทีการสอบสวนจะเสร็
จสิน้
ก็ ไ ด ้ เพีย งแต่ ต อ้ งได ค
้ วามว่ า ได ม้ ีก ารร ้องทุ ก ข ภ
์ ายในก าหนดอายุ
ความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 คือภายใน 3 เดือน นับ
แ
ต่
วั
น
ที่
่
รู ้เรืองความผิ
ดและรู ้ตัวผู ้กระทาความผิด
่
การร ้องทุกข ์ทีชอบด
ว้ ยกฎหมาย ผูร้ ้องทุกข ์ตอ้ งเป็ นผูเ้ สียหาย
้
ตามมาตรา 2 (4)
,
4,
5
และ
6
และนอกจากนี
จะต
อ้ งกระท าต่ อ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
่
อาญา
เจ ้าหน้าทีตามประมวลกฎหมายวิ
ธพ
ี จ
ิ ารณาความอาญา มาตรา 123
(3)กรณี พนักงำนสอบสวนไม่ทำกำรสอบสวน
(ดูมาตรา 122) จากหลักกฎหมายดังกล่าว พนั กงาน
้ ได ้
สอบสวนจะไม่ทาการสอบสวนในกรณี ตอ
่ ไปนี ก็
ก.เมื่อผู เ้ สีย หายขอความช่ว ยเหลือ แต่ ไ ม่
ยอมร ้องทุกข ์ตามระเบียบ
ข.เมื่อผูเ้ สียหายฟ้ องคดีเสียเองโดยมิไดร้ ้อง
ทุกข ์ก่อน
ค.เมื่อมีห นั ง สือ กล่ า วโทษเป็ นบัต รสนเท่ ห ์
่ าวโทษด ้วยปาก ไม่ยอมบอกว่าเขาคือใคร
หรือบุคคลทีกล่
(4)ร ้องทุกข ์กับใคร
เจ า้ พนั กงาน ผู ้มี อ า นาจรับ ค าร อ้ งทุ ก ข ์
คดีอาญามี 2 กรณี คือ
1.พนักงานสอบสวน
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
2.พนักงานฝ่ ายปกครองหรือตารวจ
1.พนักงำนสอบสวน (ดูมาตรา 123 ) ผูม้ อ
ี านาจและ
หน้า ที่ท าการสอบสวนคดีอ าญา ตามประมวลกฎหมายวิธ ี
่
พิจารณาความอาญา คือบุคคลตามทีระบุไว
้ในมาตรา 18, 19
และ 20 บุ ค คลอื่ นใดนอกจากนี ้ ไม่ มี ก ฎหมายให อ้ านาจ
สอบสวนคดีอาญา
ลัก ษณะของค าร อ้ งทุ ก ข ท
์ ี่ ถู ก ต อ
้ งตามกฎหมาย
จะต อ้ งมี ล ัก ษณะตามที่ ก าหนดไว ใ้ นมาตรา 2 (7) และ
นอกจากนี ้การร ้องทุ ก ข ต์ ่ อ พนั ก งานสอบสวนตามมาตรานี ้
่
จะต ้องมีรายละเอียดกล่าวคือคาร ้องทุกข ์จะตอ้ งปรากฏชือและ
่ ่ของผูร้ ้องทุกข ์ ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ต่างๆ
ทีอยู
่
ที่ความผิ ดได ก
้ ระท าลง ความเสี ย หายที่ ได ร้ บ
ั และชือหรื
อ
่
่
รูปพรรณของผูก้ ระทาผิดเท่าทีจะบอกได
้ตามทีระบุไว
้ในมาตรา
123 วรรคสอง
่ ได ้ระบุชอผู
คาร ้องทุกข ์ของผูเ้ สียหายทีไม่
ื่ ใ้ ดเป็ นผูร้ ว่ ม
่ พี จิ เ้ ารณาความ
อาจารย
ไพมณี
วิชากฎหมายวี
กระทาความผิดโดยไม่
เป็์ไพโรจน์
นคาร
้องทุ
กข ์ทีธผู
สียหายประสงค ์จะใหผ
้ ู้
อาญา
้
ก ฎ ห ม า ย บั ญ ญั ติ ว่ า ค า ร อ้ ง ทุ ก ข น
์ ้ั น ต อ
้ ง ป ร า ก ฏ ว่ า
่
้
“ลักษณะแห่งควำมผิด พฤติกำรณ์ต่ำงๆ ทีควำมผิ
ดนันได้
กระทำลง” จากหลักกฎหมายดังกล่าวแสดงใหเ้ ห็ นว่าผูร้ ้องทุกข ์
นั้ น ไม่ จ าต อ้ งระบุ ฐ านความผิ ด ระบุ แ ต่ เ พี ย งการกระท าที่เป็ น
่ น
ความผิดต่อพนั กงานสอบสวนก็พอแลว้ เพราะผูเ้ สียหายซึงเป็
ราษฎรอาจไม่รู ้รายละเอียดของบทความผิดว่าผิดฐานใด รูปคดีจะ
่ ว้ แต่ เ จ า้
เป็ นความผิด ฐานใดนั้ น เป็ นปั ญ หาข อ้ กฎหมาย ซึงแล
พนั กงานจะวินิจฉัยและดาเนิ นการฟ้ องร ้องกาหนดฐานความผิด
เอาเอง
พนั ก งานสอบสวนที่จะร บ
ั ค าร ้องทุ ก ข น
์ ้ั น จะเป็ น
่ ก็ ได ้ ไม่ จาเป็ นตอ้ งเป็ นพนั กงาน
พนั กงานสอบสวนในท อ้ งทีใด
่ ดเหตุ และเมือร
่ บั คาร ้องทุกข ์เรืองใดแล
่
สอบสวนในทอ้ งทีเกิ
ว้ เห็ น
ว่ า ตนไม่ มี อ านาจสอบสวน ก็ ต อ้ งส่ ง เรื่องนั้ นไปให พ
้ นั ก งาน
่ มี
่ อานาจสอบสวนเรืองนั
่ ้น
สอบสวนท ้องทีที
่วไปของคาร ้องทุกข ์จะทาเป็ นหนังสือหรือ
ลักโดยษณะทั
อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
ดว้ ยวาจาก็ได ้ แต่ถา้ เป็ นหนังสือตอ้ งมีวน
ั เดือน ปี และลงลายมือ
2.พนักงำนฝ่ำยปกครองหรือตำรวจ (ดูมาตรา 124)
ลักษณะของคาร ้องทุกข ์ ตามมาตรานี ้ คงมี
ความหมายอย่ า งเดี ย วกับ ที่ บั ญ ญั ติ ไ ว ใ้ นมาตรา ๑๒๓
่ ่ของผูร้ ้องทุกข ์
กล่าวคือ คาร ้องทุกข ์ตอ้ งปรากฏชือ่ และทีอยู
ลัก ษณะแห่ ง ความผิ ด พฤติ ก ารณ์ต่ า งๆ ที่ ความผิ ด นั้ นได ้
กระท าลง ความเสีย หายที่ได ร้ บ
ั และชือ่ หรือ รูป พรรณของ
่
ผูก้ ระทาความผิดเท่าทีจะบอกได
้ และคาร ้องทุกข ์ดังกล่าวจะ
ร ้องทุกข ์เป็ นหนั ง สือ หรือ ดว้ ยวาจาก็ ไ ด ้ แต่ห ากเป็ นหนั ง สือ
่ ร้ ้องทุกข ์ ถา้ ร ้องทุกข ์ดว้ ยวาจา
ต ้องมีวน
ั เดือน ปี ลายมือชือผู
เจ า้ พนั ก งานก็ ส ามารถบัน ทึกไว ไ้ ด ้ ลงวัน เดือ น ปี และลง
่ บ้ น
ลายมือชือผู
ั ทึกกับผูร้ ้องทุกข ์ไว ้ในบันทึกนั้น
่ หนั งสือร ้องทุกข ์ต่อพนั กงานฝ่ ายปกครอง
เมือมี
หรือตารวจ ทางพนั กงานฝ่ ายปกครองหรือตารวจไม่มอ
ี านาจ
สอบสวน กฎหมายจึง บัญญัติใ ห พ
้ นั ก งานฝ่ ายปกครองหรือ
จิ ารณาความ
ต ารวจมี ห น้ าโดย
ที่ จัอาจารย
ด ส่์ไพโรจน์
ง หนัไพมณี
งสืวิชอากฎหมายวี
ร อ้ งทุธพี ก
ขน
์ ้ั นไปยั ง พนั ก งาน
อาญา
่
กรณี ที่ได ม้ ีก ารร ้องทุ ก ข ์ด ว้ ยวาจา พนั ก งานฝ่ ายปกครอง
หรือ ต ารวจมี ห น้ า ที่ ต อ
้ งจัดให ผ
้ ู เ้ สี ย หายซึ่งร อ้ งทุ ก ข น
์ ้ั นไปพบ
พนั ก งานสอบสวน เพื่อจดบัน ทึก ค าร ้องทุ ก ข ์ไว ้ แต่ก ฎหมายก็ ไ ม่
หา้ มพนั กงานฝ่ ายปกครองหรือตารวจจะจดบันทึกคาร ้องทุกข น
์ ้ั น
เสียเองก็ ไดห
้ ากเป็ นกรณี เร่งด่วน และเมื่อบันทึกไวเ้ องแล ว้ ตอ้ งส่ง
บันทึกคาร ้องทุกข ์ไปยังพนักงานสอบสวน โดยจะจดหมายเหตุ อะไร
่
ไปบ ้างเพือประโยชน์
ของพนักงานสอบสวนก็ได ้
พนั กงานฝ่ ายปกครอง หมายถึงผูใ้ หญ่บา้ น กานั น
ปลัด อ าเภอ นายอ าเภอ ผู ว้ ่ า ราชการจัง หวัด อธิ บ ดี ก รมการ
ปกครอง ผู ต
้ รวจราชการกระทรวงมหาดไทย ปลัด กระทรวง
มหาดไทย และตาแหน่ งรอง หรือผู ้ช่วยตาแหน่ งต่างๆ ดังกล่าว
รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รฐั มนตรีชว่ ยว่ า
การกระทรวงมหาดไทย สมาชิก สภาผู แ้ ทนราษฎร หรือ สมาชิก
่ บั คาร ้องทุกข ์คดีอาญาได ้
วุฒส
ิ ภา ไม่ใช่พนักงานฝ่ ายปกครองทีจะร
่ มีอานาจรบั คาร ้องทุกข ์ ถือว่า
การร ้องทุกข ์ต่อบุคคลดังกล่าวซึงไม่
ยังไม่มก
ี ารร ้องทุกโดยขอาจารย
์คดีอ์ไพโรจน์
าญาโดยชอบด
้วยกฎหมาย
ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
การร ้องทุกข ์ต่อพนั กงานฝ่ ายปกครอง จะร ้องทุก ข ์
เขตอานาจของพนักงานฝ่ ายปกครอง มีอยู่จากัดเฉพาะ
ทอ้ งที่ของตนเท่ านั้ น หากอยู่น อกทอ้ งที่แล ว้ พนั ก งานฝ่ าย
ปกครองผูน
้ ้ันไม่มอ
ี านาจรบั คาร ้องทุกข ์เว ้นแต่จะมีกฎหมายให ้
อ านาจ เช่น อธิบ ดี ก รมการปกครอง หรือ ปลัด กระทรวง
่ ้ตลอดราชอาณาจักร จึงสามารถ
มหาดไทย มีอานาจหน้าทีได
่
ร ับคาร ้องทุกข ์ได ้ทุกเรืองตลอดราชอาณาจั
กร
สาหรบั การร ้องทุกข ์ต่อพนักงานฝ่ ายตารวจนั้ น
้
ต ารวจที่ ร บ
ั ค าร อ้ งทุ ก ข จ์ ะมี ย ศหรือ ต าแหน่ งใดก็ ไ ด ท
้ ้ังสิ น
้
ตังแต่
พ ลต ารวจจนถึง พลต ารวจเอก และนอกจากนี ้อ านาจ
รบั คาร ้องทุกข ์ของเจา้ พนั กงานตารวจจะแตกต่างกับอานาจ
ร ับคาร ้องทุกข ์ของพนักงานฝ่ ายปกครอง เพราะพนักงานฝ่ าย
ปกครองจะมีอานาจรบั คาร ้องทุกข ์เฉพาะเมื่อตนอยู่ในทอ้ งที่
ของตนเท่านั้ น แต่เจา้ พนั กงานฝ่ ายตารวจไม่ว่าจะอยู่ทใดใน
ี่
่ จาเป็ นต ้องอยู่ในท ้องทีที
่ ตนร
่
ราชอาณาจักร ซึงไม่
ับราชการอยู่
่ นเจ ้าพนัก
เมือเป็
ายตไพมณี
ารวจแล
้ว สามารถร
โดยงานฝ่
อาจารย ์ไพโรจน์
วิชากฎหมายวี
ธพ
ี จิ ารณาความ ับคาร ้องทุกข ์ใน
คดี อ าญาได ท
้ อาญา
ุ ก แห่ ง ไม่ ว่ า จะอยู่ ณ ที่ ใด เพราะถื อ ว่ า เจ า้
(6)กำรแก้หรือถอนคำร ้องทุกข ์ (ดูมาตรา 126, 35
้ งอธิบายเป็ น 2 ประการ
วรรคสอง และ 39 (2) ) กรณี นีแบ่
1. การแก ้คาร ้องทุกข ์
2. การถอนคาร ้องทุกข ์
1.กำรแก้ค ำร อ
้ งทุ ก ข ์ กรณี นี ้เมื่ อมี ก ารร อ้ ง
ทุกข ์แลว้ หากผูเ้ สียหายเห็ นว่าคาร ้องทุกข ์นั้ นไม่ ถูกตอ้ ง หรือ
ผิดพลาด หรือไม่ต ้องการใหพ
้ นักงานสอบสวนดาเนิ นคดีฐานใด
ย่อมขอแกค้ าร ้องทุกข ์ไดโ้ ดยกฎหมายเปิ ดโอกาสใหผ
้ ู เ้ สียหาย
แก ้คาร ้องทุกข ์ไดท้ ุกระยะแต่ตอ้ งแกไ้ ขคาร ้องทุกข เ์ สียก่อนคดี
ถึ ง ที่ สุ ด แม้จ ะได ม
้ ี ก ารฟ้ องคดี ต่ อ ศาลแล ว้ หากผู เ้ สี ย หาย
ประสงค ์จะแก ค้ าร ้องทุ ก ข ย์ ่ อ มท าได เ้ ช่น กัน เมื่อแก ข
้ อ้ หาใด
เท่ ากับ ถอนคาร ้องในข อ้ หาที่ฟ้ องไปนั้ น หากเป็ นความผิด อัน
ยอมความได ข
้ อ้ หาที่ถู ก แก ก
้ ็ จ ะระงับไป แต่ ถ า้ เป็ นความผิ ด
อาญาแผ่นดิน พนักงานอัยการยังสามารถดาเนิ นคดีในข อ้ หา
อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
นั้นต่อไปนั้น โดย
อาญา
(7)คำกล่ำวโทษ
ลักษณะของคากล่าวโทษ (ดูมาตรา 2 (8)) ผู ้
กล่าวโทษจะเป็ นใครก็ไดท้ มิ
ี่ ใช่ผูเ้ สียหายกล่าวหาต่อเจ ้าหน้าที่
ว่ามีคนทาผิด จะรู ้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่หากเป็ นการกล่าวหา
ของผูเ้ สียหาย การกล่าวหาดังกล่าวจะกลายเป็ นคาร ้องทุกข ์
ตามมาตรา 2 (7)
ลัก ษณะของค ากล่ า วโทษ จะกล่ า วโทษด ว้ ย
หนั ง สื อ หรือ ด ว้ ยวาจาก็ ไ ด ้ และการกล่ า วโทษสามารถ
กล่าวโทษไดต้ ่อพนักงานสอบสวน หรือพนักงานฝ่ ายปกครอง
หรือตารวจก็ได ้แล ้วแต่สะดวก
(8) กำรทำกำรแทนพนักงำนสอบสวน (ดูมาตรา
้ บ้ ญ
่ กงาน
128) บทบัญญัตม
ิ าตรานี ได
ั ญัตไิ วโ้ ดยเฉพาะทีพนั
สอบสวนจะให ผ
้ ู อ้ นท
ื่ าแทนได ้ และการท าแทนในที่นี ้ถือ เป็ น
่
่ นการสอบสวนทีชอบ
่
การสอบสวนทีชอบด
้วยกฎหมาย เมือเป็
์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
ด ้วยกฎหมาย โดย
อัยอาจารย
การก็
มอ
ี านาจฟ้ องคดี
ได ้
อาญา
2. กำรสอบสวนสำมัญ
การสอบสวนสามัญ หมายถึงการสอบสวน
่ ใ ช่เ ป็ นคดี วิ ส ามัญ ซึงคดี
่
คดี อ าญาทั่วๆไป ซึงไม่
่ า้ งว่ า
วิส ามัญ คือ คดีที่ผู ต
้ ายถู ก เจ า้ พนั ก งานซึงอ
่ าตาย หรือตายในระหว่าง
ปฏิบต
ั ริ าชการตามหน้าทีฆ่
่ า้ งว่าปฏิบต
อยู่ในความควบคุมของเจา้ พนั กงานซึงอ
ั ิ
ราชการตามหน้าที่
่
เกียวกั
บการสอบสวนสามัญ แยกพิจารณา
่
ออกเป็ น 2 เรืองด
้วยกันคือ
้
1) การสอบสวนสามัญในชันพนั
ก งาน
สอบสวน
่
2)
การสั
งคดี
ของพนัี ก
งานอัยการ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
จิ ารณาความ
อาญา
้ั
1. กำรสอบสวนสำมัญในช นพนั
กงำนสอบสวน
แยกพิจารณาได ้ดังนี ้
่ (ดูมาตรา 130)
1.1 กำรสอบสวนทีใด
การสอบสวนที่ ใด เป็ นวิ ธ ี ก ารสอบสวน และวิ ธ ี ก าร
่ น โดย
สอบสวนกับเขตอานาจการสอบสวนนั้นเป็ นคนละเรืองกั
วิธก
ี ารสอบสวนนั้น เจ ้าพนักงานผูม้ อ
ี านาจสอบสวนจะทาการ
่ เวลาใด ก็แลว้ แต่จะเห็ นสมควร แม้จะทาการ
สอบสวน ณ ทีใด
่ งอยู
่ ่ตา่ งจังหวัดกับท ้องทีของตนก็
่
สอบสวนในทีซึ
ย่อมทาได ้
การสอบสวนคดี อ าญา ต อ้ งการความเป็ นธรรมและ
่
รวดเร็ว กฎหมายจึง ก าหนดให เ้ ริมสอบสวนโดยมิ
ชก
ั ช ้า และ
พนักงานสอบสวนย่อมสอบสวนไปไดโ้ ดยผูต้ อ้ งหาไม่จาต อ้ งอยู่
ด ้วย
1.2
ให้ร วบรวมพยำนหลัก ฐำน (ดูม าตรา 2 (11))
ประกอบมาตราโดย131)
จากบทบัญ ญัี ต
ิด งั กล่ า วจะเห็ นได ว้ ่ า
อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
จิ ารณาความ
อาญา
กฎหมายบั ญ ญั
ติ ใ ห พ
้ นั กงานสอบสวนสามารถรวมรวบ
กำรพิสูจน์ควำมจริงทำงวิทยำศำสตร ์ (ดูมาตรา 131/1)
การพิสูจน์ความจริงโดยพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร ์
้
่ พ
เป็ นบทบัญญัตท
ิ ก
ี่ าหนดขึนมาใหม่
เพือให
้ นั กงานสอบสวนมี
อานาจสั่งใหท
้ าการตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุหรือเอกสาร โดยวิธ ี
่ าใหส้ ามารถคน
ทางวิทยาศาสตร ์ได ้ ซึงท
้ หาความจริงไดช
้ ดั เจน
ขึน้
การตรวจพิ สู จ น์ใ นทางวิ ท ยาศาสตร ์ได น
้ ้ั น ต อ้ งเป็ น
่ อต
่
ความผิดอาญาทีมี
ั ราโทษจาคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี แต่การทีจะ
เอาส่วนประกอบของร่างกายไปตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร ์ของ
่
ผู เ้ สีย หาย ผู ต
้ อ้ งหา หรือ บุ ค คลที่เกียวข
อ้ งเป็ นพยานบุ ค คล
ดังกล่าวจะตอ้ งยินยอมดว้ ย หากบุคคลดังกล่าวไม่ยินยอม ก็ไม่
อาจเอาส่วนประกอบของร่างกายไปตรวจพิสูจน์ได ้ แต่หากการไม่
ยิ น ย อ ม นั้ นไ ม่ มี เ ห ตุ อั น ส ม ค ว ร ห รื อ ก า ร ก ร ะ ท า ก า ร
่ ยวข
่
ป้ องปัดขัดขวางไม่ใหบ้ ุคคลทีเกี
อ้ งใหค้ วามยินยอม โดยไม่มี
้ น
เหตุอน
ั สมควร กฎหมายใหส้ น
ั นิ ษฐานในเบืองต
้ ว่า ขอ้ เท็ จจริง
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิช่ ากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
เป็ นไปตามผลการตรวจพิ
สูจน์ทหากได
ี
้ตรวจแล
้วจะเป็ นผลเสียแก่
อาญา
1.3 พนักงำนสอบสวนมีอำนำจรวบรวมพยำน (ดู
มาตรา 132) บทบัญ ญัต ิด งั กล่ า วเป็ นการเพิ่มอ านาจของ
้ า หาก
พนั ก งานสอบสวนตามมาตรา 131ให ช
้ ด
ั เจนขึนว่
่
่
พนักงานสอบสวนค ้นพบสิงใดที
จะเป็
นพยานหลักฐานในคดีได ้
แล ว้ พนั กงานสอบสวนสามารถน าพยานหลัก ฐานเหล่า นั้ น
้ น้
เข ้ามารวบรวมในสานวนการสอบสวนได ้ทังสิ
1.4 กำรสอบพยำนบุคคล ดูมาตรา (133) กรณี นี ้
่
เป็ นเรืองกฎหมายให
อ้ านาจพนั ก งานสอบสวนที่จะท าการ
รวบรวมพยานบุคคล หากบุคคลผูเ้ ป็ นพยานยอมมาให ้การต่อ
พนั กงานสอบสวนตามคาเชิญหรือคาขอดว้ ยวาจา พนั กงาน
สอบสวนก็ไม่จาเป็ นต ้องออกหมายเรียกตามมาตรานี ้ แม้ไม่ได ้
มี ก ารออกหมายเรีย ก พนั ก งานสอบสวนก็ ส ามารถที่ จะ
สอบสวนผูน้ ้ันไว ้เป็ นพยานได ้
การออกหมายเรีย กตามมาตรานี ้ อาจเป็ นเพราะ
โดย อาจารย
ไพมณี วิชด
ากฎหมายวี
ธพ
ี ว
จิ ารณาความ
พนักงานสอบสวนไม่
ส์ไพโรจน์
ามารถติ
ตามตั
พยานได ้ หรือพยานไม่
อาญา
่
บุ ค คลทุ ก เพศทุ ก วัย ไม่ ว่ า จะเป็ นบุ ค คลพิก าร หรือ บุ ค คล
่
้ น้ โดยไม่
ธรรมดา สามารถทีจะให
ก้ ารเป็ นพยานในคดีอาญาได ้ทังสิ
้ั
จากัดชนชนวรรณะ
กฎหมายใช ้คาว่า “ถ้อยคำของเขำอำจเป็ นประโยชน์แ ก่
คดี” หมายความว่าพนักงานสอบสวนสามารถสอบพยานใดๆ ก็ได ้
แ ม ้ เ ป็ น พ ย า น บ อ ก เ ล่ า ห รื อ พ ย า น ที่ ไ ม่ เ ห็ น เ ห ตุ ก า ร ณ์
แต่ค าให ก
้ ารของเขานั้ นเป็ นประโยชน์แ ก่ค ดี เช่น เป็ นพยาน
บุ ค คลที่รู ้เห็ น เหตุ ก ารณ์ก่ อ นหรือ หลัง เกิด เหตุ หรือ เป็ นพยานที่
้
สามารถชีเบาะแสของคนร
า้ ยหรือ ตามจับ คนร า้ ยได ้ หรือ เป็ นผู ้
้ กงานสอบสวนก็สามารถ
สืบสวนหาตัวคนร ้ายในทางลับ เหล่านี พนั
สอบไว ้เป็ นพยานได ้
พยานทางฝ่ ายผู ต
้ อ้ งหา เมื่ อตามสภาพแห่ ง คดีเ ห็ นได ว้ ่ า
่
ผู ้ต ้องหาไม่ได ้กระทาความผิด พยานของฝ่ ายผูต้ ้องหาทีจะพิ
สูจน์ถงึ
ความบริสุ ท ธิ ์ ก็ ต อ้ งถื อ ว่ า เป็ นพยานที่ เป็ นประโยชน์แ ก่ ค ดี ที่
้
พนั กงานสอบสวนจะทาการสอบสวนพยานบุคคลเหล่านี รวมไว
ใ้ น
สานวนได ้เหมือนกัน
่ ์ไพโรจน์
พยานบุคโดยคลเมื
ยกมาแล
ว้ กฎหมายบั
ญญัตวิ า่ “ให้ถำม
อาจารยอเรี
ไพมณี วิชากฎหมายวี
ธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
ปำกค ำบุ ค คลนั้นไว้” หมายถึง ถามเพื่อประโยชน์แ ก่คดีเ ท่า นั้ น
การสาบานหรือปฏิญาณตัวนี ้ ไม่จาเป็ นตอ้ งทาก่อนใหถ้ อ้ ยคา
่
เพราะก่อนใหถ้ อ้ ยคาอาจจะไม่ไดใ้ หส้ าบานหรือปฏิญาณตัวก็ได ้ เมือ
่ ถ้ อ้ ยคาหากพนักงานสอบสวนเห็ นว่าสมควร
เป็ นเช่นนี ้ ในระหว่างทีให
จะใหส้ าบานหรือปฏิญาณก็อาจกาหนดใหส้ าบานหรือปฏิญาณ เพือ่
้ ไ ด ้ หรือให ก
การให ถ
้ อ้ ยค านั้ นมีน้ าหนั ก ขึนก็
้ ารจบแล ว้ แต่ ต อ้ งการ
ความมั่นใจ พนักงานสอบสวนอาจขอใหส้ าบานหรือปฏิญาณเป็ นการ
้ าใหก้ ารทีให
่ ถ้ ้อยคาไว ้นั้นก็ได ้ การใหพ
ยาค
้ ยานสาบานหรือปฏิญาณ
ตอนใดหรือไม่ ไม่ทาใหถ้ ้อยคาของพยานเสียไป เพราะแม้แต่ไม่สาบาน
้ั
่ าเชือถื
่ อ ก็
หรือปฏิญาณ หากถ ้อยคาของพยานในชนสอบสวนเป็
นทีน่
ไม่ทาใหถ้ อ้ ยคาพยานนั้นเสียไป ศาลยังสามารถรบั ฟั งถอ้ ยคาพยาน
นั้นได ้
กรณี พ นั ก งานสอบสวนท าไม่ ช อบ จะท าให ถ
้ อ้ ยค า
่ ก้ ารไว ้ในชนสอบสวนเสี
้ั
พยานทีให
ยไปและศาลไม่อาจรบั ฟั งคือกรณี ที่
กฎหมายบัญญัตวิ ่า ห้ำมมิให้พนักงำนสอบสวนตักเตือนพู ดให้
่ องกน
ท้อใจ หรือใช้กลอุบำยเพือป้
ั ไม่ให้บุคคลใดให้ถอ้ ยคำซึง่
้
อยำกจะให้ดว้ ยควำมเต็มใจ จุดนี ของกฎหมำยเป็
นเหตุหนึ่งที่
ทำงฝ่ ำยผู ก
้ ระท ำผิด จะน ำสืบให้เ ป็ นเป็ นกำรท ำลำยน้ ำหนัก
้ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพี จิ ารณาความ
์ไพโรจน์
พยำนของโจทก โดย
์ให้อาจารย
หมดสิ
นไปได้
อาญา
กำรสอบปำกค ำเด็ ก เป็ นผู ้เ สี ย หำยหรือ พยำน (ดู ม าตรา 133 ทวิ )
้ ้องการให ้มีการคุ ้มครองผู ้เสียหายและพยานซึงเป็
่ นเด็ก ทีมี
่ อายุ
บทบัญญัตข
ิ องมาตรานี ต
่ ดคือผูเ้ สียหายหรือพยานทีเป็
่ นเด็กดังกล่าวจะต ้องร ้องขอ
ไม่เกิน 18 ปี แต่ทส
ี่ าคัญทีสุ
่
่
ด ้วย หลักเกณฑ ์สาคัญทีจะคุ
้มครองเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี เกียวกั
บการสอบปากคาเด็ก
เป็ นผู ้เสียหายหรือพยานจะต ้องประกอบด ้วย
่ ญญัตไิ ว ้ในมาตรา 133 ทวิ
1. ประเภทของคดีน้ัน จะต ้องเป็ นคดีความผิดตามทีบั
่ นเด็ ก อายุไม่ เกิน 18 ปี
2. ต อ้ งเป็ นกรณี ที่ผู เ้ สีย หายหรือพยานซึงเป็
่ นเด็กดังกล่าวได ้ร ้องขอด ้วย หากผูเ้ สียหายหรือพยานที่
และผูเ้ สียหายหรือพยาน ซึงเป็
เป็ นเด็ ก ดัง กล่ า วไม่ ไ ด ร้ ้องขอ พนั ก งานสอบสวนสอบสวนไม่ จ าเป็ นต อ้ งจัด การห รือ
ดาเนิ นการให ้ความคุ ้มครองตามมาตรานี ้
เมื่อครบหลัก เกณฑ ด์ งั กล่ า วแล ว้ การที่พนั ก งานสอบสวนจะถาม
ปากคาเด็ กในฐานะเป็ นผูเ้ สียหายหรือพยาน พนั กงานสอบสวนจะตอ้ งแยกกระทาเป็ น
่
้ นพิเ ศษ ให ม้ ี
สัดส่วนในสถานทีเหมาะสมส
าหร บั เด็ ก กล่า วคือจะตอ้ งจัด สถานที่ขึนเป็
่ ให ้เด็กมีความรู ้สึกในทางทีไม่
่ ด ี หรือเกิดความหวาดกลัวจนทาให ้ไม่กล ้า
สัดส่วน เพือไม่
ใ
ห้
ก
า
ร
ห
รื
อ
ต
อ
บ
่
คาซ ักถามได ้ตามปกติ หรือไม่ให ้มีการข่มขู่เด็กทีจะให
้การไปตามสัตย ์จริง และนอกจาก
่ งกล่าวแลว้ ยังจะต ้องใหม้ ีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห ์ บุคคลทีเด็
่ ก
จัดสถานทีดั
ร ้องขอ และพนักงานอัยการเข ้าร่วมในการถามปากคาด ้วย
้ ัวผู ต
กำรจัดให้เด็กชีต
้ อ
้ งหำ (ดูมาตรา 133 ตรี)
วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
้ วอาจารย
้ ว ผิ ด ย่ อ ม
การชีโดย
ตั
ผู ต
้ อ้ ์ไพโรจน์
งหามีไพมณี
ค วามส
าคัญ อย่
า งยิ่ง เพราะการชีตั
อาญา
่
1.5 กำรสอบสวนผู ต
้ อ
้ งหำ (ดูมาตรา 134 – 135) จากหลัก
กฎหมายดังกล่าวแยกการสอบสวนผู ้ต ้องหาได ้ดังนี ้
้ นหลักประกันผูต้ ้องหา
ก.ต้องถือว่ำยังไม่มค
ี วำมผิด กรณี นีเป็
โดยกฎหมายร ัฐธรรมนู ญ ให ้สันนิ ษฐานไว ้ก่อนว่า ในคดีอาญาผูต
้ ้องหา
ยังไม่ มีค วามผิด พนั ก งานสอบสวนจะปฏิบ ต
ั ิต่ อ ผู ต
้ อ้ งหาเสมื อ นเป็ น
ผูกระท
้
าความผิดมิได ้
ข.กำรได้ต วั ผู ต
้ อ
้ งหำ ตามาตรา 134 วรรคหนึ่ ง การได ต้ วั
ผูต้ ้องหาทาได ้ 4 วิธด
ี ้วยกันคือ
1) ผูต้ ้องหาถูกเรียก หรือ
2) ส่งตัวมา หรือ
3) เข ้าหาพนักงานสอบสวนเอง หรือ
4) ปรากฏว่ามาอยู่ตอ
่ หน้าพนักงานสอบสวนแล ้ว
เมื่อได ต
้ วั ผู ต
้ อ้ งหามาแล ว้ เป็ นหน้า ที่ของพนั ก งานสอบสวนที่
ก ฎ ห ม า ย ก า ห น ด ใ ห้ ถ า ม
่ ว ชือรอง
่
่ ่ ทีเกิ
่ ด และสอบ
ชือตั
สัญชาติ
บิ
ด
า
มารดา
อายุ
อาชี
พ
ที
อยู
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
้
อาญา
ในฐานะเป็ นผูต้ อ้ งหาไดเ้ ลย ทังมีอานาจในการควบคุมหรือปล่อยตัว
ค.กำรแจ้งข้อเท็จจริงและข้อหำ มาตรา 134 วรรคแรก ใช ้คาว่า“แจ้ง
่
่ ำวหำว่ำ ผู ต
ให้ทรำบถึงข้อเท็จจริงเกียวกั
บกระทำทีกล่
้ อ
้ งหำได้กระทำผิด
แล้ว จึง แจ้ง ข้อ หำให้ท รำบ” จากหลัก กฎหมายดัง กล่ า วพนั ก งานสอบสวน
จะแจง้ ข อ้ กล่าวหาใหท
้ ราบอย่า งเดีย วไม่ พ อ ตอ้ งแจง้ ข อ้ เท็ จ จริง ที่หาว่า ผู ต
้ อ้ งหา
กระทาความผิดด ้วย
่
่
วัตถุประสงค ์ทีกฎหมายให
พ
้ นักงานสอบสวนตอ้ งแจ ้งขอ้ เท็ จจริงเกียวกั
บขอ้
กล่ า วหาและข อ้ หาให ผ
้ ูต
้ อ้ งหาทราบ ก็ เ พื่ อผู ต
้ อ้ งจะได ร้ ู ต้ ัว และสามารถหา
่ การจับกุมดาเนิ นคดีใน
พยานหลักฐานมาต่อสูค้ ดีได ้ เพราะในปัจจุบน
ั ก่อนทีจะมี
่
่ ้นมาอย่างเพียงพอแล ้ว ที่
เรืองใด
พนักงานสอบสวนจะต ้องได ้พยานหลักฐานเรืองนั
่
่
่ ้นได ้
จะสามารถแจง้ รายละเอียดเกียวกั
บขอ้ เท็ จจริงเกียวกั
บการกระทาผิดในเรืองนั
และตามมาตรา 134 วรรคสอง บัญ ญัต ิว่า “กำรแจ้ง ข้อ หำตำมวรรคหนึ่ ง
่
จะต้องมีหลักฐำนตำมสมควรว่ำ ผู น
้ ้ันน่ ำจะได้กระทำผิดตำมข้อหำ” เมือ
่
ไดส้ อบสวนมาก่อน พนักงานสอบสวนย่อมมีรายละเอียดเกียวกั
บขอ้ เท็ จจริงในคดี
่ ้น
พอสมควร จึงขอหมายจับได ้ กฎหมายจึงบัญญัตใิ ห ้แจ ้งข ้อเท็จจริงของคดีเรืองนั
้
แล ้ว จึงแจ ้งข ้อหาให ้ทราบ หากสอบสวนเบืองต
้นแล ้วข ้อเท็จจริงยังไม่ชดั ก็ต ้องสอบ
ข ้อเท็จจริงนั้นให ้ช ัดแล ้วจึงจะสามารถแจ ้งข ้อเท็จจริงและแจ ้งข ้อหาใหผ
้ ูต้ ้องหาทราบ
ได ้ และมีผ ลอีก ประการหนึ่ งตามมาตรา 134 วรรคสี่ บัญ ญัติว่ า “พนั ก งำน
่
่
สอบสวนต้องให้โอกำสผู ต
้ อ
้ งหำทีจะแก้
ขอ
้ หำ และทีจะแสดงข้
อเท็จจริงอน
ั
เป็ นประโยชน์แก่ตนได้” จากหลักกฎหมายดังกล่าวพนักงานสอบสวนจึงจาเป็ น
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
่ อ้ งแจง้ ใหผ
่ าวหา
ทีจะต
้ ูต้ อ้ งหาทราบถึ
งขอ้ เท็ จจริงทีกล่
แลว้ แจ ้งขอ้ หาใหท
้ ราบตาม
อาญา
้ั
ตวั อย่ำง
ครงแรกพนั
กงานสอบสวนแจ ้งขอ้ หาว่าทา
ร า้ ยร่ า งกาย ต่ อ มาจากพยานหลัก ฐานได ค
้ วามว่ า เป็ น
พยายามฆ่ า ผู อ
้ ื่ น พนั ก งานสอบสวนแจ ง้ ข อ้ หาใหม่ เ ป็ น
พยายามฆ่าผูอ้ นย่
ื่ อมสามารถทาได ้ (ฎีกาที่ 755/2509)
้ อ นที่ผู ต
การแจ ง้ ข อ้ หาจะตอ้ งไดก้ ระท าขึนก่
้ อ้ งหาจะให ้
การต่อ พนั ก งานสอบสวน เพราะหากผู ต
้ อ้ งหาให ก
้ ารร บั ต่ อ
พนั ก งานสอบสวน ตามที่พนั ก งานสอบสวนถามผู ต
้ อ้ งหา
ก่ อ นที่ จะแจ ง้ ข อ้ หาให ท
้ ราบ ถื อ ว่ า ผู น
้ ้ั นยังไม่ อ ยู่ ใ นฐานะ
่ สูจน์ว่า
ผูต้ อ้ งหา โจทก ์จะอ ้างเอาคารบั สารภาพดังกล่าวเพือพิ
จ าเลยมี ค วามผิ ด ตามฟ้ องย่ อ มเป็ นการไม่ ช อบ (ฎี ก าที่
148/2536)
่
ลักษณะการแจ ้งข ้อหาคือ เป็ นเรืองบอกให
ผ้ ูต้ ้องหาทราบ
ว่าเขาทาผิดด ้วยการกระทาอะไร ไม่มล
ี ก
ั ษณะเป็ นการแจ ้งถึง
ตัวบทกฎหมาย เช่นพนั กงานสอบสวนแจง้ ขอ้ หาแก่จาเลยว่ า
่ได ร้ธพี บ
โดย อาจารย
์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวี
ก่ อ สร ้างอาคารผิ
ด แบบแปลนที
ั จิ ารณาความ
อนุ ญาต การแจ ง้ ใน
อาญา
่ ำคัญให้ผูต
ง. ก่อนถำมคำให้กำร ต้องแจ้งข้อทีส
้ อ
้ งหำ
ทรำบด้วย (ดูมาตรา 134/4)
่ กฎหมายแก
่
่ ม
บทบัญญัติ มาตรา 134/4 เป็ นเรืองที
้ไขเพิมเติ
้
่
่แก ไ้ ขใหม่ นี ้บัญ ญัติใ ห ้ พนั ก งาน
ความขึนใหม่
ซึงตามกฎหมายที
สอบสวนตอ้ งแจ ง้ ให ผ
้ ูต้ อ้ งหาทราบก่อนว่า ผูต
้ อ้ งหามีสิท ธิที่จะให ้
่ ต้ ้องหาใหก้ าร
การหรือไม่ใหก้ ารก็ได ้ ถ ้าผูต้ ้องหาใหก้ าร ถ ้อยคาทีผู
นั้นอาจใช ้เป็ นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได ้ และนอกจากนี ้
ต ้องแจ ้งให ้ผูต้ ้องหาทราบอีกว่า ผูต้ ้องหามีสท
ิ ธิใหท้ นายความหรือผู ้
่ ้นไว ้วางใจเข ้าฟังการสอบปากคาตนได ้
ซึงต
การแจง้ ใหผ
้ ูต้ อ้ งหาทราบถึงสิทธิดงั กล่าวมีความสาคัญมาก
พนั ก งานสอบสวนจะงดเสี ย มิ ไ ด ้ เพราะหากไม่ แ จ ง้ ให ค
้ รบถ ว้ น
่ ้มานั้นจะรบั ฟังเป็ นพยานหลักฐาน
ดังกล่าว ถ ้อยคาของผู ้ต ้องหาทีได
ในการพิจ ารณาความผิด ของผู ต
้ อ้ งหานั้ นไม่ ไ ด เ้ ลย ตามมาตรา
134/4 วรรคท ้าย
การแจง้ ให ผ
้ ูต้ อ้ งหาทราบถึงสิทธิดงั กล่าว กฎหมายใช ค
้ าว่า
่ ต้ ้องหาจะให ้
“ก่อน” ดังนั้นการแจ
ทธิไพมณี
ดงั กล่
าวจะตธพ้องแจ
้งก่อนทีผู
โดย อาจารย้งสิ
์ไพโรจน์
วิชากฎหมายวี
ี จิ ารณาความ
อาญา
การ ไม่ ใ ช่แ จ ง้ ให
ท
้ ราบหลัง จากที่ให ก
้ ารไปแล ว้ การแจ ง้ ให ท
้ ราบ
ห ้า)
จ. กำรจับ และควบคุ ม (ดู ม าตรา 134 วรรค
่ ต้ อ้ งหาอยู่ต่อ
กรณี ตามมาตรา 134 วรรคหา้ หมายถึงว่าเมือผู
ห น้ า พ นั ก ง า น ส อ บ ส ว น
่
ไม่วา่ ในกรณี ใดๆ เมือพนั
กงานสอบสวนได ้แจ ้งข ้อหาแล ้ว แต่ผูต้ ้องหา
ไม่ใช่ผูถ้ ูกจับ และยังไม่มีการออกหมายจับ เช่น ผูต้ อ้ งหาเข ้ามอบตัว
้ กงานสอบสวนจะจับผูต้ อ้ งหายังไม่ได ้
ต่อพนักงานสอบสวน กรณี นีพนั
่ บไม่ได ้ก็ยงั ไม่มอ
้ กงาน
เมือจั
ี านาจควบคุมตัวผู ้ต ้องหานั้น แต่กรณี นีพนั
สอบสวนมีอ านาจพิจ ารณาว่า มีเ หตุ ที่จะออกหมายขัง ผู ต
้ อ้ งหาได ้
หรือไม่ หากเห็นว่ามีเหตุทจะออกหมายขั
ี่
งผูต้ ้องหาระหว่างสอบสวนได ้
พนักงานสอบสวนก็สามารถใหศ้ าลออกหมายขังในระหว่างสอบสวนได ้
โดยใหพ
้ นักงานสอบสวนมีอานาจสั่งใหผ
้ ูต้ อ้ งหาไปศาลในทันที แต่ถา้
่
ขณะนั้นเป็ นเวลาทีศาลปิ
ดหรือใกลจ้ ะปิ ดทาการ ใหพ
้ นักงานสอบสวน
่
สั่งใหผ
้ ูต้ อ้ งหาไปศาลในโอกาสแรกทีศาลเปิ
ดทาการ ส่วนระยะเวลาขัง
จะมีจานวนเพียงใดนั้น ใหน
้ ามาตรา 87 มาบังคับใช ้ในการพิจารณา
้
ออกหมายขังในกรณี นีโดยอนุ
โลม
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
่
หากผูต้ ้องหาไม่
ั ต
ิ ามคาสังของพนั
กงานสอบสวนดังกล่าว
อาญา ปฏิบต
ฉ. กำรบัน ทึก ค ำให้ก ำรของผู ต
้ อ
้ งหำ (ดู
มาตรา 134/4 วรรคสอง)
การบัน ทึก คาให ก
้ ารของผู ต
้ อ้ งหา ตามมาตรา
้
134/4 วรรคสอง จะต อ้ งจดบันทึก ขึนหลั
ง จากที่ได ้
แจง้ ขอ้ หาและบอกใหผ
้ ูต้ อ้ งหาทราบแลว้ ว่า ถอ้ ยคาที่
กล่าวนั้ นใช ้ยันเขาในการพิจารณาของศาลได ้ หาก
้ อ นที่จะแจ ง้ ข อ้ หาและบอกให ้
บัน ทึก ค าให ก
้ ารขึนก่
ทราบดังกล่าว ถือว่าบันทึกนั้นไม่ใช่บน
ั ทึกคาใหก้ าร
ในฐานะเป็ นผูต้ อ้ งหา เขายังไม่รู ้ขอ้ หา ยังไม่รู ้ว่าเขา
ต ้องตกเป็ นผูต้ ้องหา
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
ช. ต้องถำมว่ำมีทนำยควำมหรือไม่ (ดูมาตรา 134/1)
บทบัญญัติ มาตรา 134/1 เป็ นบทบัญญัตค
ิ ุ ้มครองป้ องกันสิทธิของ
่
่
ผูต้ อ้ งหา ซึงพนั
กงานสอบสวนจะตอ้ งถามผูต้ อ้ งหาเรืองทนายความ
และ
้
ตอ้ งปฏิบต
ั ต
ิ ามบทบัญญัตใิ นมาตรานี โดยเคร่
งครดั หากไม่ถามผูต
้ อ้ งหา
่
เกียวกั
บทนายความ ย่อมทาใหก้ ารสอบคาใหก้ ารของผูต้ อ้ งหานั้นไม่ชอบ
คาให ้การของผูต้ ้องหาดังกล่าวศาลไม่อาจร ับฟังได ้
่
่
เกียวกั
บเรืองทนายความ
แบ่งคดีออกเป็ น ๓ ลักษณะด ้วยกันคือ
1. ในคดีมอ
ี ต
ั ราโทษประหารชีวต
ิ
2. ในคดีทผู
ี่ ต้ ้องหามีอายุไม่เกิน 18 ปี
3. ในคดีมอ
ี ต
ั ราโทษจาคุก
ส าหร บ
ั คดีใ นข อ้ 1. และ 2. นั้ น ในวัน ที่พนั ก งานสอบสวนแจ ง้
่
ข อ้ หา ก่อ นเริมถามค
าให ก
้ าร พนั ก งานสอบสวนต อ้ งถามผู ต
้ อ้ งหาว่ า มี
ทนายความหรือไม่ หากผู ต
้ อ้ งหามีท นายความแล ว้ ร ฐั ก็ ไ ม่ ต อ้ งจัด หา
ทนายความให ้ โดยให ้ทนายความของผูต้ ้องหาพบผูต้ ้องหาและเข ้าฟั งการ
สอบถามค าให ก
้ ารของผู ต
้ อ
้ งหาได ้ แต่ ถ า้ ผู ต
้ อ้ งหาตอบว่ า ยังไม่ มี
ทนายความกฎหมายบัง คับให ร้ ฐั ต อ้ งจัด หาทนายความให ้ พนั ก งาน
โดย อาจารย
์ไพโรจน์
ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ้ก่
ารณาความ
สอบสวนจะต ้องดาเนิ
นการจั
ดหาทนายความให
อน จะสอบถามคาให ้การ
อาญา
ของผูต้ อ้ งหายังไม่ได ้ ตอ้ งรอใหท้ นายความมาพบผูต้ อ้ งหาและเข า้ ฟังการ
ส าหร บ
ั ในคดี ใ นข อ้ 3. นั้ น ก่ อ นถามค าให ก
้ ารพนั ก งาน
สอบสวนต ้องถามผูต้ ้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถา้ มีทนายความ
ก็ใหท้ นายความมาพบผูต้ ้องหาและเข ้าฟังการถามคาใหก้ ารได ้ แต่
ถา้ ผูต้ อ้ งหาไม่มีทนายความ พนั กงานสอบสวนตอ้ งถามต่ออี กว่า
ตอ้ งการทนายความหรือไม่ ถา้ ผูต
้ อ้ งหาไม่ตอ้ งการทนายความก็
บันทึกไวแ้ ละสอบถามคาใหก้ ารไปไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมีทนายความ แต่
ถ า้ ผู ต
้ อ้ งหาตอบว่ า ต อ้ งการทนายความ ในกรณี นี ้ร ฐั ต อ้ งจัด หา
ทนายความใหโ้ ดยพนั ก งานสอบสวนจะถามคาใหก้ ารต่อไปไม่ไ ด ้
ต อ้ งด าเนิ นการจัด หาทนายความให ก
้ ับ ผู ต
้ อ้ งหาก่ อ นจะถาม
คาให ้การต่อไปยังไม่ได ้
ทนายความทีร่ ฐั จัดหาใหจ้ ะได ้รบั เงินรางวัลและค่าใช ้จ่ายตาม
่
ระเบียบทีกระทรวงยุ
ตธิ รรมกาหนด
่ ดหาทนายความใหก้ บ
เมือจั
ั ผูต้ อ้ งหาแลว้ หากทนายความไม่
มาพบผู ต
้ อ้ งหา ไม่ ว่ า ด ว้ ยเหตุใ ดๆ โดยไม่ แ จ ง้ เหตุ ข ัด ข อ้ งให ้
พนักงานสอบสวนทราบ หรือแจ ้งแต่ไม่มาพบผูต้ อ้ งหาภายในเวลา
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อันสมควร กฎหมายก
้ นักงานสอบสวนทาการสอบถาม
อาญา าหนดใหพ
ซ.ข้อห้ำมพนักงำนสอบสวนทำกับผู ต
้ อ
้ งหำ (ดูมาตรา 135)
้
เมื่ อถื อ ว่ า ค าให ก
้ ารชันสอบสวนของผู
ต
้ อ้ งหาใช เ้ ป็ น
พยานหลักฐานได ้ หากมีการกระทาตามมาตรา 135 ต ้องถือว่า
่ ชอบ ทาใหพ
่ น
เป็ นการกระทาทีไม่
้ ยานทีได
้ ้ั นไม่ชอบ ศาลไม่รบั
ฟั ง ตามมาตรา 226 ทีว่่ าจะใช ้อา้ งเป็ นพยานหลักฐานได ้ ตอ้ ง
่ ไ ดเ้ กิดขึนจากการจู
้
เป็ นพยานชนิ ดทีไม่
งใจ มีคามั่นสัญญา ขู่
่
เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอืนๆ
่ ดจากการขู่เข็ ญ จูงใจว่าจะใหพ
ตวั อย่ำง พยานทีเกิ
้ ยาน
ออกจากงานโดยไดร้ บั บานาญ และไม่จบ
ั กุมมาดาเนิ นคดี ย่ อม
่
รบั ฟั งไม่ได ้ และหากตกอยู่ในฐานะทีจะให
ก้ ารเป็ นผูต้ อ้ งหาดว้ ย
่ ้มาโดยไม่ชอบ (ฎีกาที่ 1758/2523)
ก็จะเป็ นพยานทีได
้
ค าร บ
ั ของผู ต
้ อ้ งหาในชันสอบสวน
ซึ่งเกิ ด จากการที่
พนั กงานสอบสวนแนะนาว่า จะกันไวเ้ ป็ นพยาน ผูต
้ อ้ งหานั้ นจึง
่ าเป็ นผูก้ ระทาความผิดโดยหวังว่าตนจะถูกกันไว ้
ซดั ทอดคนอืนว่
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
้ นผูต้ ้องหา
เป็ นพยานโจทก ์นั้น
คารบั สารภาพดังกล่ี าจิ ารณาความ
วจะยกขึนยั
อาญา
ฌ. สิ ท ธิใ นกำรสอบสวนรวดเร็ ว และให้
ทนำยเข้ำ ฟั ง (ดูม าตรา 134 วรรคสาม และ
มาตรา 134/3)
กรณี นี ้พนั ก งานสอบสวนจะต อ้ งสอบสวน
ด ว้ ยความรวดเร็ว ต่ อ เนื่ อง และเป็ นธรรม หาก
ผูต้ ้องหาจะใช ้สิทธิขอใหท้ นายความหรือผู ซ
้ งตน
ึ่
ไว ว้ างใจเข า้ ฟั ง การสอบปากค าของตนแล ว้
พนั กง า น ส อบ ส ว น จ ะต อ
้ ง จั ดให เ้ ป็ นไ ป ตา ม
ประสงค ข
์ องผู ต
้ อ้ งหา หากไม่ จ ด
ั ให ต
้ ามความ
ประสงค ์ดังกล่า ว อาจจะขัดต่อการด าเนิ น การ
่ ้มานั้นไม่ชอบ และ
สอบสวน ทาใหค้ าใหก้ ารทีได
ศาลไม่ร ับฟัง
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
ญ. กำรสอบสวนผู ต
้ อ
้ งหำอำยุไม่ เ กิน 18 ปี (ดู
มาตรา 134/2)
มาตรา 134/2 บัญ ญัติใ ห น
้ ามาตรา 133 ทวิ
่
่ นเด็ กอายุไม่
ในเรืองของการสอบปากค
าพยานซึงเป็
เกิ น 18 ปี มาบัง คับใช อ้ นุโ ลม คื อ การสอบสวน
ผู ต
้ อ้ งหาอายุไ ม่ เ กิน 18 ปี ก็ ต อ้ งแยกกระท าเป็ น
สั
ด
ส่
ว
น
่
ทีเหมาะสมส
าหรบั เด็ก และต ้องมีนักจิตวิทยา หรือนัก
สัง คมสงเคราะห ์ บุ ค คลที่เด็ ก ร ้องขอ และพนั ก งาน
้ ้
อัย การเข า้ ร่ว มในการสอบถามค าให ก
้ ารด ว้ ย ทังนี
ระหว่างสอบปากคาพนั กงานสอบสวนตอ้ งจัดใหก้ าร
บันทึกภาพและเสียงการถามปากคา และสามารถนา
่ องไวธต
โดย อาจารย
์ไพโรจน์
ไพมณี
วิชากฎหมายวี
พ
ี ้ จิ ารณาความ
ออกถ่ายทอดได
อ
้
ย่
า
งต่
อ
เนื
ามมาตรา 134 ทวิ
อาญา
้
่
1.6 สอบสวนเองหรือส่งประเด็น (ดูมาตรา
138)
การส่ ง ประเด็ น ตามความหมายของมาตรานี ้
่ นท
่ า
เฉพาะส่งประเด็ นไปใหพ
้ นักงานสอบสวนทอ้ งทีอื
การสอบสวนเพื่อทราบความเป็ นมาแห่ ง ชีวิต และ
ความประพฤติ อัน เป็ นอาจิณ ของผู ต
้ อ้ งหาเท่ า นั้ น
่ หรือ
มิได ้หมายความถึงการส่งประเด็นไปสืบพยานอืน
่ เพราะหากเป็ นการสอบสวน
ทาการสอบสวนอย่างอืน
พยานอื่นนอกท อ้ งที่ พนั ก งานสอบสวนสามารถส่ ง
ประเด็ นไปให พ
้ นั ก งานสอบสวนท อ้ งที่ อื่ นท าการ
สอบสวนได ้ตามมาตรา 128 อยู่แล ้ว และถือว่าการส่ง
่
่
ประเด็นไปสอบสวนพยานอืนหรื
อทาการอย่างอืนตาม
วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
้ น ไพมณี
่ ชอบด ว้ ย
มาตราดัง กล่โดย
าอาจารย
ว นั์ไพโรจน์
เป็ นการสอบสวนที
อาญา
1.7 กำรรวบรวมสำนวน (ดูมาตรา 139)
กรณี ตามมาตรานี ้ จะเห็นได ้ว่าบันทึกทุกชนิ ดที่
่
พนักงานสอบสวนทาไวเ้ กียวกั
บคดี จะตอ้ งนามารวม
้ั น
้ จะเก็ บ เอาไว ห
้
ส านวนไว ท
้ งสิ
้ รือ ทิงไป
หรือ ท าลาย
่ ชอบ
เสียไม่ได ้ ถือว่าเป็ นการกระทาทีไม่
ตัวอย่ ำง การที่พนั ก งานสอบสวนได ท
้ าบัน ทึก
คาใหก้ ารของผูต้ ้องหาและผูก้ ล่าวหาไว ้ ต่อ มาไดท้ า
บันทึกคาให ้การของผูต้ ้องหาและผูก้ ล่าวหาใหม่ ต ้อง
นาบันทึกเดิมนั้ นมารวมสานวนดว้ ย จะอา้ งว่าไดท
้ า
บันทึกคาใหก้ ารของผูต้ อ้ งหาและผูก้ ล่าวหาใหม่แลว้
ของเดิมไม่ ส าคัญ จึงไม่ น ามารวมไว ใ้ นส านวนการ
สอบสวนไม่ได ้ (ฎีกาที่ 929/2537)
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
่
กำรสังคดี
ของพนักงำนอ ัยกำร
่
เมือพนั
กงานสอบสวนได ้รวบรวมพยานหลักฐาน
้
เสร็ จ สิ นแล
ว้ เป็ นหน้ า ที่ ของพนั กงานสอบสวน
่
้น
ผู ร้ บ
ั ผิด ชอบจะต อ้ งจัด การท าความเห็ น คดีเ รืองนั
ส่งให ้พนักงานอัยการดาเนิ นการต่อไป
เมื่ อรวมรวมพยานหลัก ฐานเสร็ จ แล ว้ จะได ้
สานวน 3 ประเภทคือ
่ ปรากฏตัวผูก้ ระทาผิด
1.สานวนทีไม่
่
2.สานวนทีปรากฏตั
วผูก้ ระทาผิด
่ กงานอัยการสังไม่
่ ฟ้อง
3.สานวนทีพนั
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
1.ส ำนวนที่ไม่ ป รำกฏตัว ผู ก
้ ระท ำผิด (ดู ม าตรา
140)
หากความผิดนั้ นมีอ ต
ั ราโทษจ าคุก อย่างสูงไม่ เกิน 3 ปี
พ นั ก ง า น ส อ บ ส ว น
มีอ านาจสั่งงดการสอบสวน และบัน ทึก เหตุ ที่งดไว ้ แล ว้ ส่ ง
บัน ทึก พร ้อมกับ ส านวนไปยัง พนั ก งานอัย การ เมื่อพนั ก งาน
อั ย ก า ร เ ห็ น ส ม ค ว รใ ห ้ ง ด ก า ร ส อ บ ส ว น ก็ จ ะ ง ด
การสอบสวน แต่ถา้ ไม่เห็ นดว้ ยก็จะสั่งใหด้ าเนิ นการสอบสวน
่
ต่อไป ซึงพนั
กงานสอบสวนจะต ้องปฏิบต
ั ต
ิ ามนั้น
หากความผิดมีอต
ั ราโทษอย่างสูงเกินกว่า 3 ปี เป็ น
หน้า ที่ของพนั ก งานสอบสวนที่จะส่ ง ส านวนไปยัง พนั ก งาน
อั ย ก า ร พ ร ้ อ ม ทั้ ง ค ว า ม เ ห็ น ที่ ค ว ร ใ ห ้ ง ด
การสอบสวน แต่จะสั่งงดการสอบสวนเหมือนกับคดีทมี
ี่ อ ต
ั รา
โ ท ษ จ า คุ ก อ ย่ า ง สู ง
่
ไม่เกิน 3 ปี ไม่ได ้ เมือพนั
กงานอัยการเห็ นสมควรใหง้ ดการ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
ส อ บ ส ว น ก็ จ ะ สั่ ง ง ด
่
2. สำนวนทีปรำกฏต
วั ผู ก
้ ระทำผิด
(ดูมาตรา 141)
่
่
เกียวกั
บสานวนทีปรากฏตั
วผูก้ ระทา
ผิดแบ่งได ้ 4 กรณี คอื
1) ส านวนที่ปรากฏตัว แต่ เ รีย กหรือ
จับยังไม่ได ้
่
่ ยกหรือได ้
2) สานวนทีปรากฏตั
วซึงเรี
ตัวแล ้ว
3) สานวนคดีเปรียบเทียบ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
่
1.ส ำนวนทีปรำกฏต
วั แต่เ รีย กหรือ จ บ
ั ยังไม่ ไ ด้ (ดูมาตรา
141) สานวนประเภทนี ้
หมายถึงสานวนที่ รู ้ตัวว่าใครเป็ นผูก้ ระทาผิดแล ้ว โดยอาจจะ
่
รู ้รูปร่างลักษณะท่าทางทีสามารถบอกได
ว้ ่าเป็ นใคร หรืออาจจะรู ้ชือ่
ผูก้ ระทาความผิดไดโ้ ดยตรง แต่หากเพียงเห็ นลักษณะท่าทางรูปร่าง
่ ได
้ ้ว่าเป็ นใคร ยังไม่เป็ นสานวนทีรู่ ้ตัวผู ้กระทาผิด
ยังไม่มผ
ี ู ้ทีจะชี
เมื่ อรู ต้ ัว ผู ก
้ ระท าผิ ด แล ว้ แต่ เ รีย กหรือ จับ ตัว ยังไม่ ไ ด ้ และ
่
พนักงานสอบสวนได ้พยายามติดตามจับกุมจนเห็นได ้ว่าไม่มีทางทีจะ
่
ไดต้ วั มาแน่ นอนแลว้ พนั กงานสอบสวนก็สามารถทีจะสรุ
ปสานวน
่ องไม่ฟ้อง
ทาความเห็นเสนอไปยังพนักงานอัยการได ้ว่า ควรสังฟ้
กรณี พนั ก งานสอบสวนเห็ น ควรสั่งไม่ ฟ้ อง หากพนั ก งาน
อัยการเห็นชอบดว้ ย ก็ใหอ้ อกคาสั่งไม่ฟ้องและแจ ้งคาสั่งใหพ
้ นักงาน
สอบสวนทราบ พนั กงานสอบสวนจะไดไ้ ม่ตอ้ งทาการสอบสวนการ
กระท านั้ นอี ก ต่ อไป ถื อ ว่ า ยุ ติ ก ารสอบสวนแล ว้ นอกจากจะได ้
่ ม ซึงเห็
่ นว่าพอทีจะลงโทษผู
่
พยานหลักฐานใหม่เพิมเติ
ก้ ระทาผิดได ้
้ั นอีไพมณี
โดย อาจารย น
์ไพโรจน์
วิชากฎหมายวี
ธพ
ี จิ ารณาความ ง พนั ก งานอัย การ
ก็ ส ามารถสอบสวนคดี
ก และส่
ง สานวนไปยั
อาญา
่
้
ส านวนที่ พนั ก งานสอบสวนเห็ น ควรสั่งฟ้ อง
หรือไม่ ฟ้ องก็ ต าม ถ า้ พนั กงานอัย การเห็ นว่า ควรสั่ง
ฟ้ อง ก็ ต อ้ งจัด การอย่ า งใดอย่ า งหนึ่ งเพื่ อให ไ้ ด ต
้ วั
ผู ต
้ อ้ งหามา เช่น ให อ้ อกหมายจับ หรือให ส้ ่ ง ต าหนิ
รู ป พรรณผู ต
้ อ้ งหามาเพื่อด าเนิ น การออกหมายจับ
่ ้องให ้ได ้ตัวผูต้ ้องหามาก่อนก็เพราะ
ต่อไปก็ได ้ การทีต
การที่พนั ก งานอัยการจะฟ้ องผู ต
้ อ้ งหาต่อศาลได น
้ ้ั น
จะต ้องส่งตัวผูต้ ้องหาไปศาลพร ้อมฟ้ องด ้วย อัยการจะ
ฟ้ องผูต้ ้องหาโดยไม่มต
ี วั ไม่ได ้
การท าความเห็ น ของพนั ก งานสอบสวนหรือ
พนั ก งานอัย การที่จะฟ้ องหรือไม่ ฟ้ องนั้ น ต อ้ งเป็ น
่ เหตุผลตามกฎหมาย และเป็ นความเห็ น
ความเห็ นทีมี
โดยก
อาจารย
์ไพโรจน์ ไพมณี
วิชากฎหมายวี
ธพ
ี จิ ารณาความ อ
จากพยานหลั
ฐานในส
านวน
จะเอาข
้ เท็ จจริงนอก
อาญา
่
่ ย กหรือได้ต วั
2. ส ำนวนที่ปรำกฏต วั ซึงเรี
แล้ว
้ นเรืองรู
่
(ดูมาตรา 142) ส านวนประเภทนี เป็
้ตัว
และปรากฏตัวผูก้ ระทาผิดต่อพนั กงานสอบสวนแล ว้
่ ้มานั้นอาจจะอยู่ระหว่างควบคุมของ
ส่วนผูต้ ้องหาทีได
พนั กงานสอบสวน หรือถูกขังอยู่ในอานาจของศาล
่
ก็ได ้ หรืออาจจะปล่อยชัวคราวโดยมี
ประกัน หรือไม่มี
ป
ร
ะ
กั
น
ห
รื
อ
ยั งไ ม่ ไ ด เ้ อ า ตั ว ม า แ ต่ เ ชื่ อ ว่ า ค งไ ด ต
้ ั ว ม า เ มื่ อ อ ก
ห ม า ย เ รี ย ก
เ ห ล่ า นี ้
เ มื่ อ พ นั ก ง า น ส อ บ ส ว นไ ด ้ ท า ก า ร ร ว บ ร ว ม
พ ย า น ห ลั ก ฐ า น เ ส ร็ จ สิ ้ น แ ล ้ ว
อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ก็ ส ามารถทโดย
าความเห็
น ตามท ีอ้ จิ ารณาความ
งส านวนหรือ ตาม
อาญา
่ ย กหรือได้ต วั
2.ส ำนวนที่ปรำกฏต วั ซึงเรี
แล้ว (ต่อ...)
่ ต้ วั ผูก้ ระทาผิดมาแลว้ เมือพนั
่
สานวนทีได
กงาน
ส
อ
บ
ส
ว
น
่
มีความเห็ นควรสั่งฟ้ องหรือไม่ ฟ้อง จึงมีปัญหาเกียว
ผู ต
้ อ้ งหาว่ า จะปฏิ บ ัต ิ อ ย่ า งไร ดัง นั้ นเมื่ อพนั ก งาน
สอบสวนมีค วามเห็ น ควรสั่งไม่ ฟ้ อง ให ส้ ่ ง เฉพาะแต่
สานวนพร ้อมความเห็ นไปยังพนั กงานอัยการเท่านั้ น
ส่ ว นตัว ผู ต
้ อ้ งหาพนั ก งานสอบสวนมี อ านาจปล่ อ ย
่
หรือปล่อยชัวคราวได
้ ถา้ ผูต้ อ้ งหาอยู่ในอานาจของ
ศาล พนักงานสอบสวนก็มอ
ี านาจขอให ้ปล่อยได ้ หรือ
ถา้ ไม่แน่ ใจว่าพนั กงานอัยการจะสั่งอย่างไร เพราะถา้
อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อัยการเห็ นว่โดย
าหลั
กฐานพอ ก็ อาจจะฟ้
องทาใหไ้ ม่ ไ ด ้
อาญา
่
่ ยกหรือได้ตวั แล้ว (ต่อ
2.สำนวนทีปรำกฏตั
วซึงเรี
...)
ส านวนที่พนั ก งานสอบสวนมี ค วามเห็ น ควรสั่ง
ฟ้ อง ต อ้ งส่ ง ส านวนพร อ้ มผู ต
้ อ้ งหาไปยัง พนั ก งาน
อัย การ และเป็ นอ านาจของพนั ก งานอัย การที่ จะ
ควบคุมไวห้ รือขอฝากขังต่อศาลต่อไป หากพนั กงาน
อัยการฟ้ องต่อศาลจะตอ้ งมีตวั ผูต้ อ้ งหาพร ้อมกับการ
่ องดว้ ย เพราะไม่เช่นนั้ นศาลจะไม่รบั ฟ้ อง กรณี
ยืนฟ้
่ กงานสอบสวนไม่ต ้องส่งตัวผูต้ ้องหา
้ ข ้อยกเว ้นทีพนั
นี มี
ไปพร ้อมสานวน คือ กรณี ทได
ี่ ้ฝากขังผูต้ ้องหานั้นไว ้ที่
ศาลแล ้ว หรือผูต้ ้องหานั่นได ้อยู่ในอานาจของศาลด ้วย
วิ ธ ีก ารอย่ า งอื่ นแล ว้ เช่น นี ้ ย่ อ มส่ ง แต่ ส านวนและ
้ น โดยเพียงแต่
ความเห็ นไปยัโดยงพนั
ก
งานอั
ย
การเท่
า
นั
อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
่ ยการ
แจง้ ว่าผูต้ อ้ งหาอยู่ในอานาจศาลแลว้ และเมืออั
3.สำนวนคดีเปรียบเทียบ
คดี อ าญาบางความผิ ด อยู่ ใ นอ านาจของเจ า้
พ นั ก ง า น ห รื อ พ นั ก ง า น ส อ บ ส ว น ที่ จ ะ ท า ก า ร
เปรียบเทียบได ้ ตามมาตรา 37 และ มาตรา 38 เมื่อ
เจา้ พนักงานไดท้ าการบันทึกการเปรียบเทียบแล ว้ ก็
ต อ้ งส่ ง บัน ทึก นั้ นไปยัง อัย การ ตามความในมาตรา
่
142 วรรคท ้าย เมือพนั
กงานอัยการรบั สานวน บันทึก
การเปรีย บเทีย บ แล ว้ เห็ น ว่ า การเปรีย บเทีย บยัง มี
่
่ ม ตาม
ความบกพร่อง ก็สามารถทีจะสอบสวนเพิ
มเติ
มาตรา 143 แต่หากเห็นว่า การเปรียบเทียบไม่ชอบก็
จะคืนสานวนไปใหพ
้ นักงานสอบสวนดาเนิ นคดีต่ อไป
หากเห็ น ว่ า การเป รีย บเที ย บชอบก็ จ ะสั่งว่ า การ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์
เปรียบเทียบชอบแล
้ว ไพมณี
คดีวิเชป็ากฎหมายวี
นอันธพี ยุจิ ารณาความ
ติ
อาญา
4.สำนวนคดีวส
ิ ำมัญฆำตกรรม (ดูมาตรา
143 วรรคท ้าย)
คดีวิส ามัญ ฆาตกรรม คือ คดีที่มี ก ารฆาตกรรม 2
ประเภทคือ
่ า้ งว่ า
ก.คดีที่ผู ต
้ ายถู ก เจ า้ พนั ก งานซึงอ
ป
ฏิ
บั ติ
ร
า
ช
ก
า
ร
่ าตาย หรือ
ตามหน้าทีฆ่
ข.ตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของ
เ
จ้
า
พ
นั
ก
ง
า
น
่ ้างว่าปฏิบต
ซึงอ
ั ริ าชการตามหน้าที่
คดี ท ้ังสองประเภทดัง กล่ า ว เป็ นอ านาจของ
อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อัย การสู ง สุ ดโดย
หรื
อ ผู ร้ ก
ั ษาราชการแทนเท่
า นั้ นที่จะมี
อาญา
่ กงำนอ ัยกำรสังไม่
่ ฟ้อง
3.สำนวนทีพนั
่
้ หากคดีใดเป็ นคดีทอั
สาหรบั ในเรืองนี
ี่ ยการสูงสุด มีคาสั่งไม่
ฟ้ อ ง
ถื อ ว่ า ถึ ง ที่ สุ ด เ พ ร า ะ
้ ต้ งเงื
้ั ่อนไขไวว้ ่า “ค ำสังนั
่ ้นไม่ ใ ช่ข องอธิบ ดี
ในมาตรา 145 นี ได
กรมอ ย
ั กำร” ดัง นั้ นถ า้ อัย การสู ง สุ ด เป็ นผู ส้ ่ งไม่
ั ฟ้ องแล ว้ ก็ ไ ม่ ต อ้ ง
เสนอไปยัง ผู ม้ ีอ านาจท าความเห็ น แต่ ห ากเป็ นเพีย งค าสั่งของรอง
่ บต
้
อัยการสูงสุดทีปฏิ
ั ริ าชการแทนหรือไดร้ บั มอบหมายเช่นนี จะไม่
ถงึ
่ ด ตอ้ งเสนอความเห็ นไปยังผูม้ ีตาแหน่ งในมาตรา 145 เพราะรอง
ทีสุ
อั ย ก า ร สู ง สุ ด ก ฎ ห ม า ย ไ ม่ ไ ด ้ ใ ห ้ อ า น า จ
่ ยการ
เว ้นแต่จะใช ้อานาจของอัยการสูงสุดในกรณี รกั ษาการแทนเมืออั
่ ฟ้อง
สูงสุดไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบต
ั ริ าชการได ้เท่านั้น จึงจะเป็ นคาสังไม่
่ งทีสุ
่ ดได ้
ทีถึ
สาหรบั กรุงเทพมหานคร หากเป็ นคาสั่งของอัยการโดยทั่วไปที่
ไ
ม่
ใ
ช่ อั ย
ก
า
ร
สู
ง
สุ
ด
เมื่อมีความเห็ น สั่งไม่ ฟ้ อง จะตอ้ งเสนอสานวนและความเห็ นไปยัง ผู ้
บัญชาการ รองผูบ
้ ญ
ั ชาการ หรือผูช
้ ว่ ยผูบ้ ี จิญ
ั ารณาความ
ชาการตารวจแห่งชาติ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ส่ว นในต่ า งจัง หวัดอาญา
เสนอไปยัง ผู ว้ ่าราชการจัง หวัด หากผู ม้ ี ต าแหน่ ง
่ ฟ้อง (ดูมาตรา 146)
กำรแจ้งคำสังไม่
กรณี มค
ี าสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีน้ัน ตอ้ งแจ ้งคาสั่งใหผ
้ ูต้ อ้ งหาและ
ผูเ้ สีย หายหรือผูร้ ้องทุ กข ์ทราบ และเมื่อมีคาสั่งไม่ ฟ้ องถา้ ผูต้ อ้ งหาถูก
ควบคุ ม หรือ ขัง อยู่ ตอ้ งจัด การปล่ อ ยตัวไปหรือ ขอให ศ
้ าลปล่ อ ยตัวไป
แล ้วแต่กรณี
กำรได้พยำนหลักฐำนใหม่ (ดูมาตรา 147 )
้
กรณี นี หากคดี
ใ ดที่พนั ก งานอัย การมีค าสั่งเด็ ด ขาดไม่ ฟ้ องแล ว้
แต่ไดพ
้ ยานหลักฐานใหม่อน
ั สาคัญแก่คดีทจะท
ี่ าใหศ้ าลลงโทษได ้ ทาง
่ บความเห็นเดิม โดยสังฟ้
่ องใหม่ได ้
อัยการก็มค
ี าสังกลั
พยำนหลักฐำนใหม่
่ เคยปรากฏในชนสอบสวนมา
้ั
คือพยานหลักฐานใดๆ ก็ตามทีไม่
ก่อน ไม่ ว่าจะเป็ นพยานบุ คคล พยานเอกสาร หรือพยานวัต ถุก็ตาม
้ ้น
ถือได ้ว่าเป็ นพยานหลักฐานใหม่ ทังนั
ตัวอย่าง กรณี จบ
ั ตัวผู ต
้ อ้ งหายังไม่ ได ้ ทางอัยการมีคาสั่งไม่ ฟ้อง
เพราะหลัก ฐานไม่ พอ ต่อมาเมื่อจับตัวผู ต
้ อ้ งหาได ผ
้ ูต้ อ้ งหาใหก้ ารร บั
อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิ่ชากฎหมายวีธพ
จิ ารณาความ
สารภาพและนาชีโดย
ที้ ่เกิ
ดเหตุ น่ าเชือไดว้ ่าเป็ี นความจริ
ง คารบั สารภาพ
อาญา
กำรสอบสวนวิสำมัญ
การสอบสวนวิสามัญแยกพิจารณาออกเป็ น 2
กรณี คอื
1. การชันสูตรพลิกศพ
2. การสอบสวนคดีวส
ิ ามัญฆาตกรรม
1.การชันสูตรพลิกศพแยกพิจารณาออกเป็ น
4 ประเภทคือ
่ ้องทาการชันสูตรพลิกศพ
ก.ลักษณะทีต
ข.เจ ้าพนักงานผูท้ าการชันสูตรพลิกศพ
ค.วิธก
ี ารชันสูตรพลิกศพ
่
ง.ผลทางกฎหมายเกียวกั
บการชนสูตรพลิกศพ
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
ก.ลัก ษณะที่ ต้อ งท ำกำรช น
ั สู ตรพลิ ก ศพ (ดู
มาตรา 148)
การชันสูตรพลิกศพย่อมมีความจาเป็ นอย่างยิง่ เพราะจะ
ได ร้ ู ้เหตุแ ห่ ง การตาย อัน เป็ นเงื่อนง าที่จะรู ้ตัว ผู ก
้ ระท าผิด ที่
แทจ้ ริงไดท้ างหนึ่ ง ดังนั้ นกฎหมายจึงบังคับใหท้ าการสอบสวน
้
้ ตรพลิกศพในกรณี ทความตายเป็
รวมทังการชั
นสู
ี่
นผลแห่งการ
กระทาความผิดอาญา ถา้ การชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ หา้ ม
มิให ้ฟ้ องผูต้ ้องหายังศาล
้ ตอ้ งพิจารณาว่ากรณี ใดจึงจะทา
เมื่อมีการตายเกิดขึน
การชันสูตรพลิกศพ และกรณี ใดไม่ ตอ้ งทาการชัน สูตรพลิก
ศพ กรณี ทไม่
ี่ ต ้องมีการชันสูตรพลิกศพคือ
1.กำรตำยโดยธรรมชำติ เช่น ตายด ว้ ย
ความชราภาพ
2.กำรตำยโดยกำรประหำรชี
ว ิ ต ตำม
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
กฎหมำย คือ อาญา
การประหารชีวต
ิ ตามประมวลกฎหมายอาญา
สาหรบั กรณี ทการตายต
ี่
้องมีการชันสูตรพลิกศพ ตามมาตรา
148 คือ
1. การตายโดยผิดธรรมชาติ
2. ตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ ้าพนักงาน
1.กำรตำยโดยผิดธรรมชำติ กฎหมายบัญญัตล
ิ ก
ั ษณะของ
การตายโดยผิดธรรมชาติไว ้อย่างชัดเจนคือ
ก.ฆ่าตัวตาย
ข.ถูกผูอ้ นท
ื่ าให ้ตาย
ค.ถูกสัตว ์ทาร ้าย
ง.ตายโดยอุบต
ั เิ หตุ
จ.ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ
2. กำรตำยในระหว่ ำ งอยู ่ ใ นควำมควบคุ ม ของเจ้ำ
้ ว่าจะเป็ นการตายโดยธรรมชาติหรือผิด
พนักงำน กรณี นีไม่
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
้ ้
ธรรมชาติย่อมจะต
อาญา ้องมีการชันสูตรพลิกศพทังสิน
ข. เจ้ำพนักงำนผู ท
้ ำกำรชน
ั สู ตรพลิก ศพ
( ดู ม า ต ร า 1 5 0 ) บุ ค ค ล
่
ทีจะมี
อ านาจช น
ั สูต รพลิก ศพได ม้ ีอ ยู่ 2 กรณี
ด ้วยกันคือ
(1)พนั กงานสอบสวนแห่งทอ้ งทีๆ่ ศพนั้ น
อยู่
(2)แพทย ์
การช ันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย บุคคล
้
ดังกล่าวต ้องร่วมกันกระทาทังสองคนจะขาดไป
คนใดคนหนึ่ ง เช่น พนักงานสอบสวนทาการ
ชน
ั สู ต รพลิก ศพเพีย งคนเดีย ว และแพทย ท์ า
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
้ กงานสอบสวนมี
ค.วิธก
ี ำรชน
ั สู ตรพลิกศพ กรณี นีพนั
หน้า ที่ต อ้ งแจ ง้ ให แ้ พทย ผ
์ ูท
้ ี่กฎหมายก าหนดไว ว้ ่า เป็ นผู ้
่ ้ร ับแจ ้งต ้องไปทา
ช ันสูตรพลิกศพได ้ทราบ และแพทย ์เมือได
การช น
ั สู ต รพลิ ก ศพนั้ น และนอกจากนี ้ กฎหมายยัง
ก าหนดให พ
้ นั ก งานสอบสวนต อ้ งแจ ง้ ให ส
้ ามี ภริย า
ผูส้ บ
ื สันดาน ผูแ้ ทนโดยชอบธรรมผู ้อนุ บาล หรือญาติของ
่ าได ้
ผูต้ าย อย่างน้อย ๑ คน ทราบเท่าทีจะท
เมื่อท าการช น
ั สูตรพลิก ศพแลว้ พนั ก งานสอบสวน
และแพทย ์จะต ้องบันทึกรายละเอียดแห่งการชน
ั สูตรพลิก
้ นการบันทึกร่วมกัน และต ้องทา
ศพทันที การบันทึกนี เป็
่ ได ้
ในทันทีทมี
ี่ การช ันสูตรพลิกศพ จะรอบันทึกวันอืนไม่
วิธก
ี ำรทำกำรชน
ั สู ตรพลิกศพ คือ ตรวจดูเหตุ
แห่งการตาย หากสามารถตรวจดูภายนอกร่างกายไดว้ ่า
โดย อาจารย
วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
ตายเพราะอะไร
ก็์ไพโรจน์
ไ ม่ ตไพมณี
อ้ งตรวจดู
ภ ายใน แต่ ห ากดู
อาญา
ง.ผลทำงกฎหมำยเกี่ยวก บ
ั กำรช น
ั สู ต รพลิก
่ มี
้ ข ้อควรพิจารณาดังนี ้
ศพ เรืองนี
(1) กำรท ำควำมเห็ น (ดู ม าตรา 154 และ
่ จารณาทัง้ 2 มาตรารวมกันแลว้
มาตรา 150) เมือพิ
จะเห็ นได ว้ ่ า ผู ช
้ น
ั สู ต รพลิ ก ศพจะต อ
้ งท าบั น ทึ ก
ร า ย ล ะ เ อี ย ด แ ห่ ง ก า ร ชัน สู ต ร พ ลิ ก ศ พ โ ด ย ท า
ความเห็ นเป็ นหนังสือแสดงเหตุและพฤติการณ์ทตาย
ี่
ผู ้ต า ย คื อใ ค ร ต า ย ที่ ไ ห น เ มื่ อใ ด ต า ยโ ด ย ค น
ทาร ้าย ใหก้ ล่าวว่าใคร หรือสงสัยว่าใครเป็ นผู ก
้ ระทา
่
ความผิด เท่าทีจะทราบได
้
(2) นำบทบัญญัตว
ิ ่ำด้วยกำรสอบสวนมำ
ใช้ (ดูมาตรา 155 ) การชันสูตรพลิกศพตอ้ งถือ ว่า
เ ป็ น ก า ร ส อโดยบอาจารย
ส ว์ไพโรจน์
น ไพมณี
อ ย่วิาชากฎหมายวี
ง ห นึธพี ่ จิงารณาความ
ซึ่ ง ส า ม า ร ถ ที่
อาญา
กำรสอบสวนคดีวส
ิ ำมัญฆำตกรรม
กรณี ทจะเป็
ี่
นคดีวส
ิ ามัญฆาตกรรมไดน
้ ้ั น มีอยู่ดว้ ย 2 ประการ
คือ
่ ความตายเกิดขึนโดยการกระท
้
1) เมือมี
าของเจ ้าพนักงาน
่ ้างว่าปฏิบต
ซึงอ
ั ริ าชการตามหน้าที่ หรือ
2) มีค วามตายในระหว่ า งอยู่ ใ นความควบคุ ม ของเจ า้
่ ้างว่าปฏิบต
พนักงานซึงอ
ั ิ
ราชการตามหน้าที่
้ า้ พนั ก งานผู ท
ทัง้ 2 กรณี นี เจ
้ าการชันสูตรพลิก
่ าว
ศพจะแตกต่างไปจากการชน
ั สูตรพลิกศพโดยทั่วไปตามทีกล่
่
่
้ นไปตามมาตรา 150 วรรคสาม
มาแล ว้ ข า้ งต น
้ ซึงในเรื
องนี
เป็
โดยผู ท
้ ี่จะท าการช น
ั สูต รพลิก ศพในกรณี นี ้นอกจากพนัก งาน
สอบสวนและแพทย ด์ ัง กล่ า วข า้ งต น
้ แล ว้ ยัง ต อ้ งมี พ นั ก งาน
้
อัย การและพนั ก งานฝ่ ายปกครองตังแต่
ร ะดับ ปลัด อ าเภอหรือ
้
่ศพนั
้ นอยู่เธป็พี จิ นผู
โดย ง
อาจารย
วิชากฎหมายวี
ารณาความ
เทีย บเท่ า ขึนไปแห่
ท อ้ ์ไพโรจน์
งที่ทีไพมณี
ร้ ว่ มในการชัน สูต ร
อาญา
วิธก
ี ำรสอบสวนและไต่สวน
เมื่อทาการชันสูตรพลิก ศพเสร็จ แล ว้ พนั ก งาน
สอบสวนจะต อ้ งสอบสวนพยานหลัก ฐานท าเป็ น
สานวนชันสูตรพลิกศพแลว้ ส่งสานวนไปยังพนั กงาน
อัย การ เพื่อพนั ก งานอัย การจะได ร้ ้องขอให ศ
้ าลไต่
่
่ ต่
้ อไปตามมาตรา 150 วรรค
สวนและทาคาสังในเรื
องนี
่
สี่ ซึงกรณี
ตามมาตราดังกล่าวแยกพิจารณาได ้ดังนี ้
่ การชันสูตรพลิกศพคดี
ก.กำรสอบสวน เมือมี
วิส ามัญ ดัง กล่ า วแล ว้ พนั ก งานสอบสวนจะต อ้ งท า
สานวนชันสูตรพลิกศพขึน้ และต ้องทาสานวนให ้เสร็จ
่ ้
ส่งไปยังพนักงานอัยการภายใน ๓๐ วัน นับแต่วน
ั ทีได
่ หากมีความจาเป็ นก็ขยายเวลาออกไปได ้
ทราบเรือง
อาจารย้ ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ไม่เกิน ๒ ครโดย
ง้ั คร
งละไม่
ั
เกิน ๓๐ ี วัจิ ารณาความ
น
อาญา
้ั
ข.ช นพนั
กงำนอ ย
ั กำร เมื่อพนั กงานอัย การ
รบั สานวนแลว้ เห็นว่า สานวนการชันสูตรพลิก ศพไม่
่ มไดต้ ามมาตรา 150
ครบถว้ นก็จะสั่งสอบสวนเพิมเติ
วรรคเจ็ด แต่หากอัยการเห็นว่าสานวนการสอบสวน
่ มแล ้ว ต ้องทา
ครบถ ้วน หรือได ้ร ับการสอบสวนเพิมเติ
้ นอยู่ ใหศ้ าล
่
้ น
้ แห่งทอ้ งที่ทีศพนั
คาร ้องต่อศาลชันต
ท าการไต่ส วนและมีค าสั่งตามที่กฎหมายบัญ ญัติไ ว ้
โดยจะต อ้ งยื่นค าร ้องต่ อ ศาลภายใน 30 วัน นั บ แต่
่ ้ร ับสานวน ถ ้ามีความจาเป็ นเช่นต ้องสอบสวน
วันทีได
้ั ละ
เพิ่มเติมก็ ใหข
้ ยายเวลาออกไปไดไ้ ม่เกิน 2 ครงๆ
ไม่เกิน 30 วัน
การไต่สวนของศาลเมื่อพนั กงานอัยการร ้องขอ
่งแสดง
ต่อศาลแลว้ ศาลก็
จ
ะท
าการไต่
ส
วนและท
าค
าสั
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา
่
่
ว่า ผู ต
้ ายคือใคร ตายทีไหน เมือใด และถึง เหตุแ ละ
จบกำรบรรยำย
โดย อาจารย ์ไพโรจน์ ไพมณี วิชากฎหมายวีธพ
ี จิ ารณาความ
อาญา