บทที่ 8 การจัดการความรู้

Download Report

Transcript บทที่ 8 การจัดการความรู้

บทที่ 8
การจัดการความรู้
Knowledge Management
Knowledge resides in the users and not in the collection.
ความรู้ อยู่ในผู้ใช้ ไม่ ใช่ อยู่ในแหล่ งรวมความรู้
การจัดการความรู้
• การเรียนรู้ ตลอดชีพ ทาให้ เกิดสั งคมการเรียนรู้
• การเปลีย่ นแปลงเป็ นแรงผลักดันที่ทาให้ องค์ กรต้ องเรียนรู้
• สั งคมเรียนรู้ นาไปสู่ การสร้ างนวัตกรรมหรือองค์ ความรู้
ใหม่
MIS for Admin
ความหมายของการจัดการความรู้
นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ให้ความหมายของคาว่า “การจัดการความรู”้
คือ สาหรับนักปฏิบตั ิ การจัดการความรูค้ อื เครือ่ งมือ เพือ่ การบรรลุ
เป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไปพร้อมๆ กัน ได้แก่
1. บรรลุเป้าหมายของงาน
2. บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน
3. บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็ นองค์กรเรียนรู้ และ
4. บรรลุความเป็ นชุมชน เป็ นหมูค่ ณะ ความเอือ้ อาทรระหว่างกัน
ในทีท่ างาน
ประโยชน์ ของการจัดการความร้ ู
บทบาทความสาคัญของสารสนเทศ เป็ นผลเนื่องมาจากการ
เปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
ยุคเกษตรกรรม » ที่ดนิ , แรงงาน
ยุคอุตสาหกรรม » คน, เครื่องจักร
ยุคสารสนเทศ » ข้ อมูล, ข่ าวสาร, ความรู้
ประโยชน์ ของการจัดการความร้ ู
1. ช่ วยเพิ่มประสิ ทธิ ภาพขององค์ กร
2. ป้ องกันการสูญหายของภูมิปัญญา ในกรณี ที่บคุ ลากร
เกษียณอายุ ลาออก หรื อเสี ยชี วิต
3. เพิ่มศักยภาพในการแข่ งขันและความอยู่รอด
4. เป็ นการลงทุนในต้ นทุนมนุษย์ ในการพัฒนาความสามารถที่ จะ
แบ่ งปั นความรู้ ที่ได้ เรี ยนรู้ มาให้ กับคนอื่นๆ ในองค์ กร และนา
ความรู้ ไปปรั บใช้ กับงานที่ทาอยู่ให้ เกิดประสิ ทธิ ผลมากยิ่งขึน้ เป็ น
การการพัฒนาคน และพัฒนาองค์ กร
ประโยชน์ ของการจัดการความรู้
5. ช่ วยเพิ่มขีดความสามารถในการตัดสิ นใจและวางแผน
ดาเนินงานให้ รวดเร็ ว และดีขึน้ เพราะมีสารสนเทศ หรื อแหล่ ง
ความรู้ เฉพาะที่มีหลักการ เหตุผล และน่ าเชื่ อถือช่ วยสนับสนุน
การตัดสิ นใจ
6. ผู้บังคับบัญชาสามารถทางานเชื่ อมโยงกับผู้ใต้ บังคับบัญชาให้
ใกล้ ชิดกันมากขึน้ ช่ วยเพิ่มความกลมเกลียวในหน่ วยงาน
7. เมื่อพบข้ อผิดพลาดจากการปฏิ บัติงาน ก็สามารถหาวิธีแก้ ไขได้
ทันท่ วงที
MIS for Admin
Knowledge Management
ความหมายของการจัดการความรู้
• สรุ ป การจัดการความรู้น้ นั เป็ นการบูรณาการศาสตร์ 2 สาขาเข้า
ด้วยกันคือ
ความรู้ (Knowledge)
การบริ หารจัดการ (Management)
โดยเน้นที่กระบวนการจัดการข่าวสาร สารสนเทศ และความรู ้
ด้วยการให้ความสาคัญกับบุคคล โดยนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย
จัดการความรู้ผา่ นช่องทางความรู้ต่าง ๆ
ความหมายของความรู้
ความรู้ คือ
สิ่ งที่สงั่ สมจากการศึกษาเล่าเรี ยน ค้นคว้าหรื อประสบการณ์
รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบตั ิและทักษะ ความเข้าใจ อาจ
รับมาจากการได้ฟัง การคิดหรื อการปฏิบตั ิ
KM is a Journey, not a destination.
การจัดการความรู้เป็ นการเดินทาง ไม่ ใช่ เป้ าหมายปลายทาง
ความหมายของความรู้
ความรู้ คือ
สารสนเทศทีผ่ ่ านกระบวนการคิด เปรียบเทียบ
เชื่อมโยงกับความรู้ อนื่ จนเกิดความเข้ าใจและ
นาไปใช้ ประโยชน์ ในการสรุปและตัดสิ นใจใน
สถานการณ์ ต่าง ๆ โดยไม่ จากัดเวลา
A little knowledge that acts is worth more than much knowledge that is idle.
ความรู้เพียงเล็กน้ อยเมือ่ ปฏิบตั ิมคี ่ ามากกว่ าความรู้มหาศาลทีอ่ ยู่เฉย ๆ
10
ประเภทของความรู้
ความรู อาจแบ่ งได้ เป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ความรู ซ้อนเร้น ความรู้อย่างไม่เป็ นทางการ
(Tacit Knowledge)
2. ความรู ทีป่ รากฏชัดแจ้ง ความรู้อย่างเป็ นทางการ
(Explicit Knowledge)
Explicit Knowledge : EK
(ความรู้ ทชี่ ัดแจ้ ง)
คือ ความรู ้ที่เป็ นเหตุและผลที่
สามารถบรรยาย/ถอดความ
ออกมาได้ในรู ปของทฤษฏี การ
แก้ปัญหา คู่มือ และฐานข้อมูล
ความรู ้ที่สามารถอธิบายหรื อ
เขียนออกมาได้โดยง่าย เช่น
คู่มือการปฏิบตั ิงาน หรื อ
วิธีการใช้เครื่ องมือต่างๆ (ทุก
คนสามารถเข้าถึง/ซื้อได้)
Tacit Knowledge : TK
(ความรู้ ทฝี่ ังลึกในคน/ความรู้ โดยนัย )
คือ ความรู้ ทมี่ ีอยู่ในแต่ ละบุคคลทีไ่ ด้ มา
จากประสบการณ์ และความสามารถ
ส่ วนตัว ยากทีจ่ ะเขียนหรืออธิบาย
ออกมาได้ เช่ น ให้ บอกวิธีในการว่ าย
นา้ , วิธีการวาดรู ปให้ สวย, วิธีการ
ตอบสนองต่ อปัญหาเฉพาะหน้ าใดๆ
ทีเ่ กิดขึน้ ความรู้ ชนิดนีพ้ ฒ
ั นาและ
แบ่ งปันกันได้ และเป็ นความรู้ทจี่ ะทา
ให้ เกิดความได้ เปรียบในการแข่ งขัน
ได้
ความรูแ้ บบชัดแจ้ง
(Explicit
Knowledge)
20%
ความรูแ้ บบซ่อนเร้น (Tacit Knowledge)
80%
ความรู้ ท่ ชี ัดแจ้ ง
(Explicit Knowledge)
อธิบายได้
แต่ ยังไม่ ถูกนาไปบันทึก
(1)
อธิบายได้
แต่ ไม่ อยากอธิบาย
ความรู้ท่ ฝี ั งอยู่ในนคน
(Tacit Knowledge)
9
อธิบายไม่ ได้
(2 )
(3 )
ความรู ทีป่ รากฏชัดแจ้ ง
ความรู ที่ปรากฏชัดแจ้ ง (Explicit Knowledge)
เป็ นความรู ที่สามารถรวบรวม ถ่ ายทอดได โดยผ่ านวิธีต
างๆ
เช น การบันทึกเป นลายลักษณ อักษร เป็ นความรู้ ที่อยู่
ใน
รู ปแบบของเอกสาร ตารา ทฤษฎี คู มือ บางครั้ งเรี ยก
ว าเป นความรู แบบ “รู ปธรรม”
สิ นทรัพย์ ในองค์ กร 3 ประเภท
• สินทรัพย์ ทางการเงิน
• สินทรัพย์ ท่ มี ีตวั ตน เช่ น
อาคาร เครื่องจักร วัสดุครุ ภณ
ั ฑ์
• สินทรัพย์ ท่ ไี ม่ มีตวั ตน เช่ น
ลิขสิทธิ์ สิทธิบตั ร ความรู้และสารสนเทศ
ข้ อมูล, สารสนเทศ, ความร้ ู
ความเข้ าใจ
ข้อมูล
(Data)
(Know- How)
ประมวลผล
ข้ อมูล
สารสนเทศ
(Data Processing)
(Information)
ความรู้
(Knowledge)
ความรู้ ..จากส่ วนตัวเป็ นขององค์ กร
โลตัสแบ่งความรู้ของคนไว้ 3 ประเภท คือ
1. ความรู้โดยนัย
2. ความรู้ที่ชดั แจ้ง
3. ความรู ้ที่ฝังอยูใ่ นองค์กร
ความร้ ู ..จากส่ วนตัวเป็ นขององค์ กร
โลตัสแบ่งความรู้ของคนไว้ 3 ประเภท คือ
1. ความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge)
เป็ นความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายโดยใช้ คาพูดได้
มีลกั ษณะเป็ นความเชื่อ ฝึ กฝนเให้ เกิดความชานาญ
มีลกั ษณะเป็ นเรื่ องส่วนบุคคล ต้ องใช้ วิจารณญาณ
เช่น ความสามารถในการชิมรสไวน์
ทักษะในการสังเกตเปลวควันจากปล่องโรงงานว่ามีปัญหาใน
กระบวนการผลิตหรื อไม่
ความร้ ู ..จากส่ วนตัวเป็ นขององค์ กร
2. ความรู้ชัดแจ้ ง (Explicit Knowledge)
เป็ นความรู้ที่รวบรวมได้ ง่าย
มีลกั ษณะเป็ นวัตถุดิบ (Objective) เป็ นทฤษฏี
สามารถแปลงเป็ นรหัสในการถ่ายทอดโดยวิธีการที่เป็ นทางการ
เช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทางาน
ซอฟต์แวร์ เอกสาร และกลยุทธ์ เป้าหมาย
และความสามารถขององค์กร
ความร้ ู ..จากส่ วนตัวเป็ นขององค์ กร
3. ความรู้ แบบฝั งอยู่ภายในน (Embedded Knowledge)
เป็ นความเข้าใจในกระบวนการสิ นค้าและบริ การซึ่ งต้อง
อาศัยความชานาญและประสบการณ์
ขอบเขตและแหล่ งขององค์ ความรู้
วิศวกรองค์ความรู ้จะเป็ นผูป้ ระสานงานติดต่อกับผูเ้ ชี่ยวชาญ
เพื่อรวบรวมความรู้ไว้ในฐานองค์ความรู้
มุมมองของวิศวกรรมองค์ ความรู้ แบ่ งออกได้ 2 ด้ าน
1. มุมมองด้ านแคบ เกี่ยวกับการจัดรูปแบบองค์ ความรู้
การตรวจสอบความถูกต้ อง การอนุมาน การอธิบาย และ
บารุ งรักษา
2. มุมมองด้ านกว้ าง เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาและการ
บารุ งรักษา
กระบวนการได้ มาซึ่งองค์ ความรู้
แบ่งเป็ น 5 ขั้นตอน
1.
2.
3.
4.
5.
การดึงองค์ความรู ้
การตรวจสอบความถูกต้องขององค์ความรู ้
การจัดรู ปแบบขององค์ความรู ้
การสรุ ปความ
การอธิบายความและการใช้เหตุผล
กระบวนการได้ มาซึ่งองค์ ความรู้ (ต่ อ)
1. การดึงองค์ ความรู้ จากแหล่งต่าง ๆ เช่น ผูเ้ ชี่ยวชาญ
หนังสื อ เอกสารหรื อสื่ อสิ่ งพิมพ์
องค์ความรู ้แบ่งออกเป็ น 2 ลักษณะ คือ
- องค์ความรู ้ทวั่ ไป
- องค์ความรู ้เกี่ยวกับองค์ความรู ้ คือ องค์ความรู ้
เฉพาะทางเฉพาะด้าน
กระบวนการได้ มาซึ่งองค์ ความรู้ (ต่ อ)
2. การตรวจสอบความถูกต้องขององค์ความรู้ อาจใช้วิธีการ
ตรวจสอบตามตามสภาพของข้อมูลจนเป็ นที่ยอมรับในองค์กรนั้นๆ
3. การจัดรู ปแบบองค์ ความรู้ เป็ นกิจกรรมในขั้นตอนการ
จัดรู ปแบบองค์ความรู ้
เก็บข้อมูลลงฐานองค์ความรู ้
เชื่อมโยงความรู ้เข้าด้วยกัน
แปลงองค์ความรู ้โดยการเขียน
โปรแกรมหรื อลงรหัส
กระบวนการได้ มาซึ่งองค์ ความรู้ (ต่ อ)
4. การสรุ ปความ
เป็ นขั้นตอนการออกแบบซอฟต์แวร์เพื่อประมวลองค์ความรู ้
ได้ผลลัพธ์เพื่อนาไปแสดงผลในส่ วนของผูใ้ ช้
5. การอธิบายความและการใช้ เหตุผล
เป็ นการอธิบายและให้เหตุผลที่ได้ออกแบบและเขียนโปรแกรมหรื อ
ลงรหัสไว้
แหล่ งกาเนิดขององค์ ความรู้
ได้จากภาพถ่าย หนังสื อ แผนที่ ผังงาน ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ท้ งั ภาพ
และเสี ยง
องค์ความรู ้แบ่งเป็ น 2 รู ปแบบ
1. รู ปแบบที่เป็ นทางการ
2. รู ปแบบที่ไม่เป็ นทางการ
ปัญหาในการถ่ ายโอน หรือการถ่ ายทอดองค์ ความรู้
• การตีความองค์ ความรู้ จะแตกต่างกัน ขึ้นอยูก่ บั ความทรงจา การรับรู ้
จากความเชื่อของตน จิตใต้สานึกและการรับรู ้จากวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ของแต่ละคน
• การส่ งผ่ านองค์ ความรู้ อาจยุง่ ยากและซับซ้อน
นาเข้า ประมวลผล แสดงผล จัดเก็บ สื่ อสารหรื อโต้ตอบ
• จานวนของผู้ทเี่ กีย่ วข้ อง หากมีบุคคลจานวนมากอาจเกิดความยุง่ ยาก
• โครงสร้ างขององค์ ความรู้ โครงสร้างในการนาเสนอจะต้องชัดเจน
นาเสนออย่างไรผูร้ ับจึงจะเข้าใจ (กราฟ แบบสรุ ป รายงาน)
วิธีทไี่ ด้ มาซึ่งองค์ ความรู้
1. การสั มภาษณ์ ของวิศวกรองค์ ความรู้ ทั้งแบบไม่มีโครงสร้างและแบบ
มีโครงสร้าง
2. วิธีการติดตามผล ส่ วนใหญ่ใช้การวิเคราะห์อย่างเป็ นลาดับขั้นตอน
เป็ นการวิเคราะห์คาพูดของผูเ้ ชี่ยวชาญ แปลความสรุ ป นาเสนอต่อ
ผูเ้ ชี่ยวชาญเพื่อทบทวนอีกครั้ง
3. วิธีการสั งเกตการณ์ และเทคนิคอืน่ ๆ เป็ นการใช้วิธีการสังเกต
พฤติกรรมของผูเ้ ชี่ยวชาญ หรื อการวิเคราะห์จากกรณี ศึกษา การระดม
สมอง การแสดงความคิดเห็น
4. การได้ มาซึ่งองค์ ความรู้ผ่านทางอินเทอร์ เน็ต
การจัดรู ปแบบองค์ ความรู้
แบ่ งออกเป็ น 3 ระดับ
1. องค์ ความรู้ระดับง่ าย
องค์ความรู ้ระดับนี้ไม่ค่อยใช้ในระบบผูเ้ ชี่ยวชาญเนื่องจาไม่ค่อยมี
ประโยชน์ ยกเว้นเป็ นงานที่ตอ้ งทาประจา
2. องค์ ความรู้ระดับผิวเผิน
อาจได้จากการสังเกต การรับรู ้จากจิตใต้สานึก ไม่สามารถรับรองผลลัพธ์
ได้วา่ ถูกต้องเสมอไป เป็ นองค์ความรู ้กบั งานเฉพาะด้านที่ช่วย
สนับสนุนการตัดสิ นใจในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
3. องค์ ความรู้ระดับเชิงลึก
สามารถนามาประยุกต์ใช้กบั งานต่างๆ ได้ หลากหลาย ยากต่อการ
รวบรวมจัดเก็บ
การจัดการความรู้ ในรู ปแบบปลาทู
การจัดการความรู้ในรูปแบบปลาทู
1.
Knowledge Vision (KV) คือ วิสัยทัศน์ ของการจัดการความรู้ เป็ นการกาหนด
เป้ าหมายของการจัดการความรู้ ว่าดาเนินการไปเพือ่ วัตถุประสงค์ อะไร ก็
เปรียบเสมือนหัวปลาทีบ่ อกทิศทางในการว่ าย ว่ าจะเคลือ่ นที่ไปทางใด
โดยเป้ าหมายสาคัญทีก่ าหนดขึน้ ต้ องสอดคล้ อง และสนับสนุนกับวิสัยทัศน์
พันธกิจ และยุทธศาสตร์ ขององค์ กร
เช่ น การจัดการความรู้ เพือ่ พัฒนาสมรรถนะของพนักงานสู่ ความเป็ นเลิศ,
การจัดการความรู้ เรื่องกฎและระเบียบสาหรับพนักงานสายสนับสนุน
และการจัดการความรู้ เพือ่ พัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการสิ นค้ า OTOP
ระดับ 5 ดาว เป็ นต้ น
การจัดการความรู้ในรูปแบบปลาทู
2. Knowledge Sharing (KS) คือ การแลกเปลี่ยนเรี ยนรู้
ซึ่ งถือว่าเป็ นหัวใจ และยากที่สุดสาหรั บการจัดการความรู ้ เพราะเป็ น
เรื่ องยากที่ จะทาให้คนแบ่งปั นความรู ้ ให้ผูอ้ ื่ น คนทัว่ ไปมักคิดว่า ผูม้ ี
ความรู ้ คื อ ผูท้ ี่ มี อ านาจ ถ้า ต้อ งถ่ า ยทอดความรู ้ ใ ห้แ ก่ ผูอ้ ื่ น จะท าให้
ตนเองรู ้ สึ ก ไม่ ม ั่น คง ไม่ มี อ านาจ อาจโดนคนอื่ น แย่ง ต าแหน่ ง แย่ง
หน้า ที่ ก ารงาน เป็ นต้น ดังนั้น ในการจัด การความรู ้ ใ นส่ ว นของการ
แลกเปลี่ยนเรี ยนรู ้จึงมุ่งหวังเพื่อจัดการให้เกิดเหตุปัจจัย และสิ่ งแวดล้อม
ที่จะส่ งเสริ มให้คนตระหนัก และพร้อมที่จะแบ่งปันและเรี ยนรู ้ร่วมกัน
การจัดการความรู้ในรูปแบบปลาทู
3. Knowledge Assets (KA) คือ ความรู้ที่ถกู จัดเก็บอยู่ใน
คลัง ความรู้
เป็ นความรู้ ที่ มี ความสาคัญ และสอดคล้ องกับ
เป้าหมายในการจัดการความรู้ คลังความรู้ ที่ ดี จะต้ องมี การวาง
ระบบในการจัดเก็บ จัดหมวดหมู่ ผู้ใช้ สามารถสืบค้ นได้ อย่ างรวดเร็ ว
จึ ง ต้ องอาศัย เทคโนโลยี แ ละการสื่ อ สารโดยเฉพาะเทคโนโลยี
อินเทอร์ เน็ต เพื่ออานวยความสะดวก
การบริหารจัดการความรู้ แบบก้านกล้วยโมเดล
การบริหารจัดการความรู้ แบบก้ านกล้ วยโมเดล
กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management
Process หรื อ เรี ยกย่อๆ ว่า KM Process) เปรี ยบได้เสมือน
กับตัวช้าง หรื อ อาจจะชื่ อว่า “ก้ านกล้ วยโมเดล” เพื่อทาให้
เราเข้าใจได้ง่ายขึ้ น ซึ่ งในแต่ล ะส่ วนของช้างนั้นมี หน้าที่
และมี ความสาคัญเท่าๆ กันจะขาดส่ วนใดส่ วนหนึ่ งไม่ได้
เพราะจะเป็ นช้างพิการ
ความร้ ูแบบก้ านกล้ วยโมเดล
งวงช้ าง เป็ นอวัยวะทีด่ ูดน้าเปรี ยบได้ กบั การ
เสาะแสวงหาและการถอดความร้ ูจากคนและจาก
แหล่ งข้ อมูลต่ างๆ
• งาช้ าง เป็ นสิ่ งทีบ่ ่ งบอกถึงคุณลักษณะของช้ าง
เปรียบได้ กบั ภาวะผู้นาในองค์ กรทีจ่ ะต้ องเห็นด้ วย
และสนับสนุนการจัดการความรู้
ความร้ ูแบบก้ านกล้ วยโมเดล
• ส่ วนลาตัวของช้ าง มีขนาดใหญ่และมีกิจกรรมากมายที่
จะต้องทาจึงเปรี ยบได้เสมือนกับ KM Process
• ส่ วนหั วของช้ าง นับ ว่ามี ความส าคัญ มากเช่ นไว้บรรจุ
สมองเพื่ อ ควบคุ ม การท างานของร่ า งกายเปรี ย บได้กับ
ฐานข้อมูลความรู้ (Data Warehouse) และการแลกเปลี่ยน
เรี ยนรู้ (Knowledge Sharing and Transferring) ขององค์กร
ความร้ ูแบบก้ านกล้ วยโมเดล
• ตาของช้ าง เปรี ยบเหมือนกับวิสัยทัศน์ ของ
องค์ กรที่จะต้ องมีเกีย่ วกับการจัดการความร้ ู
• ขาทั้งสี่ข้าง ของช้ างเป็ นองค์ กรประกอบที่
สาคัญเพือ่ จะพาช้ างเดินไปข้ างหน้ าเปรี ยบได้
กับ วัฒนธรรมองค์ กร, การสื่อสาร, การ
พัฒนา Knowledge Worker และการวัด
ประเมินการจัดการความร้ ู
• หางของช้ าง เป็ นส่ วนที่มีความสาคัญเช่ นเดียว คือ
เทคโนโลยี ทีค่ อยขับเคลื่อนให้ การจัดการความร้ ูนั้น
ประสบความสาเร็ จ และในฉบับต่ อๆไปผ้ เู ขียนจะ
อธิบายถึงกระบวนการจัดการความร้ ูซึ่งเป็ น
องค์ ประกอบที่ความสาคัญในการขับเคลื่อนการจัดการ
ความร้ ูให้ ประสบความสาเร็ จต่ อ
วงจรชีวติ ของการจัดการความร้ ู
ความรู้เด่นชัด
ความรู้ฝังลึก
วงจรชีวติ ของการจัดการความรู้
• การจัดการ “ความรู้เด่นชัด” จะเน้นไปที่การเข้าถึงแหล่งความรู้
ตรวจสอบ และตีความได้ เมื่อนาไปใช้แล้วเกิดความรู ้ใหม่ ก็นามา
สรุ ปไว้ เพื่อใช้อา้ งอิง หรื อให้ผอู ้ ื่นเข้าถึงได้ตอ่ ไป
(ดูวงจรทางซ้ายในรู ป)
• ส่ วนการจัดการ “ความรู้ซ่อนเร้น” นั้นจะเน้นไปที่การจัดเวที
เพื่อให้มีการแบ่งปันความรู ้ที่อยูใ่ นตัวผูป้ ฏิบตั ิ ทาให้เกิดการเรี ยนรู ้
ร่ วมกัน อันนาไปสู่การสร้างความรู ้ใหม่ ที่แต่ละคนสามารถ
นาไปใช้ในการปฏิบตั ิงานได้ต่อไป
(ดูวงจรทางขวาในรู ป)
การคิดแบบหมวก 6 ใบ
แต่ ละใบของหมวกคิดทั้งหกจะมีสีต่างกัน ขาว แดง ดา เหลือง เขียว ฟ้ า
สี คือชื่ อของหมวกแต่ ละหมวก สี ของแต่ ละหมวกยังมีความสั มพั นธ์ กับ
การทางานของมันด้ วย
การคิดแบบหมวก 6 ใบ
• สี ขาว สี ขาวเป็ นกลางไม่มีอคติ ไม่ลาเอียง หมวกขาวจะเกี่ยวข้องกับ
ข้อเท็จจริ งและตัวเลข
• สี แดง สี แดงแสดงถึงความโกรธ ความเดือดดาล และอารมณ์ สี แดง
ให้มุมมองทางด้านอารมณ์
• สี ดา สี ดาคือข้อควรระวัง และคาเตือน ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของ
ความคิดนั้นๆ
• สี เหลือง ให้ความรู ้สึกในทางที่ดี หมวกสี เหลืองเป็ นมุมมองใน
ทางบวก รวมถึงความหวัง และคิดในแง่ดีดว้ ย
• สี เขียว หมายถึงความคิดริ เริ่ ม และความคิดใหม่ ๆ
• สี ฟ้า หมายถึงการควบคุม การจัดระบบ กระบวนการคิดและการใช้
หมวกอื่นๆ