ทำไมต้องทบทวนวรรณกรรม

Download Report

Transcript ทำไมต้องทบทวนวรรณกรรม

การสารวจและ
ทบทวนวรรณกรรม
Source : : Keshav P. Dahal (Bradford University)
: Prof Jiang, Prof McClachey
การสารวจและทบทวนวรรณกรรม

ื ค ้นหาวรรณกรรมทีต
การสบ
่ ้องการ

การอ่าน

การเขียนเอกสารอ ้างอิง

ึ ษา
วิเคราะห์กรณีศก
+
Problem Analysis
ประเภทของข ้อมูล
ข ้อมูล
ข ้อมูลทุตย
ิ ภูม ิ
ข ้อมูลปฐมภูม ิ
การทดลอง
ั ภาษณ์
สม
แบบสอบถาม
การสนทนา
เอกสารตีพม
ิ พ์
การบรรยาย
ทำไมต้องทบทวนวรรณกรรม
•
เพือ
่ หาข ้อมูลการพัฒนา ระดับของการพัฒนา
หรือศาสตร์ทป
ี่ ระสบความสาเร็จ หรือศาสตร์ลา่ สุด
ในเวลาใดเวลาหนึง่
•
่ งว่างของความรู ้ทีม
เพือ
่ หาชอ
่ อ
ี ยูป
่ ั จจุบน
ั
ทำไมต้องทบทวนวรรณกรรม
ี่ วชาญทีเ่ ป็ นประโยชน์
• ค ้นหาความเชย
• เพือ
่ หางานทีเ่ กีย
่ วข ้องหรือใกล ้เคียงว่ามีการ
ทาไปแล ้วอย่างไรบ ้าง โจทย์วจิ ัย วิธก
ี าร
ผลทีไ่ ด ้
• ชว่ ยให ้เกิดการพัฒนาต่อยอด
โลกของวรรณกรรม
ื
• หน ังสอ
• วำรสำร
ั
• บทควำมกำรประชุมทำงวิชำกำรงำนสมมนำ
• World wide web
• เอกสำรตีพม
ิ พ์ทข
ี่ ำยให้ผส
ู ้ นใจ
ื พิมพ์
• หน ังสอ
ประเภทของบทควำมวิชำกำร
• บทควำมตีพม
ิ พ์โดยผูว้ จ
ิ ัย
• บทควำมตีพม
ิ พ์ทรี่ วบรวม หรือประมวล
งำนทีต
่ พ
ี ม
ิ พ์
• วิทยำนิพนธ์
• รำยงำนกำรวิจ ัย
กำรอ่ำนเอกสำรเพือ
่ ทบทวนวรรณกรรมเป็นกำร
อ่ำนทีต
่ อ
้ งประเมินและดึงประเด็ นสำค ัญออกมำ
เพือ
่ ใชใ้ นงำนวิจ ัยหรือเพือ
่ ให้ได้คำตอบที่
ต้องกำร
่ ค่กำรอ่ำนหน ังสอ
ื อ่ำนทว่ ั ไป
ไม่ใชแ
คำถำมทีต
่ อ
้ งตอบ
ในกำรอ่ำนเอกสำรวิชำกำร
• เอกสำรทีอ
่ ำ่ นเกีย
่ วข้องก ับเรือ
่ งอะไรและจะ
เกีย
่ วข้องก ับงำนของเรำอย่ำงไร
้ อ
• แรงจูงใจในกำรทำงำนทีอ
่ ำ่ นนีค
ื อะไร?
่ ยเรำในประเด็นไหนได้บำ้ ง
้ ะชว
• งำนนีจ
• ทำไมเรำอ่ำนงำนวิจ ัย / เอกสำรนี้
คำถำมทีต
่ อ
้ งตอบ
ในกำรอ่ำนเอกสำรวิชำกำร
• งำนทีอ
่ ำ่ นนีใ้ ชเ้ ทคนิคหรือเครือ
่ งมือใด
• ผูท
้ ท
ี่ ำกำรวิจ ัยกำล ังค้นพบอะไร
• มุมมองของผูว้ จ
ิ ัยเป็นอย่ำงไร
• สงิ่ ทีผ
่ ว
ู้ จ
ิ ัยทำแตกต่ำง หรือเหมือนก ับของเรำ
อย่ำงไร
ผลล ัพธ์ทต
ี่ อ
้ งกำรจำกกำรทบทวนวรรณกรรม
• มีความรู ้ทีเ่ พียงพอสาหรับ
การทาวิจัยของตน
• อ่านแล ้วสามารถนามาใช ้
ในงานของเราได ้
เทคนิคกำรอ่ำน
เทคนิคการอ่ านรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ื อ่านง่ายและสนุก อ่านสมา่ เสมอทุกวันใน
• เริม
่ อ่านด ้วยหนังสอ
ั้ ๆ
ชว่ งเวลาสน
• มีความตัง้ ใจทีจ
่ ะอ่านให ้เร็วกว่าเดิม
่ 30 นาที หรือ1 ชวั่ โมง
• กาหนดเวลาในการอ่านให ้แน่นอน เชน
• จับใจความให ้ได ้ด ้วยการทดลองทานายเนือ
้ เรือ
่ งล่วงหน ้าและ
ทบทวนเรือ
่ งทีอ
่ า่ นผ่านไปแล ้ว
ึ ษาศพ
ั ท์ ความหมายของคาทีใ่ ช ้ คาใดทีไ่ ม่แน่ใจควรทา
• ศก
เครือ
่ งหมายไว ้
•
•
•
•
•
ั สน
การเคืล
่ อนใหวสายตาย ้อนกลับ จะทาให ้เกิดความ สบ
อ่านโดยกวาดสายตาไปรอบๆ
อ่านในใจไม่พม
ึ พา หรือทาปากขมุบขมิบ
จดบันทึกผลความก ้าวหน ้า
อย่าหยุดอ่านเพือ
่ จดบันทึกจนกว่าจะจบตอนหนึง่ ๆ
จากบทความ "การฝึ กการอ่าน" ในวารสารแนะแนววิทยาลัย ครูเทพสตรี เล่ม 5 ประจําภาคกลาง พ.ศ. 2509
ื เชน
่ คานา
• สารวจ (Survey) สว่ นต่างๆของหนังสอ
สารบัญบรรณานุกรม
• ตัง้ คาถาม (Question) จากเนือ
้ หา
• อ่านหาคาตอบ (Reading)
• ระลึก (Recall) สงิ่ ทีอ
่ า่ นผ่านไปแล ้ว
• ทบทวน (Review)
วรรณา เกตุภาค เขียนไว้ในวารสารการศึกษาเอกชน ปี ที่ 3 ฉบับที่ 12
•
•
•
•
•
•
ื : เพือ
สารวจหนังสอ
่ รู ้จักคุ ้นเคย
อ่านแนวคิดหลัก : จับประเด็นสาคัญ
ตัง้ คาถามขณะอ่าน : อะไร ทาไม อย่างไร ใคร เมือ
่ ไร
เน ้นประเด็นสาคัญ : ทาเครือ
่ งหมาย
ประสานคาบรรยายกับตารา : ชว่ ยให ้เข ้าใจลึกซงึ้
ทบทวน : บ่อยๆจะจาได ้ดี
จาก คู่มือจัดกิจกรรมกลุ่ม "การเสริมสร้ างประสิทธิภาพทางการเรียน' โดย ผศ. เรียม ศรีทอง
• S=Survey สำรวจหรือสร้ำงควำมคุน
้ เคยก่อนอ่ำน
ื หน ังสอ
ื อ้ำงอิง ด ัชนี คำ
ทีม
่ ำ คำนำ สำรบ ัญ รูปแบบของหน ังสอ
นำ ห ัวข้อ สรุป ของแต่ละบท
• O=Organize เรียบเรียงหรือจดสงิ่ ทีไ่ ด้อำ่ น
ทำเครือ
่ งหมำยเน้นประเด็นสำค ัญ ประเด็นรอง เมือ
่ อ่ำน จดย่อ
• A=Anticipate ทดลองทำแบบฝึ กห ัด ตอบคำถำม หรือทดสอบ
• R=Recite and Review ห ัดท่องจำและทบทวนเสมอๆ
จาก College Study Skills โดย Shepherd, J.J.
• วิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์: ไม่ควรอ่ำนตะลุยเรือ
่ ยๆ รวดเดียวจบเล่ม
ควรอ่ำน แล้วหยุดพ ักเป็นตอนๆไปเรือ
่ ยๆ
• ประว ัติศำสตร์ ภูมศ
ิ ำสตร์ : ควรอ่ำนตะลุยรวดเดียวไปจนจบเพือ
่ ให้
ั ันธ์ตอ
เรือ
่ งรำว สมพ
่ เนือ
่ งก ัน
• วรรณคดี : อ่ำนอย่ำงรอบคอบถีถ
่ ว้ น อ่ำนชำ้ ๆไม่รบ
ี เร่งปล่อยอำรมณ์
ึ ษำควร มีกำรวิเครำะห์เรือ
ให้คล้อยตำมคำบรรยำย ถ้ำอ่ำนเพือ
่ ศก
่ งรำว
บทบำทของต ัวละครตลอดจนสว่ นอืน
่ ๆของวรรณคดี
ื พิมพ์ ควรใชว้ จ
• นิตยสำรและหน ังสอ
ิ ำรณญำน พิจำรณำอย่ำงรอบคอบ
ื่ ทุกอย่ำงตำมทีข
ไม่ใช่ เชอ
่ ำ
่ วรำยงำน
scan before reading, read abstract and conclusions first
วิธก
ี ำรค้นหำเอกสำรวิชำกำร
วิธก
ี ำรกำรหำบทควำมวิชำกำรทีเ่ กีย
่ วข้องก ับงำน
ของเรำจำกวำรสำรและงำนประชุม
•
•
•
สอบถามจากผู ้ทีท
่ างานเกีย
่ วข ้องกับงานทีเ่ รากาลังทา
ิ วารสารหรืองานประชุมวิชาการที่
สมัครเป็ นสมาชก
เกีย
่ วข ้อง
หาจาก websites ของงานประชุม หรือของวารสาร
การเขียนบรรณานุกรมและเอกสารอ ้างอิง
•
ื (Books)
หน ังสอ
–
–
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
•
อ้ำงทงเล่
ั้ ม
อ้ำงบำงสว่ นหรือบำงบท
วำรสำร (Journals)
สงิ่ ตีพม
ิ พ์ (Publications)
รำยงำน (Reports)
วิทยำนิพนธ์ (Thesis)
บทค ัดย่อของงำนวิจ ัยทีเ่ สนอในกำรประชุม (Abstract of meeting papers)
โปสเตอร์ในกำรประชุม (Poster of conference)
ิ ธิบ ัตร (Patents)
สท
งำนทีย
่ ังไม่ได้ตพ
ี ม
ิ พ์ (Unpublished materials) หรือ อ้ำงบุคคล
ั
กำรสมภำษณ์
Computer software
สงิ่ พิมพ์อเิ ล็ กทรอนิกส ์ (Electronic Sources)
กฎหมำย
ภำพยนตร์
ดนตรี
เทป
Sources - databases
• Web of Science (ISI web of Knowledge) http://www.isiwebofknowledge.com/
• Google scholars
• ACM Digital Library – full test of ACM articles
• ResearchIndex - NECI Scientific Literature Digital Library
• The Collection of Computer Science Bibliographies
• Lecture Notes in Computer Science
• Compendex, 1970• Inspec , 1969• Expanded Academic Index, 1980• ScienceDirect
• Citeseer, http://citeseer.ist.psu.edu/
• Conference indeces
– Paper First, 1993– Proceedings First, 1993• Index To Theses - U.K. and Ireland 1970 to 1999
• Networked Computer Science Technical Reference Library (NCSTRL)
report
Guidance for literature review
• Do not cite from a cite - go to the source
• Do not be shy about contacting authors
• Citing papers more than 3-4 years old
– OK for seminal work (journal) but
– not appropriate when comparing your results
• journal citation is usually preferable
• Use standard terminology
• Do not over cite your own previous work
CMU
• http://library.cmu.ac.th/cmul/
การวิเคราะห์ปัญหาและ Problem tree method
ปั ญหาเป็ นผลผลิตของคน
และองค์กร
• Problem Tree method เป็ นการวางแผนงานที่
ขึน
้ อยูก
่ บ
ั ความต ้องการของผู ้ใช ้
• การมีสว่ นร่วมในการวิเคราะห์จากผู ้ทีเ่ กีย
่ วข ้อง
เป็ นสว่ นทีท
่ าให ้เกิดแนวทาง ความคิด หรือ
โอกาสใหม่
การวิเคราะห์ปัญหา
• จาแนกว่าอะไรเป็ นปั ญหาหลักทีส
่ าคัญ
• หาสาเหตุ และผลทีเ่ กิดจากปั ญหานัน
้
• วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ปัญหาคือเพือ
่ ให ้แน่ใจ
ว่าอะไรเป็ นสาเหตุทแ
ี่ ท ้จริง เพือ
่ วางแผนดาเนินการ
แก ้ไข
การวิเคราะห์ปัญหา
• เลือกปั ญหา หรือสงิ่ ทีไ่ ม่ต ้องการให ้เกิดขึน
้ ในเรือ
่ งที่
ึ ษา
ต ้องการศก
• แต่ละปั ญหาทีเ่ ลือกมา นาไปเขียน problem tree
• แต่ละ problem tree วิเคราะห์หาสาเหตุและผลทีเ่ กิดจาก
ปั ญหานัน
้
• กาหนดวัตถุประสงค์จากการวิเคราะห์ทไี่ ด ้
Diagram of problems
ภาวะทุพโภชนาการ
อาหารขาดแคลน
ผลผลิตข้ าวที่ล่ ุมลดลง
ระบบชล
ประธานเข้ าไม่
ถึงพืน้ ที่ท่ ี
ต้ องการ
คลองส่ งนา้ ถูก
ปิ ดจากพืชนา้
ปั จจัยการ
ผลิตที่ใช้ ไม่
เพียงพอใน
เวลลาที่
ต้ องการ
วาวล์
คุณภาพต่า
ระบบซ่ อมบารุงชลประธานไม่ ดี
ผลผลิตเกษตรบนที่สูงลดลง
ดินเบนที่สูง
เสื่อม
คุณภาพ
มีการชะล้ าง
พังทลาย
ของดิน
มีอัตราการย้ ายถิ่นฐานสูง
มีปัญหาชุน
กลุ่มน้ อยใน
หมู่บ้าน
ใกล้ เคียง
Diagram of objectives
ภาวะทุพโภชนาการลดลง
ปรั บปรุ งสถานกรณ์ ขาด
เพิ่มผลผลิตข้ าวที่ล่ ุม
ระบบชล
ประธานเข้ าไม่
ถึงพืน้ ที่ท่ ี
ต้ องการ
ลอกคลอง
ส่ งนา้
สนั
ปั จบจัสนุ
ยการ
นปั จจัยการ
ผลิตผลิ
ที่ใตช้ทีไ่ ใม่ช้ ให้
เพีเพียยงพอในเวลาที
งพอ
่
ต้ องการ
เพิ่มคุณภาพวาวล์
นา้
พัฒนาระบบซ่ อมบารุงชลประธาน
เพิ่มผลผลิตเกษตรบนที่สูง
ดินเบนที่สูง
เสื่อม
คุณภาพ
ลดการชะล้ าง
พังทลายของ
ดิน
ลดอัตราการย้ ายถิ่นฐาน
แก้ ปัญหา
ชุนกลุ่มน้ อย
ในหมู่บ้าน
ใกล้ เคียง
Clustering
ภาวะทุพโภชนาการลดลง
ปรั บปรุ งสถานกรณ์ ขาด
เพิ่มผลผลิตข้ าวที่ล่ ุม
ระบบชล
ประธานเข้ าไม่
ถึงพืน้ ที่ท่ ี
ต้ องการ
ลอกคลอง
ส่ งนา้
สนับสนุนปั จจัยการ
ผลิตที่ใช้ ให้
เพียงพอในเวลาที่
ต้ องการ
เพิ่มคุณภาพวาวล์
นา้
พัฒนาระบบซ่ อมบารุงชลประธาน
เพิ่มผลผลิตเกษตรบนที่สูง
ดินเบนที่สูง
เสื่อม
คุณภาพ
ลดการชะล้ าง
พังทลายของ
ดิน
ลดอัตราการย้ ายถิ่นฐาน
แก้ ปัญหา
ชุนกลุ่มน้ อย
ในหมู่บ้าน
ใกล้ เคียง
เลือกกลุม
่ วัตถุประสงค์ทต
ี่ ้องการดาเนินการ
ตามผลกระทบและความเร่งด่วน หรือตาม
นโยบาย