Java Program

Download Report

Transcript Java Program

Java Program
- ก่อนที่จะมาเป็ นภาษา java นั้นเดิมทีเป็ นภาษาที่ชื่อว่า ภาษา Oak
ซึ่ งทีมงานของบริ ษทั ได้ทาขึ้นมาเพื่อควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้ าขนาด
เล็ก
-1990s เป็ นภาษาถูกพัฒนาโดยบริ ษทั Sun Microsystems
- 1994 หลังจากที่ Internet เริ่ มได้รับความนิ ยมมากขึ้น Oak จึงถูก
ปรับปรุ งให้สามารถนาไปพัฒนา Application ที่เกี่ยวข้องกับการ
ทางานในเว็บเพจมากขึ้น
-1995 ได้ถูกกาหนดชื่อใหม่เป็ น java และในปี เดียวกัน Sun ได้
ออกชุดเครื่ องมือสาหรับพัฒนา Java เริ่ มแรกขึ้นมาชื่ อว่า Java
Development Kit (JDK) ซึ่ งสามารถ Download ได้ฟรี ทาง
Internet
-1998 Sun จึงได้ออก JDK รู ปแบบใหม่เรี ยกว่า Java 2 Platform
และใช้ชื่อที่เป็ นทางการว่า Java 2 SDK, Standard Edition
(J2SDK)
ลักษณะคุณสมบัตขิ อง Java
1. สามารถใช้โปรแกรม Java ได้อย่างคุน้ เคย สาหรับผูท้ ี่เคยใช้
โปรแกรม C, C++
2. สามารถทางานติดต่อกับเว็บเพจได้
3. สามารถรองรับการทางานกับโปรแกรมภาษาอื่นได้
4. Java ใช้หลักการของ Object Orientation
5. เขียนโปรแกรมน้อยลง เนื่องจาก Java สนับสนุนคุณสมบัติของ
การนากลับมาใช้ใหม่
6. เขียนโปรแกรมเพียงครั้งเดียวสามารถนาไปใช้ได้กบั ทุก
Platform
7. Java เป็ นภาษาที่ใช้งานได้ฟรี และไม่เสี ยค่าใช้จ่ายใด ๆ
Compilation และ Interpretation
Compilation
- เป็ นตัวแปลภาษาสาหรับการสร้าง Executer Code ทาหน้าที่วิเคราะห์
Source Code
- วิธีน้ ีเกิดจากการที่คอม Compiler จะทาการแปลโปรแกรมทีเดียวทั้ง
โปรแกรม ซึ่งจะได้ Executable Code หรื อ .exe ขึ้นมา
- Compiler จะเป็ นการวิเคราะห์ท้ งั โปรแกรม ทาให้การแปลภาษามี
ประสิ ทธิภาพ รวดเร็ ว และมีขนาดไม่ใหญ่เกินไป
- ข้อเสี ยคือ ขาดความยืดหยุน่ เนื่องจากการแปลภาษาด้วยวิธีการแปล
เพียงครั้งเดียวนี้จะได้ผลผลิตออกมาเป็ นไฟล์ .exe ของโปรแกรมทั้ง
โปรแกรม ดังนั้นในระหว่างที่โปรแกรมกาลังทางานจึงไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลงส่ วนใดของโค้ดได้เลย
Compilation และ Interpretation (2)
Interpretation
- เป็ นตัวแปลภาษาที่เรี ยกว่า Interpreter ทาหน้าที่อ่าน Source Code ที่
ละบรรทัด
- เมื่อแปลงบรรทัดหนึ่งเสร็ จแล้วจึงค่อยกลับมาอ่านบรรทัดต่อไปและ
แปลง Code ทาอย่างนี้ไปเรื่ อยๆ จนจบโปรแกรม
- ข้อดีคือ ทาได้ง่ายกว่าการ Compile ทีเดียวทั้งโปรแกรม และมีความ
ยืดหยุน่ ในการเขียนโปรแกรมมากกว่าวิธีการ Compiler เนื่องจากขณะแปล
ถ้าเกิด Error ที่จุดใด ตัวแปลภาษาก็จะฟ้ อง และอนุญาตให้ผพู ้ ฒั นา
สามารถทาการแก้ไขได้ทนั ที จากนั้นจึงทางานในบรรทัดต่อไป
- ข้อเสี ยคือ เนื่องจากต้องทาทีละบรรทัด จึงส่ งผลให้ทางานได้ชา้ กว่า
แบบ Compiler
การแปลโปรแกรมของ Java
ในการโปรแกรมภาษา Java หลังจากที่เราเขียน source code ขึ้น
มาแล้วจะทาการรันโปรแกรมเพื่อดูผล Java จะมีวิธีการทางานดังนี้
- เมื่อเราเขียน code ของโปรแกรมขึ้นมาแล้ว Java จะทาการ
compile จาก Source Code นั้นมาเป็ น Byte codes ก่อน
ทาให้ได้ไฟล์ .class
- นา Byte codes (.class) นั้นไปแปลเพื่อใช้งานบนเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ที่มีตวั แปลภาษาของ Java เรี ยกว่า Java
Interpreter ก็จะได้ผลของการกระทาที่ได้เขียนไว้
สถาป ตยกรรมของ Java
สถาป ตยกรรมของ Java ประกอบด วย 4 ส วนหลัก
คือ
1. Java programming language
2. Java class file
3. Java API (Application
Programming Interface)
4. Java VM (Java Virtual Machine) โดยที่ Java API และ
Java VM รวมกันเรี ยกว า Java platform
สถาป ตยกรรมของ Java (2)
Java programming language คือ โปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นโดยใช
ภาษา Java เรี ยกว า source code ซึ่งมีนามสกุลไฟล คือ .java
ซึ่งจะถูก compile เป น Java class file (.class) หรื อ bytecode
อันเป นรู ปของคาสัง่ ที่Java Virtual Machine เข าใจ
Java Application Programming Interface (API) คือ โค้ดที่
คอมไพล์แล้ว (compiled code) ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถดาเนินงานใน
ส่ วนของ system services ของระบบปฏิบตั ิการโดยรวบรวมเป น
library ของคลาส และอินเตอร เฟส (interface) ที่สมั พันธ
กันในรู ปของ package ที่สามารถนามาใช ในโปรแกรมของเรา
โดยที่ไม ต องเขียนขึ้นเอง เช่น การสร้าง GUI เป นต น
สถาป ตยกรรมของ Java (3)
Java Virtual Machine (JVM) เป็ นกลไกเสมือน ซึ่ งสร้างขึ้นโดย
ตัวแปลภาษา (Interpreter) ของ Java โดยมีข้นั ตอนการทางานคือ
เริ่ มแรกนา Source Code ของโปรแกรม Java มาผ่านการคอมไพล์
และได้ผลลัพธ์ที่โปรแกรมที่ JVM สามารถเข้าใจได้ จากนั้นทา
การเรี ยกใช้ตวั ภาษา (Interpreter) เพื่อสัง่ ให้โปรแกรมทางาน ใน
ระหว่างแปลภาษานี้ตวั Interpreter ก็จะสร้าง JVM ขึ้นมาเพื่อนาโค้ด
ที่ได้จากการคอมไพล์มาเข้ากระบวนการที่สร้างขึ้น ในการใช้งาน
จะสามารถนาตัว Interpreter ไปติดตั้งไว้ที่เครื่ องที่ตอ้ งการได้ทนั ที
โดยไม่ข้ ึนกับชนิดของเครื่ องหรื อระบบปฏิบตั ิการใดๆ
Java Platform
• เนื่องจากจาวาถูกพัฒนามาเพื่อให้รันได้โดยไม่ข้ ึนกับระบบทีเ่ ป็ น
ระบบปฏิบตั ิการและฮาร์ดแวร์
• แต่เนื่องจากระบบต่างๆ เหล่านี้มีจุดประสงค์ในการใช้งานแตกต่างกัน จึง
ได้ถูกออกแบบมาไม่เหมือนกัน
• ทางบริ ษทั ซันไมโครซิสเต็มจึงแบ่งจาวาแพล็ดฟอร์มออกเป็ น 3 รุ่ นเพื่อ
ประโยชน์ในการใช้งานโปรแกรมจาวาในแต่ละอุปกรณ์ให้มีประสิ ทธิภาพ
ที่สุด นัน่ คือ
– Java 2 Platform Standard Edition(J2SE)
– Java 2 Platform Enterprise Edition (J2EE)
– Java 2 Platform Micro Edition (J2ME)
การแบ่ งประเภทของ Java ในปัจจุบัน
1. Java 2 Standard Edition (J2SE) ใช้พฒั นา Application บน
เครื่ อง PC ทัว่ ไป ซึ่งทางานเป็ น client J2SE นี้ถูกสร้างขึ้นมา
จากพื้นฐานของการทางานที่สาคัญในแง่ของความเร็ ว ความ
ปลอดภัย
2. Java 2 Enterprise Edition (J2EE) ใช้พฒั นา Application แบบ
Multitier ซึ่งเป็ นรู ปแบบของ Application ประเภทเครื่ อข่ายบน
เครื่ องเซิร์ฟเวอร์
3. Java 2 Micro Edition (J2ME) ใช้พฒั นา Application บน
เทคโนโลยีแบบไร้สาย เช่น โทรศัพท์มือถือ
Java compile และ Java interpreter ปัจจุบัน
•Java Developer Kit (JDK) ของบริ ษทั JavaSoft
• Visual Café ของบริ ษทั Symantec
• J Builder ของบริ ษทั Borland
• JDeveloper ของบริ ษทั Oracle
• Visual Age for Java ของบริ ษทั IBM
• Visual J++ ของบริ ษทั Microsoft
ข้ อกาหนดเบือ้ งต้ นของการเขียนโปรแกรม
1. ประโยคแต่ละประโยคในภาษา Java จะต้องจบด้วยเครื่ องหมาย
Semicolon (;), วงเล็บเปิ ด / ปิ ด ( (,) ) สาหรับใช้แยกลาดับในการ
ประมวลผล วงเล็บปี กกา ({}) ใช้สาหรับแยกชุดคาสัง่
2. การตั้งชื่อตัวแปรต่างๆ (Variables) ชื่อของ Class ต้องขึ้นต้น
ด้วยตัวอักษร เครื่ องหมาย Underscore (_) หรื อ เครื่ องหมาย
Dollar sign ($)อักษรที่ตามมาจะเป็ นตัวอักษร หรื อ ตัวเลข หรื อ
เครื่ องหมาย Underscore, Dollar sign ก็ได้ แต่ตอ้ งไม่ตรงกับคา
สงวน
ข้ อกาหนดเบือ้ งต้ นของการเขียนโปรแกรม
การตั้งชื่ อโดยทัว่ ไปจะขึ้ นต้นด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ และ
ตามด้วยอักษรตัวเล็ก กรณี ที่เป็ นคาประสมคาที่ตามมามักนิยม
ขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน
3. คาสงวนในภาษา Java มีชุดของคาสงวนอยูป่ ระมาณ เป็ น
คาที่หา้ มนามาใช้ในการตั้งชื่อให้กบั Variable, Method และ
Class ใดๆ ใน Java เนื่องจากเป็ น Reserved words หรื อ
เป็ นค าที่ โ ปรแกรมจองไว้เ พื่ อ ใช้ง านล่ ว งหน้ า แล้ว ซึ่ งค า
เหล่านี้มีท้ งั หมด 50 คา
ข้ อกาหนดเบือ้ งต้ นของการเขียนโปรแกรม
4. การเขียนคาสัง่ หมายเหตุ (Comment) มีได้ 2 รู ปแบบคือ
1. ใช้ // เหมาะสาหรับหมายเหตุขอ้ ความเพียงสั้นๆ ถ้า
Compiler พบเครื่ องหมาย // Compiler จะถือว่าข้อความที่อยู่
หลังเครื่ องหมาย // เป็ นหมายเหตุทนั ที และจะข้ามไปทาบรรทัด
ใหม่
2. ใช้ /* และ */ เหมาะสาหรับหมายเหตุขอ้ ความที่มี
ความยาวมากกว่า 1 บรรทัด โดย Compiler จะถือว่าข้อความที่
ตามหลัง /* จะเป็ นหมายเหตุไปจนกว่าจะพบเครื่ องหมาย */
โครงสร้ างของ Application for Java
- โปรแกรมจะแบ่งออกเป็ น Class
- ในแต่ละ Class จะประกอบด้วย Method Variable และ
Statement ต่างๆ ที่จาเป็ นที่ตอ้ งใช้ในการทางาน
- ภายในโปรแกรมหนึ่งอาจจะประกอบด้วย Class มากกว่า 1
Class ก็ได้
- เมื่อต้องการใช้งาน Class ที่สร้างขึ้นมาจะต้องสร้าง Object จาก
Class ดังกล่าวขึ้นมาก่อนแล้วค่อยนา Object ที่สร้างขึ้นมาใช้
งานตามที่ตอ้ งการ
ตัวอย่ างโปรแกรม
1
2
3
4
5
6
7
class Hello
{
public static void main(String args[])
{
System.out.println(“Hello Java”);
}
}
บรรทัดที่ 1 เป็ นการประกาศว่า Class นี้ชื่ออะไร มี ชนิด
Accessibility เป็ นอะไร
- class นี้มี Accessibility เป็ น public ซึ่งใน โปรแกรมหนึ่งจะมี
public class ได้เพียง public เดียวเท่านั้น
- ชื่อ class คือ Hello และชื่อไฟล์ของโปรแกรมจะต้องเป็ นชื่อ
เดียวกับ ชื่อ class เสมอ (เหมือนทั้งตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์
เล็ก)
บรรทัดที่ 2 เป็ นจุดเริ่ มต้นของ class Hello
บรรทัดที่ 3 public static void main(String args[])
- เป็ น Method ชื่อ main ซึ่งเป็ น method หลัก
- 1 โปรแกรมจะมี main Method ได้ เพียง 1 main Method เท่านั้น
- main Method หลักนี้ จะเป็ นส่ วนที่ใช้ในการเรี ยก Method อื่นมาใช้
งานด้วย
- จะต้องมี Accessibility เป็ น public เสมอ
- เพื่อให้สามารถเรี ยกใช้งานได้ทนั ที โดยไม่ตอ้ งผ่าน Object จะต้อง
ระบุ “static” ได้ดว้ ย
- parameter list จะต้องเป็ นรู ปแบบใดรู ปแบบหนึ่ง คือ
(String args[]) หรื อ (String[] args)
บรรทัดที่ 4 เป็ นจุดเริ่ มต้นการทางานของ Method main
บรรทัดที่ 5 System.out.println เป็ นคาสัง่ ที่ให้พิมพ์ขอ้ ความ “Hello
java” ออกทางจอภาพ
บรรทัดที่ 6 เป็ นจุดสิ้ นสุ ดการทางานของ Method main
บรรทัดที่ 7 เป็ นจุดสิ้ นสุ ดการทางานของ class Hello
การ Compile และการ Run โปรแกรม
• - ให้ save ไฟล์เป็ นชื่อเดียวกัน ชื่อ class คือ ชื่อ Hello.java
• - ให้ compile จาก DOS โดยใช้คาสัง่ คือ javac Hello.java
- ให้ Run โปรแกรม โดยใช้คาสัง่ คือ java Hello
ผลการ Run
กาหนดเส้ นทางของคาสั่ งในชุดพัฒนาภาษาจาวา
• คลิกขวาที่ไอคอน My computer
• เลือก properties จากเมนูบอ๊ บอัพ
• จะปรากฏหน้าต่างดังด้านขวา
• คลิก Environment variable
กาหนดเส้ นทางของคาสั่ งในชุดพัฒนาภาษาจาวา
• เลือก path จาก System
variable
• คลิก Edit
• เพิม่ ข้อความในส่ วนแถบสี ฟ้า
;C:\j2sdk1.4.1_02\bin;.
การสร้ าง config ใน EditPlus
• ทาการสร้าง config เพื่อให้โปรแกรม EditPlus สามารถคอมไพล์
และรันโปรแกรมภาษาจาวาได้
การสร้ าง config ใน EditPlus
คลิก add tool/Program แล้วเติมข้อความดังในภาพด้านล่างทั้งสอง
ซ้าย set compiler
ขวา set interpreter