Slide2_C2_OSI

Download Report

Transcript Slide2_C2_OSI

OSI คืออะไร?
มันคือ .....โปรโตคอล
ทำไม?
่
่
่ งจะส่งข ้อมูลไปยังคอมพิวเตอร ์อีกเครืองหนึ
่
่ งได ้นั้น
กำรทีคอมพิ
วเตอร ์เครืองหนึ
่ นและเชือมต่
่
จะต ้องอำศัยกลไกหลำยๆอย่ำงร่วมกันทำงำนต่ำงหน้ำทีกั
อเป็ น
่ ดขึนคื
้ อกำรเชือมต่
่
เครือข่ำยเข ้ำด ้วยกัน ปัญหำทีเกิ
อมีควำมแตกต่ำง ระหว่ำง
่ นสิงที
่ ท
่ ำให ้กำรสร ้ำง
ระบบและอุปกรณ์หรือเป็ นผูผ้ ลิตคนละรำยกัน
ซึงเป็
่
่
เครือข่ำยเป็ นเรืองยำกมำก
เนื่ องจำกขำดมำตฐำนกลำงทีจ่ ำเป็ นในกำรเชือมต่
อ
PC
ไม่มม
ี าตรฐาน
สง่ A
มาตรฐานเดียวกัน สง่ A
UNIX
รับ ก
รับ A
่
ทีมำของ
OSI
้ อ
จำกปัญหำดังกล่ำว
จึงได ้เกิดหน่ วยงำนกำหนดมำตรฐำนสำกลขึนคื
้
International Standards Organization ขึนและท
ำกำรกำหนด
้
่
่ ้
โครงสร ้ำงทังหมดที
จ่ ำเป็ นต ้องใช ้ในกำรสือสำรข
้อมูลและเป็ นระบบเปิ ด เพือให
่ วเองถนัด แต่สำมำรถนำไปใช ้ร่วมกันได ้
ผูผ
้ ลิตต่ำงๆสำมำรถแยกผลิตในส่วนทีตั
ระบบเครือข่ำยคอมพิวเตอร ์สมัยใหม่จะถูกออกแบบให ้มีโครงสร ้ำงทีแน่ นอน และ
่ นกำรลดควำมซบั ซ ้อน ระบบเครือข่ำยส่วนมำกจึงแยกกำรทำงำนออกเป็ น
เพือเป็
้
่
้ ้อย่ำงชัดเจน แบบจำลองสำหร ับ
ชันๆ
(layer) โดยกำหนดหน้ำทีในแต่
ละชันไว
อ ้ำงอิงแบบ OSI (Open System Interconnection Reference Model)
่ ยมเรียกกันทัวไปว่
่
หรือทีนิ
ำ OSI Reference Model ของ ISO เป็ นแบบจำลอง
่ กเสนอและพัฒนำโดยองค ์กร International Standard Organization
ทีถู
(ISO) โดยจะบรรยำยถึงโครงสร ้ำงของสถำปัตยกรรมเครือข่ำยในอุดมคติ ซึง่
่ นไปตำมสถำปัตยกรรมนี จะเป็
้
ระบบเครือข่ำยทีเป็
นระบบเครือข่ำยแบบเปิ ด และ
อุปกรณ์ทำงเครือข่ำยจะสำมำรถติดต่อกันได ้โดยไม่ขนกั
ึ ้ บว่ำเป็ นอุปกรณ์ของ
ผูข
้ ำยรำยใด
Open System Interconnect OSI
กลุม
่ ของชน้ั OSI
OSI Model ได้แบ่ง ตามลักษณะของออกเป็ น 2 กลุ่มใหญ่
ได้แก่
1. Application-oriented Layers เป็ น 4 Layer ด้านบนคือ
่ อมต่
่
Layer ที่ 7,6,5,4 ทาหน้าทีเชื
อร ับส่งข้อมู ลระหว่างผู ใ้ ช้
่
่ ่
ก ับโปรแกรมประยุกต ์ เพือให้
ร ับส่งข้อมู ลกบ
ั ฮาร ์ดแวร ์ทีอยู
้ั างได้อย่างถู กต้อง ซึงจะเกี
่
่
ชนล่
ยวข้
องก ับซอฟแวร ์เป็ นหลัก
2. Network-dependent Layers เป็ น 3 Layers ด้านล่าง ทา
่ ยวก
่
หน้าทีเกี
ับการร ับส่งข้อมู ลผ่านสายส่ง และควบคุมการ
้ อกเส้
่
ร ับส่งข้อมู ล.ตรวจสอบข้อผิดพลาด รวมทังเลื
นทางที่
่
่
ใช้ในการร ับส่ง ซึงจะเกี
ยวข้
องก ับฮาร ์ดแวร ์เป็ นหลัก ทาให้
ใช้ผลิตภัณฑ ์ต่างบริษท
ั กันได้อย่างไม่มป
ี ั ญหา
Application Layer
 File Transfer, Access and Management (FTAM):
่
ให้บริการเกียวกับการถ่
ายโอนไฟล ์ระหว่างคอมพิวเตอร ์
่
่ ่ใน
และการอ่าน การเขียน หรือแม้กระทังการลบไฟล
์ทีอยู
่
่ งได้
อีกเครืองหนึ
 Virtual Terminal Protocol (VTP) : การเข้าใช้แอพลิ
่ ั อยู
่ ่อก
่
่ ง โดยจาลองเทอร ์มินอลของเครือง
่
เคชนที
ี เครืองหนึ
่ ่หา
ทีอยู
่ งไกลให้ก ับผู ใ้ ช้
 Message Handling Service (MHS) : การร ับส่งอีเมลล ์
่
่ ่
 Directory Service (DS) : การจับคู ร
่ ะหว่างชือและที
อยู
ของคอมพิวเตอร ์
 Common Management Information Protocol
่
(CMIP) : ข้อมู ลเกียวกับการจั
ดการเครือข่าย
Presentation Layer
่
 ร ับผิดชอบเกียวกับรู
ปแบบของข้อมู ลทีร่ ับส่งผ่าน
เครือข่าย(Encoding)
่ นมาตรฐาน แปลงกลับ
 แปลงข้อมู ลให้อยู ่ในรู ปแบบทีเป็
่
้
เป็ นรู ปแบบของเครืองคอมพิ
วเตอร ์นันๆ
่ ารหัสเลขทศนิ ยมทีต่
่ างกันสามารถ
 ทาให้ขอ
้ มู ลทีเข้
่
แลกเปลียนข้
อมู ลกันได้
Session Layer
่
่ าลังเกิดขึนระหว่
้
 ควบคุมการสือสารผ่
านเครือข่ายทีก
าง
่
่ าลังดาเนิ นไปในช่วงขณะใด
สองฝั่ ง การสือสารที
ก
้
ขณะหนึ่ งจะเรียกว่า Session เลเยอร ์นี จะควบคุ
มการสร ้าง
่
่
Session การแลกเปลียนข้
อมู ล และยกเลิก Session เมือ
่
้ ด
การสือสารสิ
นสุ
่
 กาหนดรู ปแบบการสือสาร
ทางเดียว
(Unidirectional)/สองทาง(Bi-directional)
 กาหนดการไหลของข้อมู ล
 ควบคุมจังหวะการร ับส่งข้อมู ล (Synchronization)
Transport Layer
่
 ร ับผิดชอบในการเคลือนย้
ายข้อมู ลระหว่าง process ของ
ผู ร้ ับและ process ของผู ส
้ ่ง
 จัดเรียงแพ็กเก็ตข้อมู ล
้
 โปรโตคอลในเลเยอร ์นี สามารถให้
บริการได้หลายๆ
่ ่เพือ
่
Application ในเวลาเดียวกัน โดยการกาหนดทีอยู
่ ่อก
่ ่ใน
ใช้ตด
ิ ต่อกับแต่ละ application ทีอยู
ี ฝั่ งหนึ่ ง ทีอยู
่ จะเรี
้
่
ทีนี
ยก Port ส่วนการเชือมต่
อเข้ากับ Port จะเรียกว่า
Socket
Network Layer
 ร ับผิดชอบในการกาหนดเส้นทางข้อมู ลระหว่างสถานี ส่ง
่ ่คนละเครือข่าย การทาเช่นนี ได้
้ ตอ
และสถานี ร ับทีอยู
้ งมี
่ ่ (Addressing) ทีไม่
่ ขนอยู
่ ่ท ี่
ระบบการจัดการทีอยู
ึ้
่ก ับทีอยู
้ั
่
้ ง
ใช้ในชนเชื
อมโยงข้
อมู ล การให้บริการในเลเยอร ์นี แบ่
ออกเป็ น 2 ประเภทคือ
่ มี
 Connectionless Network Service การส่งข้อมู ลทีไม่
่
การเชือมต่
อก่อน
 Connection-Oriented Network Service เป็ นการ
ให้บริการโดยมีการร ับรองว่าข้อมู ลถึงปลายทางแน่ นอน มี
่
่
การสร ้างเส้นทางเชือมต่
อระหว่างสองสถานี กอ
่ น และเมือ
่
ร ับส่งเสร็จก็ยกเลิกเส้นทางเชือมต่
อดงั กล่าว
Data Link Layer
 มีหน้าทีร่ ับส่งข้อมู ล และมีการตรวจสอบความถู กต้องของ
ข้อมู ลด้วย ทางด้านสถานี ส่งจะจัดส่งข้อมู ลให้เป็ นเฟรม
่ ตรวจสอบข้อผิดพลาด
แลในแต่ละเฟรมจะมีขอ
้ มู ลทีใช้
้
ของข้อมู ลของเฟรมนันๆด้
วย การส่งข้อมู ลสาเร็จ
้ องเกิดขึน
้
เหตุการณ์ตอ
่ ไปนี ต้
่ ับแล้วตรวจสอบข้อผิดพลาดของข้อมู ล แล้ว
 สถานี ร ับเมือร
แจ้งให้สถานี ส่งทราบ
 สถานี ส่งต้องได้ร ับการตอบร ับจากสถานี ร ับว่าได้ร ับเฟรม
ข้อมู ลถู กต้องแล้ว
Physical Layer
่ คา
 ร ับผิดชอบการส่งข้อมู ลทีมี
่ เป็ นบิต โดยไม่สนใจ
ความหมายของข้อมู ล
 สนใจเฉพาะการแปลงข้อมู ลให้เป็ นสัญญาณไฟฟ้าหรือ
แสง
่
 มาตรฐานจะกาหนดเกียวกับความดั
นไฟฟ้า (Voltage) ที่
เป็ นตัวนาสัญญาณ ประเภทของสายสัญญาณ และความ
่ กษณะของหัว
ต้านทานของสายสัญญาณ แม้กระทังลั
่
เชือมต่
อสายสัญญาณด้วย
OSI เทียบกับ TCP/IP
OSI Encapsulation
TCP/IP
TCP/IP (Transmitsion Control Protocol/Internet Protocol) เป็น
ชุดของโปรโตคอลที่ถูกใช้ในการสื่อสารผ่านเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถใช้สื่อสารจาก
ต้นทางข้ามเครือข่ายไปยังปลายทางได้ และสามารถหา
เส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าใน
ระหว่างทางอาจจะผ่านเครือข่ายที่มีปัญหา โปรโตคอลก็ยังคง
หาเส้นทางอื่นในการส่งผ่านข้อมูลไปให้ถึงปลายทางได้
ชุดโปรโตคอลนี้ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งถูกใช้เป็น
ครั้งแรกในเครือข่าย ARPANET ซึ่งต่อมาได้ขยายการเชื่อม
ต่อไปทั่วโลกเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทาให้ TCP/IP เป็นที่
ยอมรับอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน
Protocol
ARP (Address Resolution Protocol) เป็นโพรโตคอลเป็นโพรโตคอล
ชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารที่ทาหน้าที่หาแอดเดรสและจับคู่
ระหว่างไอพีแอดเดรส ที่เชื่อมโยงเครือข่ายของระบบการขอหมายเลขไอพี
แอดเดรสมาใช้บริการเพื่อให้สามารถสื่อสารกันระหว่างระบบเครือข่าย
ต่างๆได้ สามรถส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ที่ติดต่อกัน โดยมีฮาร์ดแวร์
สร้างเฟรมข้อมูลแล้วโพรโตคอล ARP จะนาข้อมุลเหล่านั้นเข้าที่เครื่อง
host ในระบบเครือข่ายต่อไป
Point-to-Point Protocol (PPP) เป็นโปรโตคอล สาหรับการสื่อสาร
ระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 ตัว ด้วยการอินเตอร์เฟซแบบอนุกรม ตามปกติ
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เชื่อม ด้วยสายโทรศัพท์ไปที่เครื่องแม่ข่าย
เช่น เครื่องแม่ข่ายของผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตให้ผู้ใช้ต่อเชื่อมด้วย
PPP ทาให้เครื่องแม่ข่าย สามารถตอบสนองคาขอผู้ใช้ ส่งสิ่งเหล่านี้ไป
ยังอินเตอร์เน็ต และส่งต่อการตอบสนองอินเตอร์เน็ต กลับไปยังผู้ใช้
PPP ใช้ Interner Protocol (IP)
TCP/IP Protocol
TCP/IP มีจุดประสงค์ของการสื่อสารตามมาตรฐาน สามประการคือ
1. เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างระบบที่มีความแตกต่างกัน
2. ความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่าย เช่นในกรณี
ที่ผู้ส่งและผู้รับยังคงมีการติดต่อกันอยู่ แต่โหนดกลางทีใช้เป็นผู้ช่วยรับส่งเกิดเสียหายใช้การไม่ได้ หรือสายสื่อสารบางช่วงถูกตัดขาด กฎการ
สื่อสารนี้จะต้องสามารถจัดหาทางเลือกอื่นเพื่อทาให้การสื่อสารดาเนิน
ต่อไปได้โดยอัตโนมัติ
3. มีความคล่องตัวต่อการสื่อสารข้อมูลได้หลายชนิดทั้งแบบที่ไม่มีความ
เร่งด่วน เช่น การจัดส่งแฟ้มข้อมูล และแบบที่ต้องการรับประกันความ
เร่งด่วนของข้อมูล เช่น การสื่อสารแบบ real-time และทั้งการสื่อสารแบบ
เสียง (Voice) และข้อมูล (data)
Encapsulation/Demultiplexing
การส่งข้อมูลผ่านในแต่ละเลเยอร์ แต่ละเลเยอร์จะทาการ
ประกอบข้อมูลที่ได้รับมา กับข้อมูลส่วนควบคุมซึ่งถูก
นามาไว้ในส่วนหัวของข้อมูลเรียกว่า Header ภายใน
Header จะบรรจุข้อมูลที่สาคัญของโปรโตคอลที่ทาการ
Encapsulate เมื่อผู้รับได้รับข้อมูล ก็จะเกิดกระบวนการ
ทางานย้อนกลับคือ โปรโตคอลเดียวกัน ทางฝั่งผู้รับก็
จะได้รับข้อมูลส่วนที่เป็น Header ก่อนและนาไป
ประมวลและทราบว่าข้อมูลที่ตามมามีลักษณะอย่างไร
ซึ่งกระบวนการย้อนกลับนี้เรียกว่า Demultiplexing
TCP/IP Encapsulation
TCP Protocol
• Source Port Number : หมายเลขพอร์ตต้นทางที่
ส่งดาต้าแกรมนี้
• Destination Port Number : หมายเลขพอร์ต
ปลายทางที่จะเป็นผู้รับดาต้าแกรม
• Sequence Number : ฟิลด์ที่ระบุหมายเลขลาดับ
อ้างอิงในการสื่อสารข้อมูลแต่ละครั้ง เพื่อใช้
ในการแยกแยะว่าเป็นข้อมูลของชุดใด และ
นามาจัดลาดับได้ถูกต้อง
• Acknowledgment Number : ทาหน้าที่
เช่นเดียวกับ Sequence Number แต่จะใช้ใน
การตอบรับ
• Header Length : โดยปกติความยาวของเฮด
เดอร์ TCP จะมีความยาว 20 ไบต์ แต่อาจจะ
มากกว่านั้น ถ้ามีข้อมูลในฟิลด์ option แต่ต้อง
ไม่เกิน 60 ไบต์
• Flag : เป็นข้อมูลระดับบิตที่อยู่ในเฮดเดอร์ TCP
โดยใช้เป็นตัวบอกคุณสมบัติของแพ็กเก็ต
TCP ขณะนั้นๆ และใช้เป็นตัวควบคุมจังหวะ
การรับส่งข้อมูลด้วย
Flag Type
Description
URG ใช้บอกความหมายว่าเป็นข้อมูลด่วน และมีข้อมูลพิเศษมา
ด้วย (อยู่ใน Urgent Pointer)
ACK แสดงว่าข้อมูลในฟิลด์ Acknowledge Number นามาใช้
งานได้
DSH เป็นการแจ้งให้ผู้รับข้อมูลทราบว่าควรจะส่งข้อมูล
Segment นี้ไปยัง Application ที่กาลังรออยู่โดยเร็ว
RST ยกเลิกการติดต่อ (Reset) เนื่องจากในกรณีที่เกิดการสับสน
ขึ้นด้วยเหตุผลต่างๆ เช่นโฮสต์มีปัญหา ให้เริ่มสื่อสารใหม่
SYN ใช้ในการเริ่มต้นขอติดต่อกับปลายทาง
FIN ใช้ส่งเพื่อแจ้งให้ปลายทางทราบว่ายุติการติดต่อ
Connection Establishment
ก่อนที่จะเริ่มต้นการสื่อสาร จะต้องมีการส่งสัญญาณ
เพื่อบอกโฮสต์อีกฝั่งหนึ่งให้เตรียมตัวติดต่อ ซึ่ง
กระบวนการที่ใช้มีชื่อเรียกว่า 3-Way Hand Shake
มีขั้นตอนคือ
เครื่องไคลเอนต์จะทาการส่งเซกเมนต์ โดยเปิด SYN
Flag ระบุหมายเลขพอร์ตที่ต้องการติดต่อบน
เซิร์ฟเวอร์และระบุหมายเลข ลาดับของข้อมูล (ISN
- Initial Sequence Number)
เครื่องเซิร์ฟเวอร์เมื่อได้รับข้อมูลเซกเมนต์จากข้อ 1 ก็
จะตอบกลับด้วยการเพิ่มค่า ISN ที่ได้รับขึ้นอีก 1
พร้อมทั้งระบุหมายเลขลาดับ (ISN) ของตนเอง
และเปิด SYN กับ ACK Flag
ไคล์เอนต์เมื่อได้รับการตอบกลับจากเซิร์ฟเวอร์ตาม
ข้อ 2 ก็จะทาการตอบรับกลับไป โดยการเพิ่มค่า
ISN ของเซิร์ฟเวอร์ขึ้นอีก 1 และเปิด ACK Flag
เมื่อผ่านการสร้าง connection ทั้ง 3 ขั้นตอนแล้ว
ตอนนี้ทั้งไคล์เอนต์ และเซิร์ฟเวอร์เปรียบเสมือนมี
การเชื่อมต่อถึงกันแล้ว สถานะของการเชื่อมต่อใน
ขณะนี้เรียกว่า Established
เมื่อการสื่อสารของทั้งสองฝั่งจบลง และไม่
ต้องการรับส่งข้อมูลอีกต่อไป จะต้องทา
ตามขั้นตอนการยุติการสื่อสารเพื่อให้
การสื่อสารจบลงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีอยู่ 4
ขั้นตอนคือ
ไคลเอนต์ทาการส่ง ISN พร้อมกับ FIN
ACK Flag ไปยังเซิร์ฟเวอร์
เซิร์ฟเวอร์ทาการตอบรับ ISN และบวกค่า
ISN อีก 1 พร้อม ACK Flag
เซิร์ฟเวอร์ทาการส่ง ISN พร้อมกับ FIN
ACK Flag ไปยังไคลเอนต์
ไคลเอนต์ทาการตอบรับ ISN และบวกค่า
ISN อีก 1 พร้อม ACK Flag
IP คือ โปรโตคอลในระดับชั้น เน็ตเวิร์ค ทาหน้าที่กาหนดหมายเลขไอพีแอด
เดสประจาตัวเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นตัวบอกให้ Router ทราบว่าจะส่ง Packet
ไปทางไหน โปรโตคอล IP เป็นลักษณะ Connection less คือไม่มีกลไกที่จะ
รับประกันว่าข้อมูลจะส่งไปถึงปลายทาง
TCP (Transmission Control Protocol) ใช้ Internet
Protocol (IP) เพื่อส่งข้อมูลในรูปแบบของข่าวสาร ระหว่างเครื่อง
คอมพิวเตอร์ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็น โปรโตคอลที่อยู่สูงกว่า IP เป็นโปรโตคอลที่
มีกลไกในการรับประกันว่าข้อมูลจะไม่สูญหาย
UDP (User Datagram Protocol) ใช ้ IP ในกำรส่งข ้อมูล แต่เป็ น
่ อถื
่ อไม่ได ้ เพรำะถ ้ำข ้อมูลสูญหำยจะไม่มก
โปรโตคอลทีเชื
ี ำรส่งใหม่
มักถูกนำมำใช ้ในด ้ำน Multimedia ภำพและเสียง แต่จะสำมำรถส่ง
ข ้อมูลได ้เร็วกว่ำ TCP
ICMP (Internet Control Massage Protocol) เป็นโปรโตคอล
ควบคุมและรายงานความผิดพลาดระหว่าง host server กับ
gateway บนอินเตอร์เน็ต ICMP ใช้ตารางข้อมูลของ Internet
Protocol แต่การสร้างข้อความทาโดยซอฟต์แวร์ของ IP และ
ไม่ปรากฏโดยตรงกับผู้ใช้โดยตรง
HTTP (Hyper text Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอลที่
Browser ใช้ติดต่อกับ Web Server โดยจะดึงหน้าเพ็จต่างๆมา
แสดงผล ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่วิ่งอยู่บน TCP หมายเลข Port 80
SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอลสาหรับ
ส่งอีเมลในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต SMTP เป็นโปรโตคอลแบบ
ข้อความที่เรียบง่าย ทางานอยู่บนโปรโตคอล TCP พอร์ต 25
ในการส่งอีเมลไปยังที่อยู่ที่กาหนด จาเป็นต้องใช้ค่า MX (Mail
eXchange) ของ DNS
POP3 (Post Office Protocol3)เป็นโปรโตคอลที่มีไว้
ขอรับอีเมล์จากเครื่องแม่ข่าย วิ่งอยู่ใน TCP Port 110
โดยจะทาการดึงอีเมล์มาเก็บไว้ในเครื่องลูกข่าย เพื่อ
เป็นการประหยัดพื้นทีเ่ ครื่องแม่ข่าย
IMAP (Internet Message Access Protocol)เป็น
โปรโตคอลที่ใช้ในการแสดงข้อมูลอีเมล์ทเี่ ครื่องแม่
ข่ายโดยจะไม่ดึงข้อมูลมาไว้ที่เครื่องลูกข่าย
SNMP Simple Network Management Protocol เป็น
โปรโตคอล มีใว้เพื่อจัดการอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค
IP Class
IP Address นั้นจะแบ่งออกเป็น 5 classes คือ A, B, C, D
และ E แต่ขณะนี้ใช้เพียง 3 classes คือ Class A, Class
B และ Class C ซึ่งค่า IP Address นั้นจะแบ่งออกเป็น 2
ส่วน ดังรูปด้านล่าง ส่วนแรกเป็น Network number
ส่วนที่สองเป็น Host number คือ คอมพิวเตอร์ที่อยู่ใน
เครือข่ายนั้น
IP Class
IP Address Class A
Class A ใช้ไบต์แรก (8 bit) เป็น Network number และ
ให้บิตแรก เป็น 0 จึงมี Network number ระหว่าง 0 127 (126 เครือข่าย) ส่วน Host number ใช้ 3 ไบต์ (24
บิต) จึงมีคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้ถงึ 16,777,124
เครื่อง เหมาะสาหรับเครือข่ายส่วนบุคคล
ช่วงของ IP Address ใน Class A คือ ตั้งแต่ 1.0.0.0 127.255.255.255
IP Address Class B
Class B ใช้ 2 ไบต์แรก (16 bit) เป็น Network number
และให้ 2 บิตแรก เป็น 10 จึงมี Network number
เท่ากับ 2 ยกกาลัง (16-2) หรือ 16,382 เครือข่าย ส่วน
Host number ใช้ 2 ไบต์ (16 bit) จึงมีคอมพิวเตอร์ใน
เครือข่ายได้ถึง 65,534 เครื่อง
ช่วงของ IP Address ใน Class B คือ ตั้งแต่ 128.0.0.0 191.255.255.255
IP Address Class C
Class C ใช้ 3 ไบต์แรก (24 bit) เป็น Network number
และให้ 3 บิตแรก เป็น 110 จึงมี Network number
เท่ากับ 2 ยกกาลัง (24-3) หรือ 2,097,152 เครือข่าย
ส่วน Host number ใช้ 1 ไบต์ (8 bit) จึงมีคอมพิวเตอร์
ในเครือข่ายได้ถึง 254 เครื่อง
ช่วงของ IP Address ใน Class C คือ ตั้งแต่ 192.0.0.0 223.255.255.255
IP Address Class D
Class D จะกาหนดให้ 4 บิตแรก เป็น 1110 ใช้ในการทา
Multicasting ช่วงของ IP Address ใน Class D คือ
ตั้งแต่ 224.0.0.0 - 239.255.255.255
IP Address Class E
Class E จะกาหนดให้ 5 บิตแรก เป็น 11110 โดยสงวนไว้
สาหรับอนาคต ช่วงของ IP Address ใน Class E คือ
ตั้งแต่ 240.0.0.0 - 247.255.255.255
Private IP Address
Private IP Address คือ IP Address ที่กาหนดขึ้นสาหรับการใช้
งานส่วนตัวหรือภายในองค์กร โดยสามารถใช้งานได้เลยโดย
ไม่ต้องทาการลงทะเบียน ซึ่งค่า Private IP Address นี้หากมี
การส่งข้อมูล (Packet) โดยส่วนมากแล้ว Router จะทาการ
Drop ทิ้งไปเอง หรือไม่ก็จะทาการส่งต่อไปเรื่อยๆจนหมดอายุ
ไปเอง ค่า IP Address ที่กาหนดให้เป็น Private IP Address นั้น
มี ดังนี้
Class A10.0.0.0 - 10.255.255.255
Class B172.16.0.0 - 172.31.255.255
Class C192.168.0.0 - 192.168.255.255
IP Address version 6
IP address เวอร์ชั่น 4 (IPV4) ซึ่งใช้อยู่ปัจจุบันนั้น ทาง
ทฤษฏีสามารถใช้ได้จานวน 232 เครื่อง แต่จากการ
แบ่งออกเป็น Class ย่อย และการเพิ่มจานวนเครื่อง
คอมพิวเตอร์อย่างมากมาย เป็นผลให้ จานวน IP
Address จะมีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน โดย
ทางแก้ของปัญหานี้ทาได้โดยการเพิ่มจานวนบิตขึ้น
และเรียกว่า IPv6 โดยจะมีขนาด 128 bit
Subnet mask
Subnet mask เป็น Parameter อีกตัวหนึ่งที่ต้องระบุควบคู่กับ
หมายเลข IP Address หน้าทีของ subnet คือ ตัวที่แบ่ง IP
address ที่ได้มาให้เป็นกลุ่มย่อย ช่วยในการแยกแยะว่าส่วน
ใดภายในหมายเลข IP Address เป็น Network Address และ
ส่วนใดเป็นหมายเลข Host Address
1 Class 2^8 = 256 Host 254 เครื่อง
ดึงมา 2 เพื่อเป็น Network Number กับ Broadcast
Number
192.168.0.0 – 192.168.0.255
192.168.0.0 Network Number
192.168.0.255 Broadcast Number
192.168.0.1-192.168.0.254 Use for Device
Subnet Mask