ทิศ 6 หลั ก ธรรมที่ เ อื้อ ประโยชน์ ให้ เ กิ ด ความกตั ญ ญู ก ตเวที เ พราะเป็ น หลักธรรมทีบ่ ุคคลจะได้
Download ReportTranscript ทิศ 6 หลั ก ธรรมที่ เ อื้อ ประโยชน์ ให้ เ กิ ด ความกตั ญ ญู ก ตเวที เ พราะเป็ น หลักธรรมทีบ่ ุคคลจะได้
ทิศ 6 ่ อประโยชน์ ้ หลักธรรมทีเอื ให้เกิดความกตญ ั ญู ่ คคลจะได้แสดงออก กตเวทีเพราะเป็ นหลักธรรมทีบุ ่ ่ นและกัน เปรียบเหมือนทิศทัง้ 6 ( เพือตอบแทนซึ งกั พระธรรมปิ ฎก 2544 : 4-7) ด ังนี ้ ้ ้ 1) ทิศเบืองหน้ า บิดา-มารดา เป็ นผู เ้ ลียงดู และ เมตตากรุ ณ าต่ อ บุ ต รมาก่ อ น บุ ต รจึง ต้อ งแสดง หน้าทีข ่ องบิ หน้าทีข ่ โดยบิ องบุตดรพึ งมีตอ ่ บิดาความกตั ญด ญูา-มารดา ต่อบิด ามารดา า-มารดาและ ่ ้ มีตอ ่ บุตร ์ซึงกันและกัน มารดา บุตรพึพึงงสงเคราะห ด ังนี 1.ห้ามปรามจากความ ชว่ ั 2.ให้ตงอยู ั้ ใ่ นความดี ึ ษาศล ิ ปวิทยา 3.ให้ศก 4.หาคูค ่ รองทีส ่ มควร ้ งเรามาแล้ว ต้อง 1.ท่านเลีย ้ งท่านตอบแทน เลีย 2. ทากิจธุระของท่าน ์ กุล ให้คง 3. ดารงร ักษาวงศส ื่ มเสย ี หาย อยูแ ่ ละไม่เสอ ้ 2) ทิศเบืองขวา ครู -อาจารย ์ ครู -อาจารย ์ ่ ต้ ่ องปฏิบต มีหน้าทีที ั ต ิ ่อศิษย ์ และศิษย ์ก็ตอ ้ งแสดง ความกตัญญู ตอ ่ ครู อาจารย ์ ดังนี ้ หน้าทีข ่ องครู-อาจารย์ ิ ย์ พึงมีตอ ่ ศษ 1.แนะนา อบรมสง่ ั สอน ิ ย์ให้เป็นคนดี ศษ 2.สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ิ ปวิทยาโดยไม่ 3.สอนศล ปิ ดบ ังอาพราง ่ เสริมยกย่องความดี 4.สง ิ ย์ ความสามารถของศษ ให้ปรากฎ ิ ย์ให้ 5. สอนฝึ กศษ ิ ย์พงึ มีตอ หน้าทีข ่ องศษ ่ ครู- อาจารย์ ้ ต้อนร ับ แสดง 1.ลุกขึน ความเคารพ 2.เข้าไปหา เพือ ่ บารุง ร ับ ั ใช ้ ปรึกษา ซกถาม ร ับ คาแนะนา เป็นต้น 3.ฟังคาสอนด้วยดี ตงใจ ั้ เต็มใจ ฟัง และใช ้ ปัญญาพิจารณาคาสอน ่ ยบริการ 4ปรนนิบ ัติ ชว ้ 3 ) ทิศเบืองหลั ง สามี-ภรรยา สามี-ภรรยา ่ ต้ ่ อ งปฏิบต ้ ล ต่า งมีห น้ า ทีที ั แ ิ ละแสดงความเกือกู สงเคราะห ์แสดงความกตัญญู ต่อกันตามสมควร สามีพงึ ให้เกียรติภรรยา และภรรยาพึงให้เกียรติ ้ สามี ผู เ้ ปรียบเสมือนทิศเบืองหลั งของกันและกัน หน้้ าทีข ่ องสามีพงึ มีตอ ่ หน้าทีข ่ องภรรยาพึงมี ด ังนี ภรรยา 1.ยกย่องให้เกียรติสม ฐานะทีเ่ ป็นภรรยา 2.ไม่ดห ู มิน ่ 3.ไม่นอกใจ 4.มอบความเป็นใหญ่ใน กิจการงานบ้าน 5.หาเครือ ่ งแต่งต ัวให้เป็น ต่อสามี 1.จ ัดงานบ้านให้ เรียบร้อย 2.สงเคราะห์ญาติมต ิ รทงั้ สองฝ่ายด้วยดี 3.ไม่นอกใจ 4.ร ักษาทร ัพย์สมบ ัติทห ี่ า มาได้ ้ ่ อง 4) ทิศเบืองซ ้าย มิตรสหาย มิตรสหายทีต้ ้ ล กัน อยู ่ เ สมอ พบปะพึ่งพาอาศ ย ั แสดงน้ าใจเกือกู พึงสงเคราะห ์แสดงความกตัญญู ตอ ่ กัน ดังนี ้ หน้าทีข ่ องก ัลยาณมิตร พึงมีมต ิ ร 1.เผือ ่ แผ่แบ่งปัน 2.พูดจามีนา้ ใจ ่ ยเหลือเกือ ้ กูลก ัน 3.ชว 4.วางตนเสมอ ร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วย ั จริงใจ ื่ สตย์ 5.ซอ หน้าทีข ่ องมิตรพึงมีตอ ่ ก ัลยาณมิตร ่ ย 1.เมือ ่ เพือ ่ นประมาท ชว ร ักษาป้องก ัน ่ ย 2.เมือ ่ เพือ ่ นประมาทชว ร ักษาทร ัพย์สมบ ัติของ เพือ ่ น 3.ในคราวมีภ ัยเป็นทีพ ่ งึ่ ได้ 4.ไม่ละทิง้ ในยามทุกข์ ยาก 5) ทิ ศ เบื ้องล่ า ง ลู กจ้า ง บุ ค คลที่ ต่ ากว่ า ้ ่ ลู กจ้างเปรียบเสมือนทิศเบืองล่ า ง ทีนายจ้ างต้อง แสดงความกตัญ ญู ต่ อ ลู กจ้า งเพราะลู กจ้า งท า กิ จ ก า ร ง า น ต่ า ง ๆ ใ ห้ ส า เ ร็ จ ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ขณะเดียวกันลู กจ้างก็ตอ ้ งแสดงความกตัญญู ต่อ หน้าทีข ่ องนายจ้างพึงมี หน้าทีล ่ ก ู จ้างพึ งมีตอ ่ ้ นายจ้างในฐานะของผู อ ้ ป ุ การะคุณนายจ้ ด ังนีาง ต่อลูกจ้าง 1.จ ัดงานให้ทาตามความ เหมาะสม 2.ให้คา่ จ้างรางว ัล สมควรแก่งาน 3.จ ัดให้มส ี ว ัสดิการทีด ่ ี 4.มีอะไรได้พเิ ศษมา ก็ แบ่งปันให้ 1.เริม ่ ทางานก่อน 2.เลิกงานทีหล ัง 3.เอาแต่ของทีน ่ ายให้ 4.ทาการงานให้ ้ เรียบร้อยและดียงิ่ ขึน 5.นาความดีของนายงาน และกิจการไปเผยแพร่ 6 ) ทิ ศ เ บื ้ อ ง บ น พ ร ะ ส ง ฆ ์ ใ น ฐ า น ะ ข อ ง พุทธศาสนิ กชน พึงแสดงความกตัญญู ต่อพระสงฆ ์ สาวก เพราะพระสงฆ ์เป็ นหนึ่ งในพระร ัตนตร ัย เป็ น ่ ผู ส ้ บ ื พระศาสนา ทาหน้าทีเผยแผ่ หลักธรรมคาสอน โดยนาคาสอนของพระพุทธเจ้ามาบอกกล่าว สอน ่ ก ต้อ ง พระสงฆ จ์ งึ ชาวพุ ท ธ ให้ ร ู ห ้ ลั ก ค าสอนที ถู หน้าทีข ่ องพระสงฆ์พงึ มี หน้าทีข ่ องพุทธศาสนิกชน ้ เปรียต่ บเสมื นทิศเบื อพุทอธศาสนิ กองบน ชน พึงมีตอ ่ พระสงฆ์ 1.ห้ามปรามสอนให้เว้น จากความชว่ ั 2.แนะนาสง่ ั สอนให้ตงอยู ั้ ่ ในความดี 3.อนุเคราะห์ดว้ ยความ ปรารถนาดี 4.ให้ได้ฟง ั ได้รใู ้ น 1.จะทาสงิ่ ใด ก็ทาด้วย เมตตา 2.จะพูดสงิ่ ใด ก็พด ู ด้วย เมตตา 3.จะคิดสงิ่ ใด ก็คด ิ ด้วย เมตตา 4.ต้อนร ับด้วยความเต็มใจ ธรรมคุณ 6 1. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม (พระธรรม อน ั พระผู ม ้ ีพ ระภาคเจ้า ตร ส ั ดีแ ล้ว คือ ตร ส ั ไว้ ้ ้ เป็ นความจริงแท้ อีกทังงามในเบื องต้ น งามใน ่ ด พร ้อมทังอรรถพร ้ ท่ามกลาง งามในทีสุ ้อมทัง้ พยัญ ชนะ ประกาศหลัก การครองชี ว ิ ต อ น ั ประเสริฐ บริสุทธิ ์ บริบูรณ์สนเชิ ิ้ ง) 2. สนฺ ทฏ ิ ฺฐโิ ก (อน ั ผู ป ้ ฏิบต ั จ ิ ะพึงเห็นชด ั ด้ว ยตนเอง คือ ผู ใ้ ดปฏิบ ต ั ิ ผู ใ้ ดบรรลุ ผู ้น้ั น ่ ย่อมเห็นประจักษ ์ด้วยตนเองไม่ตอ ้ งเชือตามค า ั ิ ไม่บรรลุ ผู อ ้ นจะบอกก็ ของผู อ ้ น ื่ ผู ใ้ ดไม่ปฏิบต ื่ เห็นไม่ได้ ) 4. เอหิ ป สฺ ส ิ โ ก (ควรเรีย กให้ม าดู คื อ เชิญชวนให้มาชม และพิสูจน์ หรือท้าทายต่อ การตรวจสอบ เพราะเป็ นของจริงและดีจริง ) 5. โอปนยิโก (ควรน้อมเข้ามา คือ ควร เข้า มาไว้ใ นใจ หรือ น้ อ มใจเข้า ไปให้ถ งึ ด้ว ย การปฏิบต ั ใิ ห้เกิดมีขนในใจ ึ้ หรือให้ใจบรรลุถงึ อย่างนั้น หมายความว่า เชิญชวนให้ทดลอง ่ น ่ าผู ป ปฏิบ ต ั ด ิ ู อีก อย่ า งหนึ่ งว่ า เป็ นสิงที ้ ฏิบ ต ั ิ ่ ให้เข้าไปถึงทีหมายคื อนิ พพาน ) 6. ปจฺจตฺต เวทิตพฺโพ วิญฺญูห ิ (อน ั วิญญู ชนพึงรู เ้ ฉพาะตน คือ เป็ นวิสย ั ของวิญญชน สัปปุ รส ิ ธรรม 7 1 ธ ัมมัญญุตา เป็ นผู ร้ ู ้จักเหตุ คือรู ห ้ ลักการ และกฎเกณฑ ข ์ องสิ่ งทั้งหลาย ที่ ตนเข้า ไป ่ เกียวข้ อ งในการด าเนิ น ชีว ิต ในการปฏิบ ต ั ิ ก ิจ ่ ่ ตน ่ หน้ า ทีและด าเนิ น กิจการต่า งๆ รู เ้ ข้า ใจสิงที จ ะ ต้ อ ง ป ร ะ พ ฤ ติ ป ฏิ บั ติ ต า ม เ ห ตุ ผ ล 2 อ ัตถญ ั ญุตา รู ้จักผล หรือ ความมุ่งหมาย ้ ที่จะเกิด ขึนจากเหตุ น้ั น คือ รู ค ้ วามหมาย และ ่ ความมุ่ ง หมายของหลัก การทีตนปฏิ บต ั เิ ข้า ใจ ่ ่ วัตถุประสงค ์ของกิจการทีตนกระท า รู ้ว่าทีตนท า อ ยู ่ อ ย่ า ง นั้ น ๆ 3 อต ั ตัญ ญุตา คือรู ต ้ ามเป็ นจริงว่า ตัวเรา ้ 4 มัตตัญญุตา คือการรู ้จักประมาณ รู ้จัก ้ พอดี ทังในการบริ โภคและใช้จา ่ ยทร ัพย ์ การพู ด การปฏิบต ั ก ิ จ ิ และทาการต่างๆ ตลอดจนการ พักผ่อนนอนหลับ การสนุ กสนานบันเทิง ้ ทังหลาย 5 กาลัญญุตา คือ การรู ้จักกาลเวลาอ ัน ่ งใช้ประกอบกิจการ เหมาะสม และระยะเวลาทีพึ งานต่างๆ รู ้ว่าเวลาไหน ควรทาอะไร อย่างไร และทาให้ตรงเวลา ให้เป็ นเวลา ให้ทน ั เวลา ให้ พอเวลา ให้เหมาะเวลา ให้ถูกเวลา ่ อยู ่ ่ 6 ปริสญ ั ญุตา คือการรู ้ชุมชน รู ้จักถินที ่ มชน รู ้การอ ันควรประพฤติปฏิบต ่ ่ รู ้จักทีชุ ั ใิ นถินที ้ า ชุมชนนี เมื ้ อเข้ ่ ชุมนุ ม และต่อชุมชนนันว่ าไป อิทธิบาท 4 ค าว่ า อิท ธิบ าท แปลว่ า บาทฐานแห่ ง ความส าเร็จ ่ งมี ่ คุณธรรม เครืองให้ ่ หมายถึง สิงซึ ลุถงึ ความสาเร็จตามที่ ่ ตนประสงค ์ ผู ห ้ วงั ความสาเร็จในสิงใด ต้องทาตนให้สมบู รณ์ ่ เรี ่ ยกว่า อิทธิบาท ซึงจ ่ าแนกไว้เป็ น ๔ คือ ด้วยสิงที ่ ่ ตนถือว่า ดี 1. ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็ นสิงที ่ ด ทีมนุ ่ า ่ ษย ์เรา ควรจะได้ ข้อนี ้ เป็ นกาลังใจ อน ทีสุ ั แรก ทีท ให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ 2. วิรย ิ ะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทาที่ ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็ นระยะยาว จนประสบ ความสาเร็จ คา นี ้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู ่ดว้ ย ส่วนหนึ่ ง 3. จิต ตะ หมายถึง ความไม่ ท อดทิง้ สิ่งนั้ น ไปจาก ่ งเป็ ่ น วต ้ ความรู ้สึก ของตัว ทาสิงซึ ั ถุประสงค ์ นันให้ เด่นชด ั อยู ่ ใ นใจเสมอ ค านี ้ รวมความหมาย ของค าว่า สมาธิ อยู ่ ด้วยอย่างเต็มที่ สมบัต ิ 4 1. คติส มบัต ิ หมายถึง สมบัต ิแ ห่ ง คติ, ถึง พร ้อมด้วยคติ, คติให้ ในช่วงยาวหมายถึงเกิดใน ่ ญ ในช่วงสัน ้ กาเนิ ดอน ั อานวย หรือเกิดในทีเจริ ่ ่ ทีไป ่ หมายถึง ทีอยู ทางดาเนิ นดี 2. อุปธิสมบัต ิ หมายถึง สมบัตแ ิ ห่งร่างกาย, ถึ ง พร อ ้ มด้ว ยรู ปกาย ,รู ปกายให้ ในช่ ว งยาว หมายถึงมีกายสง่ า สวยงาม บุคลิกภาพดี 3. กาลสมบัต ิ หมายถึง สมบัตแ ิ ห่งกาล , ถึง พร ้อมด้วยกาล กาลให้ ในช่วงยาวหมายถึง เกิด อยู ่ ใ นสมัย ที่โลกมีค วามเจริญ หรือ บ้า นเมือ งมี ความสงบสุข วิบต ั ิ 4 1. คติว บ ิ ต ั ิ หมายถึง วิบ ต ั ิแ ห่ ง คติ คติ เสีย ในช่ ว งยาวหมายถึง เกิดในก าเนิ ดต่ า ่ ดอน ้ ทราม หรือทีเกิ ั ไรค ้ วามเจริญ ในช่วงสัน ่ ่ หมายถึงทีอยู 2. อุ ป ธิว ิบ ต ั ิ วิบ ต ั ิแ ห่ ง กาล, กาลเสี ย ในช่ ว งยาวหมายถึง เกิด อยู ่ ใ นสมัยโลกไม่ ม ี ่ แต่ความวิบต ความเจริญ หรือบ้านเมือมี ั ิ 3. กาลวิบต ั ิ หมายถึง ความดีหรือการ เจริญ งอกงามของความดี แต่ก ลับ เปิ ดทางให้ ่ั กรรมชวและผลร ้าย อกุศลกรรมบถ 10 ่ั ทางแห่งอกุศลกรรม, ทางทาชว, กรรมชว่ ั อ ัน ่ ความทุกข ์ หรือความ เป็ นทางนาไปสู ค ่ วามเสือม ทุคติ ได้แก่ ก. กายกรรม 3 (การกระทาทางกาย) ปาณาติบาต คือ การทาให้ชวี ต ิ ตกล่วง,ปลงชีวต ิ ่ ได้ให้ -อทินนาทาน คือ การถือเอาของทีเขาไม่ โดยอาการขโมย , ลักทร ัพย ์ -กาเมสุมจ ิ ฉาจาร คือ ความประพฤติผด ิ ในกาม ข. วจีกรรม 4 (การกระทาทางวาจา) มุสาวาท คือ การพู ดเท็จ -ปิ สุณาวาจา คือ วาจาส่อเสียด -ผรุสวาจา คือ วาจาหยาบ -สัมผัป ปลาปะ คือ คาพู ดเพ้อเจ้อ ค. มโนกรรม 3 (การกระทาทางใจ) -อภิชฌา กุศลกรรมบถ 10 หมายถึง ทางไปสู ก ่ ารทาบุญ แบ่งออก 3 ด้านดังนี ้ 1. ด้านกายกรรม คือ ความประพฤติทดี ี่ ทแสดง ี่ ออกมาทางกาย โดยยึดแนว ปฏิบต ั ท ิ ถู ี่ กต้องไม่ผด ิ ศีลธรรม มี 3 อย่างคือ 1) เว้นจาก ้ การเบียดเบียนหรือทาลายชีวต ิ มนุ ษย ์และสัตว ์ทังหลาย ่ ่ าของเขาไม่ได้ให้ โดย 2.)เว้นจากการถือเอาสิงของที เจ้ ลักษณะลักขโมย 3)เว้นจากการประพฤติผด ิ ในกามหรือ ล่วงละเมิดคู ค ่ รองของผู อ ้ นในทางเพศ ื่ 2. ด้านวจีกรรม คือ ความประพฤติทดี ี่ ท ี่ แสดงออกทางวาจา มี 4 อย่างคือ ่ 1) เว้นจากการพู ดเท็จหรือเรืองไม่ จริง 2) เว้นจากการพู ด ส่อเสียด 3) เว้นจากการพู ดคาหยาบ 4) เว้นจากการพู ด เพ้อเจ้อไร ้สาระ ้ 3. ด้านมโนกรรม คือ ความประพฤติทดี ี่ ทเกิ ี่ ดขึนใน อบายมุข 6 ่ ช่องทางของความเสือม, ทางแห่งความ พินาศ, เหตุย่อยยับ แห่งโภคทร ัพย ์ - ติดสุราและของมึนเมา ่ - ชอบเทียวกลางคื น ่ - ชอบเทียวดู การละเล่น - ติดการพนัน มีโทษ 6 คือ ่ ั นมิตร - คบคนชวเป็ - เกียจคร ้านการงาน ิ คาลกมานพ ก่อน * อบายมุขหมวดนี ้ ตร ัสแก่สง ่ ศ6 ตร ัสเรืองทิ