บทที่ 2 การริหาร/จัดการสถาบับริการสารสนเทศ

Download Report

Transcript บทที่ 2 การริหาร/จัดการสถาบับริการสารสนเทศ

ศาตร์การบริหารจัดการองค์กร
สถาบันบริการสารสนเทศ
แนวคิด....
การดาเนินงานให้ สถาบันบริการสารสนเทศให้ เป็ นไปด้ วยความ
เรียบร้ อย มีประสิ ทธิภาพ และเกิดประสิ ทธิผลมากที่สุด ตั้งแต่
การกาหนดนโยบาย การวางแผน การจัดองค์ กร
การโน้มนํ า การควบคุม การรายงานการประเมินผล รวมถึง
การจัด คัดเลือกทรัพยากรสารสนเทศ การเงิน พัสดุ
ครุภัณฑ์ ต่างๆ เพือ่ บริการแก่ ผู้ใช้ และเป็ นไปตาม
วัตถุประสงค์ และนโยบายที่สถาบัน/องค์ กรกาหนดไว้
สถาบันบริการ/องค์กรสารสนเทศ
 คือ แหล่งรวบรวมสารสนเทศต่างๆ ซึ่งทาหน้าที่จ ัดเก็บ
สารสนเทศอย่ า งมี ระบบ ให้ บ ริ ก ารและเผยแพร่
สารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทขององค์กร/สถาบันบริการสารสนเทศ
 จาแนกตามขอบเขตหน้าที่และวัตถ ุประสงค์ในการ
ให้บริการ เป็น 9 ประเภท ได้แก่
1. ห้องสมุด (Library)
2. ศูนย์เอกสารหรือศูนย์สารสนเทศ
(Documentation Center / Information Center)
3. ศูนย์ขอ้ มูล (Data Center)
4. หน่วยงานสถิติ (Statistical Office)
ประเภทของสถาบันบริการสารสนเทศ (ต่อ)
5.
6.
7.
8.
9.
ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ (Information
Analysis Center)
ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศ
(Information Clearing House)
ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ (Referral Center)
หอจดหมายเหต ุ (Archive)
สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์
(Commercial Information Service Center)
ห้องสมุด
 เป็นสถาบันบริการสารสนเทศที่ เก่าแก่ที่สดุ ที่ รวบรวมทรัพยากร
สารสนเทศท ุกสาขาวิชาและสื่อท ุกประเภท
ห้องสมุดแบ่งออกเป็น...
1. ห้องสมุดโรงเรียน (School Library)
2. ห้องสมุดวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย (Academic
Library)
3. ห้องสมุดเฉพาะ (Special Library)
4. ห้องสมุดประชาชน (Public Library)
5. หอสมุดแห่งชาติ (National Library)
ห้องสมุด
 ห้องสมุดโรงเรียน (School Library) : ได้แก่ โรงเรียนอนบุ าล
โรงเรี ย นประถมศึ ก ษาและมัธ ยมศึ ก ษา ท าหน้า ที่ ใ ห้บ ริ ก าร
ทรัพยากรสารสนเทศ ทัง้ สื่อการศึ กษาค้นคว้าและสื่อการเรียน
การสอนให้แก่ครูและนักเรียน
ห้องสมุด (ต่อ)
 ห้องสมุดวิ ทยาลัยและมหาวิ ทยาลัย : มี วต
ั ถปุ ระสงค์ในการ
ให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ เช่นเดี ยวกับห้องสมุดโรงเรีย น
แต่การให้บริการจะกว้างขวางและมีระดับความรูส้ งู มากขึ้น
ห้องสมุด (ต่อ)
 ห้องสมุดเฉพาะ (Special Library) : เป็นห้องสมุดที่ ให้บริการ
ทรัพยากรสารสนเทศเฉพาะสาขาวิ ชาใดวิ ชาหนึ่ งเท่านัน้ สัง กัด
อยูใ่ นหน่วยงานวิชาการ องค์กรหรือสถาบันบริการเฉพาะด้าน
ห้องสมุด (ต่อ)
 ห้องสมุดประชาชน (Public Library) : จัดตัง้ ขึ้นเพื่ อบริการ
ประชาชนในช ุมชนต่างๆ ท ุกระดับความรู้ ท ุกเพศ ท ุกวัย และท ุก
อาชีพ ให้บริการส่งเสริมการอ่านและการค้นคว้าตลอดชีวิ ต เป็น
เสมือนวิทยาลัยในช ุมชน
ห้องสมุด (ต่อ)
 หอสมุดแห่งชาติ (National Library) : ทาหน้าที่เก็บรวบรวมสะสม
และรักษาทรัพยากรสารสนเทศของชาติไว้
ศูนย์เอกสารหรือศูนย์สารสนเทศ
 เป็นแหล่งจัดเก็บรวบรวมสารสนเทศเฉพาะเรื่อง เฉพาะ
สาขาวิชา เพื่อการค้นคว้าวิจยั และเพื่อการปฏิบตั ิ งานของ
หน่วยงานที่มีศ ูนย์สารสนเทศนัน้ ๆ โดยตรง
 ศูนยเอกสารการพั
ฒนา สถาบันวิจย
ั และ
์
พัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแกน
่
 ฝ่ายบริการความรูทางวิ
ทยาศาสตรและ
้
์
เทคโนโลยี (STKS) TIAC
 ศูนยเอกสารกลาง
กรมสรรพากร
์
ศูนย์ขอ้ มูล
 แหล่งรวบรวมข้อมูลและบริการข้อมูลตัวเลขสถิติต่ างๆ
งานวิจยั ต่างๆ เช่น
 ศ ูนย์ขอ้ มูลอ ุตสาหกรรม กระทรวงอ ุตสาหกรรม
 ศ ูนย์ขอ้ มูลเศรษฐกิจอ ุตสาหกรรม
 ศ ูนย์ขอ้ มูลธ ุรกิจหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย
 ศ ูนย์ขอ้ มูลมติชน
หน่วยงานสถิติ
 ทาหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูล เก็บสถิติและ
เผยแพร่ขอ้ มูลของหน่วยงานนัน้ ๆ เช่น
 ศูนย์สถิติการเกษตร ของกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์
 ศูนย์ขอ้ มูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ
 ศูนย์สถิติการพาณิชย์ ของกระทรวง
พาณิชย์
ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ
Information Analysis Center
 ทาหน้าที่รวบรวมและให้บริการสารสนเทศ
เฉพาะวิชา โดยการนามาทาการวิเคราะห์
ประเมิน สร ุปย่อ และจัดเก็บในลักษณะของ
แฟ้มข้อมูล (sheet) และปริทศั น์ (review)
เพื่อใช้ในการให้บริการตอบคาถาม
และจัดส่งให้ผท้ ู ี่สนใจในร ูปของบริการข่าวสาร
ทันสมัย และในร ูปของสิ่งพิมพ์
เช่น สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย
อาคารราชเทวีทาวเวอร์ ชัน้ 17 ...
ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศ
Information Clearing House)
 ทาหน้าที่รวบรวมจัดเก็บและผลิตทรัพยากรสารสนเทศ
ในร ูปสื่อต่างๆ นอกจากนัน้ ยังทาหน้าที่ติดต่อขอ
ทรัพยากรสารสนเทศในสาขาที่เกี่ยวข้องจากผูผ้ ลิต
เพื่อรวบรวมให้เป็นระบบ สะดวกในการค้นคว้า
และการแนะนาแหล่งข้อมูล เช่น
 หอสมุดแห่งชาติของไทย
 ห้องสมุดยูเนสโก
ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ
Referral Center
 ทาหน้าที่รวบรวมสารสนเทศที่เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลหรือ
สถาบันสารสนเทศอย่างกว้างขวางในสาขาวิชาที่ศ ูนย์
รับผิดชอบ สามารถแนะนาแหล่งสารสนเทศที่เหมาะสมและ
ตรงกับความต้องการได้ โดยจัดทาเป็นคมู่ ือ หรือรายการ
บรรณาน ุกรมและดัชนี เพื่อให้คาแนะนาแหล่งข้อมูล
สารสนเทศที่เหมาะสมตามที่ผใ้ ู ช้ตอ้ งการ ส่วนใหญ่จะแนะ
แหล่งสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชา
 เช่น
- ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หอสมุดรัฐสภาอเมริกนั
(National Referral Center for Science and Technology at the Library of Congress)
รวบรวมสารสนเทศที่สาคัญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศสิ่งแวดล้อมนานาชาติ INFOTERRA (International Referral System
for Sources of Environmental Information) ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
หอจดหมายเหต ุ
 ทาหน้าที่จดั เก็บเอกสารทางราชการและเอกสารทาง
ประวัติศาสตร์ของรัฐบาล เช่น ระเบียบข้อบังคับ คาสัง่
หนังสือโต้ตอบ บันทึกรายงาน แบบพิมพ์ แผนที่ แผนผัง
ภาพถ่าย เป็นต้น
 เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในการศึกษา
ค้นคว้าและวิจยั มีหลายประเภท ของชาติ, วัด, บ ุคคล
Hall of Fame, หน่วยงานราชการ บริษทั /สถาบันทาง
ธ ุรกิจ...
สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์
(Commercial Information Service Center)
 ห้องสมุดหรือศูนย์ขอ้ มูลที่จดั ให้มีบริการ
สารสนเทศเชิงพาณิชย์ เช่น การค้นคว้าทาง
อินเทอร์เน็ต โดยเก็บค่าสมาชิกหรือเก็บตามราคา
ที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์
 ศูนย์ขอ้ มูลมติชน
 บริษทั ยูไนเต็ด บรอดแบนด์ เทคโนโลยี
จากัด (ยูบีที)

หน้าที่ของสถาบันบริการสารสนเทศ
1. รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศท ุกร ูปแบบ
ที่มีค ุณภาพ ทันสมัย และมีประโยชน์
2. จัดเก็บข้อมูลอย่างมีระบบด้วยคอมพิวเตอร์
3. ผลิตทรัพยากรสารสนเทศ
4. จัดทาศูนย์แลกเปลี่ยนและเผยแพร่ขอ้ มูลและ
ทรัพยากรสารนิเทศใหม่ๆ
5. จัดทาฐานข้อมูลและมีบริการค้นคว้าสารสนเทศ
หน้าที่ของสถาบันบริการสารสนเทศ (ต่อ)
6. จัดสถานที่อ่านที่เหมาะกับการศึกษาค้นคว้าวิจยั
7. จัดให้มีศ ูนย์แนะนาแหล่งสารสนเทศ
8. จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
9. จัดบริการพิเศษต่างๆให้กบั ผูใ้ ช้
10.จัดบริการตอบคาถามและช่วยค้นคว้าข้อมูลทาง
อินเทอร์เน็ต
11.จัดบริการบรรยาย ปาฐกถา โต้วาที อภิปราย ฯลฯ
ลักษณะทีด
่ ข
ี องสถาบันบริการสารสนเทศ
1. เป็ นแหลงสะสมรวบรวมสื
่ อความรู้
่
่ องการใช
หลายหลากประเภทไวบริ
้
้ ต
่ ที
้ การแกผู
้
เช่น สื่ อสิ่ งพิมพ ์
สื่ อโสตทัศน์ สื่ ออิเล็กทรอนิกส์..
ลั2.กษณะที
ด
่
ข
ี
องสถาบั
น
บริ
ก
ารสารสนเทศ
การจัดเก็บสื่ อตองจัดเป็ นระบบเพือ
่ ใหงายตอ
้
้ ่
่
การสื บคน
่ ให้สวยงาม
้ จัดเป็ นระเบียบเพือ
เจริญหูเจริญตา นอกจากนั้นยังตองท
า
้
เครือ
่ งมือช่วยค้นเช่น ดัชนีวารสาร รายชือ
่
วารสาร และการสื บค้นสารสนเทศดวยระบบ
้
ออนไลน์ (OPAC)
ลักษณะทีด
่ ข
ี องสถาบันบริการสารสนเทศ
3. บุคลากรควรเป็ นผู้มีวุฒท
ิ างบรรณารักษศาสตรหรื
์ อ
วุฒท
ิ างบรรณารักษศาสตรและสารสนเทศศาสตร
หรื
์
์ อ
ไดรั
้ บการอบรมทางค้านนี้มาโดยเฉพาะ เนื่องจาก
เป็ นวิชาการและเป็ นศาสตร ์
ทีต
่ ้องเรียนรูอบรม
ต้องรู้จักวิเคราะหเพื
่ เลือกสรร
้
์ อ
สื่ อความรูที
้ เ่ หมาะสมกับความตองการของผู
้
้ใช้
ลักษณะทีด
่ ข
ี องสถาบันบริการสารสนเทศ
4. มีบรรยากาศน่าเขาใช
นระบบ มีระเบียบ
้
้ จัดอยางเป็
่
สวยงาม ดูโปรงตาบรรยากาศสบาย
และดึงดูดใจให้
่
อยากเขาใช
้
้
ลักษณะทีด
่ ข
ี องสถาบันบริการสารสนเทศ
5. มีการจัดบริการแบบชัน
้ เปิ ด วัสดุส่วนใหญในสถาบั
น
่
บริการสารสนเทศควรจัดบริการแบบชัน
้ เปิ ดเพือ
่ เปิ ด
โอกาสให้ผูใช
เพือ
่ จะไดมี
้ ้เขาถึ
้ งสื่ อความรูได
้ ด
้ วยตนเอง
้
้
โอกาสเลือกหยิบจับไดอย
วยตนเอง
้ างสะดวกด
่
้
ลักษณะทีด
่ ข
ี องสถาบันบริการสารสนเทศ
6. มีงบประมาณประจา เพือ
่ ให้กิจการของสถาบันบริการ
สารสนเทศ ดารงอยูได
จการเจริญกาวหน
่ และกิ
้
้
้า
สถาบันบริการสารสนเทศจาเป็ นตองใช
้
้เงินดาเนินการ
เงินทีไ่ ดรั
่ น่นอน หรืออาจ
้ บควรเป็ นงบประมาณประจาทีแ
หาเพิม
่ เติมจากแหลงทุ
่ นภายนอก...
ลักษณะทีด
่ ข
ี องสถาบันบริการสารสนเทศ
7. มีการจัดบริการหลากหลายและจัดบริการ
เชิงรุกและหรือจัดบริการออกไปยังชุมชนเพือ
่
บริการแกกลุ
ามาใช
่ มบุ
่ คคลทีไ่ มสามารถเข
่
้
้
บริการได้
ลักษณะทีด
่ ข
ี องสถาบันบริการสารสนเทศ
8. มีการสรางเครื
อขายความร
วมมื
อระหวางสถาบั
น
้
่
่
่
บริการสารสนเทศในการแลกเปลีย
่ นความรูและ
้
ทรัพยากรสารสนเทศ และใช้รวมกั
น
่
ทฤษฎีการบริหารสถาบัน
บริการสารสนเทศ
ในการบริหารงานของสถาบันบริการสารสนเทศ
ให้กา้ วไปสูก่ ารเป็นสถาบันบริการสารสนเทศตาม
ลักษณะที่ดี ผูบ้ ริหารควรต้องศึกษาทฤษฎี
ด้านการบริหาร......................
ทฤษฎีการบริหารสถาบันบริการสารสนเทศ
ทฤษฎีทผ
ี่ ้บริ
ู หารนิยมนามาใช้ในการบริหารมีหลายทฤษฎี
ดวยกั
น เช่น
...
้
ทฤษฎี 4Ms
ทฤษฎีการจูงใจของมาสโลว ์
ทฤษฎี X ทฤษฎี Y
ทฤษฎี Z
ทฤษฎีพอสคอบ
ทฤษฎีระบบ
และทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ ์
ทฤษฎี 4Ms
1 คน (Man) :: ธุรกิจจะเกิดขึน
้ ไดต
ยความคิดของ
้ องอาศั
้
คน มีคนเป็ นผู้ดาเนินการหรือจัดการทาให้เกิดกิจกรรม
ทางธุรกิจ
เพือ
่ ให้ประสบความสาเร็จในการประกอบ
ธุรกิจนั้นๆ
2) เงิน (Money) :: เป็ นปัจจัยในการดาเนินธุรกิจ ซึ่งแต่
ละธุรกิจจะใช้ปริมาณเงินทีแ
่ ตกตางกั
นไป ขึน
้ อยูว่ าธุ
่
่ รกิจ
นั้นมีขนาดเล็กหรือใหญ่
3) วัสดุหรือวัตถุดบ
ิ (Material) :: ผู้บริหารต้องรูจั
้ ก
บริหารวัตถุดบ
ิ ให้มีประสิ ทธิภาพ เพือ
่ ให้ไดต
่ า่
้ ้นทุนทีต
และทาให้ธุรกิจไดผลก
าไรสูงสุด
้
4) วิธป
ี ฏิบต
ั งิ าน (Method) :: การปฏิบต
ั งิ านในแตละ
่
ทฤษฎีการจูงใจของมาสโลว ์
(Maslor’s Hierarchy of Needs Theory)
บุคคลจะมีความตองการที
เ่ รียงลาดับจากระดับพืน
้ ฐาน
้
ตา่ สุด
ไปยังระดับสูงสุด ดังนี้
1 ความตองการทางร
างกาย
(Physiological Needs)
้
่
2 ความตองการความปลอดภั
ย (Safety Needs)
้
3 ความตองการทางสั
งคม ไดรั
่
้
้ บการยอมรับจากบุคคลอืน
(Social Needs)
4 ความตองการเกี
ยรติยศชือ
่ เสี ยง ไดรั
งคม
้
้ บการยกยองในสั
่
(Esteem Needs)
5 ความตองการความสมหวั
งของชีวต
ิ ไดรั
้
้ บความสาเร็จ
ดังทีค
่ าดหวังไว้ (Self-Actualization Needs)
ทฤษฎี X Y ของ Douglas McGregor
The Human Side of the Enterprise
ทฤษฎี X & Y ของ Douglas
McGregor (MIT)
มนุ ษย ์ X คือ คนทีม
่ ล
ี ก
ั ษณะเกียจคราน
้
หลีกเลีย
่ งความรับผิดชอบ จาเป็ นตอง
้
บังคับให้ทางาน ควบคุมดูแลอยาง
่
ใกลชิ
้ ด
มนุ ษย ์ Y คือ คนทีม
่ ล
ี ก
ั ษณะขยัน มีความ
รับผิดชอบ มีความคิดสรางสรรค
้
์ พร้อม
จะทางานให้ความรวมมื
อ หากไดรั
่
้ บการ
จูงใจอยางเหมาะสม
ทฤษฎี Z เป็ นของโอชิ (William G. Ouchi) ศ. ชาว
ญีป
่ ่ ุน
University of California at Los Angeles (UCLA)
แนวความคิด
องคการต
มมนุ ษย ์ แต่
้องมีหลักเกณฑในการควบคุ
์
์
มนุ ษยก็
ั ความเป็ นอิสระและมีความตองการ
หน้าที่
้
์ รก
ของผู้บริหารจึงตองปรั
บเป้าหมายขององคการให
้
้สอดคลอง
้
์
กับเป้าหมายของบุคลากรในองคการ
์
องคประกอบส
าคัญ 4 ประการ ของ
์
ทฤษฏี
คือชญาทีก่ าหนดไวบรรลุ
1 การทZาให้ปรั
้
2. การพัฒนาผูใต
้ บั
้ งคับบัญชาให้ทางานอยางมี
่
ประสิ ทธิภาพ
3. การให้ความไววางใจแก
ผู
้
่ ใต
้ บั
้ งคับบัญชา
4. การให้ผูใต
้ บั
้ งคับบัญชามีส่วนรวมในการ
่
ตัมี
ดล
สิ ก
น
ใจ าคัญ 3 ประการ เน้นการมีมนุ ษย
ั ษณะส
สั มพันธ ์
1) คนในองคกรต
องซื
อ
่ สั ตยต
์
้
์ อกั
่ น
2) คนในองคการต
องมี
ความเป็ นอันหนึ่งอัน
์
้
เดียวกัน
3) คนในองคการต
องมี
ความใกลชิ
์
้
้ ดเป็ นกันเอง
ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ ์ By Fred
E.Fiedler. 1967
(Situational Management Theory)
หลักการและ แนวคิด เน้นการมองการบริหารในเชิง
ปรัชญา
1 สถานการณจะเป็
นตัวกาหนดการตัดสิ นใจและ
์
รูปแบบ
การบริหารทีเ่ หมาะสม
2 การบริหารจะดีหรือไมขึ
้ อยูกั
่ น
่ บสถานการณ ์
ผู้บริหารตอง
้
พยายามวิเคราะหสถานการณ
ให
ี่ ุด
์
์ ้ดีทส
3 เป็ นการผสมผสานแนวคิดระหวางระบบปิ
ดกับระบบ
่
เปิ ด
และยอมรับหลักการของทฤษฎีทวี่ าทุ
่ กส่วนของ
ระบบจะตอง
ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ ์
By Fred E.Fiedler.
1967
(Situational Management Theory)
4 คานึงถึงสิ่ งแวดลอมและความต
องการของบุ
คคลใน
้
้
หน่วยงานเป็ นหลักมากกวาจะแสวงหาวิ
ธก
ี ารอันดีเลิศมา
่
ใช้ในการทางาน โดยใช้ปัจจัยทางดานจิ
ตวิทยามา
้
ประกอบการพิจารณาดวย
้
5 เน้นให้ผู้บริหารรูจั
ม
่ ี
้ กใช้การพิจารณาความแตกตางที
่
อยูในหน
างบุ
คคล
่
่ วยงาน เช่นความแตกตางระหว
่
่
ความแตกตางระหว
างระเบี
ยบกฎเกณฑ ์ วิธก
ี าร
่
่
กระบวนการ และการควบคุมงาน...
ทฤษฎีพอสคอบ
Principles of
Administration
 ลูเธอร์ กูลคิ และ ไลด์นอล เออร์วคิ (Luther & Urwick )
ได้สร้างแนวคิด และทฤษฎีแบบการบริหาร คือ “POSDCORB MODELS”
ซึ่งประกอบด้วย ดังนี้
P
คือ
Planning
การวางแผน
O
Organizing
การจัดองค์การ/โครงสร้าง
Staffing
การจัดคนเข้าทางาน
Directing
การสัง่ การ
Co
คือ
คือ
คือ
คือ
Co-ordination
การประสานงาน
R
คือ
Reporting
การรายงาน
B
คือ
Budgeting
การจัดทา
S
D
Luther Gulick
 เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1892 ที่เมือง Osaka ประเทศญี่ปุ่น
เป็ นชาว Americanแต่เนื่องจากบิดาเป็ นMissionary ที่นนั่
Gulick จึงอาศัยอยูท่ ี่ Osakaเป็ นเวลา 12 ปี จึงย้ายกลับมาที่
ประเทศ America แล้วจบPh.D ที่มหาวิทยาลัย Columbia
University.Gulick เห็นว่าการบริ หารจัดการของ America
ไม่มีประสิ ทธิผลจึงเกิดแนวคิด และทฤษฎีPOSDCORB ขึ้น
What is POSDCORB?
 P= Planning
 O=Organizing
 S=Staffing
 D=Directing
 CO=Coordinating
 R=Reporting
 B=Budgeting
P=Planning
 การวางแผนงานที่จะทาให้สาเร็ จบรรลุล่วง
วัตถุประสงค์ขององค์กร
 เป็ นขั้นตอนแรกที่สาคัญต่อองค์กร
 สามารถนามาปรับปรุ งใช้เป็ นขั้นตอนของบุคคลที่จะ
ทาสิ่ งใดให้ลุล่วงไปได้
O=Organizing
 การวางโครงสร้างขององค์กร
 การกาหนดอานาจรายละเอียดของแต่ละแผนก
 รายละเอียดของแต่ละแผนกต้องตรงกับวัตถุประสงค์
ขององค์กร
การจัดการองค์กร
“การจัดองค์การ” คือ การกาหนดโครงสร้าง
ขององค์กรอย่างเป็นทางการ โดยการจัดแบ่ง
ออกเป็นหน่วยงานย่อยต่าง ๆ กาหนดอานาจ
หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานไว้
ให้ชดั เจนรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
หน่วยงานย่อยเหล่านัน้ ทัง้ นี้ เพื่อให้เอื้อต่อการ
ดาเนินงานให้บรรล ุวัตถ ุประสงค์ขององค์กร
อย่างมีประสิทธิภาพ
12/04/58
45
ตัวอย่างโครงสร้างองค์กร
สานักหอสมุด
งานธุรการ
- งานสารบรรณ
- งานติดต่อ
ประสานงาน
งานวิเคราะห์และ
จัดหาทรัพยากร
สารสนเทศ
งานบริการ
สารสนเทศ
งานพัฒนาระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศ
-งานบริการยืม-คืน
- งานระบบห้องสมุด
- งานจัดหาฯ
-งานบริการตอบ
คาถาม
- งานฐานข้อมูล
- งานวิเคราะห์ฯ
- งานบารุงรักษา
- งานวารสาร
-งานส่งเสริมการ
อ่าน
- งานบริการสืบค้น
ข้อมูล
- งานอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์
และเครือข่าย
สือ่ โสตฯ
46
12/04/58
46
D=Directing
 เป็ นขั้นตอนการตัดสิ นใจของผูบ้ ริ หาร
 เป็ นการนาทางของผูบ้ ริ หารไม่วา่ จะเป็ นเรื่ องเล็กเรื่ อง
ใหญ่
 การนาองค์กรไปในทิศทางที่วางวัตถุประสงค์ไว้
S=Staffing
 เป็ นขั้นตอนที่เกี่ยวกิจกรรมทางแผนกบุคคล
 เป็ นขั้นตอนที่ตอ้ งได้ท้ งั คุณภาพและประสิ ทธิ ภาพ
 ขั้นตอนนี้ตอ้ งรักษาหรื อทาให้สภาวะการทางานที่น่า
อยู่
 ตัวอย่างเช่นการฝึ กฝนพนักงานให้สามารถทางานได้
อย่างสบายใจ
Co=Coordinating
 การรวบรวมขบวนการต่างๆไว้ดว้ ยกัน
 เป็ นขั้นตอนที่ใช้ความสามารถพิเศษในการที่จะรวม
ทุกๆ process เข้าด้วยกัน
 เนื่องจากแต่ละขั้นตอนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
R=Reporting
 การรายงานต่างๆของผูบ้ ริ หารหรื อรายงานที่รายงาน
ต่อผูบ้ ริ หาร
 รายงานควรรอบคอบและสามารถตรวจสอบได้
 ตัวอย่างรายงาน เช่น RECORDS ของ
Production line
B=Budgeting
 การบริ หารองค์กร ผูบ้ ริ หารควรที่จะมีความสามารถ
ในการวางแผนการด้านบัญชี
 เป็ นการกาหนดการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับ
เป้ าหมาย
 สามารถแสดงผลได้และเป็ นจริ ง
 ทั้งยังควบคุมทางการเงินอีกด้วย
การนาทฤษฎีไปประยุกต์ใช้
 สามารถนาไปใช้ได้ท้ งั รายบุคคลและองค์กรเพื่อให้
บรรลุเป้ าหมายหรื อวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้
 ตรวจสอบได้ง่าย
 สร้างลักษณะนิสยั ที่ดีในการบริ หารจัดการ
ข้อด้อยของทฤษฎี
 Customer Royalty Management
 คุณธรรมของผูบ้ ริ หารกับองค์กร
สรุป
ผู้บริหารควรตองศึ
กษาทฤษฎีดานการบริ
หาร เช่น
้
้
ทฤษฎี 4Ms ทฤษฎีการจูงใจของมาสโลว ์ ทฤษฎี X
ทฤษฎี Y ทฤษฎี Z
ทฤษฎีพอสคอบ ทฤษฎีระบบ และทฤษฎีการบริหารเชิง
สถานการณ ์
โดยนาเอาปัจจัยการบริหารอันไดแก
้ ่ 4 M / 5 M รวมถึง
ตลาด
ข้อมูลขาวสาร
และเวลามาประสานทางานรวมกั
น
่
่
เพือ
่ ให้การดาเนินงานของสถาบันบริการสารสนเทศประสบ
ผลสาเร็จดวยการใช
ี ารตาง
ๆ ในแตละ
้
้เทคนิควิธก
่
่
ขัน
้ ตอน
กิจกรรม รายวิชา การจัดองค์ กรสารสนเทศ
คาสั่ ง
1. แบง่ 5 กลุม
หรือจะเปลีย
่ น
่ (กลุมเดิ
่ ม
ใหมก็
่ ได)้ ศึ กษาค้นควา้ ระดมพลังสมอง
จัดทาโครงสรางองค
กร(organizing)
พร้อมจัด
้
์
บุคลากร (staffing) ของสถาบันบริการ
สารสนเทศชนิดใดก็ไดที
่ บ
ี ุคลากรจานวน 30
้ ม
คน (โปรดตัง้ ชือ
่ องคกรด
วย)
์
้
2. นาเสนอดวย
ใน
้ PPT (ส่งเอกสารดวย)
้
ห้องเรียนสั ปดาหหน
์ ้า
มาดูกนั ซิว่า ... พวกเราอยูใ๋ น Generation ใดกัน
นะ
อ่ านบทความทีแ่ จกให้ แล้ วแบ่ งกลุ่มวิเคราะห์ ดูว่า
1. ภายใน 5 ปี ถ้ านักศึกษาได้ ทางาน นักศึกษาจะได้
ร่ วมงานกับคนใน GEN ใดบ้ าง?
2. นักศึกษาจะบริหารจัดการบุคคล
GENERATION ในองค์ กรของเราได้ อย่ าง ไร
โดยใช้ ทฤษฏีการบริหารงาน
THE
END