ดาวน์โหลดไฟล์

Download Report

Transcript ดาวน์โหลดไฟล์

โรคเบาหวาน
เกิดจากตับอ่อนสร้าง "ฮอร์ โมนอินซูลนิ " ได้นอ้ ย
หรื อไม่ได้เลย ฮอร์โมนชนิดนี้มีหน้าที่คอยช่วยให้
ร่ างกายเผาผลาญน้ าตาลมาใช้เป็ นพลังงาน เมื่อ
อินซูลินในร่ างกายไม่พอ น้ าตาลก็ไม่ถูกนาไปใช้ ทา
ให้เกิดการคัง่ ของน้ าตาลในเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เมื่อ
น้ าตาลคัง่ ในเลือดมากๆ ก็จะถูกไตกรองออกมาใน
ปัสสาวะ ทาให้ปัสสาวะหวานหรื อมีมดขึ้นได้ จึง
เรี ยกว่า "โรคเบาหวาน" นัน่ เอง
โรคเรื้ อรังที่ไม่ หายขาดและเป็ นโรคทาง
พันธุกรรม โดยพ่อแม่ที่เป็ นโรคเบาหวาน มีโอกาส
ถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้
นอกจากนี้ยงั มาจากสิ่ งแวดล้ อม วิธีการ
ดาเนินชีวติ การรับประทานอาหาร การออกกาลังกาย
ก็มีส่วนสาคัญต่อการเกิดด้วย เช่น อ้วนเกินไป ,
กินหวานมากๆ ,มีลูกดก หรือเกิดจากการใช้ ยา เช่น
สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ, ยาเม็ดคุมกาเนิด หรื ออาจ
พบร่ วมกับโรคอืน่ ๆ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้ อรัง, มะเร็ ง
ของตับอ่อน, ตับแข็งระยะสุ ดท้าย เป็ นต้น
มีอาการปัสสาวะบ่ อยและมากกว่ าปกติ เนื่องจากน้ าตาลที่
ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ าจากเลือดออกมาด้วย
รู้ สึกกระหายนา้ ต้องคอยดื่มน้ าบ่อยๆ
ร่ างกายผ่ ายผอม ด้วยความที่ผปู้ ่ วยโรคเบาหวาน ไม่สามารถนา
น้ าตาลมาเผาผลาญเป็ นพลังงาน จึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อ
และไขมันแทน ทาให้ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อฝ่ อลีบ เพลียแรง
สามารถแบ่ งออกเป็ น 2 ชนิดใหญ่ ๆ
1. โรคเบาหวานชนิดพึง่ อินซูลนิ พบได้นอ้ ย แต่รุนแรงและอันตรายสูง
มักพบในเด็กและคนอายุต่ากว่า 25 ปี อาจพบในผูส้ ูงอายุ
ตับอ่อนของผูป้ ่ วยจะสร้างอินซูลินไม่ได้เลยหรื อได้นอ้ ย
มาก เชื่อว่าร่ างกายมีการสร้างภูมิคุม้ กันขึ้นต่อต้านตับอ่อนของ
ตัวเอง จนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ดังที่เรี ยกว่า "โรคภูมิแพ้
ต่อตัวเอง" ทั้งนี้ เป็ นผลมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์
ร่ วมกับการติดเชื้อหรื อการได้รับสารพิษจากภายนอก
ดังนั้น ผูป้ ่ วยจึงจาเป็ นต้องพึ่งพาการฉี ดอินซูลินเข้า
ทดแทนในร่ างกายทุกวัน จึงจะสามารถเผาผลาญน้ าตาลได้เป็ น
ปกติ มิเช่นนั้น ร่ างกายจะเผาผลาญไขมันจนทาให้ผา่ ยผอมอย่าง
รวดเร็ ว และถ้าเป็ นรุ นแรง จะมีการคัง่ ของสารคีโตนของเสี ยที่
เกิดจากการเผาผลาญไขมัน ซึ่งสารนี้จะเป็ นพิษต่อระบบ
ประสาท ทาให้ผปู้ ่ วย โรคเบาหวาน หมดสติและทาให้เสี ยชีวิต
ได้อย่างรวดเร็ ว เรี ยกว่า "ภาวะคัง่ สารคีโตน"
2. โรคเบาหวานชนิดไม่ พงึ่ อินซูลนิ พบเห็นกันเป็ นส่ วนใหญ่ มี
ความรุ นแรงน้อย มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป แต่ก็
อาจพบในเด็กหรื อวัยหนุ่มสาวได้บา้ ง โดยตับอ่อนของผูป้ ่ วย
สามารถสร้างอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของ
ร่ างกาย จึงทาให้มีน้ าตาลที่เหลือใช้กลายเป็ น โรคเบาหวาน
ได้ บางครั้งถ้าระดับน้ าตาลสูงมากๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลินฉี ด
เป็ นครั้งคราว แต่ไม่ตอ้ งใช้อินซูลินตลอดไป
มักจะเกิดเมื่อเป็ น เบาหวาน อย่างน้อย 5 ปี แล้วไม่ได้รักษาอย่างจริ งจัง
1. ภาวะแทรกซ้ อนทางสายตา ทาให้การมองเห็นของผูป้ ่ วยแย่ลง
ตาหรื อจอตาเสื่ อม หรื อมองเห็นจุดดาลอยไปมา และอาจจะทา
ให้ตาบอดได้ในที่สุด
2. เป็ นโรคติดเชื้อได้ ง่าย เนื่องจากผูป้ ่ วยโรคเบาหวาน จะมีภูมิ
ต้านทานโรคต่า เช่น วัณโรคปอด, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, กรวย
ไตอักเสบ, ช่องคลอดอักเสบ, เป็ นฝี พพุ องบ่อย, เท้าเป็ นแผลซึ่งอาจ
ลุกลามจนเท้าเน่า (อาจต้องตัดนิ้วหรื อตัดขา) เป็ นต้น
3. ระบบประสาท อาจเป็ นปลายประสาทอักเสบ มีอาการชาหรื อปวด
ร้อนตามปลายมือปลายเท้า ซึ่งอาจทาให้มีแผลเกิดขึ้นที่เท้าได้ง่าย
บางคนอาจมีอาการวิงเวียนเนื่องจากมีภาวะความดันตกในท่ายืน
บางคนอาจไม่มีความรู ้สึกทางเพศ ท้องเดินตอนกลางคืนบ่อย หรื อ
กระเพาะปั สสาวะไม่ทางาน (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรื อไม่มีแรงเบ่ง
ปัสสาวะ)
4. ไต มักจะเสื่ อม จนเกิดภาวะไตวาย มีอาการ บวม ซีด ความ
ดันโลหิ ตสูง ซึ่งเป็ นสาเหตุการตายของผูป้ ่ วย โรคเบาหวาน ที่
พบได้ค่อนข้างบ่อย
5. ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง ทาให้เป็ น
โรคความดันโลหิ ตสูง, อัมพาต, โรคหัวใจขาด
เลือด ถ้าหลอดเลือดที่เท้าตีบแข็ง เลือดไปเลี้ยงเท้า
ไม่พอ อาจทาให้เท้าเย็นเป็ นตะคริ ว หรื อปวดขณะ
เดินมาก ๆ หรื ออาจทาให้เป็ นแผลหายยาก หรื อ
เท้าเน่า (ซึ่งอาจเกิดร่ วมกับการติดเชื้อ)
6. ภาวะคีโตซิส พบเฉพาะในผูป้ ่ วยที่เป็ นโรคเบาหวานชนิดพึ่ง
อินซูลิน ที่ขาดการฉี ดอินซูลินนานๆ ร่ างกายจะมีการคัง่ ของ
สารคีโตน ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญไขมัน จะมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน กระหายน้ าอย่างมาก หายใจหอบลึก และลมหายใจมี
กลิ่นหอม มีไข้ กระวนกระวาย มีภาวะขาดน้ ารุ นแรง อาจมี
อาการปวดท้อง ท้องเดิน ผูป้ ่ วย โรคเบาหวานจะซึมลงเรื่ อย ๆ
จนกระทัง่ หมดสติ หากรักษาไม่ทนั อาจตายได้
1. โรคเบาหวาน เป็ นโรคเรื้ อรังที่ตอ้ งรักษา
ติดต่อกันเป็ นเวลานาน หรื อตลอดชีวติ ซึ่ งหาก
ได้รับการรักษาอย่างจริ งจัง อาจมีชีวติ เหมือนคน
ปกติได้ แต่ถา้ รักษาไม่จริ งจังก็อาจมีอนั ตรายจาก
โรคแทรกซ้อนได้มาก
2. ควบคุมอาหาร การลดน้ าหนัก (ถ้าอ้วน) และการออก
กาลังกาย มีความสาคัญมาก ในรายที่เป็ น โรคเบาหวาน ไม่มาก
ถ้าปฎิบตั ิในเรื่ องเหล่านี้ได้ดี อาจหายจาก โรคเบาหวาน ได้โดย
ไม่ตอ้ งพึ่งยา ผูป้ ่ วยโรคเบาหวานควรเลือกอาหาร ดังต่อไปนี้...
2.1 บริโภคอาหารให้ ครบ 5หมู่
2.2 หลีกเลีย่ งการรับประทานจุกจิก
และไม่ ตรงเวลา
2.3 แม้ ระดับนา้ ตาลในเลือดจะปกติดี
แล้ วก็ควรจะต้ องควบคุมอาหาร
ตลอดไป
2.4 ทานอาหารที่มกี ากใยมากเพือ่ ช่ วยใน
การขับถ่ าย
2.5 หากมีอาการเกีย่ วกับโรคไตหรือความดัน
โลหิตสู ง ควรหลีกเลีย่ งอาหารรสเค็ม
อาหารที่ห้ามรับประทานเมื่อเป็ นเบาหวาน
• น้ าตาลทุกชนิด น้ าผึ้ง
• ผลไม้กวนประเภทต่างๆ
• ขนมเชื่อม ขนมหวานต่างๆ
• ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ
• น้ าหวานประเภทต่างๆ
• ขนมทอดกรอบหรื อชุบแป้ งทอด
• เครื่ องดื่มที่มีน้ าตาล เช่น ชา กาแฟ
• ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรี ยน องุ่น
อาหารทีผ่ ู้ป่วยเบาหวานควรรับประทาน
• ข้ าวกล้ อง มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนผ่านการขัดสี นอ้ ย
• วุ้นเส้ น ทาจากถัว่ สามารถทานได้ประจาตามปริ มาณที่
กาหนดในรู ปแบบต่าง ๆ เช่น ก๋ วยเตี๋ยววุน้ เส้น , แกงจืด
• ไขมันไม่ อมิ่ ตัว เช่น น้ ามันมะกอก ,น้ ามันราข้าว
• ผัก ผลไม้ ผักให้หลากหลายทุกวันอย่างน้อย 2 มื้อ/วัน จะ
ช่วยให้สุขภาพดีข้ ึนแน่นอน
ผักทีแ่ นะนาให้ ผู้ป่วยเบาหวานรับประทาน
• มะระขีน้ ก หัน่ ชิ้นเล็กแล้วตากแดดให้แห้ง นามาชงกับน้ า
เหมือนชงชา
• ฟักทอง ใช้เมล็ดฟักทองต้มน้ าดื่ม ครั้งละ 300 เมล็ด จะ
ช่วยให้อาการเบาหวานดีข้ ึน นอกจากนี้ผลฟักทองและน้ า
ฟักทอง ก็ช่วยลดอาหารเบาหวานได้
• แตงกวา การคั้นน้ าแตงกวาพร้อมเมล็ดจะดีต่อสุ ขภาพเมื่อ
ดื่มขณะท้องว่าง
ประเภทน้านม
• ควรเลือกดืม่ ชนิดจืด ไม่เติมน้ าตาลหรื อชนิดไม่
ปรับปรุ งแต่งรส
• นมพร่ องมันเนย คือมีไขมันประมาณ 1.9%
รับประทานได้
• นมเปรี้ยว ควรเลือกชนิดที่ไม่ปรุ งแต่งรส
• นมข้ นหวาน ไม่ควรใช้นมชนิดนี้
• นา้ เต้ าหู้ ผูป้ ่ วยเบาหวานดื่มได้ แต่ตอ้ งไม่เติมน้ าตาล
3. ผูป้ ่ วยโรคเบาหวาน เลิกสู บบุหรี่โดยเด็ดขาด มิ
เช่นนั้น อาจทาให้ผนังหลอดเลือดแดงแข็งเร็ วขึ้น ซึ่งเป็ น
ต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ
4. หมัน่ ดูแลรักษาเท้ าเป็ นพิเศษ ระวังอย่าให้เกิด
บาดแผลหรื อการอักเสบ เพราะอาจลุกลามจนกลายเป็ นแผลเน่า
จนต้องตัดนิ้วหรื อขาทิ้ง
5. หมั่นตรวจปัสสาวะด้วยตัวเอง และตรวจเลือดที่
โรงพยาบาลเป็ นประจา เพราะเป็ นวิธีที่บอกผลการรักษาได้
แน่นอนกว่าการสังเกตจากอาการเพียงอย่างเดียว
6. อย่ าซื้อยาชุดกินเอง เพราะยาบางอย่างอาจเพิม่
น้ าตาลในเลือดได้ แต่หากมีความจาเป็ นต้องใช้ยาเองต้อง
แน่ใจว่า ยานั้นไม่มีผลต่อระดับน้ าตาลในเลือด
7. ผู้ป่วยโรคเบาหวานทีก่ นิ ยา/ฉีดยารักษา
โรคเบาหวานอยู่ อาจเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่า คือมีอาการ
ใจหวิว ใจสัน่ หน้ามืด ตาลาย เหงื่อออก ตัวเย็นเหมือนเวลาหิ วข้าว
ถ้าเป็ นมากๆ อาจเป็ นลม หมดสติ หรื อชักได้
ดังนั้น จึงต้องระวังดูอาการดังกล่าว และควรพกน้ าตาลหรื อ
ของหวานติดตัวประจา ถ้าเริ่ มรู้สึกมีอาการดังกล่าวให้ผปู ้ ่ วยรี บกิน
น้ าตาลหรื อของหวาน จะช่วยให้หาย
8. ควรมีบัตรประจาตัว (หรื อกระดาษแข็งแผ่นเล็ก)
ที่เขียนข้อความว่า "ข้าพเจ้าเป็ นโรคเบาหวาน " พร้อมกับ
บอกชื่อยาที่รักษาพกติดกระเป๋ าไว้ หากบังเอิญเป็ นลมหมด
สติ ทางโรงพยาบาลจะได้ทราบประวัติการเจ็บป่ วยและให้
การรักษาได้ทนั ท่วงที
9. รู้ จกั กิน ลดของหวาน หมัน่ ออกกาลังกายเป็ นประจา
และทาจิตใจให้ร่าเริ งเบิกบาน อย่าให้เครี ยดหรื อวิตกกังวล
1. กรรณิ การ์ มุรทาธร. (2554). บาบัดโรคเบาหวานด้วย
สมุนไพร. กรุ งเทพมหานคร : บีเวลล์ สปี เชียล.
2. วันทนีย ์ เกรี ยงสิ นยศ. (2551).โภชนาการกับเบาหวาน.
พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุ งเทพมหานคร : สารคดี.
3. สถิติสาธารณสุ ข ปี 2552. สานักนโยบายและยุทธศาสตร์.
กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, 2552
4. สถิติสาธารณสุ ข ปี 2551-52 สานักนโยบายและยุทธศาสตร์
สานักปลัดกระทรวงสาธารณสุ ข. [online ].[cited 201 Oct 1] ;
Available from :
URL:http://bps.ops.moph.go.th/index.php?mod=bps&doc=5
5. สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สานักงานปลัดกระทรวง
สาธารณสุ ข.รายงาน NCD 1 ปี งบประมาณ 2554 (ตามแบบ
รายงาน NCD 1 งวดที่ 1-2) ในโครงการสนองน้ าพระราชหฤทัย
ในหลวง ทรงห่วงใยสุ ขภาพประชาชน
1. น.ส.ปุณกิ า ลิชนะเธียร เลขที่ 3
2. น.ส.กมลลักษณ์ วรรโน เลขที่ 4
3. น.ส.ณัฎฐาณิศ คงน้ อย เลขที่ 5
4. น.ส.วีรวัลย์ ตันมงคล เลขที่ 7
5. นายสุ ทวิ สั ปุญญกริยากร เลขที่ 11
6. นายภาวินทร์ เต็งอานวย เลขที่ 31
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4/4