Transcript 21313-3

การระงับข้ อขัดแย้ ง
ระหว่ างรัฐ
นาวาเอก วชิรพร วงศ์ นครสว่ าง
นปก. ประจา สพ.ทร.
ช่ วยราชการ ยศ.ทร.
ประวัติการทางานพิเศษ
ผู้แปลบทภาพยนตร์ โทรทัศน์ บริษทั UTV
ผู้แปลบทภาพยนตร์ โทรทัศน์ ไทยทีวสี ี ช่อง ๓
อาจารย์ พเิ ศษ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
อาจารย์ พเิ ศษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
อาจารย์ พเิ ศษ มหาวิทยาลัยบูรพา
อาจารย์ พเิ ศษ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
นักวิจยั สิ่ งแวดล้ อม มหาวิทยาลัยมหิดล
นักวิจยั หุ่นยนต์ ใต้ นา้ มหาวิทยาลัยมหิดล
อาจารย์ พเิ ศษ วิชาสั งคมศึกษา ภาคภาษาอังกฤษ โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
วิศวกรที่ปรึกษาสาขาวิศวกรรมเครื่องกลและวิศวกรรมไฟฟ้า
ประวัติการทางานพิเศษ
กรรมการบริหารหลักสู ตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาการบริหารกิจการทางทะเล (สหสาขาวิชา)
จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ประจาหลักสู ตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขา
การบริหารกิจการทางทะเล (สหสาขาวิชา)
จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย (สอนวิชารั ฐประศาสนศาสตร์
กับกิจการทางทะเล)
ความม่ ุงหมาย
• เพือ่ ให้ ทราบถึงสาเหตุและระดับของความขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
• เพื่อให้ เข้ าใจถึงตัวแสดงในเวทีความสั มพันธ์ ระหว่ างประเทศที่มี ความสามารถ
ในการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐได้
• เพื่อให้ เข้ าใจในวิธีการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรั ฐตามหลักกฎหมายระหว่ าง
ประเทศ และตามทีไ่ ด้ ถือปฏิบัติโดยองค์ การสหประชาติ
• เพือ่ ให้ ทราบถึงมาตรการที่เหมาะสมในการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐหากไม่ ได้
รับความร่ วมมือจากรัฐคู่พพิ าท
• เพื่อให้ เกิดแนวความคิดในการกาหนดและดาเนินยุทธศาสตร์ ที่เกี่ยวข้ องกับ
ความมั่นคงแห่ งชาติทางทะเลโดยไม่ สร้ างความขัดแย้ งกับรัฐอืน่
• เพือ่ ให้ เกิดแนวความคิดในการระงับข้ อขัดแย้ งกับรัฐอืน่ ได้ อย่ างสั นติ
ขอบเขตการบรรยาย
• สาเหตุของความขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
• ระดับของความขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
• ตัวแสดงทีม่ คี วามสามารถระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
• วิ ธี ก ารระงั บ ข้ อ ขั ด แย้ ง ระหว่ า งรั ฐ ตามหลั ก กฎหมายระหว่ าง
ประเทศ
• วิ ธี ก ารระงั บ ข้ อ ขั ด แย้ ง ระหว่ า งรั ฐ ที่ ถื อ ปฏิ บั ติ โ ดย องค์ ก าร
สหประชาชาติ
• มาตรการที่เหมาะสมในการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐ หากไม่ ได้
รับความร่ วมมือจากรัฐคู่พพิ าท
คาถาม
ความขัดแย้ งคืออะไร?
ความขัดแย้ งระหว่ างรัฐคืออะไร?
อะไรคือองค์ ประกอบของความขัดแย้ ง?
ความขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
• คือความไม่ ลงรอยระหว่ างรั ฐ การต่ อต้ านระหว่ างรั ฐที่มี ความ
แตกต่ างกัน รวมทั้งความเป็ นปฏิปักษ์ ระหว่ างรัฐ
• ความขั ด แย้ ง ระหว่ า งรั ฐ ไม่ ไ ด้ เ ป็ นปรากฏการณ์ ที่ เ กิด ขึ้ น โดย
ล าพัง แต่ เ ป็ นปรากฏการณ์ ที่ เ กิด ขึ้น พร้ อ มกัน หรื อ สลั บ กัน กั บ
ความร่ วมมือระหว่ างรัฐ
• ดังนั้นความขัดแย้ งระหว่ างรัฐจึงสามารถแก้ ไขได้ ด้วยการต่ อรอง
(Bargaining) จนทาให้ รัฐคู่พพิ าทสามารถยอมรับซึ่งกันและกันได้
องค์ ประกอบของความขัดแย้ ง
สถานการณ์
พฤติกรรม
ทัศนคติ
สาเหตุของความขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
• ธรรมชาติของมนุษย์
• ข้ อจากัดในการรับรู้ ของมนุษย์
• ความยากจนและความไม่ เท่ าเทียมกันทางเศรษฐกิจ
• โครงสร้ างภายในของรัฐ
• ระบบระหว่ างประเทศ
ธรรมชาติของมนุษย์
• พฤติกรรมของรัฐเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ ในรัฐ ผ่ านผู้ปกครองรัฐ
• มนุษย์ เป็ นผู้มีความเห็นแก่ ตัวโดยกาเนิด กิเลสตัณหาของมนุษย์ ทาให้
มนุษย์ สร้ างความขัดแย้ งโดยไม่ สามารถยับยั้งชั่งใจได้
• คาร์ ล ฟอน เคลาเซวิตส์ ได้ กล่ าวไว้ ในหนังสื อ On War เล่ มที่ ๑ บทที่ ๑
หน้ า ๘๙ แปลโดย Michael Howard และ Peter Paret ดังนี้
“…its dominant tendencies always make war a paradoxical trinity
– composed of primordial violence, hatred, and enmity, which are to
be regarded as a blind natural force…”
ข้ อจากัดในการรับรู้ ของมนุษย์
• มนุ ษ ย์ มี ขี ด ความสามารถจ ากั ด ในการท าความเข้ า ใจปรากฏการณ์
ธรรมชาติ ในการทาความเข้ าใจและเชื่ อมโยงข้ อมูลที่เกี่ยวข้ อง ตลอดจน
ในการรับรู้ ความคิดเห็นทีแ่ ตกต่ างไปจากความคิดเห็นเดิมของตน
• ข้ อจากัดในประการหลังทาให้ มนุ ษย์ ตีความในปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้น
โดยอาศัยความคิดเห็นเดิมทีต่ นเองเคยชิน
• ซึ่งทาให้ มนุษย์ ปฏิเสธหรือต่ อต้ านปรากฏการณ์ ที่ตีความโดยอาศัยความ
คิดเห็นทีต่ นเองไม่ ค้ ุนเคย และก่ อให้ เกิดความขัดแย้ งในทีส่ ุ ด
ความยากจนและความไม่ เท่ าเทียมกันทางเศรษฐกิจ
• ในทางสถิติพบว่ ารั ฐที่ยากจนและมีมาตรฐานการครองชี พต่ามั กเป็ น
ต้ นเหตุของความขัดแย้ งหรื อสงครามมากกว่ ารั ฐที่ร่ ารวย ยกเว้ นในกรณี
รัฐทีร่ ่ารวยรุกรานรัฐทีย่ ากจนเพือ่ ผลประโยชน์ ของตน
• รั ฐที่ยากจนมักมีปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองภายใน ทาให้ ผ้ ู นารั ฐ
เบี่ยงเบนประเด็นด้ วยการสร้ างความขัดแย้ งกับรัฐอืน่
• รั ฐ ที่ ร่ า รวยมั ก เอาเปรี ย บรั ฐ ที่ ย ากจนท าให้ รั ฐ ที่ ย ากจนต่ อ ต้ า น และ
นาไปสู่ ความขัดแย้ งระหว่ างกันในทีส่ ุ ด
โครงสร้ างภายในของรัฐ
• นักปรัชญา เช่ น อิมมานูเอล คานท์ เชื่อว่ า
รัฐที่ประชาชนเคารพกฎหมายย่ อมเป็ นรั ฐ
ที่ดีในสั งคมโลก ซึ่ งหมายความว่ ารั ฐนั้น
ต้ อ งมี ร ะบบกฎหมายและการบั ง คั บ ใช้
กฎหมายที่ ดี โดยเขาได้ เ น้ น ความส าคั ญ
ของ สาธารณรัฐ (Republic) ที่ยึดในหลัก
สิ ท ธิ ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ดั ง นั้ น รั ฐ ที่ มี
โครงสร้ างภายในทางกฎหมายที่ดี จะไม่ ทา
ร้ ายรัฐอืน่ ด้ วยการใช้ ความรุนแรง
Immanuel Kant
นักวิทยาศาสตร์ และนักปรัชญา
ชาวปรัสเซีย (ค.ศ. ๑๗๒๔ ๑๘๐๔ )
โครงสร้ างภายในของรัฐ (ต่ อ)
• นักประชาธิปไตย เช่ น วูดโรว์ วิลสั น เชื่ อว่ า
รั ฐที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
หรื อเป็ นประชาธิปไตยทางการเมือง (Political
Democracy) มีโอกาสสร้ างความขัดแย้ งกับรั ฐ
อื่นได้ น้อยกว่ ารั ฐที่มีระบอบการปกครองแบบ
เผด็ จ การ เพราะระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตย มีการถ่ วงดุลและตรวจสอบการ
ดาเนินนโยบายต่ างประเทศของรัฐบาลได้ ดี กว่ า
การปกครองแบบเผด็จการ เนื่องจากรั ฐบาลมั ก
ตัดสิ นใจโดยขาดการถ่ วงดุลและตรวจสอบจาก
ประชาชนส่ วนใหญ่
Woodrow Wilson
ประธานาธิบดีคนที่ ๒๘ ของ
สหรัฐฯ (ค.ศ. ๑๘๕๖ - ๑๙๒๔)
โครงสร้ างภายในของรัฐ (ต่ อ)
• นักสั งคมนิยม เช่ น วลาดิเมียร์ เลนิน เชื่อว่ ารัฐ
ที่ ป ล่ อ ยให้ เ อกชนเป็ นเจ้ า ของปั จ จั ย การผลิ ต
ย่ อมก่อให้ เกิดความขัดแย้ งภายในรัฐระหว่ างชน
ชั้ นนายทุนกับชนชั้ นแรงงาน และนาไปสู่ ความ
ขัดแย้ งระหว่ างรั ฐ จากการเอาเปรี ยบของรั ฐที่
ถู กครอบง าโดยระบอบทุ น นิ ย ม (Capitalism)
ดังนั้นการกาจัดสั งคมทุนนิยมจะสามารถกาจัด
การกดขี่ ข่ ม เหงของมนุ ษ ย์ ด้ ว ยกั น ภายในรั ฐ
และจะสามารถกาจัดความขัดแย้ งระหว่ างรั ฐได้
ในท้ ายทีส่ ุ ด
Vladimir Lenin
ประธานสภาประชาชนแห่ ง
สหภาพโซเวียต (ค.ศ. ๑๘๗๐
- ๑๙๒๔ )
ระบบระหว่ างประเทศ
• สภาวะอนาธิปไตย (Anarchy) ในระบบระหว่ างประเทศทาให้ แต่ ละรั ฐ
ต้ องช่ วยเหลือตนเอง (Self - Help) เพือ่ ความมั่นคงของรัฐและนาไปสู่
ความขัดแย้ งในทีส่ ุ ด
• ระบบดุลแห่ งอานาจ (Balance of Power; BoP) และความไม่ สมดุลของ
ระบบดุลแห่ งอานาจ นาไปสู่ ความขัดแย้ งในทีส่ ุ ด
– ระบบขั้วอานาจเดียว อาจก่อให้ เกิดรัฐทีล่ ุกขึน้ มาท้ าทาย
– ระบบขั้วอานาจสองขั้ว อาจก่ อให้ เกิดดุลแห่ งความหวาดกลัว (Balance of
Terror)
– ระบบหลายขั้วอานาจ อาจทาให้ รัฐมหาอานาจบางรัฐเพิกเฉยจนเสี ยสมดุล
ระดับของความขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
• การแข่ งขัน
• ความหวาดระแวง/ความตึงเครียด
• ความขัดแย้ งระดับต่า
• ความขัดแย้ งระดับสู ง
• สงคราม
การแข่ งขัน
• คือการดาเนินนโยบายต่ างประเทศของรั ฐในเชิ งเปรี ยบเทียบกั บรั ฐ
อื่น และมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ ได้ มาซึ่ งผลประโยชน์ ของรั ฐมากกว่ ารั ฐ
อืน่
• หากรั ฐที่ดาเนินนโยบายแข่ งขันไม่ ได้ ตระหนักว่ ามีคู่แข่ งขัน ก็จะไม่
ดาเนินการกีดกันหรือขัดขวางรัฐอืน่ และไม่ ก่อให้ เกิดความตึงเครียด
• แต่ ถ้ารัฐที่ดาเนินนโยบายแข่ งขันพยายามที่จะรุ ดหน้ ารัฐอืน่ ด้ วยการ
ทาลายล้ าง ขัดขวาง รั ฐอื่น เพื่อชั ยชนะของตนเอง หรื อเพื่ อกาจัดรั ฐ
อืน่ ออกไปนอกวิถีทางแล้ ว การแข่ งขันก็จะนาไปสู่ ความตึงเครียด
ความตึงเครียด
• คื อ ความรู้ สึ ก หวาดระแวงรั ฐ อื่ น ที่ เ พิ่ ม ระดั บ สู ง ขึ้ น จนเกิ ด
ความรู้ สึกและทัศนคติของความเป็ นศัตรู ได้ แก่ ความกลัวที่จะถูก
รัฐอื่นคุกคาม ความคิดที่ไม่ ตรงกันในเรื่องผลประโยชน์ และความ
ปรารถนาทีจ่ ะเอาชนะรัฐอืน่
• อย่ างไรก็ตามความตึงเครี ยดก็จากัดอยู่ที่ความรู้ สึกและทัศนคติ
ของรั ฐเท่ านั้ น โดยที่ ยังไม่ ได้ ดาเนินการใดๆที่จะเป็ นภัยคุ กคาม
โดยตรงต่ อรัฐอืน่
ความขัดแย้ งระดับตา่ และระดับสู ง
• ความขัดแย้ งระดับต่า คือ การขยายตัวของความตึงเครียดด้ วยการใช้
กาลังทหารอย่ างจากัด และด้ วยความระมัดระวังไม่ ให้ สถานการณ์
ลุกลามมากขึน้ กว่ าเดิม เพื่อบีบบังคับให้ อีกรั ฐหนึ่งยอมปฏิบัติตามคา
เรียกร้ องหรือวัตถุประสงค์ ทางการเมืองของรัฐตนเอง
• ความขัดแย้ งระดับสู ง คือ การขยายตัวของความขัดแย้ งระดับต่าที่มี
การใช้ กาลังทหารอย่ างเต็มรู ปแบบเข้ าทาการสู้ รบกันให้ แตกหัก เพื่อ
บีบบังคับให้ รัฐที่พ่ายแพ้ ยอมปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ ทางการเมืองที่
รัฐตนเองต้ องการ ซึ่งอาจเป็ นวัตถุประสงค์ จากัดหรือไม่ จากัดก็ได้
สงคราม
การบริหารความขัดแย้ ง
ความขัดแย้งระดับสูง
วิกฤตการณ์
สั นติภาพทีไ่ ร้
เสถียรภาพ
สั นติภาพทีม่ ี
เสถียรภาพ
การบริหารวิฤตการณ์
ความขัดแย้งระดับต่า
ความตึงเครี ยด
การป้ องกันความขัดแย้ ง
ความหวาดระแวง
การแข่งขัน
การทูต/การเมืองยามสงบ
สั นติภาพที่
ยัง่ ยืน
ระดับของความขัดแย้ ง
การดาเนินการ
สั นติภาพที่ยงั่ ยืน (Durable Peace)
• เป็ นปรากฏการณ์ ที่มีการถ้ อยทีถ้อยอาศัยกัน (Reciprocity) และมีความ
ร่ วมมือกัน (Cooperation) อยู่ในระดับสู ง โดยไม่ มีรัฐใดถือหลักแห่ งการ
ป้ องกั น ตนเอง (Self-Defense) อี ก ต่ อ ไป แต่ เ ป็ นการป้ องกั น ร่ วมกั น
(Collective Defense) ในรู ปแบบพันธมิตรต่ อภัยคุกคามภายนอก โดย
สั นติภาพตั้งอยู่พนื้ ฐานของ การมีค่านิยม เป้าหมาย และสถาบัน ร่ วมกัน
การพึง่ พาซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ และความรู้ สึกว่ าเป็ นชุ มชนระหว่ าง
ประเทศที่เป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทาให้ มีวธิ ีการระงับข้ อขัดแย้ งโดยสั นติ
ซึ่ งมักไม่ มีโอกาสเกิดความขัดแย้ งระหว่ างกันเลย ได้ แก่ ปรากฏการณ์ ที่
เกิดขึน้ ในความสั มพันธ์ ทวิภาคีระหว่ าง สหรัฐฯกับแคนาดา หรื อระหว่ าง
รัฐผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรป
สั นติภาพที่มีเสถียรภาพ (Stable Peace)
• เป็ นปรากฏการณ์ ที่มีการติดต่ อสื่ อสารระหว่ างรั ฐและมีความร่ วมมือ
ระหว่ า งกั น อยู่ ใ นระดั บ จ ากั ด โดยแต่ ล ะรั ฐ มี ค่ า นิ ย มและเป้ าหมายที่
แตกต่ างกัน และไม่ มีความร่ วมมือทางทหารระหว่ างกันหรือมีในระดับต่า
แต่ ไ ม่ มี พัน ธะสั ญ ญาระหว่ า งกัน ตามปกติ แ ล้ ว ความขั ด แย้ ง ที่ เ กิด ขึ้น
สามารถระงับได้ โดยวิธีที่ไม่ ใช้ ความรุ นแรง ซึ่ งโอกาสที่จะเกิดสงคราม
หรื อเผชิ ญหน้ าทางทหารระหว่ างกันมีน้อย ได้ แก่ ปรากฏการณ์ ที่ เกิดขึน้
ในความสั มพันธ์ ระหว่ างสหรัฐฯกับสหภาพโซเวียตในยุคผ่ อนคลายความ
ตึงเครี ยด (Detente) ความสั มพันธ์ ระหว่ างรั ฐสมาชิ กเดิมกับรั ฐ สมาชิ ก
ใหม่ ในภูมิภาคอินโดจีนของอาเซียน
สั นติภาพที่ไร้ เสถียรภาพ (Unstable Peace)
• เป็ นปรากฏการณ์ ที่มีความตึงเครี ยด (Tension) และความหวาดระแวง
(Suspicion) ระหว่ า งรั ฐ อยู่ ใ นระดั บ สู ง แต่ มี ค วามรุ น แรงระหว่ า งกั น
เกิดขึน้ เป็ นครั้งคราวหรือไม่ เกิดเลย โดยไม่ มีการเคลือ่ นย้ ายกาลังทหารเข้ า
เผชิญหน้ ากัน อย่ างไรก็ตามรัฐคู่พพิ าทจะมองซึ่งกันและกันในฐานะทีเ่ ป็ น
ศั ต รู และจะพยายามด ารงขี ด ความสามารถทางทหารเพื่อ ป้ องปราม
(Deterrence) ซึ่งกันและกัน รวมทั้งการถ่ วงดุลอานาจซึ่งกันและกัน เพื่อ
พยายามลดความก้ าวร้ าวของกันและกันลง แต่ กย็ งั คงมีโอกาสที่จ ะนาไปสู่
วิกฤตการณ์ และสงครามระหว่ างกันต่ อไป ได้ แก่ ปรากฏการณ์ ที่เกิดขึน้ ใน
ความสั มพันธ์ ระหว่ างเกาหลีเหนือกับญีป่ ุ่ นในปัจจุบัน
วิกฤตการณ์ (Crisis)
• เป็ นปรากฏการณ์ ที่ มี ก ารเผชิ ญ หน้ า ทางทหารระหว่ า งรั ฐ โดยมี ก าร
เคลื่อนย้ ายกาลังทางทหารเข้ าประชิ ดพรมแดนและพร้ อมใช้ อาวุธ หรื อ
อาจมีการใช้ อาวุธต่ อกันประปราย ซึ่งโอกาสทีจ่ ะเกิดสงครามระหว่ างกันมี
สู ง ได้ แก่ วิกฤตการณ์ ขปี นาวุธคิวบาใน ค.ศ. ๑๙๖๒
สงคราม (War)
• เป็ นปรากฏการณ์ ของการสู้ รบระหว่ างรั ฐด้ วยกาลังทหารอย่ างต่ อเนื่อง
ซึ่ ง อาจเป็ นการสู้ รบด้ ว ยวัต ถุ ป ระสงค์ จ ากัด หรื อ ไม่ จ ากัด จนขยายตั ว
ลุกลามเป็ นสงครามขนาดใหญ่ กไ็ ด้ ได้ แก่ สงครามเกาหลี สงครามโลก
แนวคิดเกีย่ วกับการระงับข้ อขัดแย้ ง
แนวคิดที่สาคัญ ๕ ประการ
● ผลลัพธ์ ที่มีฝ่ายหนึ่งได้ อก
ี ฝ่ ายหนึ่งเสี ยกับผลลัพธ์ ที่ได้
หรือเสี ยทั้งสองฝ่ าย
● จุดยืน ผลประโยชน์ และความต้ องการ
●
การแทรกแซงโดยบุคคลทีส่ าม
● ตัวแสดงที่มีส่วนเกีย
่ วข้ องกับการระงับข้ อขัดแย้ ง
ระหว่ างรัฐ
●
แนวคิดที่สาคัญ ๕ ประการ
ยอมให้ คนอืน่
คิดถึงผู้อนื่
แก้ปัญหา
ประนีประนอม
ถอนตัว
จากัดความขัดแย้ง
คิดถึงตนเอง
ผลลัพธ์ ทมี่ ีฝ่ายหนึ่งได้ อกี ฝ่ ายหนึ่งเสี ย
กับผลลัพธ์ ทไี่ ด้ หรือเสี ยทั้งสองฝ่ าย
ชนะ-แพ้
ชนะ-ชนะ
ตาแหน่ งที่พอจะประนีประนอมกันได้
ความพอใจของ ก
แพ้ -แพ้
แพ้ -ชนะ
ความพอใจของ ข
จุดยืน ผลประโยชน์ และความต้ องการ
รัฐ ก
รัฐ ข
จุดยืน
ผลประโยชน์
ความต้ องการ
มีประโยชน์ และค่ านิยม
ร่ วมกัน
มีความต้ องการและความ
กลัวร่ วมกัน
- ผลประโยชน์มักตกลงกันได้ง่ายกว่าจุดยืน
การแทรกแซงโดยบุคคลทีส่ าม
- เมือ่ บุคคลทีส่ ามเข้ าแทรกแซง พวกเขาอาจกลายเป็ นแกนนาทีม
่ สี ่ วนเกีย่ วข้ องหากความ
เกีย่ วข้ องมีระดับสู งขึน้
Core parties
Actively influential
parties
Marginal parties
Uninvolved parties
Embedded parties
- ผู้ทมี่ สี ่ วนเกีย่ วข้ องโดยตรงและอยู่ภายในความขัดแย้ งมักแสดงบทบาทหลักในการหาทางระงับข้ อขัดแย้ ง
ตัวแสดงที่มีส่วนเกีย่ วข้ องกับการระงับข้ อขัดแย้งระหว่ างรัฐ
ยุทธศาสตร์ ของช่ องทางที่ ๑ : การเจรจาต่ อรอง การรักษาสันติภาพ การใช้ อนุญาโตตุลาการ การสนับสนุนให้ เกิดสั นติภาพ การ
เจรจาไกล่เกลีย่ โดยใช้ อานาจบังคับ
Track I: UN, international and
ชนชั้นสู ง
regional organizations,
international financial institutions
การเจรจาต่ อรอง ผู้นาชนชั้นสู ง
ระดับสู ง
การระดมความคิดเพือ่
แก้ไขปัญหา
คณะกรรมการสันติภาพ
ระดับท้ องถิน่
ผู้นาชนชั้นกลาง
ผู้นาระดับรากหญ้ า
Track II: International NGOs,
churches, academics, private
business
Society
ยุทธศาสตร์ ของช่ องทางที่ ๒ : การมีธรรมาภิบาล การไกล่เกลีย่ การทาหน้ าที่เป็ นคนกลางอย่ างบริสุทธิ์ การแก้ไขปัญหา
ยุทธศาสตร์ ของช่ องทางที่ ๓ : การแบ่ งเขตสันติภาพภายในพืน้ ที่ที่มีความขัดแย้ ง การสร้ างความผูกพันในสั งคม การมีพนื้ ฐาน
ร่ วมกัน
คาถาม
จะยุตขิ ้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐได้ อย่ างไร?
มียุทธวิธีในการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
อย่ างไร?
The sequence of conflict management techniques
Existence of
goal
incompatibility
Recognition of
goal
incompatibility
Conflict
behavior
Stages of
conflict
Incipient
conflict
latent
conflict
manifest
conflict
Conflict
management
process
Avoidance
Prevention
Settlement or
resolution
ยุทธวิธีในการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
●
การเปลีย่ นแปลงบริบท
●
การเปลีย่ นแปลงโครงสร้ าง
●
การเปลีย่ นแปลงตัวแสดง
●
การเปลีย่ นแปลงประเด็น
ตัวแสดงที่มีความสามารถระงับข้ อขัดแย้ งระหว่างรัฐ
• รัฐมหาอานาจ
• องค์ การระหว่ างประเทศ
• รัฐคู่พพิ าท
วิธีการระงับข้ อขัดแย้ ง
โดยทัว่ ไปแล้ วการระงับข้ อขัดแย้ งมีวธิ ีการทีส่ าคัญ ๓ วิธีคอื
• การใช้ กาลังอานาจ (Power Contests) มีผ้ ูแพ้ - ผู้ชนะ
• การใช้ สิทธิตามกฎหมาย (Rights Contests) มีผ้ ูแพ้ - ผู้ชนะ
• การไกล่ เกลี่ยผลประโยชน์ (Interest Reconciliation) มีแต่ ผ้ ู
ชนะ
วิธีการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
ตามหลักกฎหมายระหว่ างประเทศ
• การดาเนินการทางการทูต
• การจัดการเจรจา
• การไกล่ เกลีย่
• การพิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการ
• การตัดสิ นของศาล
การดาเนินการทางการทูต
• เป็ นวิธีการทีเ่ ก่ าแก่ ทสี่ ุ ด ภายใต้ บรรทัดฐานระหว่ างประเทศ
• ความสาเร็ จขึน้ อยู่กับความตั้งใจจริ งของรั ฐคู่พิพาท ยอมรั บการติดต่ อ
ระหว่ า งกัน ไม่ ต้ัง เงื่ อ นไขก่ อ นเข้ า เจรจา และไม่ ม่ ุ ง ผลประโยชน์ ม าก
เกินไปโดยไม่ ยอมเสี ยผลประโยชน์ ของตนแม้ แต่ น้อย
การจัดการเจรจา
• เป็ นวิธีการซึ่ งรั ฐที่สามเข้ าช่ วยเหลือในการสร้ างบรรยากาศเจรจาให้ แก่
รัฐคู่พพิ าท โดยไม่ เกีย่ วข้ องกับการเจรจา
• การช่ วยเหลือจะออกมาในรู ปของการอานวยความสะดวกในการเจรจา
เช่ น จัดสถานที่ เชิญให้ เข้ าประชุม เป็ นต้ น
การไกล่เกลีย่
• คล้ ายกับการจัดการเจรจา แต่ รัฐทีส่ ามเข้ าไปมีบทบาทในการเจรจาด้ วย
• โดยรั ฐที่สามพยายามหาวิธีการยุติความขัดแย้ งให้ โดยปราศจากการใช้
ความรุ นแรง หรื อกระทบกระเทือนต่ อผลประโยชน์ ของรั ฐคู่พิพาท และ
ยังคงรักษาศักดิ์ศรีของรัฐคู่พพิ าทด้ วย
• ผู้ทมี่ าช่ วยไกล่ เกลีย่ มักอยู่ในรู ปของคณะกรรมการ หรือผู้เชี่ยวชาญ
การไกล่เกลีย่
๑๓ กันยายน ๒๕๓๖
การพิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการ
• เป็ นวิธีการแต่ งตั้งบุ คคลกลุ่มหนึ่งขึ้นมาตัดสิ นความขัดแย้ ง โดยเป็ น
กลุ่มบุคคลทีไ่ ด้ รับความเห็นชอบจากรัฐคู่พพิ าท
• บุ ค คลกลุ่ ม นี้ เ รี ย กว่ า คณะกรรมการอนุ ญ าโตตุ ล าการ ท าหน้ า ที่ น า
กฎหมายระหว่ างประเทศมาใช้ พจิ ารณาประกอบข้ อเท็จจริงเพือ่ หาข้ อยุติ
• รั ฐคู่พิพาทยอมรั บคาตัดสิ นของคณะกรรมการอนุญาโตตุลาการ และมี
ผลผูกพันทีจ่ ะปฏิบัตติ าม
คณะอนุญาโตตุลาการอาชญากรรมระหว่ างประเทศ
แห่ งรวันดา
การตัดสิ นของศาล
• เป็ นวิธีการที่รัฐคู่พพิ าทเสนอข้ อพิพาทต่ อศาลยุติธรรมระหว่ างประเทศ
(International Court of Justice; ICJ) หรือศาลโลก
• ศาลยุตธิ รรมระหว่ างประเทศเป็ นองค์ กรหลักองค์ กรหนึ่งของ UN
• รัฐคู่พพิ าทยอมรั บคาตัดสิ นของศาลสถิตยุติธรรมระหว่ างประเทศ และ
มีผลผูกพันทีจ่ ะปฏิบัตติ าม
Peace Palace ณ กรุ งเฮก เนเธอร์ แลนด์
สถานทีซ่ ึ่งใช้ เป็ นบัลลังก์ของศาลยุติธรรม
ระหว่ างประเทศ
อานาจศาลและการรับอานาจศาล
• อานาจศาล คือ อานาจการตัดสิ นกรณีพิพาทระหว่ างรัฐ และรัฐเท่ านั้นจึงจะเป็ น
คู่กรณีต่อศาลยุติธรรมระหว่ างประเทศได้
• การรับอานาจศาลมี ๒ วิธีคอื
– การรับอานาจศาลโดยการบังคับ หมายถึง การเปิ ดโอกาสให้ รัฐใดๆนาคดีขึ้นสู่
ศาลโดยไม่ ต้องให้ รัฐคู่พิพาทให้ ความยินยอม ซึ่ งรั ฐอาจประกาศเจตนารมณ์ รับ
อานาจศาลตลอดไป หรื อกาหนดระยะเวลาไว้ เช่ น ประเทศไทยเคยประกาศรั บ
อานาจศาลไว้ ๑๐ ปี ตั้งแต่ ๓ พ.ค. ๑๙๕๐ ถึง ๓ พ.ค. ๑๙๖๐ ทาให้ กมั พูชาสามารถส่ ง
คดีเขาพระวิหารขึน้ ศาลใน ๖ ต.ค. ๑๙๕๙ ได้ ทั้งทีป่ ระเทศไทยไม่ ยนิ ยอม
– การรั บอานาจศาลเฉพาะคดี หมายถึงการประกาศเจตนารมณ์ รับอานาจศาลไว้
ต่ อเลขาธิการ UN ตั้งแต่ แรก หากไม่ ประกาศไว้ จะถูกบังคับให้ ขนึ้ ศาลไม่ ได้ เด็ดขาด
วิธีการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
ทีถ่ อื ปฏิบัติโดยองค์ การสหประชาชาติ
• การร้ องขอ
• การให้ ความช่ วยเหลือในการเจรจาทางการทูต
• การไกล่ เกลีย่
• การสอบสวนข้ อเท็จจริง
• การลงมติ
การร้ องขอ
• เกิดขึน้ เมื่อมีผ้ ูเสนอข้ อพิพาทให้ UN พิจารณา
• คณะมนตรี ความมั่นคงจะร้ องขอไปยังผู้นาของรั ฐคู่พิพาทให้ ระงับการ
กระทาใดๆที่ขยายความขัดแย้ ง และให้ รายงานสถานการณ์ ในระหว่ างการ
ดาเนินการระงับข้ อขัดแย้ ง
• ความสาเร็ จขึ้นอยู่กับ การยอมรั บของรั ฐคู่พิพาท ระดับความก้ าวร้ าว
ของรัฐคู่พพิ าท และผลประโยชน์ ของรัฐคู่พพิ าท
• ในกรณี ที่ ค วามขั ด แย้ ง ลุ ก ลามจนสู้ รบกั น คณะมนตรี ค วามมั่ น คงมี
อานาจออกคาสั่ งหยุดยิง เช่ น ความขัดแย้ งระหว่ างกรีซ - ตุรกี ค.ศ. ๑๙๔๖
การให้ ความช่ วยเหลือในการเจรจาทางการทูต
• การเปิ ดโอกาสให้ รัฐคู่พพิ าทเสนอปัญหาใน UN ทั้งทางวาจาและเอกสาร
• การเปิ ดโอกาสให้ รัฐคู่พพิ าทถกเถียงกันใน UN
• การเปิ ดโอกาสให้ รัฐคู่พิพาทพบปะเจรจากันอย่ างไม่ เป็ นทางการโดย
เลขาธิการสหประชาชาติ อันเป็ นการรักษาหน้ าของรัฐคู่พพิ าท
การไกล่เกลีย่
• คณะมนตรีความมั่นคงจัดตั้งคณะกรรมการไกล่ เกลี่ย หรือแต่ งตั้งบุคคล
ใดบุคคลหนึ่งให้ เป็ นผู้ไกล่ เกลีย่
• คณะกรรมการไกล่ เกลีย่ มักประกอบด้ วย กรรมการ ๓ คน โดย ๒ คนถูก
เลือกจากรัฐคู่พพิ าทรั ฐละ ๑ คน และอีก ๑ คนถูกเลือกจากรั ฐเป็ นกลางซึ่ง
ได้ รับความเห็ นชอบจากรั ฐคู่ พิพาท เช่ น ความขัดแย้ งระหว่ างอินเดียปากีสถานเกีย่ วกับแคว้ นแคชเมียร์ ค.ศ. ๑๙๔๗
การสอบสวนข้ อเท็จจริง
• คณะมนตรี มีอานาจหน้ าที่สืบสวนกรณีพิพาทใดๆหรื อสถานการณ์ ใดๆ ซึ่ งอาจ
นาไปสู่ ความขัดแย้ งระหว่ างรัฐ ตามกฎบัตรสหประชาชาติ
• โดยคณะมนตรี ความมั่นคงจะแต่ งตั้งคณะกรรมการไต่ สวนจากสมาชิ กในคณะ
มนตรี ความมั่นคง หรื ออาจประกอบด้ วยสมาชิ กซึ่งเลือกจากภูมิภาค ตัวแทนของ
รัฐคู่พพิ าท และรัฐทีเ่ กีย่ วข้ องกับรัฐคู่พพิ าท
• ความสาเร็จขึน้ อยู่กบั การได้ รับความยินยอมจากรัฐคู่พพิ าท
• แม้ จะไม่ สามารถทาให้ รัฐคู่พิพาทตกลงกันได้ แต่ ก็ทาให้ UN สามารถติดต่ อรั ฐ
คู่กรณีได้ ตลอดเวลา และทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ เพื่อหาทาง
แก้ไขปัญหาข้ อขัดแย้ งต่ อไป
การลงมติ
• คณะมนตรีความมั่นคงวินิจฉัยข้ อพิพาทและลงมติให้ รัฐคู่พพิ าทปฏิบัติ
ตาม
• ในกรณีคณะมนตรี ความมั่นคงไม่ สามารถนาข้ อพิพาทเข้ าหารื อ เพื่อ
วินิจฉั ยได้ อันเนื่องมาจากการใช้ สิทธิยับยั้ง (Veto) ของมหาอานาจบาง
ประเทศซึ่ ง เป็ นสมาชิ ก ถาวรในคณะมนตรี ค วามมั่ น คง สมั ช ชาใหญ่
สามารถให้ คาแนะนาและลงมติให้ ใช้ กาลังทหารเพื่อยับยั้งภั ยคุกคามจาก
รั ฐคู่พิพาทที่ใช้ กาลังรุ กรานอีกรั ฐหนึ่งได้ มติดังกล่ าวนี้เป็ นมติที่ว่าด้ วย
การรวมกันเพือ่ สั นติภาพ (Uniting for Peace Resolution) ซึ่งริเริ่มเป็ น
ครั้งแรกจากการเสนอโดยสหรัฐฯใน ๓ พ.ย. ๑๙๕๐
มาตรการที่เหมาะสมในการระงับข้ อขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
หากไม่ ได้ รับความร่ วมมือจากรัฐคู่พพิ าท
• มาตรการบังคับโดยไม่ ใช้ กาลังทหาร
– การคว่าบาตรทางเศรษฐกิจ
– การตัดการคมนาคมทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
– การตัดความสั มพันธ์ ทางการทูต (แต่ ยงั คงเหลือช่ องทางติดต่ อไว้ บ้าง)
• มาตรการบังคับโดยใช้ กาลัง ทหาร มี ๒ มาตรการ และเป็ นส่ วนหนึ่งของ
การปฏิบัติการเพือ่ สั นติภาพ (Peace Operations)
การปฏิบัติการเพือ่ สั นติภาพ
• การทูตเชิงป้องกัน (Preventive Diplomacy) ไม่ ถือเป็ นมาตรการบังคับ
โดยใช้ กาลังทหาร
• การทาให้ เกิดสั นติภาพ (Peace Making) ไม่ ถือเป็ นมาตรการบังคับโดย
ใช้ กาลังทหาร
• การบังคับให้ เกิดสั นติภาพ (Peace Enforcing)
• การรักษาสั นติภาพ (Peace Keeping)
• การสร้ างสั นติภ าพภายหลังความขัด แย้ ง (Post-Conflict
Building) ไม่ ถือเป็ นมาตรการบังคับโดยใช้ กาลังทหาร
Peace
การทาให้เกิดสันติภาพ
สงคราม
การบริหารความขัดแย้ ง
การบังคับให้เกิดสันติภาพ
การบริหารวิฤตการณ์
การรักษาสันติภาพ
ความขัดแย้งระดับสูง
วิกฤตการณ์
สั นติภาพทีไ่ ร้
เสถียรภาพ
สั นติภาพทีม่ ี
เสถียรภาพ
ความขัดแย้งระดับต่า
ความตึงเครี ยด
การป้ องกันความขัดแย้ ง
ความหวาดระแวง
การแข่งขัน
การทูตเชิงป้ องกัน
การทูต/การเมืองยามสงบ
การสร้างสันติภาพ
ภายหลังความขัดแย้ง
การดาเนินการ
มาตรการที่เหมาะสม
สั นติภาพที่
ยัง่ ยืน
ระดับของความขัดแย้ ง
การปฏิบัติการเพือ่ สั นติภาพ - การทูตเชิงป้ องกัน
• การดาเนินการทางการทูตกับรั ฐคู่พิพาทที่มีแนวโน้ มการขยายตัวของ
ความขัดแย้ งไปสู่ วิกฤตการณ์ ระหว่ างประเทศ โดยใช้ มาตรการทั้งปวงที่
สามารถสร้ างอิทธิพลต่ อรัฐคู่พพิ าท ให้ ลดระดับของความขัดแย้ งระหว่ าง
กันลงได้ ซึ่ งได้ แก่ การเจรจาอย่ างไม่ เป็ นทางการระหว่ างรั ฐคู่พิพาทโดย
ใช้ ช่องทางที่สอง (track two) การดาเนินภารกิจสั งเกตการณ์ ด้านสิ ทธิ
มนุษยชนหรือภารกิจอืน่ ๆ การให้ ความช่ วยเหลือทางเศรษฐกิจ การดาเนิน
มาตรการสร้ างความไว้ เนื้อเชื่ อใจ (Confidence-Building Measures;
CBM) การสร้ างความเป็ นประชาธิปไตย การส่ งตัวขึน้ ศาลอาชญกรรม
สงคราม เป็ นต้ น
การปฏิบัติการเพือ่ สั นติภาพ - การทาให้ เกิดสั นติภาพ
• การดาเนินกรรมวิธีทางการทูตกับรั ฐคู่พิพาท ได้ แก่ การไกล่ เกลี่ย การ
เจรจา หรื อการดาเนินกรรมวิธีโดยสั นติในรู ปแบบอื่นที่สามารถยุติความ
ไม่ ลงรอยกัน และสามารถแก้ ไขประเด็นความขัดแย้ งให้ ลลุ ่ วงไปได้
การปฏิบัติการเพือ่ สั นติภาพ - การบังคับให้ เกิดสั นติภาพ
• การใช้ กาลังทหารโดยได้ รับความเห็นชอบจากนานาชาติ (International
Authorization) เข้ ากดดัน รั ฐคู่ พิพาทให้ ยุติการทาสงครามระหว่ างกัน
และให้ ย อมรั บ ในมติ ข องนานาชาติ เพื่ อ ท าให้ สั น ติ ภ าพและระเบี ย บ
กลับคืนมาดังเดิม
การปฏิบัติการเพือ่ สั นติภาพ - การรักษาสั นติภาพ
• ความพยายามเข้ าแทรกแซงในสงครามระหว่ างรั ฐหรื อสงครามกลาง
เมือง โดยใช้ กาลังทหารป้องกันไม่ ให้ คู่พพิ าทขยายสถานการณ์ ที่เป็ นข้ าศึก
ต่ อกัน จนสามารถเป็ นตัวกลางให้ คู่พิพาทหาหนทางแก้ ไขความขัดแย้ ง
ระหว่ างกันได้ สาเร็จ
การปฏิบัตกิ ารเพือ่ สั นติภาพ - การสร้ างสั นติภาพภายหลังความขัดแย้ ง
• การดาเนินการภายหลังความขัดแย้ ง โดยใช้ การทูตและเศรษฐกิจเป็ น
เครื่ องมือหลัก เพื่อสร้ างความเข้ มแข็งและฟื้ นฟูโครงสร้ างพืน้ ฐานของ
รัฐบาล ตลอดจนสถาบันต่ างๆทีเ่ กีย่ วข้ อง (การเมือง เศรษฐกิจ สั งคม) เพือ่
ไม่ ให้ เกิดความขัดแย้ งขึน้ อีก
การเปลีย่ นแปลงจากความขัดแย้ งระหว่ างรัฐ
ไปสู่ ความร่ วมมือระหว่ างรัฐ
การเปลีย่ นแปลงดังกล่ าวจะเกิดขึน้ ได้ จากการเปลีย่ นแปลงของตัว
แปรทีส่ าคัญ ๓ ตัวภายใต้ ทฤษฎีเกมส์ (Games Theory) คือ
โครงสร้ างสถานการณ์ ระหว่ างประเทศที่ก่อให้ เกิดแรงบีบ บังคับ
(Incentive Structures)
•
• เงาแห่ งอนาคต (Shadow of the Future)
• จานวนรัฐทีเ่ กีย่ วข้ อง (Number of Players)
โครงสร้ างสถานการณ์ ระหว่างประเทศทีก่ ่อให้ เกิดแรงบีบบังคับ
• เกมส์ สามัคคี (Harmony)
- การทีร่ ัฐ ก ร่ วมมือ (ร) ในขณะทีร่ ัฐ ข หักหลัง (ห) ย่ อมทาให้
รัฐ ก ได้ รับผลตอบแทนทีด่ กี ว่ า การทีร่ ัฐ ก หักหลัง (ห) ในขณะ
ทีร่ ัฐ ข ร่ วมมือ (ร)
- รห > หร (CD > DC)
- ตัวอย่ างเช่ น ในสงครามโลกครั้ งที่ ๑ ฝรั่ งเศสยังคงให้ ความ
ร่ วมมือกับอังกฤษสู้ รบกับเยอรมันต่ อไปแม้ ว่ารั สเซี ยจะหักหลัง
ถอนตัวจากสงคราม
โครงสร้ างสถานการณ์ ระหว่ างประเทศที่ก่อให้ เกิดแรงบีบบังคับ (ต่ อ)
• เกมส์ ทางตัน (Deadlock)
- การที่รัฐ ก และรั ฐ ข หั กหลัง (หห) ย่ อมทาให้ ท้ังรั ฐ ก และรั ฐ ข
ได้ รับผลตอบแทนที่ดกี ว่ า การทีร่ ัฐ ก และรัฐ ข ร่ วมมือกัน (รร)
- หห > รร (DD > CC)
- ตัวอย่ างเช่ น หลังสงครามโลกครั้ งที่ ๒ สหภาพโซเวียตปฏิเสธความ
ช่ วยเหลือของสหรั ฐฯ ตามแผนการมาร์ แชลล์ และทั้งสหภาพโซเวี ยต
และสหรั ฐฯ ต่ างก็ปฏิเสธความร่ วมมือที่จะฟื้ นฟู รัฐต่ างๆในยุโรปซึ่ ง
ได้ รั บ ความพิ น าศจากสงครามโลกครั้ ง ที่ ๒ แต่ ต้ อ งการฟื้ นฟู ต าม
อุดมการณ์ ทางการเมืองของตนโดยอิสระ
โครงสร้ างสถานการณ์ ระหว่ างประเทศที่ก่อให้ เกิดแรงบีบบังคับ (ต่ อ)
• เกมส์ ล่ากวาง (Stag Hunt)
- การที่ท้ังรัฐ ก และรั ฐ ข ร่ วมมือกัน (รร) ย่ อมทาให้ ท้ังรัฐ ก และรัฐ ข ได้ รับ
ผลตอบแทนที่ดีกว่ า การที่รัฐ ก หักหลังแต่ รัฐ ข ร่ วมมือ (หร) และก็ยังได้ รับ
ผลตอบแทนที่ดีกว่ า การที่ท้งั รัฐ ก และรัฐ ข หักหลัง (หห) ซึ่งก็ยงั ดีกว่ า การที่รัฐ
ก ร่ วมมือโดยลาพัง ในขณะที่รัฐ ข หักหลัง (รห) โดยมีข้อแม้ ว่า รั ฐ ก ต้ องมีขีด
ความสามารถน้ อยกว่ ารัฐ ข
- รร > หร > หห > รห (CC > DC > DD > CD)
- ตัวอย่างเช่ น ความร่ วมมือเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
โครงสร้ างสถานการณ์ ระหว่ างประเทศที่ก่อให้ เกิดแรงบีบบังคับ (ต่ อ)
• เกมส์ นักโทษจนมุม (Prisoner’s Dilemma)
- การที่ท้ังรั ฐ ก หั กหลังในขณะที่รัฐ ข ร่ วมมือ (หร) ย่ อมทาให้ รัฐ ก ได้ รับ
ผลตอบแทนที่ ดี ก ว่ า การที่ ท้ั ง รั ฐ ก และรั ฐ ข ร่ วมมื อ (รร) และก็ ยั ง ได้ รั บ
ผลตอบแทนที่ดีกว่ า การที่ท้งั รัฐ ก และรัฐ ข หักหลัง (หห) ซึ่งก็ยงั ดีกว่ า การที่รัฐ
ก ร่ วมมือโดยลาพัง ในขณะที่รัฐ ข หักหลัง (รห)
-หร > รร > หห > รห (DC > CC > DD > CD)
- ตัวอย่ างเช่ น การที่สหรัฐฯเลือกที่จะไม่ ร่วมมือในสนธิสัญญาลดภาวะก๊ าซ
เรื อนกระจก จนกว่ าทุกชาติอุตสาหกรรมในโลกจะยอมร่ วมมือทั้งหมด ซึ่ งก็ยัง
ดีกว่ าการที่ไม่ มีชาติใดในโลกยอมร่ วมมือเลย และดีกว่ าการที่สหรั ฐฯให้ ความ
ร่ วมมือแต่ เพียงชาติเดียว
โครงสร้ างสถานการณ์ ระหว่างประเทศทีก่ ่อให้ เกิดแรงบีบบังคับ
• เกมส์ ไก่ ชนหรือเกมส์ วดั ใจ (Chicken)
- การทีร่ ัฐ ก หักหลังในขณะที่รัฐ ข ร่ วมมือ (หร) ย่ อมทาให้ รัฐ ก
ได้ รับผลตอบแทนที่ดีกว่ า การที่ท้ังรัฐ ก และรัฐ ข ร่ วมมือ (รร)
และก็ยังได้ รับผลตอบแทนที่ดีกว่ า การที่รัฐ ก ร่ วมมือในขณะที่
รั ฐ ข หักหลัง (รห) ซึ่ งก็ยังดีกว่ า การที่ท้ังรั ฐ ก และรั ฐ ข หั ก
หลัง (หห)
- หร > รร > รห > หห (DC > CC > CD > DD)
- ตัวอย่ างเช่ น การแข่ งขันกันสะสมอาวุธของรัฐต่ างๆ
เงาแห่ งอนาคต
• จากเกมส์ นักโทษจนมุมซึ่งเกิดขึน้ ได้ เพียงครั้งเดียวเท่ านั้น หากเล่ นเกมส์
ดังกล่ าวซ้าๆกัน ก็จะทาให้ มองเห็นเงาแห่ งอนาคตว่ า ถ้ าตนเองหักหลังก็จะ
ได้ รั บ ผลตอบแทนเช่ นเดี ย วกั น (Reciprocity) ในอนาคต ดั ง นั้ น การ
ร่ วมมือจึงให้ ผลตอบแทนทีค่ ุ้มค่ ากว่ า
• รั ฐ สามารถยืด เวลาของเงาแห่ ง อนาคตได้ ด้ ว ยการแบ่ ง ความร่ ว มมื อ
ออกเป็ นส่ วนย่ อยๆ เช่ น การลงนามในสนธิสัญญาความร่ วมมือเป็ นรายปี
• ความโปร่ งใส (Transparency) และการเฝ้ าตรวจ (Surveillance) ทาให้
หลักแห่ งการตอบแทน (Reciprocity) ทางานได้ ผลกว่ าการทาสนธิสัญญา
ลับและความเชื่อใจ
จานวนรัฐที่เกีย่ วข้ อง
• มากหมอมากความ มีเงือ่ นไขมาก เกิดความยุ่งยาก
• ต้ องทานายพฤติกรรมและหาข้ อมูลของรัฐที่เกีย่ วข้ องมากขึน้ ทา
ให้ การคานวณผลตอบแทนทีไ่ ด้ รับมีโอกาสผิดพลาดมากขึน้
• ความเป็ นไปได้ ใ นการคว่ า บาตร (Sanction) ต่ อ รั ฐ ที่ หั ก หลั ง
ลดลง เนื่องจากอาจมีรัฐทีเ่ ฉยเมยไม่ ยอมให้ ความร่ วมมือควา่ บาตร
• เพื่อ ลดความยุ่ ง ยากดั ง กล่ า ว จึ ง มั ก เจรจากับ รั ฐ ที่ เ กี่ยวข้ อ งใน
ลักษณะทวิภาคี หรือพหุภาคีทเี่ ป็ นกลุ่มย่ อยก่ อนการเจรจารวม
ความขัดแย้ งทีเ่ กิดขึน้ ภายในรัฐ
• สงครามกลางเมือง
• สาเหตุของสงครามกลางเมือง
• มิติด้านต่ างประเทศของสงครามกลางเมือง
• การแทรกแซงเพือ่ มนุษยธรรมจากต่ างประเทศ
จบการบรรยาย
ขอให้ โชคดีในการศึกษา