อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน

Download Report

Transcript อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน

อนุสัญญาต่ อต้ านการทรมาน
(CONVENTION AGAINST TORTURE)
และ
อนุสัญญาระหว่ างประเทศ
ว่ าด้ วยการคุ้มครองบุคคลจากการสู ญหายโดยถูกบังคับ
(THE INTERNATIONAL CONVENTION FOR THE PROTECTION OF
ALL PERSONS FROM ENFORCED DISAPPEARANCE)
ปกป้อง ศรี สนิท
คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เนือ้ หาการบรรยาย
1. อนุสัญญาต่ อต้ านการทรมาน (CAT)
1.1 นิยามการทรมาน
1.2 ลักษณะของการกระทาทรมาน
1.3 ปั ญหาของการกระทาทรมานในประเทศไทย
1.4 แนวทางแก้ ไขปั ญหา
1.5 ความแตกต่างระหว่างการกระทาทรมานตาม
อนุสญ
ั ญาต่อต้ านการทรมานกับธรรมนูญกรุงโรม
จัดตังศาลอาญาระหว่
้
างประเทศ
3. บทสรุป
2. อนุสัญญาคุ้มครองบุคคลจาก
การสูญหายโดยถูกบังคับ (CED)
2.1 ความหมายของการบังคับบุคคลให้ สญ
ู หาย
2.2 องค์ประกอบของการกระทาความผิด
2.3 การปราบปรามการบังคับบุคคลให้ สญ
ู หาย
2.4 การป้องกันการบังคับบุคคลให้ สญ
ู หาย
2.5 การเยียวยาผู้เสียหาย
1. อนุสัญญาต่ อต้ านการทรมาน
(CONVENTION AGAINST TORTURE)
1.1 นิยามการทรมาน
“การทรมาน” หมายถึง การกระทาใดก็ตามโดยเจตนาที่ทาให้ เกิดความ
เจ็บปวดหรื อความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส ไม่วา่ ทางร่างกายหรื อทางจิตใจต่อบุคคลใด
บุคคลหนึง่ ด้ วยความประสงค์เพื่อได้ ข้อมูลหรื อได้ คารับสารภาพจากบุคคลนันหรื
้ อ
บุคคลที่สาม เพื่อการลงโทษบุคคลนันหรื
้ อบุคคลที่สามสาหรับการกระทาซึง่ บุคคลนัน้
หรื อบุคคลที่สามกระทาหรื อถูกสงสัยว่ากระทา รวมทังเพื
้ ่อการบังคับขูเ่ ข็ญ หรื อเพื่อ
การเลือกปฏิบตั ิอื่นใด โดยที่เป็ นการกระทาของเจ้ าหน้ าที่ของรัฐหรื อโดยบุคคลอืน่ ที่
ได้ รับความยินยอมของเจ้ าหน้ าที่รัฐ แต่ไม่รวมการลงโทษตามกฎหมาย
1.2 ลักษณะของการกระทาทรมาน
1. ต้ องเป็ นการกระทาโดยเจ้ าหน้ าที่ของรัฐ หรือเกี่ยวข้ องกับเจ้ าหน้ าที่รัฐ
2. ต้ องเป็ นการกระทาต่ อร่ างกายหรือจิตใจทาให้ เกิดความเจ็บปวดทุกข์ ทรมานอย่ างสาหัส
3. ต้ องเป็ นการกระทาโดยมี “มูลเหตุจูงใจ” (motive) เพื่อ
-เพื่อได้ ข้อมูลหรือได้ คารับสารภาพจากบุคคลนัน้ หรือบุคคลที่สาม
-เพื่อการลงโทษบุคคลนัน้ หรือบุคคลที่สามสาหรับการกระทาซึ่งบุคคลนัน้ หรือ
บุคคลที่สามกระทาหรือถูกสงสัยว่ ากระทา
- เพื่อการบังคับขู่เข็ญ
- เพื่อการเลือกปฏิบัตอิ ่ นื ใด
1.3 ปัญหาของการกระทาทรมานในประเทศไทย
1. ไม่มีกฎหมายบัญญัติเฉพาะ
2. เทียบเคียงกฎหมายที่มีอยูท่ ี่ไม่สามารถลงโทษได้ สมตาม
เจตนารมณ์ของอนุสญ
ั ญาต่อต้ านการทรมานที่ต้องการให้ ลงโทษหนักแบบ
Serious criminal offenses
3. เจ้ าหน้ าที่เป็ นผู้กระทาความผิด จึงยากที่จะมีการดาเนินคดี
4. ไม่มีฐานความผิดจึงไม่สามารถส่งผู้ร้ายข้ ามแดน (extradition) ตามหลัก
“ความผิดสองรัฐ” (double criminality)
5. ไม่มีการกาหนดความผิดฐานกระทาทรมานให้ เป็ นความผิดสากล
(Universal jurisdiction) ทาให้ ประเทศไทยอาจเป็ นที่หลบซ่อนตัวของผู้กระทา
ทรมาน ไม่สอดคล้ องกับ “ไม่สง่ ตัว ก็ต้องพิจารณาลงโทษ” (aut dedere aut
judicare)
6. การกระทาโดยทรมาน เจ้ าหน้ าที่ของรัฐไม่สามารถอ้ างสถานการณ์ฉกุ เฉินหรื อ
สถานการณ์สงครามเพื่อเป็ นเหตุให้ มีการกระทาทรมาน
1.4 แนวทางแก้ไขปัญหา
1.แก้ ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา โดยเพิ่ม มาตรา 166/1กาหนดฐาน
ความผิดเรื่องการกระทาทรมาน และกาหนดโทษจาคุกอย่ างสูงเพื่อยับยัง้
2. กาหนดให้ การกระทาทรมานอย่ างเป็ นระบบ (systematic) หรืออย่ าง
กว้ างขวาง (widespread) ที่มาจากการทาตามนโยบายของรัฐ (policy) ที่กระทา
ต่ อประชาชน เป็ นความผิดฐานอาชญากรรมต่ อมวลมนุษยชาติ (Crime against
humanity) ซึ่งไม่ มีอายุความ
3. กาหนดให้ การกระทาทรมานมีเขตอานาจสากล (Universal jurisdiction)
โดยการแก้ ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 7 (4) และแก้ ไขมาตรา 10 ด้ วย
4. กาหนดให้ สถานการณ์ สงครามหรื อสถานการณ์ ฉุกเฉินไม่
สามารถยกเป็ นเหตุให้ มีการกระทาทรมาน
5. เพิ่มกระบวนการศาลเพื่อช่ วยเหลือผู้ถูกกระทาทรมาน ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญามาตรา 90/1
6. กาหนดให้ มีคณะกรรมการต่ อต้ านการทรมานทาหน้ าที่ร่วม
สืบสวน หรื อสอบสวน และเยียวยาผู้เสียหายจากการกระทา
ทรมาน
1.5 ความแตกต่างระหว่างการกระทาทรมานตามอนุสญ
ั ญาต่อต้านการทรมาน
กับธรรมนูญกรุ งโรมจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ
ธรรมนูญกรุงโรม ข้ อ 7 วรรค 2 e “การทรมานหมายถึง การกระทาโดย
เจตนาที่ทาให้เกิดความทุกข์หรื อความเจ็บปวดร้ายแรงต่อร่ างกายหรื อจิตใจของ
บุคคลในที่คุมขังหรื อภายใต้การควบคุมในฐานะผูถ้ ูกกล่าวหา
(a person in the custody or under the control of the accused) เว้นแต่การทรมาน
ไม่รวมถึงความเจ็บปวดทุกข์ทนที่เกิดจากการลงโทษตามกฎหมาย”
ความแตกต่าง
1. “ทรมานทัว่ ไป” อยูใ่ นอนุสญ
ั ญาต่อต้ านการทรมาน แต่
“ทรมานอย่างเป็ นระบบ หรื ออย่างกว้ างขวาง ตามนโยบาย” เป็ น
อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ (Crime against
humanity)
2. ธรรมนูญกรุงโรมเน้ น “โอกาส” (occasion) อนุสญ
ั ญา
ต่อต้ านการทรมานเน้ น “มูลเหตุจงู ใจ” (motive)
3.ธรรมนูญกรุ งโรมมีพัฒนาจากกฎหมายอาญาระหว่ างประเทศ
(International Criminal law) อนุสัญญาต่ อต้ านการทรมาน มี
พัฒนาการจากกฎหมายสิทธิมนุษยชน (Human rights law)
4. ธรรมนูญกรุ งโรมเน้ นคุ้มครองมนุษยชาติจากการกระทาความผิด
อาญาร้ ายแรง ผู้กระทาจึงอาจไม่ ใช่ เจ้ าหน้ าที่รัฐก็ได้ อาจเป็ นกลุ่มกบฏ แต่
อนุสัญญาต่ อต้ านการทรมานคุ้มครองบุคคลจากการกระทาของเจ้ าหน้ าที่รัฐ
ผู้กระทาจึงต้ องเป็ นเจ้ าหน้ าที่รัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้ องกับรัฐเท่ านัน้
Rome Statute
2. อนุสัญญาระหว่ างประเทศ
ว่ าด้ วยการคุ้มครองบุคคลจากการสู ญหายโดยถูกบังคับ
(THE INTERNATIONAL CONVENTION FOR THE PROTECTION OF
ALL PERSONS FROM ENFORCED DISAPPEARANCE)
2.1 ความหมายของการบังคับบุคคลให้ สูญหาย
อนุสญ
ั ญาฯข้ อ 2 ได้ ให้ คานิยามของการสูญหายโดยถูกบังคับว่า หมายถึง
“การจับกุม การคุมขัง การลักพาตัว หรื อ การลิดรอนเสรี ภาพรูปแบบอื่น ที่กระทาโดยเจ้ า
พนักงานของรัฐหรื อโดยบุคคลหรื อกลุม่ บุคคลที่กระทาการภายใต้ อานาจหรื อการสนับสนุน
หรื อการยอมรับของรัฐ ตามด้ วยการปฏิเสธไม่รับรู้การลิดรอนเสรี ภาพดังกล่าวหรื อโดยการ
ปกปิ ดชะตากรรมหรื อที่อยูข่ องผู้สญ
ู หาย ทาให้ ผ้ สู ญ
ู หายอยูน่ อกการคุ้มกันของกฎหมาย”
2.2 องค์ ประกอบของการกระทาความผิด
2.2.1 ผู้กระทา การบังคับบุคคลให้สูญหายที่จะเป็ นความผิดตามอนุสัญญาฯ
จากัดเฉพาะการกระทาความผิดที่เกิดขึ้นจากการกระทาของ
(1) เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรื อ
(2) บุ ค คลหรื อกลุ่ ม บุ ค คลซึ่ งด าเนิ น การภายใต้ อ านาจ การ
สนับสนุนหรื อการยอมรับจากรัฐ
2.2.2 การกระทา คือ
(1) การจับกุม กักขัง ลักพาตัว หรื อการกระทาในรู ปแบบใด ๆ ก็
ตามที่เป็ นการลิดรอนสิ ทธิเสรี ภาพ และ
(2) ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าได้มีการลิดรอนสิ ทธิ เสรี ภาพ หรื อ การ
ปกปิ ดชะตากรรม หรื อที่อยูข่ องบุคคลที่สูญหาย
2.2.3 วัตถุแห่ งการกระทา
บุคคลธรรมดา
2.2.4 องค์ ประกอบภายใน
เจตนา
2.2.5 ผลแห่ งการกระทา
ทาให้ผถู ้ ูกลิดรอนเสรี ภาพอยูน่ อกการคุม้ ครองของกฎหมาย
2.3 การปราบปรามการบังคับบุคคลให้ สูญหาย
2.3.1 การกาหนดความรับผิดทางอาญา
ข้อ 4 รัฐภาคีต้องดาเนินมาตรการที่จาเป็ นเพื่อกาหนดให้ การบังคับบุคคลให้
สูญหายเป็ นความผิดอาญาภายใต้ กฎหมายอาญาภายในรัฐตน
ข้อ 1 บุคคลจะถูกบังคับให้ สญ
ู หายมิได้
สถานการณ์ พิเศษทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็ นสภาวะสงคราม สภาวะคุกคาม
จากสงคราม การขาดเสถี ย รภาพทางการเมื อ งภายในประเทศ รวมทั้ง สถานการณ์
ฉุกเฉิ นใด ๆ ไม่อาจถูกยกเป็ นข้ออ้างของการกระทาให้บุคคลสูญหายได้
2.3.2 การบังคับบุคคลให้ สูญหายอย่ างเป็ นระบบหรืออย่ างกว้ างขวางจะเป็ น
อาชญากรรมต่ อมวลมนุษยชาติ
ข้ อ 5 การบังคับให้ บคุ คลสูญหายที่เป็ นการกระทาแบบกว้ างขวางและ
เป็ นระบบย่อมเป็ นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติและมีผลให้ นากฎหมาย
ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้ องมาบังคับใช้
2.3.3 ความรับผิดของผูบ้ งั คับบัญชา
(COMMANDER AND SUPERIOR RESPONSIBILITY)
•
ข้ อ 6 ผู้บงั คับบัญชาที่ร้ ูวา่ ผู้ใต้ บงั คับบัญชาจะไปกระทา
การหรื อได้ กระทาการบังคับบุคคลให้ สญ
ู หาย หรื อ เพิกเฉยต่อรายงาน
อย่างเป็ นทางการว่าผู้ใต้ บงั คับบัญชาจะไปกระทาหรื อได้ กระทาการ
บังคับบุคคลให้ สญ
ู หาย และ ไม่ดาเนินการป้องกันหรื อลงโทษ
ผู้ใต้ บงั คับบัญชา จะมีความรับผิดทางอาญา
2.3.4 เหตุเพิม่ โทษและเหตุบรรเทาโทษ
ข้ อ 7 อนุสญ
ั ญาได้ กาหนดเหตุบรรเทาโทษสาหรับผู้กระทาความผิดไว้ ในกรณีที่
ผู้นนได้
ั ้ มีสว่ นช่วยให้ ค้นพบบุคคลผู้สญ
ู หายในสภาพที่มีชีวิตอยู่ หรื อมีสว่ นช่วยให้ คดี
คลี่คลาย หรื อช่วยชี ้ตัวผู้กระทาความผิด
ข้ อ 8 อนุสญ
ั ญาได้ กาหนดเหตุเพิ่มโทษในกรณีของการบังคับให้ บคุ คลสูญหาย
นัน้ เป็ นผลให้ ผ้ เู สียหายถึงแก่ความตาย หรื อเพิ่มโทษให้ กบั ผู้กระทาความผิดในกรณีของ
ผู้เสียหายที่เป็ นสตรี มีครรภ์ ผู้เยาว์ ผู้พิการ หรื อผู้อ่อนแออื่น ๆ
2.3.5 อายุความ
ข้ อ 8 รัฐภาคีต้องกาหนดอายุความในคดีอาญาที่มีระยะเวลายาวและ
เหมาะสมกับการบังคับบุคคลให้ สญ
ู หายซึง่ ถือว่าเป็ นความผิดที่รุนแรง และต้ องกาหนดให้
อายุความคดีอาญาในความผิดฐานบังคับบุคคลให้ สญ
ู หายเริ่มนับเมื่อการกระทาได้ ยตุ ิลง
โดยคานึงว่าการกระทาความผิดฐานบังคับคนให้ สญ
ู หายเป็ นความผิดต่อเนื่อง
2.3.6 กาหนดเขตอานาจสากล
ข้ อ 9.2 ให้ กาหนดเขตอานาจสากล เพื่อให้ สอดคล้ องกับหลัก
“ไม่สง่ ตัว ก็ต้องดาเนินคดีลงโทษ”
aut dedere aut judicare
2.4 การป้องกันมิให้ บุคคลถูกบังคับให้ สูญหาย
2.4.1 การห้ ามมิให้ มกี ารคุมขังลับ
2.4.2 การสร้ างความโปร่ งใสให้ กับการคุมขังตามกฎหมาย
-การทาข้ อมูลคนถูกควบคุมตัว
-ให้ สทิ ธิญาติหรื อผู้มีส่วนได้ เสียเข้ าถึงข้ อมูล
-การสร้ างระบบยืนยันการปล่ อยตัวผู้ถูกควบคุมตัว
2.4.3 การฝึ กอบรมเจ้ าพนักงาน
2.5 การเยียวยาผู้เสี ยหาย
ข้ อ 24 ของอนุสญ
ั ญาให้ คานิยามว่า “ผู้เสียหาย” หมายถึง ผู้ถกู บังคับให้
สูญหายและหมายรวมถึงบุคคลอื่นที่ได้ รับความทุกข์ทรมานโดยตรงจากการถูกบังคับให้
บุคคลสูญหายด้ วย
ผู้เสียหายมีสทิ ธิได้ รับรู้ความจริงที่เกี่ยวกับพฤติการณ์ การถูกบังคับให้ สญ
ู
หาย ความคืบหน้ าและผลของการสอบสวน และชะตากรรมของคนสูญหายโดยถูกบังคับ
โดยรัฐจะต้ องจัดให้ มีมาตรการที่เดียวข้ องอย่างเหมาะสม
3. บทสรุป
“หลักของการปฏิบัตหิ น้ าที่ตามสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชน”
Crime control (Public order)
Due process
(Human Right)
3.1 สถานการณ์ปกติ ต้ องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในระดับสูงตาม
กฎหมาย เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
3.2 สถานการณ์ไม่ปกติ ระดับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอาจ
แตกต่างจากสถานการณ์ปกติ เช่น คุมขังได้ นานขึ ้น จากัดการใช้ สทิ ธิ
บางอย่าง
3.3 อย่างไรก็ตามในทุกกรณีไม่วา่ จะเป็ นสถานการณ์ปกติหรื อไม่ปกติ รัฐ
และเจ้ าพนักงานของรัฐจะทาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ ายแรงดังต่อไปนี ้
ไม่ได้ เช่น ฆาตกรรมนอกกฎหมาย การทรมาน หรื อ การบังคับบุคคลให้ สญ
ู
หาย เพราะเป็ นสิทธิมนุษยชนพื ้นฐาน
ขอบคุณครั บ