สิทธิมนุษยชน ในกระบวนการยุติธรรม ธนรัตน์ ทั่งทอง ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ประจาสานักประธานศาลฎีกา  วิชานี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคล ในป.วิ . อ. โดยการวิ เ คราะห์ ห ลั ก กฎหมาย ทฤษฎี และ ค าพิ พ ากษาศาลฎี ก า.

Download Report

Transcript สิทธิมนุษยชน ในกระบวนการยุติธรรม ธนรัตน์ ทั่งทอง ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ประจาสานักประธานศาลฎีกา  วิชานี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคล ในป.วิ . อ. โดยการวิ เ คราะห์ ห ลั ก กฎหมาย ทฤษฎี และ ค าพิ พ ากษาศาลฎี ก า.

สิทธิมนุษยชน
ในกระบวนการยุติธรรม
ธนรัตน์ ทั่งทอง
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
ประจาสานักประธานศาลฎีกา
 วิชานี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคล
ในป.วิ . อ. โดยการวิ เ คราะห์ ห ลั ก กฎหมาย ทฤษฎี และ
ค าพิ พ ากษาศาลฎี ก า เพื่ อ ให้ ส ามารถปรั บ ใช้ บ ทบั ญ ญั ติ
ของกฎหมายได้ในเชิงปฏิบัติ
สิทธิมนุษยชน (Human Rights)
สิทธิมนุษยชน (Human Rights) หมายถึง สิทธิความเป็นมนุษย์หรือ
สิทธิในความเป็นคน อันเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่ติดตัวมาตั้งแต่
เกิด สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ไม่สามารถโอนให้แก่กันได้ และไม่มีบุคคล องค์กร
หรือแม้แต่รัฐจะล่วงละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์นี้ได้สิทธิ ในความเป็นมนุษย์นี้
เป็นของคนทุกคน ไม่เลือกว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนา แหล่งกาเนิด เพศ อายุ สีผิว
ที่แตกต่างกันหรือมีความแตกต่างกันในด้านสุขภาพ ความคิดเห็นทางการเมือง
หรือความเชื่อทางศาสนาหรือฐานะทางเศรษฐกิจสังคม สิทธิมนุษยชนนั้นไม่มี
พรมแดน
สิทธิมนุษยชน (Human Rights)
นิยามตามพระราชบัญญัติสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 2542 มาตรา 3 “สิทธิ
มนุษยชนหมายถึง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของ
บุคคลที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
หรือตามกฎหมายไทย หรือตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้อง
ปฏิบัติตาม”
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity)
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) คือ การให้คุณค่า
แก่ ค วามเป็ น มนุ ษ ย์ คนทุ ก คนมี คุ ณ ค่ า เท่ า เที ย มกั น การปฏิ บั ติ ต่ อ คนๆ นั้ น
ต้ อ งเสมอกั น ในฐานะของความเป็ น มนุ ษ ย์ ห้ า มท าร้ า ยร่ า งกาย ทรมาน
อย่างโหดร้ายหรือกระทาการใดๆ ที่ถือเป็นการเหยียดหยามความเป็นมนุษย์
ความเสมอภาคและการเลือกปฏิบัติ
(Equality and Discrimination)
ความเสมอภาคและการเลือกปฏิบัติ (Equality and Discrimination)
ความเสมอภาค คือ การปฏิบัติต่อคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน หากมีการปฏิบัติ
ต่อมนุษย์โดยไม่เท่าเทียมกัน เรียกว่า การเลือกปฏิบัติ
การรับรองสิทธิมนุษยชนไว้ในกฎหมาย
1. การรับรองในกฎหมายระหว่างประเทศ (ประเทศไทยเป็นภาคีสนธิสัญญา)
- ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
- อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
- อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ
- กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง
- กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ ทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
- อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ
การรับรองสิทธิมนุษยชนไว้ในกฎหมาย (ต่อ)
2. การรับรองในกฎหมายภายในประเทศ
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
- กฎหมาย / พระราชบัญญัติต่างๆ
การรับรองสิทธิมนุษยชนไว้ในกฎหมาย (ต่อ)
กฎหมายภายในประเทศที่แก้ไขเพื่อรับรองตามหลักสิทธิมนุษยชน เช่น
- ป.อ. มาตรา 18, 73 , 276
- ป.พ.พ. มาตรา 1445, 1446, 1447/1, 1516(1) , 1523
- ป.วิ.อ. มาตรา 89, 89/1, 89/2, 246, 247 วรรคสอง
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 รับรองสิทธิเสรีภาพ ดังนี้
1. ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (มาตรา 4, 26)
2. ความเสมอภาคของบุคคล (มาตรา 30)
3. สิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย (มาตรา 32, 39)
4. สิทธิของผู้ต้องหา หรือจาเลย (มาตรา 40)
5. สิทธิของพยานและผู้เสียหายในคดีอาญา (มาตรา 40 (4) (40 (5))
6. สิทธิของเด็ก (มาตรา 49, 40 (6), 52, 84 (7))
7. เสรีภาพในการนับถือศาสนา (มาตรา 37, 79)
8. เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (มาตรา 45, 46, 47, 48)
9. เสรีภาพทางการศึกษา (มาตรา 49, 50)
10. สิทธิในทรัพย์สิน (มาตรา 41, 42)
11. สิทธิในการบริหารสาธารณสุขและสวัสดิการ (มาตรา 51)
12. สิทธิของผู้สูงอายุ (มาตรา 53, 80 (1) )
13. สิทธิของคนพิการหรือทุพพลภาพ (มาตรา 54, 80 (1)
14. สิทธิของผู้บริโภค (มาตรา 61, 61 วรรคสอง)
15. สิทธิของชุมชนท้องถิ่น (มาตรา 66, 67)
16. สิทธิในการรวมกลุ่มและการชุมนุม (มาตรา 64, 65, 63)
17. สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วม (มาตรา 56, 57, 58)
18. สิทธิในการร้องทุกข์และฟ้องคดี (มาตรา 59,60,62,212, 213)
19. สิทธิและเสรีภาพอื่นๆ (มาตรา 33, 34, 35,38, 52, 54 วรรคสอง,
55,69)
รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550

สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
มาตรา ๓๙ บุ ค คลไม่ ต้ อ งรั บ โทษอาญา เว้ น แต่ ไ ด้ ก ระท าการอั น
กฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกาหนดโทษ
ไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กาหนดไว้ในกฎหมายที่
ใช้อยู่ในเวลาที่กระทาความผิดมิได้
ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจาเลยไม่มี
ความผิด
ก่อนมีคาพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทาความผิด จะ
ปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทาความผิดมิได้
รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550
มาตรา ๔๐ บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้
(๑) สิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง
(๒) สิทธิพื้นฐานในกระบวนพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกัน
ขั้นพื้นฐานเรื่องการได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริง
และตรวจเอกสารอย่ า งเพี ย งพอ การเสนอข้ อ เท็ จ จริ ง ข้ อ โต้ แ ย้ ง และ
พยานหลั ก ฐานของตน การคั ด ค้ า นผู้ พิ พ ากษาหรื อ ตุ ล าการ การได้ รั บ การ
พิจารณาโดยผู้พิพากษาหรือตุลาการที่นั่งพิจารณาคดีครบองค์คณะ และการ
ได้รับทราบเหตุผลประกอบคาวินิจฉัย คาพิพากษา หรือคาสั่ง
(๓) บุ ค คลย่ อ มมี สิ ท ธิ ที่ จ ะให้ ค ดี ข องตนได้ รั บ การพิ จ ารณาอย่ า งถู ก ต้ อ ง
รวดเร็ว และเป็นธรรม
(๔) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จาเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดี
มีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดาเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และการ
ไม่ให้ถ้อยคาเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง
(๕) ผู้ เ สี ย หาย ผู้ ต้ อ งหา จ าเลย และพยานในคดี อ าญา มี สิ ท ธิ ไ ด้ รั บ
ความคุ้ ม ครอง และความช่ ว ยเหลื อ ที่ จ าเป็ น และเหมาะสมจากรั ฐ
ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จาเป็น ให้เป็นไปตามที่กฎหมาย
บัญญัติ
(๖) เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการหรือทุพพลภาพ ย่อมมีสิทธิได้รับ
ความคุ้มครองในการดาเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม และย่อมมีสิทธิ
ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ
(๗) ในคดี อ าญา ผู้ ต้ อ งหาหรื อ จ าเลยมี สิ ท ธิ ไ ด้ รั บ การสอบสวนหรื อ
การพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่าง
เพี ย งพอ การตรวจสอบหรื อ ได้ รั บ ทราบพยานหลั ก ฐานตามสมควร
การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัว
ชั่วคราว
(๘) ในคดี แ พ่ ง บุ ค คลมี สิ ท ธิ ไ ด้ รั บ ความช่ ว ยเหลื อ ทางกฎหมายอย่ า ง
เหมาะสมจากรัฐ
สิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550
ในส่วนที่เกี่ยวกับ ป.วิ.อ.
สิทธิ (rights) คือประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้แก่บุคคล
ในอันที่จะกระทาการเกี่ยวข้องกับทรัพย์หรือบุคคลอื่น เช่น สิทธิในทรัพย์สิน
สิทธิใ นชี วิตร่างกาย เป็ นต้น มี ความหมายในทางคุ้ม ครองบุคคลไม่ให้ผู้อื่ น
ล่วงละเมิดเจ้าของสิทธิ
เสรีภาพ (liberty)
คือ ภาวะของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงา
ของผู้อื่น มีอิสระที่จะกระทาการหรืองดเว้นกระทาการ เช่น เสรีภาพในการ
ติด ต่ อ สื่ อ สาร เสรีภ าพในการเดิ น ทาง เป็น ต้ น มี ค วามหมายในทางอิ ส ระ
ของเจ้าของเสรีภาพ
ป.วิ.อ. เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เป็นการใช้อานาจรัฐ
เพื่ อ รั ก ษาความสงบเรี ย บร้ อ ยและเอาผู้ ก ระท าความผิ ด มาลงโทษ อั น อาจ
มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยตรง
เดิมนักกฎหมายใช้ ป.วิ.อาญา โดยวิเคราะห์ตามตัวบท ไม่ได้คานึงถึงหลักการ
พื้นฐานที่ว่า มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพเต็มบริบูรณ์ การจากัดสิทธิเสรีภาพของมนุษย์
เป็นเพียงข้อยกเว้น ซึ่งต้องมีกฎหมายบัญญัติชัดเจน
นับแต่รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้นมา ได้ยืนยันหลักการพื้นฐานนี้
- ยกย่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
- ชี้นาแนวทางการใช้ ป.วิ.อาญา โดยนาไปบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
การตีความ ป.วิ.อ. จากหลักการพื้นฐานเรื่องสิท ธิเสรีภาพมิได้ทาให้ความ
ศักดิ์สิทธิ์ของมาตรการทางอาญาย่อหย่อนลง แต่กลับทาให้กระบวนการถูกต้อง
ยิ่งขึ้น และนาไปสู่ความยอมรับนับถือในกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย
อย่างมีประสิทธิภาพ
บุคคลมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2550 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ป.วิ.อ. ดังนี้
1. สิ ท ธิ เ สรี ภ าพในชี วิ ต และร่ า งกาย โดยมี สิ ท ธิ ที่ จ ะไม่ ถู ก กระท า ทรมาน
ทารุณกรรม หรือถูกลงโทษด้วยวิธีการโหดร้าย หรือไร้มนุษยธรรม (ร.ธ.น. มาตรา
32 วรรคหนึ่งและวรรคสอง)
2. สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองจากการจับ คุมขัง และค้น (ร.ธ.น. มาตรา 32
วรรคหนึ่ง วรรคสาม วรรคสี่และวรรคห้า 33วรรคหนึ่งวรรคสองและวรรคสาม ป.
วิ.อ. มาตรา 57, 59, 90)
“การจับ และคุมขังบุคคลจะกระทามิได้ เว้นแต่มีคาสั่งหรือหมายของศาล
หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
การค้นตัวบุคคล หรือการกระทาใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตาม
วรรคหนึ่ง จะกระทามิได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในกรณีที่มีการกระทาซึ่งกระทบต่อสิทธิเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหาย
พนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นใด เพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายมีสิทธิร้องต่อศาล
เพื่อให้สั่งระงับ หรือเพิกถอนการกระทาเช่นว่านั้น....” (ร.ธ.น. มาตรา 32 วรรค
สาม วรรคสี่และวรรคห้า)
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน
บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองในการที่จะอยู่อาศัย และครอบครอง
เคหสถานโดยปกติสุข
การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครอง
หรือการตรวจค้นเคหสถาน หรือในที่รโหฐานจะกระทามิได้ เว้นแต่มีคาสั่งหรือ
หมายของศาล หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ” (ร.ธ.น. มาตรา 33
วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสาม)
3. สิทธิที่จะไม่ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อมีการอ้างว่าบุคคล
ใดต้องถูกคุมขังโดยมิชอบแล้ว บุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขังยื่นคาร้อง
ต่อศาลขอปล่อยได้ (ร.ธ.น. มาตรา 32 วรรคห้า ป.วิ.อ. มาตรา 90)
4. สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับใช้กฎหมายอาญา ที่มีผลย้อนหลัง (ร.ธ.น. มาตรา
39 วรรคหนึ่ง ป.อ. มาตรา 2 วรรคแรก)
5. สิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จะปฏิบัติต่อบุคคลเสมือน
เป็ น ผู้ ก ระท าผิ ด ก่ อ นมี ค าพิ พ ากษามิ ไ ด้ (ร.ธ.น. มาตรา 39 วรรคสอง และ
วรรคสาม)
6. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาพิพากษา โดยผู้พิพากษาครบองค์คณะ (ร.ธ.น.
มาตรา 40 (2))
7. สิทธิที่จะได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ (ร.ธ.น.
มาตรา 40 (2) ป.วิ.อ. มาตรา 8)
8. สิทธิที่จะไม่ให้การหรือเบิกความในถ้อยคาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง (ร.ธ.น.
มาตรา 40 (4) ป.วิ.อ. 134/4)
9. สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง การปฏิบัติที่เหมาะสม และค่าตอบแทนที่
จะเป็นและสมควรจากรัฐ (ร.ธ.น. มาตรา 40 (5) )
10.สิ ท ธิ ที่จ ะได้ รั บการพิ จ ารณาประกัน หรือ ปล่ อ ยชั่ วคราว(ร.ธ.น.มาตรา
40(7)ป.วิ.อ.มาตรา 106 )
11. สิทธิที่จะได้รับการสอบสวน หรือพิจารณาคดีที่ถูกต้องรวดเร็ว และ
เป็นธรรม (ร.ธ.น. มาตรา 40 (7) ป.วิ.อ. มาตรา 134 วรรคสาม และ ป.วิ.อ.
มาตรา 8 (1) )
12. สิทจะธิที่มีทนายความหรือผู้ที่ตนไว้ใจ เข้าฟังการสอบปากคา (ร.ธ.น.
มาตรา 40 (7) ป.วิ.อ. มาตรา 7/1 , 134/3)
13. สิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในการจัดหาทนายความ (ร.ธ.น.
มาตรา 40 (7) ป.วิ.อ. 134/1 , 173)
14. สิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะตัว (ร.ธ.น. มาตรา
40 (7) ป.วิ.อ. มาตรา 7/1 )
15. สิทธิที่จะให้ถ้อยคาด้วยความสมัครใจ ไม่ถูกขู่เข็ญหลอกลวง ทรมาน
หรือให้สัญญา (ร.ธ.น. มาตรา 40(4)(7) ป.วิ.อ.มาตรา 135,226)
แนวคิดในการจับ ขัง
การจั บ ขั ง ตามหลั ก ป.วิ . อ. เดิ ม มุ่ ง บั ง คั บ ใช้ ก ฎหมายเพื่ อ บั ง คั บ
ให้มีประสิทธิภาพ การจับขังควบคุม เพื่อนาตัวผู้ต้องหาหรือจาเลยมาสอบ
ขยายผล นาหลักฐานมาสั่งฟ้อง / ลงโทษ
ปัจจุบันนาแนวสิทธิมนุษยชนมาพิจารณา 2 ด้าน
1. ด้านสิทธิประโยชน์ของผู้ต้องหา/จาเลย
 เสรีภาพขั้นพื้นฐานในการเป็นผู้บริสุทธิ์
 ลดทอนศักยภาพในการต่อสู้คดีค้นหาพยาน
 กระทบกระเทือนเครดิต เศรษฐกิจ
2. ด้านประโยชน์และสิทธิของชุมชน/สังคม/เจ้าพนักงาน
 ผู้ต้องหา/จาเลย ต้องมาร่วมพิจารณาคดี = ระบบศักดิ์สิทธิ์
 ผู้ต้องหา/จาเลย ไม่มีโอกาสทาลายพยานหลักฐาน
 ผู้ต้องหา/จาเลย ไม่มีโอกาสทาอันตรายคนอื่นอีกต่อไป
ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการออก
หมายเรียก และหมายอาญา
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
ป.วิ.อาญา
ป.อาญา
กฎหมายอื่น ๆ
ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการฯ ว่าด้วยแนวปฏิบัติในการออกหมายจับ หมายค้น
และหมายขัง พ.ศ. 2545
ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ฯ เกี่ยวกับการออกคาสั่งหรือ
หมายอาญา พ.ศ. 2548
ความเป็นมาของระเบียบกฎหมายที่ใช้บังคับ
หมายเรียก และหมายอาญา
เดิมก่อนรัฐธรรมนูญ 2540
- ตารวจ ฝ่ายปกครองและศาล มีอานาจออกหมายอาญา (ป.วิ.อ. มาตรา 57
เดิม , 58 เดิม)
 เมื่อใช้รัฐธรรมนูญ 2540 แล้ว (ม.237 , 238)
- ศาลเท่านั้นมีอานาจออกหมายอาญา
- ยังไม่มีการแก้ไข ป.วิ.อ. ประธานฯ ออกระเบียบราชการฝ่ายตุลาการฯ ว่าด้วย
แนวปฏิบัติในการออกหมายจับ หมายค้น และหมายขัง พ.ศ. 2545
- ต่อมามี พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547 รับรองให้ศาล
เท่านั้นมีอานาจออกหมายอาญา (ม.57 , 58) และให้ประธานฯ ออกข้อบังคับว่าด้วย
หลักเกณฑ์ฯ เกี่ยวกับการออกคาสั่งหรือหมายอาญา พ.ศ. 2548 นี้

สรุป ป.วิ.อ.มาตราสาคัญที่เคยออกสอบเนติบัณฑิต ในรอบ 11 ปี
(สมัย56 - สมัย66)
สมัย 66 ข้อ 6 มาตรา 57,78(1),80,92(3),93
สมัย 65 ข้อ 6 มาตรา 81,92 วรรคหนึ่ง (5),94 วรรคสอง,98 (2)
สมัย 64 ข้อ 6 มาตรา 2(13),78,80,81,92(2)
สมัย 63 ข้อ 6 มาตรา 2(9),66(2),77 วรรคสอง(1),78(3)
สมัย 62 ข้อ 6 มาตรา 78 ,79,81
สมัย 61 ข้อ 6 มาตรา 66(2),71,78(3),87,134/1
ข้อ 3 มาตรา 2(6),18วรรคสอง,19(3),78(1),93,120
ข้อ 2 มาตรา120 ,133ทวิ,134,134/2,134/4
สมัย 60 ข้อ 6 มาตรา66(2),78(3),81

สรุป ป.วิ.อ.มาตราสาคัญที่เคยออกสอบเนติบัณฑิต ในรอบ 11 ปี
(สมัย56 - สมัย66) ต่อ
สมัย 59 ข้อ 6 มาตรา 2(10),2(11),131,66,67
สมัย 58 ข้อ6 มาตรา 52วรรคหนึ่ง,66(2),71,78(1)(3),85วรรคหนึ่ง,
134วรรคห้า
สมัย 57 ข้อ 6 มาตรา 78(1),80,81,83วรรคหนึ่ง,92(2),
รัฐธรรมนูญ 2540มาตรา237,238
สมัย 56 ข้อ 6 มาตรา 90,136,รัฐธรรมนูญ2540 มาตรา 237
วรรคหนึ่ง,240
การจับ
(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใด
น่าจะได้กระทาความผิดอาญา ซึ่งมีอัตรา
โทษจาคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี หรือ
เหตุออกหมายจับ
(มาตรา 66)
(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใด
น่าจะได้กระทาผิดอาญา และมีเหตุ
อันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไป
ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือจะไป
ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุ
อันตรายประการอื่น
เหตุยกเว้นไม่ต้องมีหมายจับ
(มาตรา 78)
ฝ่ายปกครองหรือตารวจ
จะจับโดยไม่มีหมายจับหรือ
คาสั่งศาลไม่ได้เว้นแต่
(1) เมื่อบุคคลนั้นทาความผิดซึ่งหน้า
ตามมาตรา 80
(2) เมื่อพบบุคคลมีพฤติการณ์อันควร
สงสัยว่าน่าจะก่อเหตุร้าย
(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับตาม
มาตรา 66(2) แต่มีความจาเป็น
เร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออก
หมายจับได้
(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจาเลยที่หนี
หรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อย
ชั่วคราวตามมาตรา 117
ความผิดซึ่งหน้า
(มาตรา 80)
(1) ความผิดซึ่งเห็นกาลังกระทาหรือพบ
ในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัย
เลยว่าเขาได้กระทาผิดมาแล้วสดๆ
(2) ความผิดอาญาดังที่ระบุไว้ในบัญชีท้าย
ป.วิ.อ. ให้ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า
ในกรณีที่
(1) เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดั่งผู้กระทา (2) เมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันที
โดยมีเสียงร้องเอะอะ
ทันใดหลังจากกระทาผิดใน
ถิ่นใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุนั้น
“หลักฐานตามสมควร”
ในการออกหมายจับ หมายขัง /มีมูลชั้นไต่สวนมูลฟ้อง / ลงโทษจาเลย
ระดับแรก
=
มีเหตุสงสัย แต่ยังไม่มีข้อมูลหรือพยานหลักฐานใดสนับสนุนให้
น่าเชื่ออย่างเพียงพอว่าบุคคลนั้นได้กระทาความผิด
ระดับที่สอง
=
มีข้อมูลหรือพยานหลักฐานสนับสนุนเหตุอันควรสงสัยมาก
เพียงพอที่จะทาให้น่าเชื่อว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทาความผิด
ระดับที่สาม
=
มีพยานหลักฐานมากถึงขนาดที่จะนาคดีเข้าสู่กระบวนการ
วินิจฉัยชี้ขาดว่าบุคคลนั้นได้กระทาความผิด
ระดับที่สี่
=
มีพยานหลักฐานมากเพียงพอที่จะทาให้เชื่อโดยปราศจาก
ข้อสงสัยว่าจาเลยได้กระทาความผิดจริง
เกณฑ์มาตรฐานในชั้นออกหมายจับมีน้าหนักน้อยกว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้น
พิจารณา ซึ่งน่าจะระดับสอง แต่ต้องมีความน่าจะเป็นว่า มีการกระทาความผิดขึ้นและบุคคล
นั้นน่าจะเป็นผู้กระทาความผิดมากกว่าร้อยละ 50 ขึ้นไป
การค้น
เหตุออกหมายค้น
(มาตรา 69)
(1) เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งจะเป็นพยาน
หลักฐานประกอบการสอบสวน ไต่สวน
มูลฟ้องหรือพิจารณา
(2) เพื่อพบและยึดสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิด
หรือ ได้มาโดยผิดกฎหมาย หรือมีเหตุอันควร
สงสัยว่าได้ใช้หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทา
ความผิด
(3) เพื่อพบและช่วยบุคคลซึ่งได้ถูกหน่วงเหนี่ยว
หรือกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
(4) เพื่อพบบุคคลซึ่งมีหมายให้จับ
(5) เพื่อพบและยึดสิ่งของตามคาพิพากษาหรือ
ตามคาสั่งศาล ในกรณีที่จะพบหรือจะยึดโดย
วิธีอื่นไม่ได้แล้ว
การค้น
1 การค้นตัวบุคคล
การค้น
2 การตรวจค้นสถานที่ (การค้นในที่รโหฐาน
มาตรา 92)
การค้นตัวบุคคล
(1) การค้นตัวบุคคลในที่สาธารณสถาน
(มาตรา 93)
(2) การค้นตัวบุคคลซึ่งอยู่ในที่รโหฐาน
(มาตรา 100 วรรคสอง)
(3) การค้นตัวผู้ต้องหา
(มาตรา 85 วรรคสอง)
การค้นบุคคลในที่สาธารณสถาน
(มาตรา 93)
ฝ่ายปกครองหรือตารวจเป็นผู้ค้นและ
ห้ามมิให้ทาการค้นบุคคลใด
ในที่สาธารณสถาน เว้นแต่
เมื่อมีเหตุสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของ
ในความครอบครอง
เหตุยกเว้นไม่ต้องมีหมายค้นในที่รโหฐาน (มาตรา 92) ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐาน
โดยไม่มีหมายค้นหรือคาสั่งของศาลเว้นแต่
ฝ่ายปกครองหรือ
ตารวจเป็นผู้ค้น
(1) เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วย/มีเสียงหรือพฤติการณ์
แสดงว่ามีเหตุร้ายในที่รโหฐาน
(2) เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้าในที่รโหฐาน
(3) บุคคลที่กระทาผิดซึ่งหน้าขณะที่ถูกไล่จับ
หนีเข้าไปในนั้น
(4) มีหลักฐานว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิด ฯลฯ
ได้ซ่อนอยู่ในนั้น
(5) เมื่อที่รโหฐานนั้น ผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน
และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตาม
มาตรา 78
หลักฐานตามสมควรในการออกหมายค้น
- ข้อบังคับฯ ข้อ 18 การรับฟังพยานหลักฐาน ไม่จาเป็นต้องถือเคร่งครัด
เช่นเดียวกับใช้พิสูจน์ความผิดของจาเลย
- ต้องเสนอหลักฐานให้เพียงพอที่ทาให้น่าเชื่อว่าจะพบบุคคลหรือสิ่งของใน
สถานที่นั้น ไม่ใช่เพียงแต่สงสัยก็จะมาขอให้ออกหมายค้น
องค์คณะในการพิจารณาและทาคาสั่ง
- เป็นอานาจของผู้พิพากษาคนเดียว
- แต่หากขอให้ศาลอาญาออกหมายค้นนอกเขตศาล/ค้นเพื่อจับ ผู้ดุร้ายหรือ
ผู้ร้ายสาคัญในเวลากลางคืน ต้องมีผู้พิพากษา 2 คน เป็นองค์คณะ โดยเป็นผู้พิพากษา
ประจาศาลได้ไม่เกิน 1 คน (ข้อบังคับ ฯ ข้อ 27 ,37)
การควบคุมและขัง
เหตุออกหมายขัง (มาตรา71)
การควบคุมและขัง
กาหนดเวลาควบคุม (มาตรา 87)
การขอให้ปล่อยผู้ถูกคุมขัง (มาตรา 90)
การจับ
การจับ คือการควบคุมความเคลื่อนไหวของบุคคลโดยเจ้าพนักงานเพื่อให้
เขาให้การตอบข้อกล่าวหาทางอาญา ซึ่งจะต้องมีการยึดตัวบุคคลไว้ ไม่ใช่เพียง
การจากัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหวเท่านั้น
การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลในส่วนที่เกี่ยวกับการจับตามกฎหมาย
ของประเทศสหรัฐอเมริกา
รัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา แก้ไขเพิ่มเติม ที่ 4 (The Forth
Amendment) มีหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลว่า “สิทธิของบุคคล
ที่จะมีความปลอดภัยมั่นคงในร่างกาย เคหสถาน เอกสารและวัตถุสิ่งของต่อ
การค้น การยึด และการจับ ที่ไม่มีเหตุอันควรจะถูกล่วงละเมิดมิได้ และ
ห้ามมิให้มีการออกหมาย เว้นแต่จะมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าผู้
นั้นน่าจะได้กระทาความผิด (probable cause)”
probable cause เป็นเรื่องทีเกี่ยวกับความน่าจะเป็นหรือความ
น่าจะเป็นเช่นนั้นมากกกว่าไม่เป็น (probability) และในการขอให้ศาลออก
หมายจับ เจ้าพนักงานต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่ามี probable
cause อัน
ประกอบด้วย
(1) ต้ อ งมี ข้ อ เท็ จ จริ ง หรื อ เหตุ ก ารณ์ ที่ เ จ้ า พนั ก งานรู้ แ ละท าให้ เ จ้ า
พนักงานเชื่อโดยสุจริตเพียงพอว่ามีการกระทาความผิดเกิดขึ้น และบุคคลที่จะ
ถูกออกหมายจับเป็นผู้กระทา
(2) ต้องมีข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่วิญญูชนทั่วๆ ไปพอที่จะเห็นได้ว่า
เป็นไปได้ที่มีการกระทาความผิดเกิดขึ้น และบุคคลที่จะถูกออกหมายจับเป็น
ผู้กระทา
ร.ธ.น. 2540 เปลี่ยนแปลงผู้มีอานาจออกหมายจับ และหมายค้นจาก
เดิมที่มีศาล พนักงานฝ่ายปกครอง และตารวจชั้นผู้ใหญ่ เป็นศาลเพียงองค์กร
เดียว = มีวัตถุประสงค์ให้ได้รับพิจารณากลั่นกรองด้วยความรอบคอบเป็น
หลักประกันการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ / สร้างดุลยภาพระหว่างการคุ้มครองสิทธิ
ตาม ร.ธ.น. กับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
มาตรา 31 วรรคหนึ่ง = บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในชีวิตร่างกายคือ
สิทธิพื้นฐาน ส่วนมาตรการคุ้มครองสิทธิอยู่ในมาตรา 31 วรรคสามว่าการจับ
จะกระทามิได้เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามกฎหมาย
รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540
มาตรา ๒๓๗ ในคดีอาญา การจับและคุมขังบุคคลใด จะกระทามิได้ เว้นแต่
มีคาสั่งหรือหมายของศาล หรือผู้นั้นได้กระทาความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุจาเป็น
อย่างอื่นให้จับได้โดยไม่มีหมายตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยผู้ถูกจับจะต้องได้รับ
การแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดแห่งการจับ โดยไม่ชักช้า กับจะต้องได้รับ
โอกาสแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับไว้วางใจทราบในโอกาส แรก และผู้ถูกจับ
ซึ่งยังถูกควบคุมอยู่ ต้องถูกนาตัวไปศาลภายในสี่ สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่
ผู้ถูกจับถูกนาตัวไป ถึงที่ทาการของพนักงานสอบสวน เพื่อศาลพิจารณาว่ามีเหตุ
ที่จะขังผู้ ถูกจับไว้ตามกฎหมายหรือไม่ เว้นแต่มี เหตุสุ ดวิสัยหรือมีเหตุจาเป็น
อย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
หมายจับหรือหมายขังบุคคลจะออกได้ต่อเมื่อ
(๑) มีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทาความผิดอาญาร้ายแรงที่มี
อัตราโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือ
(๒) มีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทาความผิดอาญา และมีเหตุ
อันควรเชื่อว่าผู้นั้นจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุ
อันตรายประการอื่นด้วย
( พิจารณาประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 66 , 78 )
ปัจจุบัน ร.ธ.น. 2550 มีหลักการเช่นเดิมเป็นไปตามมาตรา 32 วรรค
หนึ่ง บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และวรรคสาม การจับ
และการคุมขังบุคคล จะกระทามิได้ เว้นแต่มีคาสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุ
อย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
ป.วิ.อ.มาตรา 57 ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติใน มาตรา 78 มาตรา 79
มาตรา 80 มาตรา 92 และมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายนี้ จะจับ ขัง จาคุก
หรือค้นในที่รโหฐานหาตัวคนหรือสิ่งของ ต้องมีคาสั่งหรือหมายของศาลสาหรับ
การนั้น
บุคคลที่ ต้อ งขัง หรื อจ าคุก ตามหมายศาล จะปล่ อ ยไปได้ก็เ มื่อ มีห มาย
ปล่อยของศาล
มาตรา 58 ศาลมีอานาจออกคาสั่งหรือหมายอาญาได้ภายในเขตอานาจ
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
มาตรา 59/1 ก่อนออกหมาย จะต้องปรากฏพยานหลักฐานตามสมควร
ที่ ท าให้ ศ าลเชื่ อ ได้ ว่ า มี เ หตุ ที่ จ ะออกหมายตามมาตรา 66 มาตรา 69 หรื อ
มาตรา 71
ค าสั่ ง ศาลให้ อ อกหมายหรื อ ยกค าร้ อ ง จะต้ อ งระบุ เ หตุ ผ ลของค าสั่ ง
นั้นด้วย
หลั ก เกณฑ์ ใ นการยื่ น ค าร้ อ งขอ การพิ จ ารณา รวมทั้ ง การออกค าสั่ ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา
เหตุในการออกหมายจับ (มาตรา 66)
เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทาความผิดอาญาซึ่งมี
อัตราโทษจาคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ
(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทาความผิดอาญา และมี
เหตุอันควรเชื่อได้ว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุ
อันตรายประการอื่น
ถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดย
ไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี
(แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ในปี 2547 โดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547)
การจัดการตามหมายจับ (มาตรา 77)
- จะจัดการตามเอกสารหรือหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น สาเนาก็ได้
ฎ. 3031/2547 สาเนาที่ทาขึ้นเองโดยการพิมพ์ และมีเจ้าหน้าที่ลงลายมือชื่อ
รับรองสาเนาถูกต้อง ใช้ได้ แม้จะไม่ได้ถ่ายจากต้นฉบับ และผู้ลงลายมือชื่อออก
หมายไม่ได้เป็นผู้รับรองนั้น
การจับโดยไม่ต้องมีหมายจับของศาล (มาตรา 78)
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคาสั่งของศาล
นั้นไม่ได้ เว้นแต่
(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทาความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80
(2) เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิด
ภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยมีเครื่องมือ อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นที่
อาจใช้ในการกระทาความผิด
(3) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา 66 (2) แต่มีความจาเป็น
เร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้
(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจาเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อย
ชั่วคราวตามมาตรา 117
(แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นใหม่ในปี 2547 โดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2547)
มาตรา ๘๐ ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกาลังกระทา
หรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทาผิดมาแล้วสดๆ
อย่างไรก็ดี ความผิดอาญาดั่งระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ ให้ถือว่า
ความผิดนั้นเป็นความผิดซึ่งหน้าในกรณีดังนี้
(๑) เมื่อบุคคลหนึ่งถูกไล่จับดั่งผู้กระทาโดยมีเสียงร้องเอะอะ
(๒) เมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทาผิดในถิ่นแถว
ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุนั้นและมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทาผิด หรือมีเครื่องมือ
อาวุธหรือวัตถุอย่างอื่นอันสันนิษฐานได้ว่าได้ใช้ในการกระทาผิด หรือมีร่องรอย
พิรุธเห็นประจักษ์ที่เสื้อผ้าหรือเนื้อตัวของผู้นั้น
มาตรา ๘๑ ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่
จะได้ทาตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน
หลักตาม ป.วิ.อ. มาตรา 57 วรรคหนึ่ง
ค้ น ในที่ ร โหฐานหาตั ว คนหรื อ สิ่ ง ของต้ อ งมี ค าสั่ ง หรื อ หมายค้ น ของศาล
เหตุที่จะออกหมายค้น มาตรา 69
(1) เพื่อพบหรือยึดสิ่งของซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานประกอบการสอบสวน
ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณา
(2) เพื่อพบหรือยึดสิ่งของ ซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยผิดกฎหมาย
หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้หรือตั้งใจจะใช้ในการกระทาความผิด
(3) เพื่ อ พบและช่ ว ยบุ ค คล ซึ่ ง ได้ ถู ก หน่ ว งเหนี่ ย วหรื อ กั ก ขั ง
โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
(4) เพื่อพบบุคคลซึ่งมีหมายให้จับ
(5) เพื่อพบและยึดสิ่งของตามคาพิพากษา หรือตามคาสั่งของศาล ใน
กรณีที่พบและยึดโดยวิธีอื่นไม่ได้แล้ว
มาตรา ๙๒ ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคาสั่งของศาล เว้นแต่
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจเป็นผู้ค้น และในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในที่รโหฐาน หรือมีเสียงหรือพฤติการณ์อื่น
ใดอันแสดงได้ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นในที่รโหฐานนั้น
(๒) เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากาลังกระทาลงในที่รโหฐาน
(๓) เมื่อบุคคลที่ได้กระทาความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอัน
แน่นแฟ้นควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น
(๔) เมื่อมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดย
การกระทา ความผิดหรือได้ใช้หรือมีไว้เพื่อจะใช้ในการกระทา ความผิด หรืออาจเป็น
พยานหลักฐานพิสูจน์การกระทาความผิดได้ซ่อนหรืออยู่ในนัน้ ประกอบทั้งต้องมีเหตุ
อันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้สิ่งของนัน้ จะถูกโยกย้าย
หรือทาลายเสียก่อน
(๕) เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับ
ตามมาตรา ๗๘ การใช้อานาจตาม (๔) ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจผู้ค้นส่งมอบ
สาเนาบันทึกการตรวจค้นและบัญชีทรัพย์ที่ได้จากการตรวจค้น รวมทั้งจัดทาบันทึกแสดง
เหตุผลที่ทาให้สามารถเข้าค้นได้เป็นหนังสือให้ไว้แก่ผู้ครอบครองสถานที่ที่ถูกตรวจค้น แต่
ถ้าไม่มีผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้น ให้ส่งมอบหนังสือดังกล่าวแก่บุคคลเช่นว่านั้นในทันทีที่
กระทาได้ และรีบรายงานเหตุผลและผลการตรวจค้นเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาเหนือ
ขึ้นไป
มาตรา ๙๖ การค้นในที่รโหฐานต้องกระทาระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก มี
ข้อยกเว้นดังนี้
(๑) เมื่อลงมือค้นแต่ในเวลากลางวัน ถ้ายังไม่เสร็จจะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้
(๒) ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง หรือซึ่งมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ จะทาการ
ค้นในเวลากลางคืนก็ได้
(๓) การค้นเพื่อจับผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสาคัญจะทาในเวลากลางคืนก็ได้ แต่ต้องได้รับ
อนุญาตพิเศษจากศาลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในข้อบังคับของประธานศาล
ฎีกา
- ที่รโหฐาน หมายความถึง ที่ต่างๆ ที่มิใช่สาธารณสถานดังที่บัญญัติไว้ใน
กฎหมายลักษณะอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 2 (13)
- สาธารณสถาน หมายความว่า สถานที่ใดๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบ
ธรรมที่จะเข้าไปได้ ป.อ. มาตรา 1 (3)
- เคหสถาน หมายความว่า ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยเช่นเรือน โรง เรือ แพ ซึ่งคน
อยู่อาศัย รวมถึงทางรถไฟและทางรถรางที่มีรถเดินสาหรับปชช.(ป.อ.1(4))
ตัว อย่า ง - โรงหญิ ง นครโสเภณี วั ดวาอาราม ศาลยุ ติธรรม โรงละคร โรงแรม
ตามปกติเป็นสาธารณสถาน แต่บางส่วนของสถานที่เหล่านี้ ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิจะ
เข้าไปไม่ใช่ที่สาธารณสถาน (ฎ. 631/ร.ศ.129)
- สถานี ร ถไฟ และสถานที่ บ นขบวนรถไฟ มิ ใ ช่ ที่ ร โหฐาน (ฎ.
2024/2497)
- ห้องโถงในสถานค้าประเวณีผิดกฎหมายเวลารับแขกมาเที่ยว เป็น
สาธารณสถาน (ฎ. 883/2520 ประชุมใหญ่)
- ห้ อ งโถงในสถานการค้ า ประเวณี ผิ ด กฎหมาย เวลาแขกมาเที่ ย ว
เป็นสาธารณสถานซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ พลตารวจมีอานาจค้น
โดยไม่ต้องมีหมายค้น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 93 จาเลยขัดขวางเป็นความผิดตาม ป.อ.
มาตรา 140 พลตารวจจับได้ (ฎ.883/2520 ประชุมใหญ่)
ข้อสังเกต ตามฎีกาข้างต้นนี้ ถือว่าเป็นสาธารณสถานเฉพาะเวลาที่เปิด
ให้แขกเข้าไปใช้บริการ ในช่วงเวลานี้จึงไม่เป็นที่รโหฐาน เจ้าพนักงานตารวจจึงค้นตัว
จาเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น
โจทก์ใช้ห้องพักในบ้านเกิดเหตุเป็นที่สาหรับให้หญิงค้าประเวณีกับบุคคล
ทั่วไป คืนเกิดเหตุ นางสาว น. ลูกจ้างของโจทก์ได้ทาการค้าประเวณีในห้องพักนั้นด้วย
ห้องพักดังกล่าวถือได้ว่าเป็นสาธารณสถาน (ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น)
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 6557/2547
จาเลยเห็นเหตุการณ์ที่คนร้ายผู้ลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายนารถ จักรยานยนต์ของผู้เสียหาย
เข้ามาในบ้านของจาเลยและถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ ของผู้เสียหายในยามวิกาล ซึ่งเป็นเรื่องที่คนร้าย
เคยกระทามาแล้วและจาเลยก็รับรู้โดยถือเป็นเรื่อง ปกติ ทั้งที่ความจริงการซ่อมรถ การถอดชิ้นส่วนรถควร
จะกระทาในเวลากลางวันอันเป็นเวลาทาการงานของคนทั่วไป การดาเนินการถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์
ในเวลากลางคืนย่อมส่อแสดงถึงความผิด ปกติ เมื่อถูกเจ้าพนักงานตารวจจับกุม จาเลยก็นาเจ้าพนักงาน
ตารวจไปชี้จุดที่นาชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไปทิ้งได้ถูก ต้อง แสดงว่าจาเลยน่าจะมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการ
นาชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของผู้ เสียหายไปทิ้ง สาหรับชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่เจ้าพนักงาน
ตารวจยึดได้จากบ้าน ของจาเลยวางอยู่ด้านหน้าของบ้านลักษณะเป็นห้องรับแขก บางส่วนอยู่ในกล่องไม่มี
อะไรปิดบัง แม้จะเป็นการวางไว้อย่างเปิดเผยและบ้านของจาเลยยังไม่มีประตูรั้วกับประตู บ้านทั้งยังสร้างไม่
เสร็จ แต่โดยสภาพของบ้านที่พักอาศัยย่อมถือเป็นที่รโหฐาน บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิเข้าไปโดยมิได้รับ
อนุญาต การเก็บชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไว้ในบ้านของจาเลยในลักษณะดังกล่าว ไม่พอให้รับฟังได้ว่าเป็นการ
กระทาโดยเปิดเผยและโดยสุจริตของจาเลยซึ่งเป็น ผู้ครอบครองบ้าน น่าเชื่อว่าจาเลยรู้ว่ารถจักรยานยนต์ที่
นาไปถอดชิ้นส่วนที่บ้านของจาเลยเป็น รถจักรยานยนต์ที่คนร้ายได้มาจากการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์
การกระทาของจาเลยเป็นการช่วยซ่อนเร้น หรือรับไว้ด้วยประการใด ๆ ซึ่งชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์ของ
ผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักมา โดยจาเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทาความผิดฐานลักทรัพย์
จาเลยย่อมมีความผิดฐานรับของโจร
-โรงค้าไม้มีรั้วรอบขอบชิด นอกจากเป็นสถานที่ประกอบการค้าแล้ว ยังเป็นที่อาศัยด้วยใน
ยามที่โรงค้าหยุดดาเนินกิจการ ภายในบริเวณโรงค้าไม้ ด้านหน้าและหลังย่อมไม่ใช่
สาธารณสถาน แต่เป็นที่รโหฐาน (ฎ.2914 /2537)
การจับกรณีความผิดซึ่งหน้า(มาตรา78(1))
ตัวอย่างกรณีถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า
- เห็นกาลังจาหน่ายยาเสพติด ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า
ฎีกาที่ 7454/2544 เจ้าพนักงานตารวจผู้ร่วมจับกุมจาเลยได้แอบซุ่มดูอยู่ที่หน้าบ้าน
จาเลยห่างประมาณ 30 เมตร ชุดหนึ่ง และ 20 เมตรอีกชุดหนึ่ง เห็นสายลับมอบธนบัตรให้
จาเลย แล้วจาเลยไปนาสิ่งของที่ซุกซ่อนมามอบให้สายลับซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีน 4 เม็ด
การที่เจ้าพนักงานตารวจเห็นการกระทาดังกล่าวของจาเลยเป็นการเห็นจาเลยกาลังกระทา
ความผิดฐานจาหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดซึ่งหน้า
ตัวอย่างกรณีถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า
- เห็นกาลังจาหน่ายยาเสพติด ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า
ถ้าความผิดซึ่งหน้านั้นกระทาในที่รโหฐาน ตารวจเข้าไปค้นในที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมี
หมายค้น (มาตรา 92 (2)) และถ้าเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งอาจทาการค้นในเวลากลางคืนได้
(มาตรา 96 (2))
ฎีกาที่ 4461/2540 จ่าสิบตารวจ ส. และร้อยตารวจเอก ป. จับจาเลยได้ขณะที่จาเลย
กาลังขายวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่จ่าสิบตารวจ ส. ผู้ล่อซื้อ ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ขณะนั้นธนบัตร
ที่ใช้ล่อซื้ออยู่ที่จาเลยและจาเลยดิ้นรนต่อสู้ ถ้าปล่อยให้เนิ่นช้ากว่าจะนาหมายจับและหมายค้น
มาได้จาเลยอาจหลบหนีและพยานหลักฐานอาจสูญหาย จึงเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง จ่าสิบ
ตารวจ ส. และร้อยตารวจเอก ป. จึงได้มีอานาจเข้าไปในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุอันเป็นที่รโหฐาน
ในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องมีหมายค้นและมีอานาจจับจาเลยซึ่งเป็นผู้กระทาความผิดได้โดยไม่
ต้องมีหมายจับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 80, 81 ประกอบมาตรา 92 (2) และ 96 (2)
ตารวจจับคนหนึ่งได้ขณะล่อซื้อยาเสพติด ถือเป็นความผิดซึ่งหน้า แล้วพาตารวจไปจับกุม
ผู้ร่วมกระทาผิดในเวลาต่อเนื่องทันที ถือว่าเป็นการจับกุมผู้กระทาผิดซึ่งหน้าเช่นกัน ตารวจจึง
จับกุมผู้กระทาผิดคนหลังในห้องพัก อันเป็นที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (มาตรา 78 (1)
ประกอบมาตรา 81 (1) และไม่ต้องมีหมายค้น (มาตรา 92 (2))
ฎีกาที่ 1259/2542 จาเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกระทาผิดกับจาเลยที่ 2 ในการ
กระทาความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีน การที่จาเลยที่ 2 ขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จ่าสิบ
ตารวจ ส. เป็นความผิดซึ่งหน้า เมื่อจาเลยที่ 2 ถูกจับกุมแล้วได้นาจ่าสิบตารวจ ส. ไปจับกุม
จาเลยที่ 1 เป็นการต่อเนื่องกันทันที ถือได้ว่าจ่าสิบตารวจ ส. จับกุมจาเลยที่ 1 ในการกระทาผิด
ซึ่งหน้าด้วยเช่นกัน เพราะหากล่าช้าจาเลยที่ 1 ก็อาจหลบหนีไปได้ และการตรวจค้นจาเลยที่ 1
ยังพบเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก 95 เม็ด ดังนั้น แม้จ่าสิบตารวจ ส. เข้าไปจับจาเลยที่ 1 ใน
ห้องพักของจาเลยที่ 1 ซึ่งเป็นที่รโหฐานก็ตาม จ่าสิบตารวจ ส. ก็ย่อมมีอานาจที่จะจับกุมจาเลยที่
1 ได้โดยชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 81 (1), 92 (2)
(มาตรา 81 (1) เป็นการอ้างบทบัญญัติเดิม ซึ่งตรงกับมาตรา 81 ที่แก้ไขใหม่ปี 2547)
- ตารวจเห็นจาเลยซื้อขายยาเสพติดให้โทษให้แก่สายลับ จึงเข้าตรวจจับกุม
จาเลย พบยาเสพติดให้โทษอีกจานวนหนึ่ง การตรวจค้นจับกุมได้กระทาต่อเนื่องกัน
เป็นความผิดซึ่งหน้าทั้งสองข้อหา ตารวจจึงมีอานาจค้นและจับจาเลยได้โดยไม่ต้องมี
หมายจั บ และหมายค้ น ตามมาตรา 78 (1), 92 (2) ดู ฎี ก าที่ 2848/2547,
1328/2544 (มาตรา 78 (1), 92 (2) ทั้งบทบัญญัติเดิมและที่แก้ไขใหม่ปี 2547 มี
เนื้อความตรงกัน จึงคงเป็นบรรทัดฐานได้)
- เห็ น จาเลยโยนยาเสพติด ออกไปนอกหน้ า ต่า ง เป็น ความผิดซึ่ ง หน้ า และได้
กระทาลงในที่รโหฐาน เจ้าพนักงานย่อมมีอานาจจับจาเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายจับหรือ
หมายค้นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 (1), 92 (2) (ฎีกา 1164/2546)
-
-
-
ตารวจแอบดูเห็นคนเล่นการพนันอยู่ในบ้าน ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ดูฎีกาที่
698/2516 (ประชุมใหญ่)
ออกหมายค้นเพื่อยึดยาเสพติดให้โทษ เมื่อพบยาเสพติดให้โทษอยู่ในครอบครอง
ของจาเลย เป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานจับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (ฎีกาที่
360/2542)
การค้นตัวบุคคลในที่สาธารณสถานสามารถกระทาได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น เมื่อพบ
ความผิดซึ่งหน้าเจ้าพนักงานก็จับได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ เช่น พบแผ่นซีดีละเมิด
ลิขสิทธิ์ของผู้อื่น (ฎีกาที่ 6894/2549)
ฎีกาที่ 3751/2551 ร้านก๋วยเตี๋ยวของจาเลยขณะเปิดบริการมิใช่ที่รโหฐาน แต่เป็น
ที่สาธารณสถาน เมื่อเจ้าพนักงานตารวจมีเหตุอันควรสงสัยว่าจาเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ใน
ครอบครองอันเป็นความผิดต่อกฎหมายย่อมมีอานาจค้นจาเลยได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๙๓ และเมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอยู่
ในครอบครองจาเลย การกระทาของจาเลยก็ เป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าพนักงานตารวจย่อมมี
อานาจจับจาเลยได้โดยต้องมีหมายจับตามมาตรา 78 (1)
คำพิพำกษำที่ 1749/2539
ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงเป็ น
ความผิดต่อเนื่องและกระทาต่อเนื่องกันในท้องที่ต่างๆเกินกว่าท้องที่หนึ่ง
ขึ้นไป
มีความเห็นทางตาราว่าอาจเป็ นความผิดซึ่งหน้าในทุกท้องที่ที่เกิด
ความผิดต่อเนื่องนั้น
ตัวอย่างกรณีไม่เป็นความผิดซึ่งหน้า
การทะเลาะวิวาทซึ่งได้ยุติลงไปก่อนแล้ว ไม่ใช่การกระทาผิดซึ่งหน้า เจ้า
พนั ก งานต ารวจซึ่ ง มาภายหลั ง เกิ ด เหตุ ไม่ มี อ านาจจั บ โดยไม่ มี ห มายจั บ (ฎี ก าที่
4243/2542)
- พบไม้หวงห้าม, สุราเถื่อน ไม่ถือเป็นความผิดซึ่งหน้า โดยศาลฎีกาให้เหตุผล
ว่า ไม่ใช่ความผิดซึ่งเจ้าพนักงานเห็นกาลังกระทา หรือพบในอาการซึ่งแทบจะไม่มีความ
สงสั ย ว่ า กระท าความผิ ด มาแล้ ว สดๆ (ฎี ก าที่ 2535/2550 , 3743/2529 ,
3227/2531)
- กฎหมายเดิม ไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้ว ไปพบเห็นผู้กระทาผิดอยู่ที่ไหน
ก็ ข อให้ ต ารวจจั บ กุ ม อ้ า งว่ า ได้ แ จ้ ง ความร้ อ งทุ ก ข์ ไ ว้ ไ ด้ โ ดยไม่ ต้ อ งมี ห มายจั บ
(ฎ. 741/2522) แต่ตามมาตรา 78 ใหม่ ได้ตัดหลักเกณฑ์ดังกล่าวออกไป จึงต้องออก
หมายจับ
คาพิพากษาที่ 2535/2550
บ. พบกองไม้กระยาเลยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายอันเป็น
ไม้ผิดกฎหมายวางกองอยู่ข้างบ้าน ว. และ ว. รับว่ามีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปไว้ใน
ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง การกระทาของ ว. ไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าเพราะไม่ใช่
ความผิดที่เห็นกาลังกระทาหรือพบในอาการใด ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าได้
กระทาผิดมาแล้วสด ๆ ไม่เข้าข้อยกเว้นความผิดที่ระบุไว้ในบัญชีท้าย ป.วิ.อ. หรือเข้า
หลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 80 วรรคสอง (1) (2) ดังนั้น บ. ไม่มีอานาจที่จะจับ ว.
โดยไม่มีหมายจับได้ การที่ ว. ตาม บ. มาที่หน่วยคุ้มครองป่าจึงไม่ใช่เป็นการถูกจับตัวมา
แม้ในเวลาต่อมาจาเลยจะขับรถยนต์มาที่หน่วยคุ้มครองป่าและรับ ว. ขึ้นรถยนต์ของ
จาเลยขับออกจากหน่วยคุ้มครองป่าไป บ. ติดตามจาเลยไปจนทันและเกิดเหตุ
กระทบกระทั่งกันขึ้นระหว่างจาเลยและ บ. ยังไม่เป็นการที่จาเลยต่อสู้หรือขัดขวาง บ.
ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน
ตัวอย่างคาถาม
ข้อ 1 ร.ต.อ.เก่งกล้าได้นาหมายค้นไปตรวจค้นที่บ้านของนายโกงกาง เนื่องจาก
ได้รับแจ้งว่ามีการลักลอบจาหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบเมท
แอมเฟตามีนจานวน 50 เม็ดในกระเป๋าเสื้อของนายโกงกาง ซึ่งนายโกงกางให้การรับว่าได้ซื้อ
เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาจากนายเกตุ พงษ์ ร.ต.อ.เก่งกล้า จึงให้นายโกงกางพาไปที่บ้าน
ของนายเกตุ พ งษ์ ซึ่ ง เปิ ด เป็ น ร้ า นขายข้ า วแกง แล้ ว ร.ต.อ.เก่ ง กล้ า จึ ง เข้ า ตรวจค้ น ตั ว
นายเกตุ พงษ์ขณะที่นายเกตุ พงษ์กาลัง ขายข้าวแกงอยู่ภายในร้าน ซึ่งขณะนั้นมีลูกค้ านั่ง
รับประทานข้าวแกงอยู่โดยมิได้ไปขอหมายค้นและหมายจับจากศาลก่อน เนื่องจากเห็นว่า
เป็นกรณีเร่งด่วน ผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจานวน 200 เม็ด ในกระเป๋ากางเกง
ของนายเกตุพงษ์ จึงได้จับกุมนายเกตุพงษ์
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าการจับของ ร.ต.อ.เก่งกล้าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุ
ใด
กรณีตามปัญหาวินิจฉัยได้ว่า
“ที่รโหฐาน” หมายถึ ง สถานที่ ที่ บุคคลภายนอกไม่มีอ านาจเข้ า ไปได้
ตามอาเภอใจ โดยต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของสถานที่เสียก่อน เช่น ที่อยู่อาศัย
ซึ่ง ในกรณี ที่เ จ้ า พนัก งานตารวจจะท าการจั บ ผู้ใ ดในที่ ร โหฐาน ต ารวจจะต้ อ งมี
อานาจถึง 2 ประการ คือ
1. อานาจในการจับ กล่าวคือ มีหมายจับ หรือมีอานาจจับได้โดยไม่ต้องมี
หมายจับ
2. อานาจในการค้นในที่รโหฐาน
เมื่อเจ้าพนักงานตารวจมีทั้ง 2 อานาจนี้แล้วจึงสามารถจับบุคคลใน
ที่รโหฐานได้
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตารวจเข้าตรวจค้นตัวนายเกตุพงษ์
นั้น นายเกตุพงษ์กาลังขายข้าวแกงอยู่ที่ร้านขายข้าวแกงของนายเกตุพงษ์ ซึ่งมีลูกค้ากาลังนั่ง
รับ ประทานข้าวแกงอยู่ ดัง นี้ ร้านข้าวแกงของนายเกตุพงษ์จึ ง ไม่ใช่ ที่รโหฐาน แต่เป็นที่
สาธารณสถานซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ และเมื่อเจ้าพนักงานตารวจ
มีเหตุอันควรสงสัยว่านายเกตุพงษ์มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่ายอันเป็น
ความผิดต่อกฎหมาย เจ้าพนักงานตารวจย่อมมีอานาจค้นตัวนายเกตุพงษ์ได้โดยไม่ต้องมี
หมายค้น ตามมาตรา 93 และเมื่อตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในครอบครองของนาย
เกตุพงษ์ การกระทาของนายเกตุพงษ์ จึงเป็นความผิดซึ่งหน้า เพราะเป็นกรณีที่เจ้าพนักงาน
ได้ “เห็น” หรือ “พบ” ในขณะกาลังกระทาความผิดด้วยตนเองอย่างแท้จริง เจ้าพนักงาน
ตารวจย่อมมีอานาจจับนายเกตุพงษ์ได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ ตามมาตรา 78 (1) ประกอบ
มาตรา 80 วรรคแรก ดั ง นั้ น การตรวจค้ น และจั บ กุม ดัง กล่า วจึ ง ชอบด้วยกฎหมายแล้ ว
ฎ.3751/2551
*สังเกตว่า* ความผิดซึ่งหน้า ตามมาตรา 80 วรรคแรกนี้ หมายความถึง
ความผิดตามกฎหมายใดก็ได้ที่มีโทษทางอาญา เช่น พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ , พ.ร.บ.ยาเสพ
ติดให้โทษฯ , พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฯ ล้วนเป็นความผิดซึ่งหน้าตามมาตรา 80 วรรคแรกได้
ทั้งสิ้น
สรุป การจับกุมของ ร.ต.อ.เก่งกล้าชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นกรณีที่มี
เหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของซึ่งมีไว้เป็นความผิดไว้ในครอบครอง ประกอบกับ
เป็นความผิดซึ่งหน้า ร.ต.อ.เก่งกล้าจึงมีอานาจตรวจค้นและจับนายเกตุพงษ์ได้ ตาม
มาตรา 93 ประกอบมาตรา 78 (1) และมาตรา 80 วรรคแรก
ข้ อ 2 ร.ต.อ.มาโนช พบนางสมศรี ก าลั ง วิ่ ง ไล่ จั บ นายมานพมา
ตามทางสาธารณะและได้ ยิ น นางสมศรี ร้ อ งตะโกนว่ า “จั บ ที จั บ ที มั น ขโมย”
ร.ต.อ.มาโนชจะเข้าทาการจับนายมานพ แต่นายมานพวิ่งหนีเข้าไปในบ้านมารดา
ของนายมานพซึ่ ง นายมานพก็ พั ก อาศั ย อยู่ ในบ้า นหลั ง นี้ ด้ว ย ร.ต.อ.มาโนชจึ ง
ตามเข้ า ไปจั บ นายมานพในบ้ า นมารดาของนายมานพทั น ที ดั ง นี้ การจั บ ของ
ร.ต.อ.มาโนชชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
กรณีตามปัญหาวินิจฉัยได้ว่า การจับของ ร.ต.อ.มาโนช เป็นการจับ
ในที่รโหฐานซึ่งการทีจ่ ะเข้าไปจับได้ต้องมีอานาจในการจับ โดยมีหมายจับหรืออานาจ
ที่กฎหมายให้ทาการจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย และได้ทาตามบทบัญญัติใน ป.วิ.อ.อันว่า
ด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีหมายค้น หรือมีอานาจที่กฎหมายให้ทาการค้นได้โดยไม่
ต้องมีหมาย
การที่ ร.ต.อ. มาโนช พบนางสมศรี ก าลั ง วิ่ ง ไล่ จั บ นายมานพมาตามทาง
สาธารณะและได้ยินนางสมศรีร้องตะโกนว่า “จับที จับที มันขโมย” เป็นความผิดซึ่งหน้าตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 78 (1) ประกอบ มาตรา 80 วรรคสอง (1) เนื่องจากการที่นางสมศรีร้อง
ตะโกนว่า “จับที จับที มันขโมย” ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุอยู่ใน
บัญชีท้าย ป.วิ.อ. ประกอบกับนายมานพถูกนางสมศรีวิ่งไล่จับ ดังว่า นายมานพเป็นผู้กระทา
ความผิดมา ร.ต.อ.มาโนช จึงมีอานาจในการจับนายมานพ แม้ไม่มีหมายจับ และตามปัญหา
ร.ต.อ.มาโนช ได้ทาตามบทบัญญัติ ป.วิ.อ. อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน ตามมาตรา 92 (3)
แล้ ว เนื่ อ งจากเป็ น กรณี ที่ น ายมานพซึ่ ง ได้ ก ระท าความผิ ด ซึ่ ง หน้ า ขณะที่ ถู ก ร .ต.อ.
มาโนชไล่จับได้หนีเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในบ้านมารดาของนายมานพซึ่งเป็นที่รโหฐาน ดังนี้
ร.ต.อ.มาโนช จึงมีอานาจตามเข้าไปจับนายมานพในบ้านมารดาของนายมานพทันที
สรุ ป การจั บ ของ ร.ต.อ.มาโนช ชอบด้ ว ยกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความอาญา
มาตรา 78 (1) , มาตรา 80 วรรสอง , มาตรา 81 และมาตรา 92 (3)
ข้อ 3 พ.ต.ต.ธนกฤต ขับรถออกตรวจท้องที่เวลาห้าทุ่ม เห็นนายดายกปืนขึ้น
เล็งไปที่นายเอกซึ่งทั้งนายดาและนายเอกอยู่ภายในบ้านของนางส้ม พ.ต.ต.ธนกฤต จึงเข้าไป
ทาการจับนายดาในบ้านของนางส้มทันทีโดยที่ไม่มีหมายจับและหมายค้น
ดังนี้การที่ พ.ต.ต.ธนกฤต เข้าไปจับนายดาในบ้านของนางส้มชอบด้วยกฎหมาย
หรือไม่ เพราะเหตุใด
กรณี ต ามปั ญ หาวิ นิ จ ฉั ย ได้ ว่ า การจั บ ของ พ.ต.ต.ธนกฤต เป็ น การจั บ ใน
ที่ ร โหฐานในเวลากลางคื น (เนื่ อ งจากตามปั ญ หาการกระท าความผิ ด เกิ ด เวลาห้ า ทุ่ ม )
ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ต้องมีอานาจในการจับ โดยมีหมายจับหรืออานาจที่กฎหมายให้ทา
การจับได้โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทาตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีอานาจในการค้น โดยมีหมายค้นหรือมีอานาจที่
กฎหมายให้ทาการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายรวมถึง จะต้องมีอานาจที่จะเข้าไปทาการค้นในที่
รโหฐานในเวลากลางคืน
การที่ พ.ต.ต.ธนกฤต เห็นนายดายกปืนขึ้นเล็งไปที่นายเอก การกระทาของนายดา
เป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายเอก (ป.อ.มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80) เมื่อ พ.ต.ต.ธนกฤต
เห็นการกระทาดังกล่าว จึงมีอานาจในการจับ เนื่องจากเป็นความผิดซึ่งหน้า (ประเภทความผิด
ซึ่งหน้าอย่างแท้จริงกรณีเห็นบุคคลกาลังกระทาความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 ประกอบมาตรา
80) และตามปัญหาเป็นกรณีนายดากระทาความผิดซึ่งหน้า (พ.ต.ต.ธนกฤต) ในบ้านของนางส้ม
ซึ่งเป็นที่รโหฐาน จึงถือว่า พ.ต.ต.ธนกฤต ได้ทาตามบทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีอานาจในการค้นแล้ว (ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 92
(2)) และตามปัญหาถือเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิง่ ซึ่งจะทาการค้นในที่รโหฐานเวลากลางคืนก็ได้
เนื่องจากหาก พ.ต.ต.ธนกฤตไม่เข้าไปขณะนั้น (เวลาห้าทุ่ม) นายเอกอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้
พ.ต.ต.ธนกฤต จึงสามารถเข้าไปทาการจับนายดาในบ้านของนางส้มได้
ดังนั้น การที่ พ.ต.ต.ธนกฤต เข้าไปจับนายดาในบ้านของนางส้มชอบด้วยกฎหมาย
ฎ.4461/2540
ข้อสอบเนติบัณฑิต สมัย 64
ข้ อ 6. วั น ที่ 31 มี น าคม 2555 นายแดงไปแจ้ ง ความว่ า นายด าขั บ รถยนต์
โดยประมาทชนรถจักรยานยนต์ของนายแดงเป็นเหตุให้นายแดงได้รับอันตราย
แก่กาย เหตุเกิดที่บริเวณหน้าโรงค้าไม้เจริญไพศาล วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2555
เวลา 11 นาฬิกา นายแดงพาร้อยตารวจเอกเขียวกับพลตารวจขาวไปจับกุมนายดา
ที่ บ ริ เ วณโรงค้ า ไม้ เ จริ ญ ไพศาล ซึ่ ง เป็ น ของนายหมึ ก บิ ด านายด า โดยโรงค้ า ไม้
ดั ง กล่ า วนอกจากขายไม้ แ ล้ ว ยั ง ใช้ เ ป็ น ที่ อ ยู่ อ าศั ย ด้ ว ย และหยุ ด ท าการค้ า
ในวันอาทิตย์ เมื่อร้อยตารวจเอกเขียวไปถึง นายแดงชี้ให้ร้อยตารวจเอกเขียวจับ
นายดาซึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งภายในบริเวณโรงค้าไม้นั้น ร้อยตารวจเอกเขียวจึงแสดงบัตร
ประจาตัวเจ้าพนักงานและขอจับกุมนายดา โดยแจ้งว่าขับรถยนต์โดยประมาท
ชนรถจักรยานยนต์ของนายแดงเป็นเหตุให้นายแดงได้รับอันตรายแก่กายโดยไม่มี
หมายจับและหมายค้น นายดาขัดขืนจึงเกิดการต่อสู้กัน ระหว่างการต่อสู้ปรากฏว่า
เมทแอมเฟตามีนหล่นมาจากกระเป๋าเสื้อที่นายดาสวมใส่ จานวน 51 เม็ด นายดา
ยอมรับว่านายเหลืองนามามอบให้นายดาไว้ขายแก่บุคคลทั่วไป ร้อยตารวจเอกเขียว
จึ ง แจ้ ง ข้ อ หาและจั บ กุ ม นายด าส่ ง พนั ก งานสอบสวนยั ง ที่ ท าการของพนั ก งาน
สอบสวนผู้ รั บ ผิ ด ชอบ นายด าต่ อ สู้ ว่ า การจั บ กุ ม ของเจ้ า พนั ก งานทั้ ง สองข้ อ หา
ความผิดดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายดาฟังขึ้นหรือไม่
ธงคาตอบ
วันเกิดเหตุโรงค้าไม้เจริญไพศาลหยุดทาการค้า และโรงค้าไม้ดังกล่าวใช้เป็นที่
อยู่ อาศัยด้ว ย จึงเป็น ที่รโหฐานตามประมวลกฎหมายวิ ธีพิจ ารณาความอาญา
มาตรา 2(13) การที่ ร้ อ ยต ารวจเอกเขี ย วเข้ า ไปในโรงค้ า ไม้ ดั ง กล่ า วโดยไม่ มี
หมายจั บและหมายค้น แม้ นายแดงจะได้แจ้ ง ความร้ อ งทุ ก ข์ไ ว้ แล้ ว ก็ตาม ร้ อ ย
ตารวจเอกเขียวก็ไม่มีอานาจเข้าไปจับนายดาในที่รโหฐานได้ตามมาตรา 81 และ
ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 78
อย่างไรก็ตามเมื่อร้อยตารวจเอกเขียวเข้าไปแล้วพบนายดา นายดาไม่ยอมให้
จับเกิดการดิ้นรนต่อสู้กัน และปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนหล่นมาจากกระเป๋าเสื้อ
นายด าสวมใส่ เช่ น นี้ ย่ อ มถื อ เป็ น ความผิ ด ซึ่ ง หน้ า ตามประมวลกฎหมายวิ ธี
พิจารณาความอาญา มาตรา 80 วรรคหนึ่ง ซึ่งร้อยตารวจเอกเขียวมีอานาจจับ
นายดาในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่ายได้โดยไม่
ต้องมีหมายจับตามมาตรา 78(1) ประกอบมาตรา 81 และมาตรา 92(2) การจับ
ของเจ้าพนักงานจึงชอบด้วยกฎหมาย ข้อต่อสู้ของนายดาฟังไม่ขึ้น
ข้อสอบเนติบัณฑิต สมัย 62
ข้อ 6. (ก) เหตุเกิดเวลากลางวันขณะที่นายดาอยู่ที่หน้าบ้านของนายแดง นายดา
เห็นนายแดงกาลังใช้อาวุธมีดแทงทาร้ายร่างกายนายขาวหลายครั้งในบ้านของ
นายแดง อันเป็นความผิดที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา นายดาจึงเข้าไปจับกุมนายแดงในบ้านของนายแดง แล้วนาส่งที่ทา
การพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับ
(ข) นายแดงเจ้าของบ้าน เชิญนายดาให้เข้าไปรับประทานอาหารในบ้าน
ของนายแดง ขณะที่นายดาอยู่ในบ้าน นายดาเห็นนายเขียวกาลังใช้อาวุธมีดแทง
ทาร้ายร่างกายนายเหลืองหลายครั้งในบ้านของนายแดง นายดาจึงเข้าจับกุม
นายเขียวส่งที่ทาการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับ
ให้วินิจฉัยว่า การจับกุมของนายดาทั้งสองกรณีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคาตอบ
(ก) การจับเป็นอานาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจ ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ราษฎรจะจับได้เมื่อเข้าเกณฑ์ตาม
มาตรา 79 แม้นายดาจะเห็นนายแดงทาร้ายร่างกายนายขาวอันเป็นความผิด
ซึ่ ง หน้ า ที่ ร ะบุ ไ ว้ ใ นบั ญ ชี ท้ า ยประมวลกฎหมายวิ ธี พิ จ ารณาความอาญา
แต่ความผิ ดนั้นกระทาลงในบ้ า นของนายแดงอัน เป็น ที่รโหฐาน นายดาไม่มี
อานาจเข้าไปจับนายแดง เพราะเป็นการจับในที่รโหฐาน
ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 81 เว้นแต่จะได้ทาตามบทบัญญัติที่ว่าด้วยการค้น
ในที่รโหฐาน เมื่อนายดาเป็นราษฎรย่อมไม่มีอานาจค้นในที่รโหฐานไม่ว่ากรณี
ใด ๆ นายดาจึงไม่มีอานาจเข้าไปจับนายแดง การจับกุมของนายดาตามข้อ (ก)
จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(ข) นายแดงเจ้าของบ้านเชิญนายดาให้เข้าไปในบ้าน จึงเป็นการเข้าไปในที่
รโหฐานโดยชอบ เมื่ อนายดาอยู่ใ นบ้ า นเห็น นายเขี ยวกาลั งใช้อ าวุธ มีด แทง
ท าร้ า ยนายเหลื อ ง นายด าสามารถจั บ นายเขี ย วได้ โดยอาศั ย อ านาจตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 79 และไม่ถือเป็นการค้นในที่
รโหฐานอั น จะเป็ น การต้ อ งห้ า มตามมาตรา 81 เพราะนายด าได้ เ ข้ า ไปในที่
รโหฐานโดยชอบอันเนื่องมาจากการเชิญของนายแดงเจ้าของบ้าน การจับกุม
ของนายดา ตามข้อ (ข) จึงชอบด้วยกฎหมาย
ข้อสอบคัดเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษา ปี2554 คาถามข้อ 1
นายกายเจ้าพนักงานป่าไม้ซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตารวจตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สืบทราบมาว่าที่บ้านของนางเวทนา
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตท้องที่ในความรับผิดชอบของตน มีไม้กระยาเลยไม่มีรอยตรา
ค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายอันเป็นไม้ผิดกฎหมายหลายสิบท่อนไว้ใน
ครอบครอง วันเกิดเหตุเวลากลางวันนายกายเดินผ่านบ้านของนางเวทนาซึ่งมี
รั้วลวดหนามล้อมรอบ จึงกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้าน แต่ไม่มีผู้ใดมาเปิดประตูรั้ว
เนื่องจากประตูรั้วแง้มอยู่นายกายจึงเปิดประตูรั้วเข้าไป แล้วค้นบริเวณบ้าน
ของนางเวทนาโดยไม่มีหมายค้นหรือคาสั่งของศาล พบไม้ดังกล่าวซึ่งเป็นไม้
ขนาดใหญ่จานวน 35 ท่อน กองอยู่ที่หลังบ้านของนางเวทนา หลังจากนั้น
นางเวทนาเดินออกจากในบ้านมาที่หลังบ้าน นายกายจึงแสดงตนเป็นเจ้า
พนักงานป่าไม้ นางเวทนารับว่ามีไม้หวงห้ามยังไม่ได้แปรรูปดังกล่าวไว้ใน
ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจริง
นายกายจึงจับนางเวทนาในข้อหาดังกล่าว โดยไม่มีหมายจับหรือคาสั่ง
ของศาล แต่ได้แจ้งสิทธิต่างๆตามกฎหมายและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ
พร้อมกับยึดไม้ดังกล่าวไว้เป็นของกลาง แล้วเอาตัวนางเวทนาและไม้ของกลาง
ไปยังที่ทาการของร้อยตารวจเอกจิตซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รบั ผิดชอบทันที
และส่งตัวนางเวทนาและไม้ของกลางพร้อมบันทึกการตรวจค้น จับกุม และยึด
ของกลางแก่ร้อยตารวจเอกจิตซึง่ ได้ดาเนินการต่างๆตามกฎหมาย แล้วควบคุม
ตัวนางเวทนาไว้ วันรุ่งขึ้นนายธรรมซึ่งเป็นสามีของนางเวทนายื่นคาร้องต่อศาล
จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอานาจเหนือคดีนี้ ขอให้มีคาสั่งปล่อยนาง
เวทนาโดยอ้างว่านางเวทนาถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีคาสั่งให้
พนักงานสอบสวนคืนไม้ของกลางแก่ผู้ร้องด้วย ศาลจังหวัดกาญจนบุรีไต่สวน
คาร้องแล้วได้ความดังกล่าว
ให้วินิจฉัยว่า การค้นของนายกายเป็นการค้นที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
และศาลจังหวัดกาญจนบุรีจะมีคาสั่งตามคาร้องของนายธรรมอย่างไร
ธงคาตอบข้อ 1
การค้นของนายกายเป็นการค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือ
คาสั่งของศาล แม้การสืบทราบของนายกายอาจถือว่าเป็นกรณีมี
พยานหลักฐานตามสมควรว่าสิ่งของที่ได้มาโดยการกระทาความผิดซ่อนหรือ
อยู่ในที่รโหฐาน แต่สิ่งของนั้นเป็นไม้หวงห้ามขนาดใหญ่ยังไม่ได้แปรรูป
จานวนมากถึง 35 ท่อน เป็นกรณีไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้า
กว่าจะเอาหมายค้นมาได้ สิ่งของนั้นจะถูกโยกย้ายหรือทาลายเสียก่อน นาย
กายจึงไม่มีอานาจที่จะค้นโดยไม่มีหมายค้นหรือคาสั่งของศาลตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92(4) ทั้งก่อนลงมือค้นก็ไม่ปรากฏ
ว่านายกายแสดงความบริสุทธิ์ และค้นต่อหน้านางเวทนาผู้ครอบครอง
สถานที่ตามมาตรา 102 วรรคหนึ่ง การค้นของนายกายจึงเป็นการค้นที่ไม่
ชอบด้วยกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78(1) พนักงานฝ่าย
ปกครองหรือตารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคาสั่งของศาลได้ก็ต่อเมื่อ
บุคคลนั้นได้กระทาความผิดซึ่งหน้าตามมาตรา 80 แต่การกระทาของนาง
เวทนาไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้า เพราะไม่ใช่ความผิดซึ่งเห็นกาลังกระทา หรือ
พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าได้กระทาผิดมาแล้วสดๆ
ตามมาตรา 80 วรรคหนึ่ง และไม่เข้าข้อยกเว้นความผิดที่ระบุไว้ในบัญชีท้าย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา
80 วรรคสอง (1)(2) จึงไม่ใช่กรณีที่จะจับได้โดยไม่มีหมายจับหรือคาสั่งของ
ศาล ดังนั้น นายกายจึงไม่มีอานาจที่จะจับนางเวทนาได้ (คาพิพากษาศาล
ฎีกาที่ 2535/2550) การควบคุมตัวนางเวทนาไว้จึงเป็นการคุมขังไว้โดยมิ
ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนายธรรมซึ่งเป็นสามีของนางเวทนาผู้ถูกคุมขังยื่นคา
ร้องขอให้ศาลจังหวัดกาญจนบุรีมีคาสั่งปล่อยนางเวทนา ศาลจังหวัด
กาญจนบุรีต้องมีคาสั่งให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบปล่อยตัวนางเวทนา
ไปทันทีตามมาตรา 90 (เทียบคาพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2541)
ส่วนไม้ของกลางซึ่งผู้ร้องกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานยึดไปโดยมิชอบ
ด้วยกฎหมาย และขอให้ศาลมีคาสั่งให้พนักงานสอบสวนคืนแก่ผู้ร้องนั้น
มิใช่กรณีที่จะยื่นคาขอมาพร้อมกับคาร้องตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญา มาตรา 90 นายธรรมผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคาร้องขอ
คืนไม้ของกลางเป็นคดีนี้ ศาลจังหวัดกาญจนบุรีต้องมีคาสั่งยกคาร้องส่วน
นี้
(คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 4827/2550 ประชุมใหญ่)
การจับโดยมีเหตุจาเป็นเร่งด่วน (มาตรา 78 (3))
การจับโดยไม่ต้องมีหมายจับกรณีมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา
66 (2) แต่ มี ค วามจ าเป็ น อั น เร่ ง ด่ ว นที่ ไ ม่ อ าจขอให้ ศ าลออกหมายจั บ บุ ค คลนั้ น ได้
(มาตรา 78 (3))
ข้อ 4
พ.ต.ท.ไพศาล และ ร.ต.อ.พงษ์เทพ พบนายเสือกาลังรอขึ้น
เครื่องบินสนามบินสุวรรณภูมิ พ.ต.ท.ไพศาล ได้บอก ร.ต.อ.พงษ์เทพ ว่า เมื่อสองวัน
มาแล้วนายเสือหลบหนีการควบคุมหลังจากการจับกุมของตนตามหมายจับในข้อหาทา
ร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส ร.ต.อ.พงษ์เทพ ได้เดินเข้าไปหานายเสือแสดง
ตัวเป็นเจ้าพนักงานตารวจและแจ้งว่าต้องถูกจับ ทั้งแจ้งข้อหาดังกล่าวกับแจ้งสิทธิตาม
กฎหมาย จากนั้นได้จับนายเสือนาส่งพนักงานสอบสวน
ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.พงษ์เทพ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
กรณีตามปัญหาวินิจฉัยได้ว่า แม้หมายจับที่ศาลออกเพื่อให้จับนาย
เสือจะใช้ไม่ได้แล้ว เพราะจับนายเสื อตามหมายจับได้แล้ว แต่กรณีนี้ ร.ต.อ.
พงษ์เทพ มีอานาจจับนายเสือ เนื่องจากมีหลักฐานตามสมควรว่านายเสือน่าจะได้
กระทาความผิดอาญา จนมีการออกหมายจับแล้วและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะ
หลบหนี เพราะเคยหลบหนีแล้ว ประกอบกับมีความจาเป็นเร่งด่วนไม่อาจขอให้
ศาลออกหมายจับนายเสือได้ เพราะนายเสือกาลังรอขึ้นเครื่องบิน ดังนั้น การจับ
จึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 78 (3) ประกอบมาตรา 66 (2)
สรุป การจับของ ร.ต.อ.พงษ์เทพ ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 5 ร.ต.ท.มาโนช นายสมชายและนางสาวสมศรีได้รับเชิญจาก
นายสมศักดิ์เจ้าของบ้านให้ไปร่วมงานเลี้ยงในเวลากลางวัน ที่บ้านนายสมศักดิ์ซึ่ง
อยู่ติดกับบ้านนายสมชาย ขณะอยู่ในบ้านของนายสมศักดิ์ นางสาวสมศรีจาได้ว่า
นายสมชายเป็ น คนร้ า ยที่ ไ ด้ ข่ ม ขื น กระท าช าเราตนเมื่ อ สั ป ดาห์ ก่ อ น
นางสาวสมศรีจึงชี้ให้ ร.ต.ท.มาโนช จับนายสมชายโดยแจ้งว่าได้ร้องทุกข์ไว้แล้ว
ร.ต.ท.มาโนช จึงเข้าจับกุมนายสมชาย โดยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการจับกุมแล้ว
น าตั ว นาย ส ม ชาย ไ ปยั งที่ ท าก าร ข องพนั ก งาน ส อบส วนแ ห่ ง ท้ อง ที่
ที่ถูกจับ ดังนี้ การจับของ ร.ต.ท.มาโนช ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
กรณีตามปัญหาวินิจฉัยได้ว่า ร.ต.ท.มาโนช จับนายสมชายในบ้านของนาย
สมศักดิ์เป็นการจับในที่รโหฐาน ซึ่งจะต้องมีอานาจในการจับ คือ มีหมายจับหรือมีอานาจใน
การจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย และต้องทาตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการ
ค้นในที่รโหฐาน
การจับของ ร.ต.ท.มาโนช แม้จะได้ทาตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้ อันว่าด้วย
การค้นในที่รโหฐาน เนื่องจากนายสมศักดิ์เจ้าของผู้ครอบครองที่รโหฐานเชื้อเชิญให้เข้าไปในที่
รโหฐานนั้ น แต่ ร.ต.ท.มาโนช ไม่ มี อ านาจในการจั บ เนื่ อ งจากตาม ป.วิ . อ. มาตรา 78 (3)
ประกอบมาตรา 66 (2) เจ้ า พนั กงานตารวจจะจับ นายสมชายโดยไม่มีหมายจั บ ได้ ต่อ เมื่อ มี
หลั ก ฐานตามสมควรว่ า นายสมชายน่ า จะได้ ก ระท าผิ ด อาญาและมี เ หตุ อั น ควรเชื่ อ ว่ า
นายสมชายจะหลบหนีหรือ จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อ เหตุร้ ายประการอื่น และ
มีความจาเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับนายสมชายได้ กรณีตามปัญหานี้ไม่ปรากฏ
ว่ า นายสมชายมี ท่ า ที จ ะหลบหนี ป ระกอบกั บ นายสมชายมี ที่ อ ยู่ เ ป็ น หลั ก แหล่ ง ร.ต.ท.
มาโนช จะจับนายสมชายโดยไม่มีหมายจับของศาลไม่ได้ การจับจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 6 ร.ต.อ.แดง มีหลักฐานตามสมควรว่านายดาเป็นผู้ลักรถยนต์
ของนายเอก ระหว่างที่ ร.ต.อ.แดง กาลังดาเนินการขอหมายจับนายดาจากศาล
ร.ต.ต.ระย้า ได้รายงานให้ ร.ต.อ.แดง ทราบว่านายดากาลังขับรถยนต์คันที่ลัก
จากนายเอกออกไปนอกประเทศไทย หากรอหมายจับนายดาน่าจะขับรถออก
นอกประเทศไทยไปก่อ น ร.ต.อ.แดง จึง ตั ดสิ น ใจจั บ กุม นายด าทัน ที โ ดยไม่ มี
หมายจับ
ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.แดง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
กรณีตามปัญหาวินิจฉัยได้ว่า ตามปัญหา ร.ต.อ.แดง มีหลักฐานตาม
สมควรว่านายดาเป็นผู้ลักรถยนต์ของนายเอก และมีเหตุอันควรเชื่อว่านายดา
จะหลบหนีเนื่องจาก ร.ต.ต.ระย้า ได้รายงานให้ ร.ต.อ.แดง ทราบว่านายดากาลัง
ขั บ รถยนต์ คั น ที่ ลั ก จากนายเอกออกไปนอกประเทศไทยและมี ค วามจ าเป็ น
เร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้เพราะหากรอหมายจับ นาย
ดาน่าจะขับรถออกนอกประเทศไทยไปก่อน ร.ต.อ.แดง จึงมีอานาจจับกุมนายดา
ทันทีโดยไม่มีหมายจับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 78 (3) ประกอบมาตรา 66 (2)
ดังนั้น การจับของ ร.ต.อ.แดง ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ 7 วิชิตถูกจับและได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน
โดยมีนายวิชัยใช้ตาแหน่งข้าราชการเป็นหลักประกันให้แก่นายวิชิต หลังจาก
นายวิ ชิ ต ได้ รั บ การปล่ อ ยชั่ ว คราวได้ ส ามวั น นายวิ ชั ย พบว่ า นายวิ ชิ ต ก าลั ง
จะหลบหนีไปต่างจังหวัด และนายวิชัยเห็น ร.ต.ท.มาโนช อยู่ในบริเวณนั้น
จึ ง ขอให้ ร.ต.ท.มาโนช ท าการจั บ นายวิ ชิ ต ร.ต.ท.มาโนช จึ ง ท าการจั บ
นายวิชิตทันทีโดยไม่มีหมายจับ
ดั ง นี้ การจั บ ของ ร.ต.ท.มาโนช ชอบด้ ว ยกฎหมายหรื อ ไม่
เพราะเหตุใด
กรณี ต ามปั ญ หาวิ นิ จ ฉั ย ได้ ว่ า นายวิ ชั ย ใช้ ต าแหน่ ง ข้ า ราชการเป็ น
หลักประกันให้แก่นายวิชิตผู้ต้องหา ซึ่งได้รับการปล่อยตัวในระหว่างสอบสวน ต่อมานาย
วิชัยพบว่านายวิชิตกาลังจะหลบหนีไปต่างจังหวัด และนายวิชัยเห็นว่า ร.ต.ท.มาโนช อยู่
ในบริเวณนั้น จึงขอให้ ร.ต.ท.มาโนช ทาการจับนายวิชิต ร.ต.ท.มาโนช จึงทาการจับนาย
วิชิตทันทีโดยไม่มีหมายจับ ดังนี้ ร.ต.ท.มาโนช มีอานาจในการจับนายวิชิต แม้ว่าจะไม่มี
หมายจับ เนื่องจากเป็นกรณีที่บุคคลซึ่งเป็นหลักประกัน เป็นผู้พบเห็นผู้ต้องหาหรือ
จ าเลยหนี ห รื อ จะหลบหนี บุ ค คลผู้ เ ป็ น หลั ก ประกั น สามารถขอให้ เ จ้ า พนั ก งาน
ฝ่ายปกครองหรือตารวจที่ใกล้ที่สุดจับผู้ต้องหาหรือจาเลยได้
ดังนั้น การจับของ ร.ต.ท.มาโนช ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 78 (4) ประกอบ
มาตรา 117
ข้อสอบเนติบัณฑิต สมัย 63
ข้อ 6. นางเจนผู้เสียหายนาสาเนาหมายจับซึ่งไม่มีการรับรองว่าถูกต้องแล้วที่ให้จับ
นางดาผู้ต้องหาว่ากระทาความผิดฐานทาร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตราย
สาหัส ซึ่งต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี มอบให้แก่ร้อยตารวจตรีเข้ม
และชี้ยืนยันให้จับนางดาที่เห็นนางเจนแล้วกาลังจะขึ้นรถยนต์รับจ้าง ร้อยตารวจตรี
เข้มจึงจับนางดาโดยแจ้งว่าต้องถูกจับ แจ้งข้อกล่าวหาและแสดงสาเนาหมายจับ
ดังกล่าวพร้อมแจ้งสิทธิตามกฎหมาย แล้วนานางดาส่งมอบแก่พันตารวจโทขาว
พนักงานสอบสวนของที่ทาการของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ พันตารวจโทขาว
แจ้งสิทธิตามกฎหมายแล้วให้สิบตารวจโทหญิงแดงค้นตัวนางดา พบและยึดมีด
1 เล่ ม ไว้ เ ป็ น ของกลาง และสอบปากค านางด าแล้ ว อนุ ญ าตให้ ป ล่ อ ยชั่ ว คราว
นางดายื่นคาร้องต่อศาลขอให้ปล่อยตัวโดยคาร้องระบุเหตุการณ์ข้างต้น และอ้างว่า
การจับ การค้นกับการคุมขังมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลสั่งยกคาร้องโดยมิได้ไต่สวน
ให้วินิจฉัยว่า การจับ การค้นของเจ้าพนักงาน และคาสั่งของศาลชอบด้วยกฎหมาย
หรือไม่
ธงคาตอบ
กรณีเจ้าพนักงานจับและจัดการตามสาเนาหมายจับที่มิได้รับรองว่าถูกต้อง
แล้วนั้น แม้จะถือไม่ได้ว่าเป็นการจับโดยมีหมายจับหรือจัดการตามหมายจับตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(9) มาตรา 77 วรรคสอง
(1) ก็ตาม แต่เมื่อมีการออกหมายจับแล้วก็แสดงให้เห็นได้ในตัวว่า มีหลักฐานตาม
สมควรว่านางดาผู้ต้องหาน่าจะได้กระทาความผิดอาญาไม่ว่าจะมีอัตราโทษจาคุก
อย่างสูงเกินสามปีหรือไม่ และมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีเพราะเห็น
ผู้เสียหายแล้วก็เตรียมจะขึ้นรถยนต์รับจ้าง อันหมายถึงมีเหตุที่จะออกหมายจับ
ผู้ต้องหาตามมาตรา 66(2) และเห็นได้ว่า กรณีเช่นนี้มีความจาเป็นเร่งด่วนที่ไม่
อาจขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหานั้นได้ทันหรือจัดหาต้นฉบับหมายจับหรือ
เอกสารตามมาตรา 77 วรรคสอง(1) ได้ทัน เจ้าพนักงานย่อมมีอานาจจับผู้ต้องหา
ได้โดยไม่มีหมายจับหรือคาสั่งของศาลตามมาตรา 78(3) การจับของเจ้าพนักงาน
จึงชอบด้วยกฎหมาย (ตามมติเสียงข้างมากของที่ประชุมกรรมการออกข้อสอบ)
เมื่อมีการจับกุมโดยชอบแล้ว แม้จะมีเจ้าพนักงานตารวจบางคนซึ่งไม่ได้ร่วม
จับ กุ ม ด้ว ยมาร่ว มลงลายมื อ ชื่อ ในบั นทึ ก การจั บ กุ ม ก็ ไ ม่ ทาให้ ก ารจั บ กุ ม
กลายเป็นไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎีกาที่ 2612/2543)
การจั บ กุ ม ผู้ ก ระท าผิ ด ที่ อ ยู่ ต่ อ หน้ า พนั ก งานสอบสวน
(มาตรา 134)
นอกจากการจับโดยไม่ต้องมีหมายจับทั้ง 4 กรณี ตามที่บัญญัติไว้ใน
มาตรา 78 แล้วเดิมมีมาตรา 136 บัญญัติว่า พนักงานสอบสวนจะจับและ
ควบคุมผู้ใดซึ่งในระหว่างสอบสวน ปรากฏว่าเป็นผู้กระทาผิด ....ก็ได้ การจับ
ตามมาตรา 136 นี้ ไม่ ต้ อ งมี ห มายจั บ (ฎี ก าที่ 2657/2516) ในปี 2547
มาตรา 136 ได้ ถู ก ยกเลิ ก พนั ก งานสอบสวนจึ ง ไม่ มี อ านาจจั บ ผู้ ก ระท า
ความผิดโดยอาศัยอานาจตามมาตรา 136 ได้อีกต่อไป
ป.วิ.อ. มาตรา 134 วรรคห้า ที่แก้ไขใหม่ ได้บัญญัติถึงกรณีที่พนักงานสอบสวน
พบว่าผู้ที่อยู่ต่อหน้าตนเป็นผู้ต้องหา เมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ถ้าผู้นั้นไม่ใช่ผู้ถูกจับ
และยังไม่มีการออกหมายจับ และพนักงานสอบสวนเห็นว่ามีเหตุจะออกหมายขัง ตาม
มาตรา 71 พนักงานสอบสวนมีอานาจสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลเพื่อขอออกหมายขังโดยทันที
ถ้าผู้นั้นไม่ปฏิบัติตามให้พนักงานสอบสวนมีอานาจจับผู้ต้องหานั้นได้โดยถือว่าเป็นกรณี
จาเป็นเร่งด่วนที่จะจับผู้ต้องหาโดยไม่มีหมายจับ
- การแจ้ ง ข้ อ หาแก่ จ าเลยยั ง ไม่ ถื อ ว่ า จ าเลยถู ก จั บ (ฎี ก าที่ 8458/2551}
6635/2551 , 6208/2550 (ประชุมใหญ่) , 5042/2549 , 5499/2549 , 3952/2549)
กรณีถือว่าจาเลย ถูกจับ (ฎีกาที่ 8314/2549 , 1997/2550)
ป.วิ.อ.มาตรา 65 ถ้าบุคคลที่ถูกจับตามหมายหลบหนีหรือมีผู้ช่วยให้หนีไปได้เจ้า
พนักงานผู้จับมีอานาจติดตามจับกุมผู้นั้นโดยไม่ต้องมีหมายอีก
ออกหมายจับบุคคลที่ไม่รู้จักชื่อ มาตรา 67
ใช้วิธีระบุรูปพรรณให้ละเอียดเท่าที่จะทาได้ เช่น มีคนเห็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็น
ผู้กระทาผิด แต่ไม่ทราบชื่อ บอกรูปพรรณ หรือตาหนิตามร่างกายได้
อายุหมายจับ มาตรา 68
ใช้ได้จนกว่าจะจับได้ เว้นแต่ความผิดตามหมายนั้นขาดอายุความ หรือ ศาล
ซึ่งออกหมายนั้นได้ถอนหมายคืน
หมายจับใช้ได้ทั่วราชอาณาจักร มาตรา 77
ใช้ได้เฉพาะในอาณาเขตประเทศไทย
การจับในที่รโหฐาน มาตรา 81
ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทาตาม
บทบัญญัติใน ป.วิ.อ. ว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน ประกอบมาตรา69(4),70
การจับโดยราษฎร มาตรา 79
โดยปกติ ร าษฎรไม่ มี อ านาจจั บ ผู้ ใ ด เว้ น แต่ เ จ้ า พนั ก งาน ผู้ จั ด การตาม
หมายจับจะขอความช่วยเหลือให้จับตามหมายจับ (กรณีตาม ม. 82) หรือเป็นความผิด
ซึ่งหน้าตามที่ระบุไว้ ในบัญชีท้าย ป.วิ.อ. (มาตรา 79)
การขอความช่วยเหลือให้จับตามหมายจับ มาตรา 82
เจ้าพนักงานผู้จัดการตามหมายจับอยู่จะขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่อยู่
ใกล้เคียงเพื่อจัดการตามหมายนั้นได้ แต่จะบังคับให้ช่วยโดยอาจเกิดอันตรายแก่เขา
ไม่ได้
ข้อสังเกต เจ้าพนักงานจะขอให้บุคคลที่อยู่ใกล้เคียงจับผู้อื่นได้ เฉพาะ
กรณีที่มีหมายจับบุคคลที่จะถูกจับเท่านั้น
คาพิพากษาฎีกาที่ 854/2507
การที่จาเลยที่ 1 บุกรุกขึ้นไปชั้นบนของสถานทูตเดนมาร์ค เข้าไปใน
ห้องรับแขกซึ่งมีทรัพย์ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องตั้งอยู่ และเลยเข้าไปใน
ห้องนั่งเล่นอันเป็นเคหสถานของทูตการค้าเดนมาร์คในเวลาที่ปลอดคนเพื่อจะ
ลักทรัพย์ แต่ภริยาทูตการค้าเห็นจาเลยเป็นการขัดขวางเสียก่อนจาเลยจึงเอา
ทรัพย์ไปไม่ได้ เช่นนี้ แม้จาเลยจะยังไม่ทันแตะต้องทรัพย์แต่อย่างใดก็ดี ก็
เรียกได้ว่าจาเลยลงมือกระทาเข้าถึงขั้นพยายามลักทรัพย์ตามกฎหมายแล้ว
จาเลยที่ 1 บุกรุกเข้าไปพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานของทูต
การค้า ซึ่งอยู่ชั้นบนของสถานทูตเดนมาร์ค ส่วนจาเลยที่ 2 คอยดูต้นทางอยู่
ชั้นล่างนั้น เป็นการแบ่งหน้าที่กันทาอันเป็นการกระทาส่วนหนึ่งเพื่อให้การลัก
ทรัพย์บรรลุผลสาเร็จ เรียกได้ว่าจาเลยที่ 2 เป็นตัวการในการลักทรัพย์รายนี้
ด้วย
 ขณะเกิดเหตุที่จาเลยแทงผูต้ าย ผูเ้ สี ยหายไม่ได้อยูใ่ นที่เกิด
เหตุและไม่เห็นเหตุการณ์ โดยผูเ้ สี ยหายยืนอยูห่ ่างจากที่
เกิดเหตุประมาณ 50 เมตร มองไม่เห็นที่เกิดเหตุเพราะมี
ร้านค้าบังอยู่ ผูเ้ สี ยหายซึ่ งเป็ นราษฎรจึงไม่มีอานาจจับ
ตามกฎหมายเพราะมิใช่ความผิดซึ่ งหน้า ตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 79 (ฎ.4282/2555)
วิธีการจับ (มาตรา 83,84)
- ต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับนั้นว่าเขาต้องถูกจับ (มาตรา 83 วรรคหนึ่ง)
แต่ ถ้ า ผู้ ก ระท าผิ ด ต่ อ สู้ ขั ด ขวาง ก็ ไ ม่ จ าต้ อ งแจ้ ง ว่ า เขาต้ อ งถู ก จั บ (ฎ.ที่ 319320/2521)
- ต้องแจ้งสิทธิแก่ผู้ถูกจับ (มาตรา 83 วรรคสอง)
เป็นหลักการที่ศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาได้วางแนวทางในเรื่องการแจ้ง
สิทธิต่อผู้ถูกจับในคดี Miranda V. Arizona เรียกกันว่า Miranda warning หรือ
“คาเตือนมิแรนดา”
แม้การจับกุมจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่ทาให้การสอบสวนที่ชอบด้วย
กฎหมายเสี ย ไปด้ ว ย เพราะถื อ ว่ า เป็ น คนละขั้ น ตอนกั น (ฎ.1547/2540,
ฎ.2699/2516, ฎ.3238/2531ฎ1493/2550) รวมทั้ ง กรณี ก ารควบคุ ม ตั ว เกิ น
กาหนดด้วย (ฎ.4113/2552)
การรับ ฟั งถ้ อ ยค าในชั้ นจั บกุมหรือ รับมอบตัว ของผู้ ถูก จั บ (มาตรา 84
วรรคท้าย)
ค าให้ ก ารรั บ สารภาพว่ า ตนได้ ก ระท าผิ ด ห้ า มมิ ใ ห้ รั บ ฟั ง เป็ น
พยานหลักฐาน เป็นการห้ามฟังเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีการแจ้งสิทธิแล้วหรือไม่
- แต่ไม่มีผลย้อนหลังไปกระทบคารับสารภาพในชั้นจับกุมก่อนบทบัญญัติ
มีผลบังคับ ศาลจึงรับฟังคารับสารภาพว่าตนได้กระทาผิดก่อนกฎหมายใหม่ใช้
บั ง คั บ มารั บ ฟั ง ประกอบการลงโทษจ าเลยได้ (ฎ.931/2548 ประชุ ม ใหญ่ ,
ฎ.2215/2548)
2. ถ้ อ ยค าอื่ น จะรั บ ฟั ง เป็ น พยานหลั ก ฐานในการพิ สู จ น์ ค วามผิ ด ได้
ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิแก่ผู้ถูกจับว่า ผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้
ถ้อยคานั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ และผู้ถูกจับมีสิทธิ และปรึกษาทนายความ
หรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความ
- การไม่แจ้งสิทธิประการใดประการหนึ่งมีผลทาให้ไม่อาจรับฟังถ้อยคาอื่น
เป็นพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ (ฎ.8148/2551)
- ถ้อยคาอื่น อาจเป็นถ้อยคาที่นาไปสู่การพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ เช่น
รับว่าอาวุธของกลางเป็นของตน รับว่าตนอยู่ในเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ รับว่าตนมี
สาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายก่อนเกิดเหตุ เป็นต้น
คาพิพากษาที่ 479/2555
การออกหมายจั บ ผู้ ต้ อ งหาตามค าร้ อ งของพนั ก งานสอบสวน
เป็ น อ านาจของผู้ พิ พ ากษาคนเดี ย วในศาลชั้ น ต้ น เป็ น อ านาจพิ เ ศษ
ที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้นมีอานาจออกหมายจับ
ผู้ต้องหาตามคาร้องของพนักงานสอบสวนได้ ภายใต้บทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ.
มาตรา 66 และมาตรา 59/1 โดยเฉพาะ จึ ง ไม่ ใ ช่ เ รื่ อ งที่ ก ฎหมายมี ค วาม
ประสงค์จะให้ผู้ต้องหายื่นอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193