Transcript พฤติกรรม
เทคนิคการสอนเชงิ พฤติกรรม ดร.สมพร หวานเสร็จ ี่ วชาญ โรงเรียนพิบล ผูอ ้ านวยการเชย ู ประชาสรรค์ พฤติกรรม ้ รือไม่ เด็กน ักเรียน ของท่านแสดงพฤติกรรมต่อไปนีห □ □ □ □ □ □ □ □ □ □ ความก ้าวร ้าวต่อผู ้อืน ่ ความวิตกกังวล วิง่ หรือวิง่ หนีโดยฉั บพลันทันที ึ เศร ้า ซม ทาลายสงิ่ ของ มีปัญหาในการเปลีย ่ นกิจกรรมหรือสภาพแวดล ้อม ปั่ นป่ วนมาก อยูไ่ ม่นงิ่ ขาดความตัง้ ใจ หัวเราะหรือหัวเราะคิกคักอย่างไม่มเี หตุผล หรือชอบทาแปลก □ กรีดร ้องหรือตะโกน ลักษณะพฤติกรรม (ต่อ) □ □ □ □ □ □ □ □ □ □ □ □ ไม่สนใจผู ้อืน ่ สาเร็จความใคร่ด ้วยตนเอง มีพฤติกรรมย้าทาหรือย้าคิดย้าทา กินสงิ่ ของทีไ่ ม่น่ากินได ้ มีทก ั ษะในการชว่ ยเหลือตนเองตา่ ชอบทาอะไรซ้า ๆ ซาก ๆ ติดยึดสงิ่ ของ มีพฤติกรรมทาร ้ายตัวเอง มีพฤติกรรมกระตุ ้นตัวเอง มีปัญหาการนอน มีอารมณ์เกรีย ้ วกราด ไม่ตระหนักถึงภัยอันตราย การสนับสนุน - พฤติกรรม ้ ้ มีการใชกลยุ ทธ์ทใี่ ชการมองเห็ น(visual)หรือมีการสนับสนุนด ้านสงิ่ แวดล ้อมอืน ่ ในสภาพแวดล ้อมต่างๆกันหรือไม่ □ มี □ ไม่ม ี ถ ้ามี คืออะไรในข ้อต่อไปนี้ □ □ □ □ □ □ □ □ □ การติดป้ ายตามสงิ่ แวดล ้อมต่าง ๆ ้ นขอบเขตสาหรับทากิจกรรม การกาหนดพืน ้ ทีเ่ พือ ่ ใชเป็ ้ ตารางปฏิบต ั ท ิ โี่ ดยใชภาพหรื อวัตถุ (Visual schedules) ตารางปฏิบต ั งิ านขนาดเล็ก ๆ (Mini schedules) แผ่นกระดานทีม ่ ต ี วั ให ้เลือก (Choice boards) ้ โปรแกรมทางพฤติกรรมทีใ่ ชประโยชน์ จากการมองเห็น เรือ ่ งเกีย ่ วกับสงั คม (Social Stories) ื สอ ื่ ความหมาย (Communication book) หนังสอ อืน ่ ๆ ___________________________________________ การสนับสนุน - พฤติกรรม ี้ นะเกีย มีต ัวชแ ่ วก ับการเปลีย ่ นผ่านในสถานทีห ่ รือไม่ □ มี □ ไม่ม ี ถ้ามี คืออะไรในข้อต่อไปนี้ □ เพลง ไฟกระพริบ หรือ การปรบมือตามปกติ □ วลีทเี่ ขียนเป็นแบบฉบ ับไว้ (Scripted phrase) □ กระดิง่ □ การกระตุน ้ เตือนทางวาจา (Verbal prompt) □ การจ ัดการเกีย ่ วก ับตารางเวลา (Schedule Manipulation) □ การเตือนด้วยกรอบจาก ัดของเวลา(Time limit warnings) □ อืน ่ ๆ ___________________________________ การสนับสนุน - พฤติกรรม ้ อไม่ มีการนาเอาการกระตุ ้นเตือน(prompts) มาใชหรื □ มี □ ไม่ม ี ้ ถ ้ามี คือใชการกระตุ ้นเตือนประเภทอะไร □ วาจา □ สายตา □ การเป็ นแบบอย่าง □ ร่างกาย □ ท่าทาง □ ภายใน-สงิ่ เร ้า ้ มีความจาเป็ นต ้องใชการกระตุ ้นเตือนเพือ ่ ชว่ ยในการกระทา พฤติกรรมหรือการตอบสนองมากน ้อยเพียงใด ______________ การสนับสนุน - พฤติกรรม มีการประเมินผลการกระทาแล ้วหรือไม่ □ มี □ ไม่ม ี มีแผนการปรับพฤติกรรมหรือไม่ □ มี □ ไม่ม ี ้ มีแผนพฤติกรรมแบบ positive–proactive ใชในสถานที ป ่ ฏิบต ั ก ิ ารหรือไม่ □ มี □ ไม่ม ี ้ มีกลยุทธ์ด ้านปฏิกริ ย ิ าโต ้ตอบทีพ ่ ร ้อมใชงานในภาวะฉุ กเฉินหรือไม่ □ มี □ ไม่ม ี นักเรียนได ้รับบริการจัดการกับความโกรธหรือไม่ □ มี □ ไม่ม ี มีตวั เสริมแรงทีพ ่ ร ้อมใชกั้ บนักเรียนหรือไม่ □ มี □ ไม่ม ี ถ ้ามี ใชตั้ วเสริมแรงประเภทอะไร □ ตัวเสริมแรงทางวาจา □ ตัวเสริมแรงปฐมภูม ิ □ ตัวเสริมแรงทุตย ิ ภูม ิ ้ มีการใชการเสริ มแรงอย่างสมา่ เสมอหรือไม่ □ มี □ ไม่ม ี ้ ฐาน (Basic Principles) หล ักการพืน การเสริมแรง เหตุการณ์ @ การเสริมแรงทางบวก พฤติกรรม @ การเสริมแรงทางลบ ผลล ัพธ์ การปร ับแต่งพฤติกรรม การกระตุน ้ เตือน การกระทาทีต ่ อ ่ เนือ ่ งเป็นลูกโช่ การลงโทษ การหยุดยง(Extinction) ั้ Discrete Trial Training การเพิม ่ พฤติกรรม (Increasing Behavior) การเสริมแรง(Reinforcement) ั พันธ์ระหว่างสองสงิ่ แวดล ้อม คือ เหตุการณ์ทเี่ ป็ น เป็ นความสม พฤติกรรมการตอบสนองของเด็ก และเหตุการณ์ทเี่ ป็ นการเพิม ่ พฤติกรรมเสริมแรงทางบวกหรือทางลบ การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เป็ น การให ้สงิ่ กระตุ ้น(บางอย่างทีเ่ ด็กชอบ)ในทันทีทันใดทีม ่ พ ี ฤติกรรมตอบสนอง จะชว่ ยเพิม ่ การเกิดพฤติกรรมตอบสนองแบบเดิมมากขึน ้ ในอนาคต การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement)เป็ นการถอนสงิ่ กระตุ ้น(บางอย่างทีเ่ ด็กไม่ชอบหรือมักจะหลีกเลีย ่ ง)ในทันทีทม ี่ ี พฤติกรรมตอบสนอง จะเพิม ่ อัตราการตอบสนองแบบเดิมมากขึน ้ ใน อนาคต ้ ้ทัว่ โลก การเสริมแรงเป็ นเครือ ่ งมือทีใ่ ชได “Reinforcement is a universal tool…” พวกเราทัง้ หมดทางานเพือ ่ แสวงหาและทากิจกรรม ทีท ่ าให ้เรามีความยินดี ไม่มก ี ารทางานทีท ่ าให ้เราพบสงิ่ ทีไ่ ม่น่ายินดี โดย ธรรมชาติเราจะหลีกเลีย ่ งสงิ่ ทีไ่ ม่น่ายินดี สาหรับพวกเราทุกคน อะไรทีเ่ ป็ นแรงจูงใจ และ อะไรทาให ้เรามีความสบายใจนั่นคือ ความเป็ น เฉพาะบุคคลของเรา การจ ัดหาสงิ่ เสริมแรง • • • • สงิ่ เสริมแรงจาเป็ นต ้องถูกกาหนดตามความ แตกต่างของแต่ละบุคคล ่ ารเสริมแรงถ ้าเด็กไม่ สงิ่ เสริมแรงจะไม่ใชก เลือก สงิ่ เสริมแรง จาเป็ นต ้องแปรผันและขึน ้ กับ ความถีด ่ ้วย สงิ่ เสริมแรงจาเป็ นต ้องถูกสง่ ไปทันทีทน ั ใด ตามความต ้องการของการกระทาหรือ พฤติกรรม ั ้ เรียน แนวทางการเสริมแรงในชน การเสริมแรงทีเ่ หมาะสมเป็ น ทางเลือก เมือ ่ เกิดพฤติกรรมขึน ้ ระหว่างวัน จัดเตรียมสงิ่ เสริมแรงเป็ นกิจกรรม ทีส ่ นุกตลอดวัน ต ้องทาตาม ตาราง (ไม่ใชเ่ พราะความ บังเอิญ) จัดกิจกรรมทีง่ า่ ยๆหรือเรียนรู ้ มาแล ้วก่อน ค่อยเพิม ่ กิจกรรมที่ ยากหรือยังไม่เคยเรียนมาก่อน เมือ ่ ไหร่ทใี่ ห้แรงเสริม ให้ตลอดเวลา ตามลาด ับของสงิ่ เสริมแรง สงิ่ เสริมแรงขนที ั้ ห ่ นึง่ /ปฐมภูม(ิ Primary) ได้แก่ ของทีร่ ับประทานได้ ้ ระสาทสมผ ั ัสได้ ใชป สงิ่ เสริมแรงขนที ั้ ส ่ อง/ทุตยิ ภูม ิ (Secondary) ได้แก่ ั ัส/จ ับต้องได้ มีรป ิ้ เป็นอ ัน สงิ่ ของทีส ่ มผ ู ร่าง เป็นชน ิ ธิพเิ ศษหรือกิจกรรม สท ั ่ คาชมเชย สงิ่ เสริมแรงทางสงคม เชน วิธก ี ารกาหนดสงิ่ เสริมแรง ถามนักเรียน มีรายการสงิ่ เสริมแรงทีส ่ นใจตามลาดับ ให ้เลือกได ้ สงั เกตนักเรียน มีตวั อย่างสงิ่ เสริมแรงให ้เลือกหรือ ประเมินจากสงิ่ ทีเ่ ลือก การปร ับแต่งพฤติกรรม (Shaping) พฤติกรรมทีพ ่ งึ ประสงค์ ั ้ คือ ผลสมฤทธิ ท ์ เี่ กิดขึน จากการเสริมแรงใน ขนตอนเล็ ั้ ก ๆ หรือ การ ประมาณการผลสาเร็จของ พฤติกรรมทีพ ่ งึ ประสงค์ Shaping เมือ ่ ไหร่ทต ี่ ้องปรับแต่งพฤติกรรม ถ ้าพฤติก รรมนั ้น มีค วามเข ้มแข็ ง น ้อยและจาเป็ นต ้องทาให ้เข ้มแข็ง โดยขัน ้ ตอนการเสริมแรงซงึ่ การที่ เด็ ก มีพ ฤติก รรมตามที่ก าหนดใน เป้ าหมายหลักอาจไม่เพียงพอ ิ ธิผลมากทีส การทาให้มป ี ระสท ่ ด ุ 1. มองไปทีเ่ ป้าหมาย 2. เริม ่ จากพฤติกรรมทีเ่ ป็นองค์ประกอบของแต่ละ บุคคล 3. เริม ่ จากพฤติกรรมทีเ่ หมือนหรือใกล้เคียงก ับ พฤติกรรมพึงประสงค์ 4. เลือกขนาด ขนตอนที ั้ ส ่ ามารถทาได้งา ่ ยแต่ก็ไม่งา ่ ย เกินไป ทีจ ่ ะประสบผลสาเร็จ 5. ย ังคงอยูใ่ นขนมี ั้ เวลานานพอในการปร ับเข้าก ับ ่ นต ัวได้โดยใชเ้ วลาไม่นานเกินไป พฤติกรรมทีเ่ ป็นสว ิ ธิผลมากทีส การทาให้มป ี ระสท ่ ด ุ 6. เฝ้าดูพฤติกรรมทีเ่ ปลีย ่ นไป ถ้าไม่เหมาะสมควรหยุด แล้วย้อนถอยหล ัง 1 หรือ 2 ขนตอน ั้ ้ ารเลียนแบบและการกระตุน 7. ใชก ้ เตือนอืน ่ ๆร่วมด้วย ้ ระบวนการเสริมแรงทีม ิ ธิผล 8. ใชก ่ ป ี ระสท ตลอดกระบวนการ 9. เรียนรูพ ้ ฤติกรรมใหม่ๆทีเ่ ป็นจุดเด่น ้ กระบวนการทีค ่ อ ่ ย ๆ เกิดขึน ิ ธิผล ในระยะยาว แต่มป ี ระสท การกระตุน ้ เตือน(Prompting) ี้ าหรือต ัวชว ่ ยอืน ่ เสริมการ จ ัดหาสงิ่ ชน ่ ๆ ทีส ่ ง ตอบสนองทีถ ่ ก ู ต้อง เพิม ่ โอกาสทีพ ่ ฤติกรรรมพึงประสงค์จะได้ แสดงออก เพิม ่ โอกาสทีพ ่ ฤติกรรมพึงประสงค์จะ ้ ตามมาอีก เกิดขึน รูปแบบการกระตุน ้ เตือน (Types of Prompts) ้ าษาพูด(Verbal) ใชภ ทางกาย (Physical) การมอง (Visual) การกระตุน ้ เตือนจากภายใน (Within-Stimulus) ้ าษาพูด การกระตุน ้ เตือนโดยใชภ (Verbal Prompts) ้ ใชในการท างานซงึ่ ปกติแล ้ว แสดงออกทางการพูดโดยตรง ้ ใชภาษาที น ่ ักเรียนสามารถเข ้าใจได ้ ้ อาจใชโดยตรงหรื อโดยอ ้อม ยากทีจ ่ ะค่อยๆลด ลดลงตรง ๆอย่าง จริงจัง การกระตุน ้ เตือนทางกาย (Physical Prompt) ใชกั้ บการทางานทีค ่ วรทาให ้ได ้ดี และทาด ้วยตนเองได ้อย่างอิสระ ี้ าในลักษณะ ใชมื้ อวางบนมือหรือชน คล ้าย ๆ กัน การกระตุ ้นเตือนควรกระทาตรงๆ เพียงพอทีท ่ าให ้เกิดการตอบสนอง ทีถ ่ ก ู ต ้องแล ้วค่อยลดระดับลง การกระตุน ้ เตือนทางกาย การลดควรเป็ นไปตามพฤติกรรม ไม่ต ้องกาหนดเวลา การลดจานวนสงิ่ ทีช ่ ว่ ย เป็ นไป ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล และยืดหยุน ่ ตามลักษณะของ พฤติกรรม การกระตุน ้ เตือนโดยการมอง (Visual Prompts) ท่าทาง (Gestures): ้ บ ี้ อกเพือ ใชช ่ ให้การ ้ อ ่ การใชม ตอบสนองถูกต้อง เชน ื ช ี้ การมองไปย ังจุดที่ ั ัสรายการสงิ่ ของ ต้องการแนะ การเคลือ ่ นไหว หรือสมผ ค่อย ๆ ลดความเข้มข้นของการเคลือ ่ นไหวและตาแหน่งของ ท่าทางลง ้ าหร ับผูเ้ รียนทีม •รูปภาพ (Pictures): ใชส ่ ี ้ าษาพูด ื่ สารโดยใชภ ความยุง ่ ยากลาบากในการสอ ้ านวนรูปภาพลง ค่อย ๆ ลด โดย ลดการใชจ พิจารณาว่าอ ันไหนควรลดแล้ว การกระตุน ้ เตือนโดยการมอง (Visual Prompts) การสาธิตและแสดงต ัวอย่าง (Demonstrations/Modeling) ้ ับผูเ้ รียนทีส • ใชก ่ ามารถเลียนแบบได้และ ั มีความตระหน ักรูท ้ างสงคม ซงึ่ อาจจะ ้ ต้องการเพิม ่ ท ักษะให้มากขึน • ค่อย ๆ ลดการกระตุน ้ เตือนโดยธรรมชาติ หรือลดภาษาท่าทางลง ้ ับผูเ้ รียนทีเ่ รียนรู ้ ิ (Proximity): ใชก • ความใกล้ชด จากการมองและมีความรูค ้ วามเข้าใจเกีย ่ วก ับ ั ันธ์ มิตส ิ มพ • ค่อย ๆ ลดโดยการเพิม ่ ระยะห่างจากผูเ้ รียน การกระตุน ้ เตือนจากภายใน (Within-Stimulus Prompt) • เริม ่ จากการเพิม ่ เติมการใชวิ้ จารณญาณ เกีย ่ วกับมิต ิ ในการทางาน • ให ้ตัวอย่างร่วมด ้วย : การประมาณ ส ี รูปร่าง คา และตัวอักษร • ค่อย ๆ ลดการกระตุ ้นด ้วยงานหรือปรับ ้ ผลแทน ให ้ใชเหตุ การเลือกวิธก ี ารกระตุน ้ เตือน (Choosing Prompts) พิจารณาว่าการกระตุ ้นเตือนวิธใี ด ิ ธิผลมากทีส ทีม ่ ป ี ระสท ่ ด ุ ในการ นามาใช ้ เลือกวิธก ี ารทีส ่ ามารถลดการ กระตุ ้นเตือนได ้ง่าย พิจารณาว่าวิธใี ดทีท ่ าให ้การเรียนรู ้ ไม่มค ี วามคลาดเคลือ ่ น การค่อย ๆ ลดสงิ่ กระตุน ้ เตือน (Fading Prompts) ลดการชว่ ยเหลือ ี้ า ลดการชน ยืดเวลาออกไป เพิม ่ การชว่ ยเหลือ เป้ าหมายใหญ่คอ ื การชว่ ยเหลือตนเอง และการทาได ้อย่างอิสระด ้วยตนเอง The ultimate goal is self-initiation and independence! การกระตุน ้ ทีต ่ อ ่ เนือ ่ งเป็นลูกโซ่ (Chaining) ั ซอนสามารถท ้ งานทีซ ่ บ าให ้ เล็กลงเพือ ่ ทาให ้ตอบสนองง่าย ขึน ้ เหมือนกับพฤติกรรมเล็กๆ ื่ มโยงกันจนก่อให ้เกิด เชอ พฤติกรรมโดยรวม แบบลูกโซ่ ้ นิยมใชการวิ เคราะห์งานกับงาน ั ซอนยุ ้ ทีซ ่ บ ง่ ยาก เพือ ่ ให ้เข ้าใจ และทาได ้ง่ายขึน ้ โดยแบ่งเป็ น ขัน ้ ตอนย่อยๆ ั ันธ์ก ับการวิเคราะห์งาน ความสมพ (Relationship to Task Analysis) การวิเคราะห์งานเป็ นการ ื่ มต่อขัน เชอ ้ แรกของขัน ้ ตอนการ ตรวจสอบผลของพฤติกรรม กระบวนการทีต ่ อ ่ เนือ ่ งเป็ นลูกโซ ่ ้ ใชสอนล าดับได ้อย่างเป็ นระบบ วิธก ี ารลูกโซ่ 3 แบบ (Three Methods of Chaining) แนวลูกโซไ่ ปข ้างหน ้า (Forward Chaining) ่ อยหลัง (Backward Chaining) แนวลูกโซถ การนาเสนองานทัง้ หมด(Total Task Presentation) ่ ปข้างหน้า แนวลูกโซไ (Forward Chaining) กาหนดองค์ประกอบของพฤติกรรม และของงานแล้วสอนตามลาด ับขน ั้ ผูเ้ รียนเริม ่ ด้วยขนตอนที ั้ ห ่ นึง่ ้ การเสริมแรงเป็นสงิ่ หนึง่ ทีก ่ าหนดขึน อย่างมีหล ักเกณฑ์ไว้กอ ่ นล่วงหน้า ความก้าวหน้าของน ักเรียน คือ การที่ น ักเรียนสามารถกระทาพฤติกรรมที่ ทาได้แล้วและเพิม ่ พฤติกรรมใน ขนตอนใหม่ ั้ ได้กอ ่ นทีจ ่ ะได้ร ับแรง เสริม ่ เี่ คลือ ต ัวอย่าง กิจกรรมตามแนวลูกโซท ่ นไป ข้างหน้า(Forward Chaining Activity) 1. 2. 3. 4. การสอนเด็กให ้ดืม ่ น้ าจากถ ้วย การจัดโต๊ะ ื่ ของคุณ การเขียนชอ การเขียนประโยคให ้สมบูรณ์ ่ อยหล ัง แนวลูกโซถ (Backward Chaining) การจัดลาดับขัน ้ เหมือนกับการ จัดลาดับการวิเคราะห์งาน ครูลงมือทาขัน ้ ตอนทัง้ หมด ยกเว ้น ขัน ้ ตอนสุดท ้ายโดยจะให ้ผู ้เรียนเป็ น ผู ้ลงมือทา เพือ ่ แสดงให ้เห็นว่ามีการ ตอบสนองแล ้วได ้รับรางวัล ครูลงมือทาขัน ้ ตอนทัง้ หมดยกเว ้น 2 ขัน ้ ตอน สุดท ้ายโดยจะให ้ผู ้เรียนเป็ น ผู ้ลงมือทา เพือ ่ แสดงให ้เห็นว่าเมือ ่ ตอบสนองแล ้วได ้รับรางวัล ่ อยหล ัง ต ัวอย่าง กิจกรรมแนวลูกโซถ (Backward Chaining Activity) ิ เสอ ื้ การรูดซป (Zipping a coat) การทาแซนด์วช ิ (Making a sandwich) การนาเสนองานทงหมด ั้ (Total Task Presentation) นักเรียนแสดงขัน ้ ตอนทัง้ หมดตามลาดับ ่ อ จนกระทั่งครบถ ้วนสมบูรณ์ทก ุ ลูกโซค ื เรียนรู ้ทัง้ หมดแล ้ว ความเหมาะสมเมือ ่ นักเรียนสามารถ ดาเนินการได ้บางสว่ นหรือทัง้ หมดของ องค์ประกอบในงาน โดยไม่มก ี ารแสดง ในลาดับ การลดพฤติกรรมทีไ่ ม่พงึ ประสงค์ (Decreasing Behavior) การลงโทษ (Punishment) การหยุดยง(Extinction) ั้ การลงโทษ(Punishment) ้ การนาเสนอเหตุการณ์ทอ ี่ าจเกิดขึน ได้ ของการกระตุน ้ (บางสงิ่ บางอย่างทีเ่ ด็กไม่ชอบ) การตอบสนองในท ันทีท ันใด (พฤติกรรมทีไ่ ม่เหมาะสมของเด็ก) สงิ่ ทีล ่ ดลงอาจตอบสนองในอนาคต (เหมือนก ับพฤติกรรมทีไ่ ม่ เหมาะสม) การหยุดยง(Extinction) ั้ ลดพฤติกรรมโดยการยึด หรือหยุดการให ้สงิ่ เสริมแรงทางบวกเมือ ่ มี พฤติกรรมไม่เหมาะสม ครูวางแผนการเพิกเฉยต่อ พฤติกรรมทีไ่ ม่พงึ ประสงค์ การนาสงิ่ ทีก ่ อ ่ ให ้เกิดการ เรียนรู ้ทีไ่ ม่สร ้างสรรค์ ออกไป การปร ับพฤติกรรมแบบเข้มข้น (The ABC’s of Behavior) เหตุการณ์ทเี่ กิดขึน ้ ก่อน (Antecedents) พฤติกรรม (Behavior) ผลทีเ่ กิดตามมา (Consequence) ABC Antecedents ี้ นะ หรือ การชแ เหตุการณ์ทเี่ กิดก่อนพฤติกรรม การกระตุ ้น Behavior การแสดงออกของแต่ละ บุคคลทีส ่ ามารถสงั เกตได ้ และวัดได ้ โดยในการ ึ ตัว ตอบสนองเป็ นไปโดยรู ้สก ้ (Consequence) ผลล ัพธ์ทเี่ กิดขึน ลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมทีเ่ กิดจาก การกระตุ ้น(โดยไม่ตงั ้ ใจ) ื่ สารของพฤติกรรม จุดมุง ่ หมายในการสอ (Communicative Intent of Behavior) พฤติกรรมเป็นเรือ ่ งของแต่บค ุ คล (Behaviors make sense for the individual) ื่ สาร รูปแบบการสอ (A form of communication) ั ันธ์ การเรียนรูจ ้ ากการมีปฏิสมพ (Learned form of interaction) Sims, 2004 ื่ สารของพฤติกรรม จุดมุง่ หมายในการสอ (Communicative Intent of Behavior) • เมือ ่ มีความยินดี ึ เบือ • บางสงิ่ จะกระทาเมือ ่ รู ้สก ่ หน่าย ั ทีไ่ ม่ด ี • เป็ นเพราะนิสย เด็กพิเศษมีพฤติกรรมหลายอย่าง ทีเ่ ป็น ปัญหาในการดาเนินชวี ต ิ และการอยูร่ ว่ มก ับคนอืน ่ ผูเ้ กีย ่ วข้องจึงต้องมีความเข้าใจใน พฤติกรรมตลอดจนการใชเ้ ทคนิคต่าง ๆ เพือ ่ ปร ับลดพฤติกรรมทีเ่ ป็นปัญหาของเด็ก ั ให้อยูร่ ว่ มในสงคมได้ อย่างมีความสุข