Transcript แนบ1

แนวคิดพื้นฐานทางระบาดวิทยา
(Basic epidemiological concepts)
ระบาดวิทยา คือ อะไร
ระบาดวิทยา (Epidemiology)
เป็ นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่มีระบบ (discipline)
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาความถี่ (frequency)
การแพร่กระจาย (distribution)
ของสุขภาพ(health) และโรค (disease)
ในประชากร (populations)
และหาปั จจัยเสี่ยง (risk factors)
เพื่อป้องกันและควบคุมโรค(prevention and control)
ระบาดวิทยาในพื้นที่(Field Epidemiology)
“กิจกรรมการสอบสวนโรค
จะต้องเริ่มต้นดาเนินการในพื้นที่
ไม่ใช่ในห้องปฏิบตั ิการ”
การกระจายของโรคเชิงพื้นที่
แผนภาพแบบจุด แสดงการกระจายของผูป้ ่ วยโรคอหิวาต์
ในกรุงลอนดอน ในปี ค.ศ.1854
วิวฒั นาการของระบาดวิทยาทางสัตวแพทย์

ยุคที่ 1 พ.ศ.2450
 ป้ องกันปั ญหาสุ ขภาพโดยการควบคุมโรคในระดับพื้นที่

ยุคที่ 2 พ.ศ.2490
 การรักษาสัตว์รายตัวและการจัดการสุ ขภาพสัตว์เบื้องต้น

ยุคที่ 3 พ.ศ.2508
 การรักษาสุ ขภาพและประสิ ทธิ ภาพการผลิตของฝูงสัตว์

ยุคที่ 4 พ.ศ.2533
 บูรณาการการจัดการสุ ขภาพ ผลผลิตและแผนงานของฟาร์ มเพื่อสร้าง
ผลตอบแทนสูงสุ ด
ขอบเขตของระบาดวิทยา
การกระจายของโรคในประชากร
 ปั จจัยที่มีผลต่อการเกิดและการกระจายของโรค
 ประชากรเป้ าหมาย
 การเปลี่ยนแปลงหรื อการพลวัตรของโรค
 ภาวะที่เป็ นโรคและไม่ใช่โรค
 โรคติดเชื้อและโรคไร้เชื้อ
 การป้ องกันและควบคุมโรค

การประยุกต์ใช้หลักการและเทคนิคทางระบาดวิทยา
สื บหาแหล่งของโรคที่ทราบสาเหตุหรื อสามารถระบุสิ่งก่อโรคได้
 สอบสวนและควบคุมโรคที่ยงั ไม่ทราบสาเหตุ หรื อยังไม่สามารถระบุสิ่ง
ก่อโรคได้
 ศึกษาลักษณะทัว่ ไปของโรคได้
 วางแผนการเฝ้ าระวังและควบคุมโรค
 ประเมินความคุม
้ ค่าทางเศรษฐกิจของมาตรการควบคุมโรคต่างๆ
 วิเคราะห์การตัดสิ นใจทางคลินิก ( evidence-based
medicine)

องค์ประกอบการศึกษาทางระบาดวิทยา

การศึกษาทางระบาดวิทยาเชิงคุณภาพ ( quanlitative
investigation )
 การศึกษาลักษณะทัว่ ไปของโรค
 การทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับปั จจัยก่อโรค

การศึกษาทางระบาดวิทยาเชิงปริ มาณ ( quantitative
investigation )
 การสารวจ
 การเฝ้ าระวังโรค
 การศึกษาทางระบาดวิทยา
 การสร้างแบบจาลอง
 การควบคุมโรค
ลักษณะการศึกษาทางระบาดวิทยา
ระบาดวิทยาเชิงพรรณนา (descriptive epidemiology)
 ระบาดวิทยาเชิงสังเคราะห์ (analytical epidemiology)
 การทดลองทางระบาดวิทยา (experimental
epidemiology)
 การศึกษาทฤษฎีทางระบาดวิทยา (theoretical
epidemiology)

ระบาดวิทยาเชิงพรรณนา
(Descriptive Epidemiology)
 อธิบายว่ามีเหตุการณ์อะไร(what) เกิดขึ้น
 อธิบายว่ามีใคร(who)
ที่เกี่ยวข้องทั้งสัตว์และคน
 อธิบายว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อใด(when)
 อธิบายว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหน(where) ซึ่งรวมถึง
เหตุการณ์ที่เกิดจากการกระทาของคนและสิ่งแวดล้อมตาม
ธรรมชาติ
ประโยชน์ของระบาดวิทยาเชิงพรรณนา
(Uses of Descriptive Epidemiology)
 การค้นหาสัตว์ป่วยรายตัว
(Detection of individual cases)
 การค้นหาการระบาดของโรค (Detection of outbreaks)
 วัดความเสียหายที่เกิดจากโรค
(Measuring the impact of disease)
 เข้าใจธรรมชาติของโรค
(Understand the nature of a disease)
ประโยชน์ของระบาดวิทยาเชิงพรรณนา
(Uses of Descriptive Epidemiology)
 เข้าใจทางในการแพร่โรคและการกระจายของโรค
(Understand the way that disease spreads and distributed)
 สามารถสร้างสมมุตฐ
ิ านและมีแนวคิดในการวิจยั ในอนาคต
(Generate hypotheses and ideas for further research)
 สามารถประเมินมาตรการในการป้องกันและควบคุมโรค
(Evaluation of prevention and control measures)
 สนับสนุนกิจกรรมต่างๆที่วางแผนในด้านสุขภาพสัตว์
(Support planning activities for animal health programs)
ระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์
(Analytical Epidemiology)
 วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลาดับว่าเกิดขึ้นอย่างไร
(how) เพื่อที่จะปรับนโยบายและการดาเนินการต่อไป
 ประเมินข้อมูลที่เก็บรวบรวมเพื่อที่จะระบุว่าทาไม(why)
เหตุการณ์จงึ เกิดขึ้นตามลาดับเพื่อที่จะป้องกันและควบคุม
โรค
ระบาดวิทยากับงานสัตวแพทย์
การบริ การสุ ขภาพสัตว์รายตัว
 การจัดการสุ ขภาพฝูงสัตว์
 งานสัตวแพทย์สาธารณสุ ข

การวัดทางระบาดวิทยา

การวัดขนาดของโรค หรื อการวัดความถี่ของโรค
(measurement of frequency)
 เช่น โรค ketosis

การวัดความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ศึกษากับโรค
(measurement of association)
 เช่น โรค

เกิดขึ้นกับโคนมพันธุ์ขาวดา มากน้อยเพียงใด
ketosis มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั ความอ้วนอย่างไร
การวัดผลกระทบของปัจจัยที่ศึกษาต่อการเกิดโรค
(measurement of effect)
 เช่น การไม่เลี้ยงวัวให้อว้ น จะช่วยลดปั ญหา ketosis
ได้มากเท่าใด
การวัดความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ศึกษากับโรค
เป็ นโรค
ได้รับปัจจัยเสี่ ยง 13(a)
ไม่ได้รับปั จจัยเสี่ ยง 1(c)
14(a+c)
ไม่ เป็ นโรค
26(b)
15(d)
41(b+d)
39
16
55
แต้มต่อของการสัมผัสปั จจัยเสี่ยงในสัตว์ป่วย (Odds)=13/1(a/c)
แต้มต่อของการสัมผัสปั จจัยเสี่ยงในสัตว์ป่วย(Odds)=26/15(b/d)
อัตราส่วนแต้มต่อของการสัมผัสปั จจัยเสี่ยงในสัตว์ป่วย
(OR)=(a/c)/(b/d)=(a*d)/(b*c)=(13*15)/(26*1)=7.5
การวัดทางระบาดวิทยา

การนับจานวน (count)
 การนับจานวนสัตว์ป่วยหรื อตาย

สัดส่ วน (proportion)
 การทดสอบโรค TB ในโคนม จานวน 200
ตัว พบเป็ นโรค จานวน 40
ตัว สัดส่ วนการเป็ นโรคคือ 40/200 = 0.2

อัตราส่ วน (ratio)
 มีลกู สัตว์ตายคลอด 3
ตัว และลูกสัตว์ที่คลอดแล้วมีชีวิต 120 ตัว ดังนั้น
อัตราส่ วนคือ 3:120=0.025:1

อัตรา (rate)
การวัดทางระบาดวิทยาที่มกั นาไปใช้ในทางปฏิบตั ิ
บ่อยๆมีดงั นี้

การวัดความชุกของโรค ( Prevalence)
 เจาะเลือดม้าตรวจ EIA
จานวน 75 ตัว เป็ นโรค 23 ตัว ดังนั้นความชุกคือ
23/75=0.307

อัตราการป่ วยระลอกแรก (attack rate)
 ในการระบาดของ BSE
พบว่าโค 400 ตัว เกิดโรคขึ้น 60 ตัว ใน
ระยะเวลา 3 สัปดาห์ (60*100)/400=15%

สัดส่ วนการตายเนื่องจากโรค (case fatality rate)
 เป็ นการวัดความรุ นแรงของโรค เช่น สุ นขั ที่เป็ นโรคพิษสุ นขั บ้าจานวน 100
ตัว ตายระหว่างกักดูอาการ 100 ตัว ดังนั้นอัตราการตายเนื่องจากโรคคือ
100/100=1
ปั จจัยสามทางระบาดวิทยา
(Epidemiological Triad)
 ตัวก่อโรค(agent)
 เจ้าบ้านหรือตัวสัตว์(host)
 สิ่งแวดล้อม(environment)
ปั จจัยสามทางระบาดวิทยา
(Epidemiological Triad)
 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวก่อโรค ตัวสัตว์และสิ่งแวดล้อม
เหมือนกับการเล่นไม้กระดกที่มีสิ่งก่อโรคและตัวสัตว์
เป็ นน้ าหนักอยูส่ องข้างและมีสิ่งแวดล้อมเป็ นจุดกึ่งกลาง
(fulcrum)
สิ่งก่อโรค (agent)
ตัวสัตว์ (host)
สิ่งแวดล้อม (environment)
ปั จจัยสามทางระบาดวิทยา
(Epidemiological Triad)
โดยความสัมพันธ์ระหว่างปั จจัยทั้งสาม จาแนกเป็ น 2 แบบ
 1.ภาวะที่มีความสมดุลระหว่างปั จจัยสามประการจะไม่มี
โรคเกิดขึ้นในฝูงสัตว์(stage of equilibrium)
 2.ภาวะที่ไม่มีความสมดุลระหว่างปั จจัยสามประการจะ
พบโรคเกิดขึ้นในฝูงสัตว์(stage of unequilibrium)
ตัวสัตว์
จุดกึ่งกลาง
สิ่งก่อโรค
สิ่งก่อโรค
จุดกึ่งกลาง
ตัวสัตว์
สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อม
ภาวะที่ไม่มีความสมดุลระหว่างปั จจัยสามทางระบาดวิทยา
(stage of unequilibrium)
ตัวก่อโรค(agent)
ตัวก่อโรค (agent) หมายถึง ปั จจัยหรือสาเหตุที่ทา
ให้เกิดโรค อาจเป็ นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ได้ ซึ่งถ้าพบ
ในปริมาณที่มากเกินไปหรือไม่สมดุลอาจส่งผลให้เกิดโรค
ได้
ปั จจัยของสิ่งก่อโรคกับการเกิดและการ
แพร่กระจายของโรค
ความสามารถในการเจริ ญในร่ างกายสัตว์ (infectivity)
 ความสามารถในการติดต่อ (infectiousness)
 ความสามารถในการก่อโรค (pathogenicity)
 ความรุ นแรงของการติดเชื้อ (virulence)
 ชนิ ดของสัตว์ที่สามารถเจริ ญได้ (host range)
 ความสามารถในการอยูร่ อดนอกตัวสัตว์ (viability)

ตัวสัตว์หรือเจ้าบ้าน(host)
เจ้าบ้าน หมายถึง ตัวสัตว์หรือโฮสท์ ที่ยอมให้ปรสิตอาศัย
อยูไ่ ด้ชั ่วคราวหรือตลอดไปก็ได้ ซึ่งจะมีปฏิกิริยาต่อสูก้ บั เชื้อโรค
ที่เข้าสูร่ า่ งกาย และอาจมีพยาธิสภาพของโรคเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้
ปั จจัยของตัวสัตว์กบั การเกิดและการแพร่กระจาย
ของโรค
ลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว์
 อายุของสัตว์
 เพศของสัตว์
 ชนิ ดและพันธุ์ของสัตว์
 สภาวะทางโภชนาการของสัตว์
 สภาวะทางสรี ระวิทยาของสัตว์
 สภาวะภูมิตา้ นทานของสัตว์

สิ่งแวดล้อม(environment)
สิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่อยูร่ อบตัวสัตว์หรือ
เจ้าบ้าน ซึ่งมีความสัมพันธ์และส่งผลกระทบต่อความเป็ นอยู่
ของสัตว์ เช่น สภาพพื้นที่ อากาศ น้ า อาหาร เชื้อโรค แมลง
การจัดการและมนุษย์ เป็ นต้น โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์ใน
ระบบการผลิตเข้มข้น (intensive production system)
การประยุกต์ความรูเ้ กี่ยวกับปั จจัยสามทางระบาดวิทยา
ในการป้องกันและควบคุมโรค
 การส่งเสริมสุขภาพเจ้าบ้าน เช่น การให้อาหารที่มีความสมดุล
เสริมสร้างภูมิคมุ ้ กัน และการจัดการด้านสุขศาสตร์ทเี่ หมาะสม
เป็ นต้น
 ควบคุมและกาจัดสิ่งที่ทาให้เกิดโรค เช่น การวินิจฉัยโรคที่
รวดเร็วและทาการรักษาทันที การค้นหาและควบคุมพาหะ
และแหล่งรังโรค
 ควบคุมและกาจัดสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมร่วมกับการ
เสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่น การกาจัดสิ่งปฏิกลู น้ าเสีย
และแหล่งรังโรค เป็ นต้น
รู ปแบบการเกิดโรคในประชากร
โรคที่เกิดขึ้นเป็ นครั้งคราว (sporadic disease)
 โรคประจาถิ่น (endemic disease)
 โรคระบาด (epidemic disease)

 การระบาดระยะสั้น (point
epidemic หรื อ common
source epidemic)
 การระบาดแบบต่อเนื่ อง (propagative epidemic)
การติดเชื้อและการเกิดโรค
ไม่ มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิ สภาพ
 มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิ สภาพ (sub-clinical disease)

 Disease
screening
 Iceberg phenomenon

มีการแสดงอาการป่ วยอย่ างชัดเจน (clinical disease)
ปรากฏการณ์ภูเขาน้าแข็ง
จ้านวนสัตว์ป่วยทีพ
่ บมักน้อยกว่าทีเ่ กิดจริง
จานวนสัตว์ป่วยที่รายงาน
สัตว์ป่วยที่ไม่มีรายงาน
การแพร่ กระจายของโรค

ต้องมีความเข้าใจในวงจรชีวิตของเชื้อโรค
 ห่ วงโซ่ การติดต่อ (transmission
chain)
 วิธีการติดต่อของเชื้อ (transmission)
 การคงอยูข่ องเชื้อ (maintenance)
 สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการอยูร่ อดและการติดต่อของเชื้อ
ห่วงโซ่การติดต่อ (transmission chain)
สัตว์ที่ติดเชื้อ
 การออกจากตัวสัตว์ที่ติดเชื้อ
 การติดพาหะนาโรคหรื อแหล่งโรค
 วิธีการติดต่อไปยังสัตว์ตวั ใหม่
 วิธีการเข้าสู่ สต
ั ว์ตวั ใหม่
 สัตว์ที่ไวต่อโรค

วิธีการติดต่อของเชื้อ (transmission)

การติดต่อตามแนวราบ (horizontal transmission)
 Direct
 indirect

การติดต่อตามแนวดิ่ง (vertical transmission)
 Transovarial
 transtadial
บทบาทของระบาดวิทยาในพื้นที่
 ระบาดวิทยาในพื้นที่เป็ นสิ่งที่ทา้ ทาย
และจะต้องค้นหา
สาเหตุเร่งด่วน ประเมินสถานการณ์ นโยบายและเหตุ
ฉุกเฉิน
 เริ่มต้นด้วยข้อจากัด ไม่มีขอ้ มูล โดยเฉพาะเมื่อพบกับโรค
ที่เกิดใหม่
บทบาทของระบาดวิทยาในพื้นที่
 จะต้องประยุกต์ใช้การวิจย
ั ในพื้นที่โดยไม่สามารถควบคุม
ธรรมชาติที่เกี่ยวข้องได้
 จะต้องประเมินโรค สถานการณ์การระบาด และประเมิน
มาตรการที่ใช้
คาถามที่ควรจะคิด

ปั ญหาของโรคใหญ่แค่ไหน?
คาตอบ จะต้องวินิจฉัยกรณีปัญหาและมีการเฝ้ าระวังโรค
 สถานการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไรและอะไรที่เป็ นสาเหตุที่ทาให้เกิดขึ้น?
คาตอบ จะต้องสอบสวนและวิเคราะห์โรคเบื้องต้น
 สามารถทาอะไรที่ดีกว่าการป้องกันและควบคุมโรคในอนาคต?
คาตอบ จะต้องหาปั จจัยเสี่ยงและวิเคราะห์แนวโน้มของโรค
คุณสมบัตขิ องนักระบาดวิทยาทีด่ มี ีอะไรบ้ าง
(ระดมความคิด 5 นาที นาเสนอ 3 นาที)
คุณสมบัตขิ องนักระบาดวิทยาในพื้นที่
 อยากรูอ้ ยากเห็น
 สนุกสนานกับความท้าทายในการทางานเป็ นทีมภายใต้
สภาวะต่างๆ
 เป็ นผูท
้ ี่ช่างสังเกต ตาแหลมคม
 เป็ นผูฟ
้ ั งที่ดี
 มีทก
ั ษะในการปฏิบตั งิ าน
 มีปฏิภาณไหวพริบ
คุณสมบัตขิ องนักระบาดวิทยาในพื้นที่
 มีความตัง้ ใจ
 เป็ นนักแก้ปัญหา
 สามารถวิเคราะห์ สามารถลาดับเหตุการณ์และบอกเรื่องราว
โดยใช้ขอ้ มูล
 มีแรงบันดาลใจที่จะป้องกันปั ญหาต่างๆ
 สนุกสนานในการเรียนรูต
้ ลอดชีวิต