บทที่ 8 ระบบประสาทและอวัยวะรับสั มผัส NERVOUS SYSTEM AND THE SENSE ระบบประสาทและอวัยวะรับสั มผัส NERVOUS SYSTEM AND THE SENSE.

Download Report

Transcript บทที่ 8 ระบบประสาทและอวัยวะรับสั มผัส NERVOUS SYSTEM AND THE SENSE ระบบประสาทและอวัยวะรับสั มผัส NERVOUS SYSTEM AND THE SENSE.

บทที่ 8
ระบบประสาทและอวัยวะรับสั มผัส
NERVOUS SYSTEM AND THE SENSE
1
ระบบประสาทและอวัยวะรับสั มผัส
NERVOUS SYSTEM AND THE SENSE
2
nervous system and hormone
ระบบประสาท (nervous system)
ระบบประสานงาน
(coordinating system)
ฮอร์ โมน (hormone)
3
ระบบประสาท
• หมายถึง ระบบที่เกี่ยวกับการสัง่ งาน การติดต่อเชื่อมโยง การ
ประสานงาน การรับคาสัง่ และปรับระบบต่างๆของร่ างกายให้เข้ากับ
สภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายใน โดยใช้เวลารวดเร็ วและสิ้ นสุ ด
อย่างรวดเร็ ว ส่ วนระบบต่อมไร้ท่อนั้นจะตอบสนองเป็ นไปอย่างช้าๆและ
กระทาต่อเนื่องเป็ นเวลานาน
คุณสมบัตขิ องเซลล์ ประสาท
• ไวต่อสิ่ งเร้า(stimulus)
• นากระแสประสาทได้
4
แผนผังแสดงขั้นตอนของกระบวนการรับรู้ ของสิ่ งมีชีวติ
stimulus
ตอบสนองต่ อสิ่งเร้ า
5
เปรียบเทียบระบบประสาทของสั ตว์ ไม่ มกี ระดูกสั นหลังกับ
สั ตว์ มกี ระดูกสั นหลัง
6
ระบบประสาทของพารามีเซียม
• ไม่มีระบบประสาทที่แท้จริ ง มี
เส้ นใย
ประสานงาน(co-ordinating fiber) ซึ่งอยูใ่ ต้ผวิ
เซลล์เชื่อมโยงระหว่างโคนซิเลียแต่ละเส้นทา
ให้เกิดการประสานงานกัน
• คาถาม ถ้าตัด co-ordinating fiber จะเกิดอะไร
ขึ้น
7
ระบบประสาทของซีเลนเทอเรต
• ไฮดรายังไม่มีระบบประสาท แต่มีเส้นใย
ประสาท เรี ยกว่า ร่ างแหประสาท(nerve net)
• เมื่อกระตุน้ ทุกส่ วนร่ างกายจะหดตัว
• การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทจะช้ากว่าสัตว์
ชั้นสู งมาก และมีทิศทางที่ไม่แน่นอน
• ปากและเทนตาเคิล(tentacle)มีเส้นใยประสาท
มาก
• พบที่ผนังลาไส้ในสัตว์ช้ นั สู ง ทาให้เกิด
peristalsis
8
ระบบประสาทของหนอนตัวแบน
• พลานาเรี ย มีปมประสาท 2 ปมอยูท่ ี่ส่วนหัว
เรี ยกว่า ปมประสาทสมอง(cerebral ganglion)
ทาหน้าที่เป็ นสมอง
• ทางด้านล่างสมองมีเส้นประสาทแยกออกข้าง
ลาตัวข้างละเส้น เรี ยกว่า เส้นประสาททาง
ด้านข้าง (lateral nerve cord) มีเส้นประสาท
พาดขวางเป็ นระยะเรี ยกว่า เส้นประสาทตาม
ขวาง(transverse nerve)
9
ระบบประสาทของหนอนตัวกลม
• มีปมประสาทรู ปวงแหวน(nerve ring) อยู่
รอบคอหอย(circumpharyngeal brian)
• มีเส้นประสาททางด้านหลัง เรี ยกว่า dorsal
nerve cord และเส้นประสาททางด้านล่าง
เรี ยกว่า ventral nerve cord
10
ระบบประสาทของพวกมอลลัสก์
• หอยกาบคู่ มีปมประสาท 3 คู่
1. ปมประสาทสมอง(cerebral ganglion) อยู่
ทางด้านข้างของปาก ควบคุมอวัยวะ
ตอนบน
2. ปมประสาทที่อวัยวะภายใน(visceral
่ างด้านท้ายควบคุมอวัยวะ
ganglion)อยูท
ภายใน เช่นระบบย่อยอาหาร ตับ หัวใจ
3. ปมประสาทที่เท้า(pedal ganglion)อยูท่ ี่เท้า
ทาหน้าควบคุมการยืดตัวและหดตัวที่
กล้ามเนื้อเท้า
11
ระบบประสาทของแอนเนลิด
• ไส้เดือนมีระบบประสาทประกอบด้วย
1. สมอง(brain) ปมประสาท 2 ปมเป็ นพู เรี ยกว่าปม
ประสาทซี รีบรัล(cerebral ganglion)
2. ปมประสาทใต้คอหอย(subpharyngeal ganglion)
เกิดจากแขนงประสาทที่แยกออกจากสมองแล้วอ้อม
รอบคอหอย(circumpharyngeal commissure) มา
บรรจบกัน
3. เส้นประสาททางด้านท้อง(ventral nerve cord) มี
เส้นประสาท 2 เส้นแต่มกั รวมกันเป็ นเส้นเดียว และมี
ปมประสาทแต่ละปล้องและแขนงประสาท 3-5 คู่แยก
ออกไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ
12
• ไส้เดือนมีเซลล์ที่ทาหน้าที่รับสัมผัสแสง
เรี ยกว่า โฟโตรี เซปเตอร์เซลล์
(photoreceptor cell)
• มีเซลล์ทาหน้าที่รับความรู ้สึก (sensory
cell) และดมกลิ่นด้วย
13
ระบบประสาทของพวกอาร์ โทพอด
แมลงมีระบบประสาทที่พฒั นามาก
ประกอบด้วย
1. สมอง(brain)เกิดจากปมประสาท 2 ปมมา
รวมกัน ไปยัง optic nerve 1 คู่ และ
antennary nerve 1 คู่
2. ปมประสาทใต้หลอดอาหาร
(sub•
esophageal ganglion)
3. เส้นประสาททางด้านท้อง
(ventral
nerve cord)
14
• แมลงมีตาประกอบ(compound eye) รับ
ภาพและแสงได้ดี
• อวัยวะรับเสี ยง(sound receptors) เช่น
อวัยวะทิมพานัม(tympanum organ)รับ
แรงสันสะเทือนได้ดี
• อวัยวะรับรู ้สารเคมี(chemoreceptors)
เช่น หนวด ปาก ขาเดิน
15
ระบบประสาทของเอไคโนเดิร์ม
• ระบบประสาท วงแหวนประสาท(nerve
ring)อยูร่ อบปาก มีแขนงประสาทแยก
ออกไปยัง arm เรี ยกว่า radial nerve
• มีอวัยวะสัมผัสแสงเรี ยกว่า จุดตา
่ ี่บริ เวณปลายสุ ดของทุก
(eyespot) อยูท
แฉก
• เทนเทเคิล(tentacle) รับสัมผัสเคมี
16
สรุ ป
-สัตว์ พวกแรกที่เริ่มมีระบบประสาทที่แท้ จริงคือ cnidarians เรี ยก nerve net
-ในดาวทะเล ระบบประสาทจะซับซ้ อนขึน้ โดยจะมี nerve ring เชื่อม
กับ radial nerve ที่เชื่อมอยู่กับ nerve net ในแต่ ละแขนของดาวทะเลอีกทีหนึ่ง
-สิ่งมีชีวติ ตัง้ แต่ พวกหนอนตัวแบนเป็ นต้ นไป จะมีการรวมกันของเซลล์
ประสาท (ganglion) ที่บริเวณหัว เรี ยก cephalization
-พลานาเรี ยจะมีการเรี ยงตัวของเส้ นประสาทบริเวณด้ านข้ างลาตัวทัง้ 2 ข้ าง
และจะมีเส้ นประสาทเชื่อม เรี ยก transverse nerve
-ตัง้ แต่ พวกหนอนตัวกลมขึน้ ไป จะมีการเรี ยงตัวของเส้ นประสาทอยู่ทางด้ าน
ท้ องเรี ยก ventral nerve cord
-ในแมลงมีการรวมกันของเซลล์ ประสาท เรี ยก glangion ในแต่ ละข้ อปล้ องของ
ลาตัว
-ในสัตว์ มีกระดูกสันหลัง จะมี dorsal hollow nerve cord มาแทนที่ ventral
nerve cord และไม่ มี segmental ganglia
17
กาเนิดระบบประสาท
•
ระบบประสาทพัฒนามาจาก
เนื้อเยือ่ ชั้นนอก(ectoderm)ทาง
ด้านหลังของตัวอ่อน พัฒนา
เปลี่ยนสภาพเป็ นหลอดประสาท
หรื อนิวรัลทิวบ์(neural tube)
18
การเจริญเปลีย่ นแปลงเป็ นนิวรัลทิวบ์ (neural tube)
19
การเจริ ญพัฒนาของเซลล์
20
เซลล์ ประสาท (neuron หรือ nerve cell)
-เซลล์ ประสาท (neuron or nerve cell) เป็ นเซลล์ ท่ ีมีคุณสมบัตใิ นการเปลี่ยนแปลง
พลังงานจากรู ปแบบหนึ่งไปเป็ นอีกรู ปแบบหนึ่ง (transducer) เช่ นเปลี่ยนจาก
สารเคมี ความร้ อน และความดันที่มากระตุ้น (stimulus) ให้ เป็ นสัญญาณไฟฟ้า
(electrical signal) ที่เรี ยกว่ า nerve impulse หรื อ action potential
21
การขนส่ งสารของเซลล์ ประสาท
• ระบบขนส่ งสารมี 2 ระบบ ได้ แก่
1. ระบบแอกโซพลาสมิกโฟลว์(axoplasmic flow) สารที่ขนส่ งจะไป
ทาหน้าที่ซ่อมแซมใยประสาทที่ถูกตัดหรื อถูกทาลาย ซึ่งจะเป็ นการ
ขนส่ งช้าๆ
2. ระบบแอกโซนัล ทรานสปอร์ต(axonal transport) ขนส่ งสารที่ทา
หน้าที่ปลายแอกซอน และต้องใช้พลังงานด้วย
22
ระบบแอกโซพลาสมิกโฟลว์ (axoplasmic flow)
23
ระบบแอกโซนัล ทรานสปอร์ ต(axonal transport)
24
โครงสร้ างของระบบประสาท
• เซลล์ ประสาท (neuron หรือ nerve cell)
• เซลล์ คา้ จุน (glial cells)
25
เซลล์ ประสาท (neuron หรือ nerve cell)
1. ตัวเซลล์ ประสาท (cell body)
2. ใยประสาท (cell process หรือ nerve fiber)
• เดนไดรต์ (dendrite)
• แอกซอน (axon)
26
โครงสร้ างเซลล์ ประสาทและซิแนปส์ (Synapse)
-เซลล์ ประสาทประกอบด้ วย 4 ส่ วนหลัก คือ dendrite, cell body, axon และ synaptic
terminal
27
Dendrite
-dendrite นาคาสั่ง/ข้ อมูลจากเซลล์ อ่ ืนในรูป
ของสัญญาณไฟฟ้ามายัง cell body (ทำหน้ ำที่
คล้ ำยเสำอำกำศ)
-มักมีแขนงสัน้ ๆ จานวนมาก เพื่อให้ มีพนื ้ ที่
ผิวมากและสามารถรับข้ อมูลได้ มากๆ
ก่ อนจะส่ งข้ อมูลไปยัง cell body
-มี polyribosome (or Nissl body) อยู่ใน
บริเวณที่ dendrite รับข้ อมูล
-คาสั่งอาจจะส่ งหรือไม่ ส่งต่ อไปยังaxon
ขึน้ อยู่กับความแรงของสัญญาณว่ าถึง
threshold หรือไม่
-ในเซลล์ ประสาทที่ไม่ มี dendrite จะรับ
ข้ อมูลโดยตรงทาง cell body
28
Cell body
-Cell body หรือ soma รับข้ อมูลจาก dendrite และส่ ง
คาสั่งต่ อไปยัง axon
-ประกอบด้ วย nucleus&organelle ต่ าง ๆ เหมือน
เซลล์ ท่ วั ไป
-ganglion (ganglia):การเข้ ามารวมกลุ่มกันของnerve
cell body ในบริเวณ PNS เช่ นที่ dorsal root ganglion
(or sensory ganglion)
-Nucleus (nuclei):การเข้ ามารวมกลุ่มกันของnerve
cell body ในสมอง (CNS)ของสัตว์ มีกระดูกสันหลัง
29
dorsal root ganglion
(or sensory ganglion)
30
Axon
-axon นาคาสั่งในรูปของ action
potential จาก cell bodyไปยัง
เซลล์ /neuron อื่น (ทำหน้ ำที่คล้ ำยสำย
เคเบิล) นอกจากนีย้ ังทาหน้ าที่ขนส่ งสาร
ที่ cell body สร้ างไปยัง axon ending
หรือจาก axon ending
cell body
-axon เชื่อมต่ อกับ cell body ตรงบริเวณ
ที่เรียกว่ า axon hillox
-axon hillox: รวบรวมสัญญาณที่ส่งมา
จาก dendrite และก่ อให้ เกิด action
potential (ถ้ ำสัญญำณที่รวบรวมได้ ไม่ถึง
threshold ก็ไม่เกิด action potential)
-Nerve: มัดของ axons หลายๆอันมา
รวมกัน
31
เปรียบเทียบความแตกต่ างระหว่ าง axon และ dendrite
Axon
Dendrite
1.นาข้ อมูล/สัญญาณออกจากเซลล์
2.smooth surface
1.นาข้ อมูล/สัญญาณเข้ าสู่เซลล์
2.rough surface (dendritic spine)
3.มี 1 axon/cell
3.ส่ วนใหญ่ มีมากกว่ า 1 dendrite/cell
4.ไม่ มี ribosome
4.มี ribosome
5.มี myelin
5.ไม่ มี myelin
6.มีการแตกแขนงในตาแหน่ งที่ห่างจาก
cell body
6.แตกแขนงในตาแหน่ งที่ใกล้ กับ
cell body
32
เซลล์ ประสาทแบ่ งตามจานวนแขนงทีแ่ ยกออกจากตัวเซลล์
แบ่ งได้ 3 ชนิดคือ
• เซลล์ ประสาทขั้วเดียว(unipolar neuron)
- เดนไดรท์ยาวกว่าแอกซอนมาก
- พบที่ปมประสาทรากบนของไขสันหลัง
(dorsal root ganglion)
- มีแขนงแยกออกจากเซลล์บอดีแขนงเดียว
33
• เซลล์ ประสาทสองขั้ว(bipolar neuron)
- มีแขนงแยกออกจากเซลล์บอดี 2 แขนง
- ความยาวของเดนไดรต์และแอกซอนใกล้เคียง
กัน
- พบที่เรตินาของลูกตา คอเคลียของหู และเยือ่
ดมกลิ่นที่จมูก
*เซลล์ ประสาทขัว้ เดียวและสองขัว้ มักจะทาหน้ าที่
เป็ นเซลล์ ประสาทรับความรู้สึก(sensory neuron)
34
• เซลล์ ประสาทหลายขั้ว(multipolar neuron)
- มีแขนงแยกออกจากเซลล์บอดี หลายแขนงเป็ น
แอกซอน 1 และเดนไดรต์หลายแขนง
- เซลล์ประสาทส่ วนใหญ่ในร่ างกายเป็ นแบบหลาย
ขั้ว ซึ่งมีแอกซอนยาวเดนไดรต์ส้ นั ทาหน้าที่นา
คาสัง่ ไปยังอวัยวะตอบสนอง
- พบที่สมองและไขสันหลัง
35
36
เซลล์ ประสาทแบ่ งตามหน้ าทีก่ ารทางาน แบ่ งได้ 3 ชนิดคือ
• เซลล์ ประสาทรั บความร้ ูสึก(sensory neuron)
- มีเดนไดรต์ต่อยูก่ บั อวัยวะรับสัมผัส เช่นหู ตา จมูก
ผิวหนัง มีแอกซอนต่ออยูก่ บั เซลล์ประสาทอื่น และ
นาความรู ้สึกเข้าสู่สมองและไขสันหลัง
37
• เซลล์ ประสาทประสานงาน
(association neuron หรือ interneuron)
- มีเดนไดรต์ต่อยูก่ บั แอกซอนของเซลล์ประสาท
รับความรู ้สึกและมีแอกซอนต่อกับเดนไดรต์
ของเซลล์ประสาทสัง่ การ ทาหน้าที่เชื่อมโยง
วงจรประสาท พบที่ไขสันหลัง
38
• เซลล์ ประสาทสั่งการ(motor neuron)
- มีเดนไดรต์ต่อยูก่ บั เซลล์ประสาทอื่นและมี
แอกซอนต่อกับกล้ามเนื้อมัดต่างๆต่อมมี
ท่อหรื อต่อมไร้ท่อ เซลล์ประสาทสัง่ การ
เป็ นเซลล์ประสาทหลายขั้ว
- พบที่สมอง และไขสันหลัง
39
40
Supporting cell or glial cells or neuroglia
neuroglia:ทาหน้ าที่คา้ จุนเซลล์ ประสาทให้ อาหารและสนับสนุนให้ เซลล์ ประสาททา
หน้ าที่ให้ มีประสิทธิภาพสูงสุด มีจานวนมากกว่ าเซลล์ ประสาท 10-50 เท่ า ไม่ มี
บทบาทในการส่ งสัญญาณประสาท ประกอบด้ วยเซลล์ หลายชนิด ได้ แก่
• Astrocyte:glia cellในCNSเกิดtight junctionรอบๆcapillary ทาให้เกิด
Blood-brain barrierเป็ นเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ ติดกับเซลล์ประสาท หรื อเส้นเลือดที่มาเลี้ยง
สมอง ทาหน้าที่ รับส่ งสารให้แก่เซลล์ประสาท
• Oligodendrocyte(ในCNS)และSchwann cell (ในPNS): glial cell
ที่ทาหน้าที่สร้างเยือ่ myelin sheath หุม้ แอกซอนของเซลล์ประสาทในสมอง
• Microglia มีขนาดเล็กสุ ดลักษณะเหมือนรากไม้อยูร่ อบเซลล์ประสาท
• Ependymal cell เป็ นเกลียเซลล์ส้ น
ั บุอยูร่ อบๆในสมองและในไขสันหลัง
• Schwann cell เป็ นเกลียเซลล์ที่ทาหน้าที่สร้างเยือ่ ไมอีลินชีทหุ ้มแอกซอน(แต่ละ
ปล้องคือ 1 เซลล์ชวันน์เซลล์)
41
glial cells
42
สรุป
43
ชวันน์ เซลล์
• เกิดจากชวันน์ เซลล์ไปห่อหุม้ แอกซอนโดยการโอบล้อมปลายแอก
ซอน คุณสมบัติเป็ นชนวน การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทเกิดที่
node of ranvier เท่านั้น
44
เซลล์ ชวันน์ แสดงการเกิดเยือ่ ไมอีลนิ หุ้มแอกซอน
45
การลาเลียงกระแสประสาทในเส้ นใยประสาท
โครงสร้ างของเซลล์ ประสาท
การเคลื่อนที่ของกระแสประสาท
1.ใยประสาทมีไมอีลินหุ้ม ขนาดใหญ่
2. ใยประสาทมีไมอีลินหุ้ม ขนาดเล็ก
12 – 120 เมตร/วินาที
3 – 15 เมตร/วินาที
3. ใยประสาทมีไม่ ไมอีลินหุ้ม
0.5 – 2.3 เมตร/วินาที
แบบ 1 พบที่ เส้ นประสาทนาความรู้ สกึ และสั่งการ
แบบ 2 พบที่ เส้ นประสาทของระบบประสาทอัตโนมัติ
แบบ 3 พบที่ ระบบประสาทซิมพาเทติก และเส้ นใยรั บความรู้ สกึ เจ็บปวด ร้ อน
หนาว เข้ าสู่ไขสันหลัง
46
ความเร็วของกระแสประสาทในใยประสาท
• เยื่อไมอีลนิ ถ้าเยือ่ ประสาทมีเยือ่ ไมอีลินหุม้ ล้อมรอบกระแสประสาทจะ
เคลื่อนที่ได้เร็ วขึ้นประมาณ 10 เท่า
• ระยะห่ างระหว่ างโนด ออฟ แรนเวียร์ ถ้าโนด ออฟ แรนเวียร์ ห่างกัน
มากขึ้นกระแสประสาทจะเคลื่อนที่ได้เร็ วขึ้น
• ขนาดเส้ นผ่ าศูนย์ กลางของใยประสาท ถ้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของใย
ประสาทเพิ่มขึ้น กระแสประสาทจะเคลื่อนที่ได้เร็ วขึ้นเพราะเหตุวา่ มี
ความต้านทานต่าลง
47
Synapse
• หมายถึง การถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาท
ด้วยกัน หรื อเซลล์ประสาทกับหน่วยปฏิบตั ิงาน
48
Synaptic terminal
-synaptic terminal (axon ending):ส่ วนปลายของaxon ทาหน้ าที่หลั่งสาร
neurotransmitter(สารสื่อประสาท)
-synapse:บริเวณที่ synaptic terminal ไปสัมผัสกับเซลล์ เป้าหมาย(neuron/effector)
-เซลล์ ท่ ีส่งสัญญาณเรี ยก presynaptic cell
-เซลล์ เป้าหมายเรี ยก postsynaptic cell (จะมี receptorต่อneurotransmitterของ presynaptic cell)
49
Synapse
50
หน้ าทีข่ องซิแนปส์
• กระแสประสาทเดินทางเป็ นทิศทางเดียวเท่านั้น ไม่ยงุ่ เหยิงสับสน
• ทาหน้าที่ขยายสัญญาณ โดยมีการรวมกันหรื อกระจายกระแสประสาท
ออกทาให้คาสัง่ นั้นแผ่กระจายกว้างขวางมากขึ้น
• ทาหน้าที่เป็ นศูนย์ประสานงานของคาสัง่ ต่างๆมีท้ งั เร่ งการทางานหรื อรั่ง
การทางาน ให้มีการตอบสนองที่แน่นอนเป็ นไปด้วยความเรี ยบร้อย
51
ซิแนปส์ มี 2 ประเภท
• ไซแนปส์ไฟฟ้ า(electeical synapse) เป็ นบริ เวณหรื อช่องไซแนปส์
ที่มีขนาดเล็กมาก กระแสประสาทสามารถผ่านข้ามไปได้โดยตรงโดยไม่
จาเป็ นต้องอาศัยสื่ อใดๆ พบน้อยมาก เช่น บริ เวณปลายกล้ามเนื้อเรี ยบ
• ไซแนปส์เคมี(chemical synapse) เป็ นบริ เวณหรื อช่องไซแนปส์ที่
กระแสประสาทไม่สามารถผ่านได้ ต้องอาศัยสารสื่ อประสาทไปกระตุน้
ให้เกิดกระแสประสาท
52
Electrical synapse
-บริเวณ presynatic membrane และ postsynaptic membrane เชื่อมต่ อกันด้ วย
gap junction ดังนัน้ ion current จากaction potential จึงสามารถเคลื่อนจากเซลล์
ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์ หนึ่งได้ โดยตรง
Presynaptic membrane
Postsynaptic membrane
53
Chemical synapse
1.action potential ที่ synaptic terminal ทาให้ เกิด Ca+ influx
2.synaptic vesicle รวมกับเยื่อเซลล์
3.หลั่งneurotransmitter สู่ synaptic cleft และเคลื่อนไปจับกับ
ตัวรับที่ postsynatic membrane
4.การจับทาให้ ion channel (เช่ น Na+) เปิ ด, Na+ เคลื่อนเข้ าใน
เซลล์ เกิด depolarization
54
สารสื่อประสาท(neurotransmitter)
สารสื่อประสาท
Acetylcholine
ตาแหน่ งที่สร้ าง
Norepinephrine
CNS,PNS
สร้ างจากปลายแอกซอนทั่วไป
CNS,PNS
Dopamine
CNS,PNS
Serotonin
CNS
สำรสื่อประสำทของระบบประสำทอัตโนมัติที่สำคัญได้ แก่ acetylcholine (ACh)
และ noradrenaline (norepinephrine, NE) ซึง่ เส้ นประสำทที่มี ACh เป็ นสำรสื่อประสำท
เรี ยกว่ำ เส้ นประสาท cholinergic และเส้ นประสำทที่มี NE เป็ นสำรสื่อประสำท เรี ยกว่ำ
เส้ นประสาท adrenergic
55
• acetylcholine (ACh)
• noradrenaline (norepinephrine, NE)
56
การทางานของสารสื่ อประสาท
• เมื่อสารสื่ อประสาทถูกปล่อยมาจากแอกซอนของเซลล์ประสาทก่อน
ไซแนป์ ไปยังเดนไดรต์ของเซลล์ประสาทหลังไซแนป์ จะมีการปล่อย
เอนไซม์ออกมาย่อยสลายสารสื่ อประสาท
Acetylcholine
Enzyme cholinesterase
Acetic acid + Choline
57
แผนภาพการสลายสารสื่ อประสาท
58
• เซลล์ประสาทที่ปล่อยสารสื่ อประสาทแอซีทิลโคลินออกมาทีป่ ลายแอก
ซอน เรี ยกว่า คอลิเนอจิกนิวรอน(cholinergic neuron)
• สารสื่ อประสาทที่ทาหน้าที่กระตุน้ ให้เกิดการทางานของระบบประสาท
คือ แอซิทิลโคลิน เอพิเนฟริ น นอร์เอพิเนฟริ น โดปามีน เซโรโทนิน
แอล-กลูทาเมต แอล-แอสพาเตต
• สารสื่ อประสาทที่ทาหน้าที่ยบั ยั้งการทางานของระบบประสาท คือ
GABA ไกลซี น และอะลานี น
59
สารทีม่ ผี ลต่ อการถ่ ายทอดกระแสประสาททีซ่ ิแนปส์
• สารพิษจากแบคทีเรี ย สารจะไปยับยั้งไม่ให้แอกซอนปล่อยสารสื่ อ
ประสาททาให้กล้ามเนื้อไม่หดตัว เกิดอาการอัมพาต
• ยาระงับประสาท ทาให้สารสื่ อประสาทปล่อยออกมาน้อย อันมีผลทาให้
กระแสประสาทส่ งไปยังสมองน้อยจึงเกิดอาการสงบ ไม่วิตก
• สารนิโคติน คาแฟอีน แอมเฟตามีน จะไปกระตุน้ ให้แอกซอนปล่อยสาร
สื่ อประสาทออกมามาก ทาให้เกิดอาการตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ ว
• ยาฆ่ าแมลงบางชนิด จะไปยับยั้งการทางานของเอมไซม์ที่จะมาสลายสาร
สื่ อประสาท
60
การเคลือ่ นทีข่ องกระแสประสาทตามลาดับไม่ มกี ารย้ อนกลับ
แอกซอน
ซิแนปส์ แคลฟต์
ซิแนปส์ แคลฟต์
แอกซอน
เดนไดรต์
ตัวเซลล์ ประสาท
61
การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทในเซลล์ ประสาท
• พบว่าไมอีลินชีทมีสมบัติฉนวนไฟฟ้ ากั้นประจุไฟฟ้ าได้ ทาให้ปริ มาณ
ประจุไฟฟ้ าที่ผวิ นอกและผิวด้านในแตกต่างกันจึงทาให้เกิดความต่าง
ศักย์ไฟฟ้ า ประมาณ 60-80 mv การเคลื่อนที่ของกระแสประสาทจึง
เป็ นการกระโดด(saltatory conduction)ระหว่างโนดออฟเรนเวียร์ที่
อยูถ่ ดั ไป
62
การศึกษาการเกิดกระแสประสาท
63
-membrane potential: ความต่ างศักย์ ท่ ีเยื่อเซลล์
เนื่องจากความแตกต่ างของอิออน ภายใน-นอก
เซลล์ (Na+ K+ Cl- และโปรตีน) ปกติมีค่า= -50
ถึง
-100 mV (ค่ าติดลบหมายถึงภายในเซลล์ มีขัว้ เป็ นลบ
เมื่อเทียบกับนอกเซลล์ )
-สามารถวัดได้ โดยใช้ microelectrode ต่ อกับ
voltmeter หรื อoscilloscope หรื อใช้
micromanipulator วัด
-membrane potential ของเซลล์ ประสาทขณะที่ยัง
ไม่ ถูกกระตุ้นเรี ยก resting potential จะมีค่าเป็ น
ลบ -65 มิลลิโวลต์ ถ้ าถูกกระตุ้นเรี ยกว่ า action
potential จะมีค่าเป็ นบวก +65 มิลลิโวลต์
64
Action potential
-action potential: การเปลี่ยนแปลง membrane potential อย่ างรวดเร็ว
ของเซลล์ ประสาทเมื่อได้ รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้ า ที่ทาให้ เกิด
depolarization จนถึงระดับ threshold potential
-เกิดที่ axon เท่ านัน้ และเป็ นแบบ all-or-none
65
threshold potential
• หมายถึง ระดับของการกระตุน้ ที่สามารถทาให้เกิดกระแสประสาทใน
เซลล์ประสาท ความแรงของการกระตุน้ ที่สูงกว่าระดับเทรสโฮลต์ มิได้
ทาให้กระแสประสาทเคลื่อนที่ได้เร็ วแต่อย่างใด
all-or-none
• หมายถึง ถ้ากระตุน้ แรงเพียงพอ ก็จะเกิดการนากระแสประสาทไปโดย
ตลอด แต่ถา้ ไม่แรงถึงระดับขีดเริ่ มก็จะไม่มีการนากระแสประสาท
เกิดขึ้นเลย
66
การทางานของเซลล์ ประสาท
• มีการแพร่ (diffusion) ของโซเดียมจากภายนอกเข้าสู่ภายในและ
โพแทสเซียมจากภายในออกสู่ภายนอก แต่อตั ราการแพร่ ของ
โพแทสเซียมมากกว่าโซเดียมอิออน
• มีกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต คือ sodium-potassium pump
ของโซเดียมจากภายในออกสู่ภายนอกและโพแทสเซียมจากภายนอกเข้า
สู่ภายใน
67
แผนภูมิวงจรระยะการทางานของเซลล์ ประสาท
Polarization
Repolarization
Depolarization
68
แผนภูมกิ ารทางานของกระแสประสาท
69
Polarization
• มีการแพร่ (diffusion) ของโซเดียมจากภายนอกเข้าสู่ภายในและ
โพแทสเซียมจากภายในออกสู่ภายนอก แต่อตั ราการแพร่ ของ
โพแทสเซียมมากกว่าโซเดียมอิออน
• มีกระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต คือ sodium-potassium pump
ของโซเดียมจากภายในออกสู่ภายนอกและโพแทสเซียมจากภายนอกเข้า
สู่ภายใน
70
Depolarization
• ช่องโซเดียมจะเปิ ดออกทาให้โซเดียมจากภายนอกเข้ามาภายในเซลล์
มากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงประจุที่ผวิ ด้านนอกเป็ นลบ ประจุดา้ นใน
เป็ นบวก
• การเปลี่ยนแปลงของประจุที่เยือ่ หุม้ เซลล์เป็ นผลทาให้เกิดแอกชันโพเทล
เชียล หรื อ กระแสประสาทขึ้นกระแสประสาทส่ งไปด้วยความเร็ วไม่
เกิน 1,000 ครั้ง/วินาที
71
Repolarization
• มีการเปิ ดของช่องโพแทสเซียม ทาให้โพแทสเซียมเคลื่อนที่จากภายใน
ออกสู่ภายนอก ที่เยือ่ หุม้ เซลล์ดา้ นนอกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงความต่าง
ศักย์ไฟฟ้ า ทาให้ภายนอกเซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็ นประจุบวกและ
ภายในเซลล์เปลี่ยนเป็ นประจุลบ
72
ระยะคืนกลับสู่ระยะพัก
• มีกระบวนการแอก
ทีฟทรานสปอร์ต คือ
sodium-potassium
pump ของโซเดียมจาก
ภายในออกสู่ภายนอกและ
โพแทสเซียมจากภายนอก
เข้าสู่ภายใน ในอัตราส่ วน
3Na+ : 2K+ ต่อ 1
ATP
73
แผนภาพสรุ ป
74
การกาเนิดระบบประสาท
• ศูนย์กลางของระบบประสาทอยูท่ ี่สมองและไขสันหลัง ซึ่งเปลี่ยนแปลง
มาจากนิวรัลทิวบ์(neural tube) ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยือ่ ชั้นนอก
(ectoderm)ในระยะเอ็มบริ โอ ซึ่ งมีลกั ษณะเป็ นหลอดยาวมีการเจริ ญ
พัฒนาการพองออก เจริ ญเป็ นสมอง ส่ วนท้ายเจริ ญเป็ นไขสันหลัง ทั้ง
สมองและไขสันหลังมีเยือ่ หุม้ เดียวกัน เรี ยกว่า เยือ่ หุม้ สมอง
(meninges)ทำหน้ำที่ป้องกันอันตรำยและเป็ นทำงให้อำหำรแก่สมอง
และไขสันหลัง
75
ระบบประสาทในสัตว์ มีกระดูกสันหลัง
ระบบประสาทแบ่ งเป็ น
1.ระบบประสาทส่ วนกลาง
(Central nervous system; CNS):
สมองและไขสันหลัง ทาหน้ าที่
รวบรวมและแปลผลข้ อมูล
2.ระบบประสาทรอบนอก
(Peripheral nervous system; PNS):
เส้ นประสาทสมอง(cranial nerve)
เส้ นประสาทไขสันหลัง(spinal
nerve) และปมประสาท (ganglia)
ทาหน้ าที่นาสัญญาณประสาท
เข้ า-ออก CNS และควบคุมการ
เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้ อม
ภายในร่ างกาย
76
โครงสร้ างและการทางานของเซลล์ ประสาท
Cranial nerves
Spinal nerves
77
เยือ่ หุ้ม(meninges) ประกอบด้ วย 3 ชั้น คือ
• ชั้นนอก(dura matter) หนาและเหนียวและแข็งแรงช่วยป้ องกัน
อันตรายและกระทบกระเทือนให้แก่สมองและไขสันหลัง
• ชั้นกลาง(arachniod matter) เป็ นเยือ่ บางๆอยูร่ ะหว่างชั้นอกกับชั้นใน
• ชั้นใน(pia matter) เป็ นชั้นที่อยูต่ ิดกับเนื้อสมองและไขสันหลังเส้น
เลือดมาหล่อเลี้ยงอยูม่ ากนาอาการและออกซิเจนมาให้สมอง
78
79
เยือ่ หุ้ม(meninges) หุ้มทั้งสมองและไขสั นหลัง
80
ระบบประสาทส่ วนกลาง(central nervous system)
1. Brain
2. Spinal cord
81
การเจริญพัฒนาการของสมอง
82
โครงสร้างของสมอง
• สมองส่ วนหน้ า
(forebrain หรื อ
prosencephalon)
• สมองส่ วนกลาง
(midbrain หรื อ
mesencephalon)
• สมองส่ วนท้ าย
(hindbrain หรื อ
rhombencephalon)
83
พัฒนาการสมองของสัตว์
• สมองส่ วนหน้ า(forebrain หรื อ prosencephalon) ทาหน้าที่
เกี่ยวข้องกับการเรี ยนรู ้เป็ นส่ วนใหญ่ พบในสัตว์ที่มีววิ ฒั นาการสู งขึ้น
• สมองส่ วนกลาง(midbrain หรื อ mesencephalon) ทาหน้าที่
เกี่ยวกับการมองเห็น จะมีขนาดใหญ่สุดในปลาและมีขนาดเล็กลงในสัตว์ที่มี
วิวฒั นาการสู งขึ้น
• สมองส่ วนท้ าย(hindbrain หรื อ rhombencephalon) จะมี
พัฒนาการดีมากในสัตว์ที่เคลื่อนที่ 3 มิติ เช่น ปลา นก รวมทั้งคนด้วย
84
เปรี ยบเทียบการพัฒนา
สมองส่ วนต่างๆของสัตว์
มีกระดูกสันหลังชนิดต่างๆ
85
โครงสร้ างและหน้ าที่ในสมองส่ วนต่ างๆของคน
• สมองส่ วนหน้ า(forebrain หรื อ prosencephalon)
1. ซีรีบลั (cerebrum)
* frontal lobe * temporal lobe * parietal lope
* occipital lobe
2. ทาลามัส(thalamus)
3. ไฮโพทาลามัส(hypothalamus)
4. ออแฟกตอรบัลบ์(olfactory bulb)
• สมองส่ วนกลาง(midbrain หรื อ mesencephalon)
1.ออฟติก โลป(optic lope)
• สมองส่ วนท้ าย(hindbrain หรื อ rhombencephalon)
1.ซีรีเบลลัม(cerebellum) 2.medulla ablongata 3. pons
86
สมองส่ วนต่ างๆของคน
87
สมองส่ วนหน้ า(forebrain หรือ prosencephalon)
1. cerebrum
- เป็ นศูนย์กลางการเรี ยนรู ้
- เป็ นศูนย์กลางการรับรู ้
- ควบคุมการทางานของกล้ามเนื้อลาย
- ควบคุมการออกเสี ยงของคน
- ควบคุมเกี่ยวกับอารมณ์
- ควบคุมเกี่ยวกับบุคลิกภาพ
- ควบคุมทักษะ
- เกี่ยวกับการต่อสู ้
- ควบคุมพฤติกรรมทางสังคม
88
โครงสร้ างและหน้ าที่ในสมองซีรีบรัมส่ วนต่ างๆ
89
• frontal lobe เกี่ยวกับความจา ความคิด สัง่ งานกล้ามเนื้ อ
• temporal lobe ดมกลิ่น ได้ยน
ิ การพูด เข้าใจคาพูดและการอ่าน
• parietal lope รู สึกตัว การเขียน รับความรู ้สึก
• occipital lobe การมองเห็น
90
2. ทาลามัส(thalamus)
- ทาหน้าที่เป็ นศูนย์รวมกระแสประสาทที่ผา่ นมาแล้วแยกกระแสประสาท
ไปยังสมองที่เกี่ยวข้อง จึงอาจเรี ยกส่ วนนี้วา่ เป็ นสถานีถ่ายทอดที่สาคัญ
ของสมอง
- ทาหน้าที่เป็ นศูนย์รับความเจ็บปวด
91
3. ไฮโพทาลามัส(thalamus)
- ควบคุมอุณภูมิของร่ างกาย การเต้นหัวใจ ความดันเลือด การนอนการ
หลับ ความหิ ว ความอิ่ม ความรู ้สึกทางเพศและสร้างฮอร์โมน
- เป็ นศูนย์กลางควบคุมระบบประสาท
อัตโนวัติ
92
4. ออแฟกตอรบัลบ์ (olfactory bulb)
- ทาหน้าที่เกี่ยวกับการดมกลิ่น
- ในพวกปลาจะเจริ ญดีมากต่างจากพวกไพรเมต(primate)
93
The limbic system generates the feeling; emotion and memory
94
• สมองส่ วนกลาง(midbrain หรื อ mesencephalon)
1.ออฟติก โลป(optic lope) ทาหน้าที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นเจริ ญพัฒนามากใน
สัตว์พวกปลา นกและลดน้อยลงในสัตว์ช้ นั สู ง
95
• สมองส่ วนท้ าย(hindbrain หรื อ rhombencephalon)
1.ซีรีเบลลัม(cerebellum)
2.เมดุลา ออฟลองกาตา(medulla ablongata)
3. พอนส์ (pons)
96
1.ซีรีเบลลัม(cerebellum) ทาหน้ าทีค่ วบคุมการเคลือ่ นไหวต่ างๆให้
เป็ นไปอย่ างสละสลวย ควบคุมการทรงตัว
97
2.เมดุลา ออฟลองกาตา
(medulla
ablongata)
ทาหน้ าทีเ่ กีย่ วกับระบบ
ประสาทอัตโนวัติ ได้ แก่
ควบคุมอัตราการเต้ นของ
หัวใจ ควบคุมการหายใจ
ความดันเลือด การกลืนการ
จาม การอาเจียน
98
3. พอนส์ (pons) ทาหน้ าที่
ควบคุมการเคีย้ ว การหลัง่
นา้ ลายและการเคลือ่ นไหวของ
ใบหน้ าควบคุมการหายใจ เป็ น
ทางผ่ านของกระแสประสาท
ระหว่ างซีรีบรัมกับซีรีเบลลัม
และระหว่ างซีรีเบลลัมกับไขสั น
หลัง
99
เส้นประสาทสมอง(cranial nerve)
เส้ นประสาทสมองมี 3 ประเภท
• เส้ นประสาทสมองทีท่ าหน้ าทีร่ ับความรู้สึก(sensory nerve)ทาหน้ าที่ รั บ
กระแสความรู้ สึกจากหน่ วยรั บความรู้ สึกไปยังสมองส่ วนที่เกี่ยวข้ อง
• เส้ นประสาทสมองทีท่ าหน้ าทีน่ าคาสั่ ง (moter nerve) ทาหน้ าที่
นากระแสคาสั่งจากสมองไปยังหน่ วยปฏิบัติงาน
• เส้ นประสาทสมองทีท่ าหน้ าทีผ่ สม (mixed nerve) ทาหน้ าที่รับกระแส
ความรู้ สึกจากหน่ วยรั บความรู้ สึก ไปยังสมองส่ วนที่เกี่ยวข้ อง และจาก
สมองไปยังหน่ วยปฏิบัติงาน
101
เส้นประสาทสมอง(cranial nerve) คนมี 12 คู่
สรุป
• เส้ นประสาทสมองทีท่ าหน้ าที่
รับความรู้ สึก มี 3 คู่ ได้ แก่
1,2,8
• เส้ นประสาทสมองทีท่ าหน้ าที่
นาคาสั่ ง มี 5 คู่ ได้ แก่
3 , 4 , 6 , 11 , 12
• เส้ นประสาทสมองทีท่ าหน้ าที่
ผสม มี 4 คู่ ได้ แก่
5 , 7 , 9 , 10
104
ไขสันหลัง(spinal cord)
• เนือ้ ไขสั นหลังมี 2 ส่ วนคือ
- white matter เป็ นส่ วนทีม่ สี ี ขาวอยู่รอบนอก โดยบริเวณนีม้ เี ฉพาะใย
ประสาททีม่ เี ยือ่ ไมอีลนิ หุ้มโดยไม่ มตี วั เซลล์ ประสาทอยู่เลย
- Gray matter เป็ นส่ วนทีม่ สี ี เทา อยู่บริเวณกลางๆ โดยบริเวณนีม้ ีท้งั ตัว
เซลล์ ประสาทและใยประสาททีไ่ ม่ มเี ยือ่ ไมอีลนิ หุ้ม ตัวเซลล์ ประสาทมีท้งั เซลล์
ประสาทประสานงานและเซลล์ประสาทนาคาสั่ ง
105
โครงสร้ างของไขสั นหลัง
• เนื้อไขสันหลังประกอบด้วย 2 ส่ วน
1. White matter มีสีขาวอยูร่ อบนอก
2. Gray matter มีสีเทา อยูบ่ ริ เวณกลางๆ มีรูปร่ างคล้ายตัวอักษร
ตัว H หรื อปี กผีเสื้ อ ประกอบด้วย
- ปี กบน(dorsal horn) เป็ นบริ เวณรับความรู ้สึก
- ปี กล่าง(ventral horn) เป็ นบริ เวณนาคาสัง่
- ปี กข้าง(lateral horn) เป็ นระบบประสาทอัตโนวัติเพราะมี
เซลล์ประสาทนาคาสัง่ ตัวที่ 1 ปรากฏอยู่
106
107
เส้ นประสาทไขสั นหลัง
• ในคนมีท้งั หมด 31 คู่
ทั้งหมดเป็ นเส้ นประสาท
ผสม(mixed nerve)
• เส้ นประสาทไขสั นหลังจึง
เหมือนเส้ นประสาทสมองคู่
ที่ 5,7,9,10
108
ภาพแสดงไขสั นหลังทีบ่ รรจุอยู่ในโพรงกระดูก
109
ระบบประสาทรอบนอกหรือระบบประสาทส่ วนปลาย
(peripheral nervous system = PNS)
1. ระบบประสาทใต้อานาจจิตใจ(voluntary nervous system)
หรื อระบบประสาทโซมาติก(somatic nervous system)
- ศูนย์สงั่ การอยูท่ ี่ สมองและไขสันหลัง
- หน่วยปฏิบตั ิงาน ได้แก่ กล้ามเนื้อลาย
2. ระบบประสาทอัตโนวัติ(involuntary nervous system หรื อ
autonomic nervous system) หรื อ ระบบประสาทนอกอานาจจิตใจ
- ศูนย์ควบคุม ได้แก่ เมดุลลา ออฟลองกาต้า และ ไฮโปทาลามัส
- หน่วยปฏิบตั ิงาน ได้แก่ กล้ามเนื้อเรี ยบ อวัยวะภายในและต่อมต่างๆ
110
ประเภทของรี แฟลกซ์ แอกชัน(reflex action)
รี แฟลกซ์ แอกชัน(reflex action)
- somatic reflex เป็ นรี แฟลกซ์ของระบบประสาทใต้อานาจจิตใจ แต่ตอบสนองต่อสิ่ ง
เร้าโดยอยูน่ อกเหนืออานาจจิตใจชัว่ ขณะ และมีหน่วยปฏิบตั ิงานเป็ นกล้ามเนื้อลาย
* การกระตุกขา เมื่อถูกเคาะที่หวั เข่า
* การชักมือชักเท้าหนีของร้อนๆ หรื อของมีคม
- autonomic reflex ป็ นรี แฟลกซ์ของระบบประสาทอัตโนวัติ ตอบสนองต่อสิ่ งเร้าอยู่
นอกเหนืออานาจจิตใจะ และมีหน่วยปฏิบตั ิงานเป็ นกล้ามเนื้อเรี ยบ กล้ามเนื้อหัวใจ อวัยวะ
ภายใน และต่อมต่างๆ
* การเกิดเพอริ สตัลซีสที่ท่อทางเดินอาหาร
* การหลัง่ น้ าตา น้ าย่อย น้ าลาย น้ านม
111
รี แฟลกซ์ ของระบบประสาทใต้อานาจจิตใจ
สิ่งเร้ ำ
หน่วยรับควำมรู้สกึ
เซลล์ประสำทรับควำมรู้สกึ
เซลล์ประสำทประสำนงำน
กำรตอบสนอง
หน่วยปฏิบตั ิงำน
เซลล์ประสำทนำคำสัง่
• หน่วยปฏิบตั ิงานในรี แฟลกซ์น้ ี เป็ น กล้ามเนื้อลาย
• รี แฟลกซ์ ของการกระตุกขาเมื่อถูกเคาะที่หวั เข่า กระแสประสาทจะไม่ผา่ นเซลล์
ประสาทประสานงาน ดังนั้นชนิดเซลล์ประสาทน้อยที่สุดทางานได้ ประกอบด้วย
เซลล์ประสาท 2 ชนิดคือ เซลล์ประสาทรับความรู้สึก และเซลล์ประสาทนาคาสั่ง
112
somatic reflex
113
114
รี แฟลกซ์ ของระบบประสาทนอกอานาจจิตใจ
สิ่งเร้ ำ
หน่วยรับควำมรู้สกึ
เซลล์ประสำทรับควำมรู้สกึ
เซลล์ประสำทนำคำสัง่ ตัวที่ 1
(preganglionic neuron)
กำรตอบสนอง
หน่วยปฏิบตั ิงำน
เซลล์ประสำทนำคำสัง่ ตัวที่ 2
(posganglionic neuron)
• หน่วยปฏิบตั ิงานในรี แฟลกซ์น้ ีเป็ น กล้ามเนื้อเรี ยบ,กล้ามเนื้อหัวใจ
,อวัยวะภายในและต่อมต่างๆ
• จานวนเซลล์ประสาทนาคาสัง่ จากศูนย์กลางไปยังหน่วยปฏิบตั ิงานจะมี
2 เซลล์ซ่ ึงต่างจากระบบประสาทใต้อานาจจิตใจมี 1 เซลล์
115
ระบบประสาทอัตโนวัติ(autonomic nervous system)
- ระบบประสาทซิมพาเทติก(sympathetic nervous system) เป็ นระบบ
ประสาทอัตโนวัติที่มีเซลล์ประสาทนาคาสัง่ ตัวที่ 1
(preganglionic neuron) อยูใ่ นไขสันหลังส่ วนอก และเอว
(thoracolumbar outflow)
- ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก(parasympathetic nervous system)
เป็ นระบบประสาทอัตโนวัติที่เซลล์ประสาทตัวที่ 1 อยูใ่ นสมองและไข
สันหลังส่ วนกระเบนเหน็บ
116
เปรียบเทียบระหว่ างซิมพาเทติกกับพาราซิมพาเทติก
สิ่ งที่เปรียบเทียบ
ระบบประสาทซิมพาเทติก ระบบประสาทพาราซิมพา
เทติก
ตาแหน่งของเซลล์ประสาท อยูใ่ นไขสันหลังส่ วนอก อยูใ่ นสมองและไขสันหลัง
นาคาสั่ง
และเอว
ส่ วนกระเบนเหน็บ
-ตัวที่ 1 (preganglionic
neuron)
- ตัวที่ 2 (posganglionic
neuron)
อยูน่ อกไขสันหลังโดยอยู่ อยูน่ อกสมองและไขสัน
ใกล้ศนู ย์สงั่ งาน โดย 1 สั้น หลังโดยอยูใ่ กล้หน่วย
2 ยาว
ปฏิบตั ิงาน โดย 1 ยาว 2
สั้น
ตาแหน่งปมประสาท
อยูใ่ กล้ศนู ย์สั่งงาน แต่อยู่
ไกลหน่วยปฏิบตั ิงาน
ศูนย์กลางการสั่งงาน
อยูใ่ นไขสันหลัง
สารสื่ อประสาทของเซลล์
ประสาทนาคาสั่ง
- ตัวที่ 1 (ไซแนป์ กับเซลล์
ประสาทนาคาสัง่ ตัวที่ 2
อยูใ่ น/ใกล้หน่วย
ปฏิบตั ิงาน แต่อยูไ่ กลศูนย์
ส่ งงาน
อยูใ่ นสมองและไขสันหลัง
acetylcholine
- ตัวที่ 2 (ไซแนป์ กับหน่วย
ปฏิบตั ิงาน)
noradrenaline
acetylcholine
ลักษณะการตอบสนองของ
หน่วยปฏิบตั ิงาน
กระตุน้
ยับยั้ง
เปรียบเทียบระบบการทางานของระบบประสาทอัตโนวัติ
ชื่ออวัยวะ
ซิมพาเทติก
พาราซิมพาเทติก
ม่ านตา
รู ม่านตาเปิ ดกว้าง
รู ม่านตาหรี่
ต่ อมนา้ ลาย
กระตุน้ การหลัง่ น้ าลาย
ยับยั้งการหลัง่ น้ าลาย
หัวใจ
เพิ่มอัตราสู บฉี ด ทาให้เส้น ลดอัตราการสูบฉี ด
เลือดขยายตัว
120
เส้ นเลือดอาร์ เทอรี่
บีบตัวที่ผนัง และอวัยวะ
ภายใน บีบและคลายที่
กล้ามเนื้อลาย
คลายตัวที่ต่อมน้ าลาย และ
อวัยวะสื บพันธุ์
ต่ อมนา้ ลาย
สร้างน้ าเมือก
สร้างส่ วนที่เป็ นน้ า
กระเพาะและลาไส้ เล็ก
ห้ามการเคลื่อนไหวแบบเพ กระตุน้ การเคลื่อนไหว
อริ สเตอลซี ส
แบบเพอริ สเตอลซี ส
อะดรีนัล เมดุลลา
กระตุน้ การหลัง่ อะดีนาลีน ไม่มี
และนอร์อะดีนาลีน
121
ตับ
กระตุน้ การสลายตัวของ
ไกลโคเจน
บีบตัวและกระตุน้ การหลัง่
น้ าดี
ตับอ่อน
ไม่มี
กระตุน้ การหลัง่ อินซูลิน
และน้ าย่อย
ม้ าม
กระตุน้ ให้บีบตัว นาเลือด ไม่มี
เข้าสู่ ระบบหมุนเวียนเลือด
มากขึ้น
กระเพาะปัสสาวะ
ทาให้กระเพาะปั สสาวะ
คลายตัวไม่ให้ปัสสาวะ
กระตุน้ ให้กระเพาะ
ปัสสาวะปี บตัวทาให้มีการ
ปัสสาวะ
122
ปอด
กระตุน้ การขยายตัวของบ
รองคิโอล์ทาให้หายใจ
คล่อง
กระตุน้ การบีบตัวของบ
รองคิโอลทาให้หายไม่
คล่อง
ต่ อมเหงือ่
กระตุน้ การขับเหงื่อออกมา ไม่มี
อวัยวะสื บพันธุ์
กระตุน้ การหลัง่ น้ าอสุ จิใน กระตุน้ เพนนิสและคลิเท
เพศชาย
อริ สให้แข็งตัว
123
Parasympathetic and sympathetic nervous system
-parasympathetic และ
sympathetic มักจะทางาน
ตรงข้ ามกัน (antagonist)
-sym มักจะกระตุ้นการ
ทางานของอวัยวะที่ทาให้ เกิด
การตื่นตัวและก่ อให้ เกิด
พลังงาน ในขณะที่ parasym
จะเกิดตรงกันข้ าม
-sympathetic neuron
มักจะหลั่ง norepinephrine
-parasympathetic neuron
มักจะหลั่ง acetylcholine
postganglionic ganglion
preganglionic ganglion, Ach
124
125
เปรียบเทียบระบบประสาทใต้ อานาจจิตใจกับระบบ
ประสาทอัตโนวัติ
โครงสร้างและหน้าที่
ระบบประสาทใต้อานาจ
จิตใจ
ระบบประสาทอัตโนวัติ
จานวนเซลล์ประสาทนา
คาสั่งถึงหน่วยปฏิบตั ิงาน
หนึ่งเซลล์
สองเซลล์ คือ
preganglionoic neuron
และ postganglionic neuron
หน่วยปฏิบตั ิงาน
กล้ามเนื้อลาย
กล้ามเนื้อเรี ยบ กล้ามเนื้อ
หัวใจ และต่อมต่างๆ
126
ปมประสาทที่อยูน่ อก
สมองและไขสันหลัง
ไม่มี
มีท้ งั บริ เวณข้างกระดูกสัน
กลังและห่างออกไปจาก
กระดูกสันหลัง
ใยประสาท
มีเยือ่ ไมอีลิน
มีเยือ่ ไมอีลินเฉพาะใย
ประสาทของ
preganglionoic neuron
ร่ างแหประสาท
ไม่มี
พบที่ทางเดินอาหาร
สารสื่ อประสาทที่สาคัญ
อะซิ ติลโคลีน
อะซิ ติลโคลีนสาหรับ
เส้นประสาทพาราซิ มพาเท
ติก และเส้นประสาท
preganglionoic neuron
ของซิ มพำเทติก
127
การทางานของหน่วย
ปฏิบตั ิงาน
กระตุน้
เป็ นทั้งกระตุน้ และยับยั้ง
บทบาททัว่ ไป
ปรับให้เข้ากับ
สภาพแวดล้อมภายนอก
ปรับให้เข้ากับ
สภาพแวดล้อมภายใน
ร่ างกาย
128
อวัยวะรับสัมผัส
SENSORY MECHANISM
-Sensation: การเคลื่อนของ action potential ผ่ าน sensory neuron ไปยังสมอง
-Perception: การรวบรวมและแปลผล sensation ที่สมองได้ รับ
Sensory Mechanism ประกอบด้ วย
1. Sensory transduction การที่ส่ งิ เร้ ามากระตุ้น receptor cell แล้ วทาให้ เกิดการ
เปลี่ยนแปลงต่ อ membrane potential
2. Amplification การขยายสัญญาณจากการกระตุ้นของสิ่งเร้ า เช่ น การขยาย
สัญญาณภายในหูจากการสั่นของเยื่อแก้ วหู และกระดูกหู 3 ชิน้
3. Transmission การนาสัญญาณประสาท (nerve impulse) ไปยัง CNS
4. Integration การรวบรวม nerve impulse ที่ได้ รับ โดยการ summation of graded
potential
Sensory adaptation การลดการตอบสนองต่ อสิ่งเร้ าที่กระตุ้นมาอย่ างต่ อเนื่ อง
129
เช่ น การลดการตอบสนองต่ อการสัมผัสของเสือ้ ผ้ าที่สวมใส่
แบ่ ง sensory receptor ตามการรั บสิ่งเร้ าได้ เป็ น 2 กลุ่ม คือ
1.Exteroreceptor: รั บสิ่งเร้ าจากภายนอกร่ างกาย เช่ น ความร้ อน, แสง, ความดัน, สารเคมี
2.Interoreceptor: รั บสิ่งเร้ าจากภายในร่ างกาย เช่ น blood pressure(พบที่เส้ นเลือด) ,
body position (พบที่ห)ู
แบ่ ง sensory receptor ตามชนิดของสิ่งเร้ าได้ เป็ น 5 ชนิด คือ
1.Mechanoreceptor: สิ่งเร้ าเป็ นแรงกล เช่ น แรงดัน (ผิวหนัง), การสัมผัส(ผิวหนัง), การ
เคลื่อนไหว(หู), เสียง(หู)
2.Chemoreceptor: สิ่งเร้ าเป็ นสารเคมี เช่ น กลูโคส, O2, CO2, กรดอะมิโน
-Gustatory (taste) receptor (ลิน้ )และ Olfactory (smell) receptor (จมูก)
3.Electromegnetic receptor (Photoreceptor): สิ่งเร้ าเป็ นพลังงานแม่ เหล็กไฟฟ้า เช่ น
แสง (visible light), กระแสไฟฟ้า, สนามแม่ เหล็ก (ตา)
4.Thermoreceptor: สิ่งเร้ าเป็ นอุณหภูมิ เช่ นความร้ อน, ความเย็น (ผิวหนัง)
130
ตา(Eye): การมองเห็น
-Eye cup ของพลานาเรี ยจะรั บข้ อมูล
เกี่ยวกับความเข้ มของแสง และทิศทาง
แสง โดยไม่ เกิดเป็ นภาพ
-สมองจะแปลสัญญาณประสาทที่มาจาก
eye cup ทัง้ สองข้ าง
-พลานาเรี ยจะเคลื่อนที่จนกระทั่ง
sensation จาก eye cup ทัง้ 2 ข้ างเท่ ากัน
และมีค่าน้ อยที่สุด
-ในแมลงตาเป็ นแบบ compound eye
-ใน compound eye แต่ ละข้ างมี
ommatidia (light detector) หลายพันอัน
-แต่ ละ ommatidium จะรั บภาพได้ เอง
ดังนัน้ ตาแมลงสามารถแยกแยะภาพได้
ถึง 330 ครั ง้ /วินาที
131
โครงสร้ างของนัยน์ ตาคน
• Sclera หรื อ sclerotic coat ได้แก่ส่วนขาวของตา ส่ วนหน้า
สุ ดจะโป่ งออก เรี ยกว่า กระจกตา(cornea) หรื อตาดา เป็ นส่ วนที่ให้
แสงเข้าผ่าน
• Choroid เป็ นเยือ่ บางๆสาหรับอาศัยของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงลูกตา
ผนังจะมีรงควัตถุดูดแสงมิให้ผา่ นทะลุไปยังด้านหลังของนัยน์ตา
ด้านหน้าจะมีเยือ่ ยืน่ ออกมาเรี ยกว่า ม่านตา(Iris)ช่องตรงกลางเรี ยกว่า รู
ม่านตา(pupil) ซึ่งจะเกี่ยวกับปริ มาณแสง
132
• Retina เป็ นผนังชั้นในสุ ด เป็ นที่อยูข่ องเซลล์รับแสง 2 ชนิด
1. เซลล์ รูปแท่ ง(rod cell)
- ทางานได้ดีขณะแสงสลัว จึงพบมากในสัตว์ออกหากินในเวลากลางคืน
- ภาพที่เห็นเรี ยกว่า scotopic vision เป็ นภาพที่ไม่มีรายละเอียด
ไม่มีสีสนั เป็ นขาวดา
- ไวต่อแสงสี เขียวมากที่สุด
- เซลล์รูปแท่งหนาแนนที่สุด ทางด้านข้างของเรตินาและลดน้อยลงเมื่อ
เข้าใกล้ใจกลางเรตินาดังนั้นเวลากลางคืนจะเห็นภาพชัดเจนเมือ่ แสงตกที่
ด้านข้างเรตินา
133
2. เซลล์ รูปกรวย(cone cell)
- ทางานได้ดีขณะแสงมาก จึงพบมากที่หากินในเวลากลางวัน
- ภาพที่เห็นเรี ยกว่า photopic vision ภาพมีสีสันรายละเอียด
- ไวต่อแสงน้ าเงิน เขียว แดง มาก
- เซลล์รูปกรวยหนาแน่นบริ เวณใจกลางเรตินาเรี ยกตาแหน่งนี้วา่ โพเวีย
(fovea) ซึ่งเห็นภาพชัดเจนที่สุด เมื่อออกด้านข้างเซลล์รูปกลวยจะ
ลดลง
*จุดบอด(bilnd spot) บริ เวณนี้จะมีเส้นประสาทคู่ที่ 2 อยูจ่ ึงไม่พบ
เซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวย
134
135
Single lens eyes ในคน
white outer layer of
connective tissue
thin, pigmented layer
contain photoreceptor cell
give the eye its color
clear, watery
liquid lens
transparent protein
jelly-like
Photoreceptor cells: Rod cell and Cone cell
the information of photoreceptor leaves the eye,
136
the optic nerve attached to the eyes
การมองภาพระยะใกล้ และไกล
a.การมองภาพระยะใกล้ (accommodation)
ciliary muscle หดตัว suspensory
ligament หย่ อน เลนส์ หนาขึน้ และกลมขึน้
b.การมองภาพระยะไกล
ciliary muscle คลายตัว suspensory
ligament ตึง เลนส์ ถกู ดึงทาให้ แบน
137
Photoreceptors of the retina
-photoreceptors มี 2 ชนิด
1.Rod cells มี ประมาณ 125 ล้ านเซลล์
-ไวแสง แต่ ไม่ สามารถแยกสีได้
2.Cone cells มีประมาณ 6 ล้ านเซลล์
-ไม่ ไวแสง แต่ สามารถแยกสีได้
แบ่ งเป็ น red cone, green cone, blue
cone
-fovea เป็ นบริเวณที่มีแต่ cone cells ไม่
มี rod cell
138
สรีรวิทยาของการมองเห็นภาพ
พบว่ าส่ วนนอกสุดของเซลล์ รูปแท่ งมีรงควัตถุสีม่วง
แดง เรียกว่ า โรดออฟซิน(rhodopsin) ซึ่งประกอบ
จากโปรตีน เรียกว่ า ออฟซิน(posin)
จับกับอนุพนั ธ์ ของวิตามิน A เรียกว่ า เรตินิน
(retinene)ในรูปของ Cis-retinene รงควัตถุ
เปรียบเสมือนสารเคมีท่ ฉี าบไว้ บนฟิ ลม์ ในกล้ อง
ถ่ ายรูปเมื่อได้ รับแสงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
เคมีกลายเป็ น lumirhodopsin และMetarhodopsin
แล้ วสลายตัวเป็ น opsin กับ retinene และเกิด
พลังงานในรูปกระแสไฟฟ้ากระตุ้นทาให้ เกิด
กระแสประสาทในเซลล์ รูปแท่ งและถ่ ายทอดไปยัง
เส้ นประสาทเส้ นที่ 2 และเพื่อไปแปลความหมาย
ของภาพที่สมองส่ วนซีรีบรัม
139
The Vertebrate Retina
ขัน้ ตอนการเกิดภาพมีดังนี ้
1.หลังจากแสงมากระตุ้น rods&cones เกิด action
potential
2.rods&cones synapse กับ bipolar cells
3.bipolar cells synapse กับ ganglion cells
4.ganglion cells ส่ ง visual sensation (action
potential)ไปยังสมอง
5.การถ่ ายทอดข้ อมูลระหว่ าง rods&cones,
bipolar cells, ganglion cells ไม่ ได้ เป็ นแบบ
one-to-one
6.horizontal&amacrine cells ทาหน้ าที่ integrate
signal
140
Neural Pathways for Vision
-สมองด้ านขวารั บ sensory information จาก
วัตถุท่ อี ยู่ทางด้ านซ้ าย (left visual field, blue)
-สมองด้ านซ้ ายรั บ sensory information จาก
วัตถุท่ อี ยู่ทางด้ านขวา (right visual field, red)
-optic nerve จากตาทัง้ สองข้ างจะมาพบกันที่
optic chiasma
-optic nerve จะเข้ าสู่ lateral geniculate nuclei
ของ thalamus
-ส่ ง sensation ไปยัง primary visual cortex ใน
occipital lobe ของ cerebrum
141
การบอดสี (colour blindness)
• การเห็นสี เกิดจากการทางานของเซลล์รูปกรวย(cone cell) แบ่งเป็ น
3 พวกเซลล์รูปกรวยรับสี แดง,น้ าเงิน,เขียว การที่เราเห็นสี มากมาย
เนื่องจากกระตุน้ เซลล์รูปกรวยแต่ละสี พร้อมๆกันด้วยความเข้มต่างกัน
เกิดการผสมสี เป็ นสี ต่างๆกัน การเกิดการบอดสี คือการที่เซลล์รูปกรวย
ชนิดใดชนิดหนึ่งพิการทางานไม่ได้โดยการบอดสี สามารถถ่ายทอดทาง
พันธุกรรมได้
• คนส่ วนมากพบตาบอด สี แดง>เขียว>น้ าเงิน
142
• สายตาสั้ น(myopia) คือสภาวะที่กระบอกตายาวกว่าเดิม ทาให้แสงจากวัตถุ
โฟกัสที่วนุ ้ ในลูกตาแล้วกระจายออกเป็ นวงพร่ าไปตกบนเรตินา
* การแก้ไข กระทาโดยการใส่ แว่นตาที่ประกอบด้วยเลนส์เว้าช่วยกระจายแสง
เพื่อยืดความยาวของโฟกัสออกให้มาตกที่บริ เวณเรตินาพอดี
143
• สายตายาว(hypermetropia) คือ ภาวะที่กระบอกตาสั้นกว่า
ปรกติ ทาให้แสงตกบนเรตินาก่อนที่มีการโฟกัส
* การแก้ไข กระทาโดยการใส่ แว่นตาที่ประกอบด้วยเลนส์นูนช่วยรวม
แสง เพื่อให้แสงมาตกที่บริ เวณเรตินาพอดี
144
• สายตาเอียง(astigmatism)
คือสภาวะเกิดจากการที่ผวิ กระจก
ตาหรื อ เลนส์ ไม่สม่าเสมอทาให้
โค้งไม่เท่ากัน แสงจากวัตถุผา่ น
กระจกตาทาให้เกิดการหักเหและ
ให้ภาพไม่เป็ นจุดชัด
* การแก้ไข กระทาโดยการใช้
เลนส์ทรงกระบอกหรื อทั้งเลนส์
ทรงกระบอกและทรงกลม
เพื่อให้แสงในแต่ละระนาบมา
โฟกัสที่จุดเดียวกัน
145
ตาแมลงมี 2 ประเภท
• ตาเดี่ยว(simple
eye) มีจานวน 1
หรื อ2-3 ตา ส่ วนใหญ่
ทาหน้าที่รับรู ้ความมือ
สว่าง
• ตาประกอบ(compound
eye) มี 2 ตา ซึ่ง
ประกอบด้วยตาย่อยมากมาย
แต่ละหน่วยเรี ยกว่า ฟาเซท
(facet)
146
หู(Ear): การได้ ยนิ และการทรงตัว
147
โครงสร้ างของหู(ear)
• โครงสร้ างของหูส่วนนอก
- ใบหู(pinna)
- ช่องหูหรื อรู หู(external auditory canal)
- แก้วหูหรื อเยือ่ แก้วหู(tympanic membrane หรื อ ear drum)
• โครงสร้ างของหูส่วนกลาง
- ท่อยูสเตเชียน(eustachian tube)ทาหน้าที่ปรับความดันระหว่างหูตอนกลางและ
อากาศภายนอก และระบายคลื่นเสี ยงส่ วนเกินจากหูตอนใน
- กระดูกหู มีขา้ งละ 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกค้อน(malleus) กระดูกทัง่ (incus) กระดูก
โกลน(stapes) ทาหน้าที่ขยายความสัน่ สะเทือนของคลื่นเสี ยงให้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 20
เท่า เมื่อเข้าในหูตอนใน
148
•
โครงสร้ างของหูส่วนกลาง
- ท่อยูสเตเชียน(eustachian tube)ทาหน้าที่ปรับความดันระหว่างหูตอนกลางและ
อากาศภายนอก และระบายคลื่นเสี ยงส่ วนเกินจากหูตอนใน
- กระดูกหู มีขา้ งละ 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกค้อน(malleus) กระดูกทัง่ (incus) กระดูกโกลน
(stapes) ทาหน้าที่ขยายความสัน่ สะเทือนของคลื่นเสี ยงให้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 20 เท่า เมื่อ
เข้าในหูตอนใน
• โครงสร้ างของหูส่วนใน
เป็ นที่อยูข่ องอวัยวะรับเสี ยงและอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัว
1. Utricular region เป็ นที่อยูข่ องอวัยวะการทรงตัวประกอบด้วยถุง utriculus และ
มี เซมิเซอร์คิวลาแคแนล(semicitcular canal) เป็ นหลอดครึ่ งวงกลม 3 อัน มี
ของเหลวบรรจุอยู่
2. saccular region เป็ นที่อยูข่ องอวัยวะรับเสี ยงเรี ยกว่า คอเคลีย(cochiea) มี
ลักษณะคล้ายก้นหอยภายในมีของเหลวบรรจุอยู่ เมื่อคลื่นเสี ยงผ่านเข้ามาภายในทาให้เกิดการ
สัน่ สะเทือนกระตุน้ ส่ งสัญญานไปตามเส้นประสาท
149
การทรงตัว
temperal bone
(equilibrium)
(hearing)
กำรโค้ งงอของ
hair cell ทำให้
เกิด action
potential
(endolymph fluid)
perilymph fluid
150
การทรงตัว
-utricle, saccule และ semicircular canals ในหูชัน้ ใน รั บรู้ เกี่ยว
กับการทรงตัวและตาแหน่ งของร่ างกาย โดยมี hair cell อยู่ข้างใน
-utricle&sacculeส่ งสัญญาณให้ สมองรั บรู้ ว่าทิศใดเป็ นด้ านบนและ
ร่ างกายอยู่ในท่ าได้
-semicircular canals รั บรู้ เกี่ยวกับทิศทางทัง้ 3 ระนาบ โดยบริเวณ
โคนท่ อมีการบวมเป็ นกระเปาะเรี ยก ampulla
-ในampullaมี gelatinous cap เรี ยก cupula ที่มี hair cell อยู่
151
การทรงตัวในปลา
-หูส่วนในของปลาทาหน้ าที่เกี่ยวกับการทรงตัว
เท่ านัน้ (มีเฉพาะ saccule, utricle, semicircular
canals)
-หูปลาไม่ มี ear drum และไม่ เปิ ดออกสู่
ภายนอก
-การสั่นของนา้ (คลื่น)จะถูกส่ งผ่ านทางกระดูกที่
หัว เข้ าสู่หูส่วนใน
-ปลามี lateral line system รั บรู้ low-frequency
wave ทาหน้ าที่คล้ ายหูส่วนในของคน ทาให้
รั บรู้ การเคลื่อนไหวผ่ านนา้ , เหยื่อ และผู้ล่า
-มี neuromast (receptor unit) ทาหน้ าที่คล้ าย
ampulla ใน semicircular canal
152
จมูก(Nose): การได้ กลิ่น
-olfactory receptor cell เป็ น neuron มาทาหน้ าที่โดยตรง
-ส่ วนปลายของเซลล์ ย่ นื ออกมาเป็ น cilia สู่ mucus
-สารเคมีมาจับกับ receptor ที่เยื่อเซลล์ ของ cilia
-เกิด signal-transduction pathway, depolarization, action potential สู่สมอง
153
ลิน้ (Tongue): การรับรส
-บนลิน้ ของคนมีต่ ุมลิน้ (taste bud)ประมาณ 10,000 อัน ฝั งตัวอยู่ในปุ่ มลิน้ (papilla)
-แต่ ละ taste bud จะมี taste (gustatory) receptor cell ซึ่งเป็ น modified epithelial cell อยู่
การรั บรส มีขัน้ ตอนดังนี ้
1.โมเลกุลของสารเช่ นนา้ ตาล จับกับtaste receptor
2.มีการส่ งสัญญาณผ่ าน signal-transduction pathway
3.K+ channel ปิ ด Na+channel เปิ ด
4.Na+ แพร่ เข้ าสู่เซลล์ เกิด depolarization
5.กระตุ้นการนา Ca+ เข้ าสู่เซลล์
6.receptor cell หลั่ง
neurotransmitter
ที่ไปกระตุ้น sensory
neuron ต่ อไป
154
ผิวหนัง(Skin): การับสัมผัส
Meissner’s
corpuscle
Krouse’s
end bulb
-สิ่งเร้ าที่เป็ นแรงกลจะทาให้ เกิดการโค้ ง
งอหรื อบิดเบีย้ วของเยื่อเซลล์ ของ
mechanoreceptor จะทาให้ permeability
ต่ อ Na+ และ K+ เปลี่ยนไป และทาให้
เกิด depolarization
-mechanoreceptor เป็ น modified
dendrite ของ sensory neuron
Ruffini’s
corpuscle
Pacinian
corpuscle
155
• รี เซปเตอร์รับการสัมผัส อยูม่ ากตามฝ่ ามือฝ่ าเท้ามากกว่าที่อื่น บริ วเวณที่
มีขนน้อยกว่าไม่มีขน โดยปลายนิ้วจะมีมากกว่าที่อื่น
• รี เซปเตอร์รับร้อน-หนาว ไม่พบที่อวัยวะภายใน พบที่หลังมือมากกว่าฝ่ า
มือ(ไม่แน่นอน)
• รี เซปเตอร์รับความเจ็บปวด จะมีการส่ งกระแสประสาทไปยัง ทาลามัส
และถ่ายทอดไปยังซีรับรัมคอเทกซ์ บริ เวณที่มีรีเซปเตอร์น้ ีนอ้ ยได้แก่
บริ เวณ ต้นแขนและตะโพก
• ปลายประสาทรับรู ้เกี่ยวกับเจ็บปวด จะอยูช่ ้ นั บนสุ ดของผิวหนังปรากฏ
บริ เวณชั้นหนังกาพร้า
• ปลายประสาทรับรู ้แรงกดดัน จะอยูร่ ะดับล่างสุ ด โดยปรากฏภายใต้ช้ นั
หนังแท้
156