บทที่ 6 การรักษาดุลยภาพในร่ างกาย การรักษาดุลยภาพในร่ างกาย 6.1 ระบบหายใจกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย 1. โครงสร้ างทีใ่ ช้ ในการแลกเปลีย่ นแก๊ส ของสิ่ งมีชีวติ เซลล์เดียวและของสั ตว์ o สิ่ งมีชีวติ เซลล์เดียว o สิ่
Download ReportTranscript บทที่ 6 การรักษาดุลยภาพในร่ างกาย การรักษาดุลยภาพในร่ างกาย 6.1 ระบบหายใจกับการรักษาดุลยภาพของร่ างกาย 1. โครงสร้ างทีใ่ ช้ ในการแลกเปลีย่ นแก๊ส ของสิ่ งมีชีวติ เซลล์เดียวและของสั ตว์ o สิ่ งมีชีวติ เซลล์เดียว o สิ่
่ บทที 6 การร ักษาดุลยภาพ ในร่างกาย การร ักษาดุลยภาพในร่างกาย 6.1 ระบบหายใจกับการร ักษาดุลยภาพ ่ ในการแลกเปลียนแก๊ ่ 1. โครงสร ้างทีใช้ ส ่ ชวี ต ของสิงมี ิ เซลล ์เดียวและของสัตว ์ ่ ชวี ต o สิงมี ิ เซลล ์เดียว ่ ชวี ต ิ หลายเซลล ์ o สิงมี o ไส้เดือน o แมลง o สัตว ์น้ า – ปลา o นก ้ o สัตว ์เลียงลู กด้วยนม ่ ชวี ต สิงมี ิ เซลล ์เดียว o อะมีบา พารามีเซียม ่ o เซลล ์จะสัมผัสก ับสิงแวดล้ อม ่ นน้ าตลอดเวลา ทีเป็ ่ ่ o มีการแลกเปลียนแก๊ สก ับสิงแวดล้ อม ่ ม โดยการผ่านเยือหุ ้ เซลล ์ ่ สัตว ์หลายเซลล ์ขนาดเล็ ก ่ในน้า ทีอาศ ัยอยู o ฟองนำ้ ไฮดรำ และหนอนตัวแบน ่ ้มเซลลโ ่ สผ่ำนเยือหุ o เซลล ์แต่ละเซลล ์แลกเปลียนแก๊ ่ ภาพการแลกเปลียนแก๊ สของ ไฮดรา และพลาน ไส้เดือนดิน ่ าหน้าที่ o ยังไม่มโี ครงสร ้างทีท ่ เฉพาะในการแลกเปลียนแก๊ ส ่ o มีการแลกเปลียนแก๊ สโดยเซลล ์ ่ ่บริเวณผิวหนังของลาต ัว ทีอยู ่ ยกชืน ้ ทีเปี ่ ภาพการแลกเปลียนแก๊ สของไ แมลง ่ o อวัยวะแลกเปลียนแก๊ สอยู ่ ภายในร่างกาย o ประกอบด้วยท่อลม (trachea) ่ ซึงแตกแขนงเป็ นท่อลมฝอย (tracheole)ขนาดเล็ก แทรกตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ้ ดทีเนื ่ อเยื ้ อ ่ และไปสินสุ ่ แลกเปลียนแ ่ ภาพโครงสร ้างทีใช้ แมงมุม ้ อ ่ ไม่มท ี ่อลมแทรกตามเนื อเยื ่ ยกว่า ปอดแผง มีโครงสร ้างทีเรี (book lung)มีลก ั ษณะ เป็ นท่อลมซ ้อนเป็ นพับไปมา คล้ายแผง มีหลอดเลือดนา ่ คาร ์บอนไดออกไซด ์ มาแลกเปลียน ่ ทีแผงท่ อลมนี ้ แล้วร ับออกซิเจน สัตว ์น้ า ในน้ ามีออกซิเจนเพียง ร ้อยละ 0.5 ้ อของอว ่ สัตว ์น้ ามีเนื อเยื ัยวะ ่ ทีมากพอส าหร ับการ ่ แลกเปลียนแก๊ ส เหงือกปลา และกุง้ มีลก ั ษณะเป็ นซีๆ่ เรียงกันเป็ นแผง ภาพลักษณะเหงือกปลา นก นกมีถงุ ลม 9 ถุง ่ เชือมต่ อกับปอด ่ ารองอากาศ เพือส ไว้ใช้ขณะบิน ่ แลกเปลียนแก๊ ่ โครงสร ้างทีใช้ สข ้ สัตว ์เลืยงลู กด้วยนม ่ ้ในกำรแลกเปลียนแก๊ ่ มีปอดเป็ นโครงสร ้ำงทีใช สอยู่ ภำยในร่ำงกำย ่ ในการแลกเปลียนแก๊ ่ โครงสร ้างทีใช้ ส การสู ดลมหายใจ ่ การเปลียนแปลงปริ มตรของทรวงอกขณะหายใจเข้า ปริมาตรของอากาศในปอด ปริมาตรอากาศในปอดขณะหายใจเข้าออกปกติ และขณะหายใจ ่ การแลกเปลียนแก๊ ส Hb+O2 บริเวณปอด HbO2 ้ อ่ บริเวณเนื อเยื ความหนาแน่ นของ O2 และ CO2 แผนภาพความหนาแน่ นของแก๊สในบรรยากาศและในส่วนต่าง การควบคุมการหายใจ ่ กลไกควบคุมกำรหำยใจจะเกียวข ้องกับ ระบบประสำทโดยมีกำรควบคุม 2 ส่วน คือ 1. การควบคุมแบบอ ัตโนมัต ิ ไม่สำมำรถบังคับได ้ สมองส่วนพอนส ์ และเมดัลลำเป็ นตัวสร ้ำง และส่งสัญญำณประสำทไปกระตุนกล ้ ้ำมเนื อ้ ่ ยวข ่ ทีเกี ้องกับกำรหำยใจ 2. การควบคุมภายใต้อานาจจิตใจ สำมำรถบังคับได ้ ่ ยกว่ำ ซีรบี ร ัลคอร ์เทกซ ์ ไฮโพทำลำมัส ใช ้สมองส่วนหน้ำทีเรี ่ ยกว่ำซีรเี บลลัม และสมองส่วนหลังทีเรี ใช ้ควบคุมกำรหำยใจให ้เหมำะสมกับพฤติกรรมต่ำงๆ ของร่ำงกำย ่ ความผิดปกติทเกี ี่ ยวข้ องกับปอด และโรคของระบบทางเดินหายใจ โรคปอดบวม โรคถุงลมโป่ งพอง การวัดอ ัตราการหายใจ การวัดอ ัตราการหายใจ r2d หน่ วยปริมำตร อ ัตราการใช้ออกซิเจน = ้ ก-เวลำ หน่ วยนำหนั Wt r = ร ัศมีของรูหลอดแก ้ว ้ w = นำหนั กของสัตว ์ทดลอง ่ หยดสี ่ ่ ่ d = ระยะทำงเฉลียที เคลือนที ไปได ้ในเ t = เวลำ 6.2 ระบบขับถ่ายกับการร ักษาดุลยภาพข ่ ดจำกเมแทบอลิซมึ ทีส ่ ำคัญ ของเสียทีเกิ ได ้แก่ คำร ์บอนไดออกไซด ์ และสำรประกอบไนโตรเจน ่ ชวี ต กำรขับถ่ำยของสิงมี ิ เซลล ์เดียว กำรขับถ่ำยของสัตว ์ กำรขับถ่ำยของคน ่ ชวี ต การขับถ่ายของสิงมี ิ เซลลเ ่ ดจำกเมแทบอลิซมึ จะแพ ของเสียทีเกิ ่ ้มเซลล ์ออกสูส เยือหุ ่ งแวดล ิ่ ้อม พำรำมีเซียมและอะมีบำจะมีออร ์แกเน เรียกว่ำ คอนแทร็กไทล ์แวคิวโอล ้ ช่วยร ักษำสมดุลของนำและแร่ ธำตุใน การขับถ่ายของสัตว ์ • ของเสียพวกแอมโมเนี ยถูกขับออกโดย ฟองน้ าและไฮดรา กำรแพร่สส ู่ ภำพแวดล ้อม • พลำนำเรีย มีเฟลมเซลล ์ (flame cell) หนอนตวั แบน ช่วยกำจัดของเสีย • ขับแอมโมเนี ยออกทำงท่อขับถ่ำย และทำงผิวหนังได ้ ภาพระบบขับถ่ายของพลานาเรีย การขับถ่ายของไส้เดือนดิน • มีอวัยวะขับถ่ำยของเสีย เรียกว่ำ เนฟริเดียม (nephridium ปล ้องละ 1 คู่ มีปลำยเปิ ดสองข ้ำง • ปลำยของเนฟริเดียมข ้ำงหนึ่งอยู่ในช่องของลำตัว มีลก ั ษณะเหมือนปำกแตร เรียกว่ำ เนโฟรสโตม (nephrosto ทำหน้ำทีร่ ับของเหลวจำกช่องของลำตัว อีกข ้ำงเป็ นช่องเปิ ดออกสูภ ่ ำยนอกผิวหนัง ่ บถ่ำยของเสียพวกแอมโมเนี ย • เนฟริเดียม ทำหน้ำทีขั ้ และยูเรีย และดูดนำและแร่ ธำตุบำงชนิ ดกลับสูก ่ ระแสเลือด เนฟริเดียมของไส้เดือนดิน การขับถ่ายของแมลง • อวัยวะขับถ่ำยเรียกว่ำ “ท่อมัลพิเกียน” • ของเสียถูกลำเลียงเข ้ำสูท ่ ่อมัลพิเกียนไปยังทำงเดินอำหำร • ของเสียพวกสำรประกอบไนโตรเจน ่ จะเปลียนเป็ นผลึกกรดยูเรีย ขับออกมำพร ้อมกำกอำหำร การขับถ่ายของสัตว ์มีกระดู กสันหลัง • มีไต (kidney) เป็ นอวัยวะขับถ่ำย ่ ำจัดของเสียและร ักษำสมดุลของนำและแร ้ • ไต ทำหน้ำทีก โดยทำงำนร่วมกับระบบหมุนเวียนเลือด ้ • นกและสัตว ์เลือยคลำนขั บของเสียในรูป กรดยูรกิ ้ • อุจจำระของจิงจกมี สข ี ำวและสีดำ สีดำเป็ นกำกอำหำร ทีย่่ อยไม่ได ้ ส่วนสีขำวเป็ น กรดยูรกิ ้ กด ้วยนม และสัตว ์สะเทินนำสะเทิ ้ • สัตว ์เลียงลู นบก ฉลำม และปลำกระดูกแข็งบำงชนิ ดขับถ่ำยของเสียในรูปข การขับถ่ายของคน • มีไตเป็ นอวัยวะขับถ่ำย • ไตคนมี 1 คู่ ยำวประมำณ 10-13 ซม. กว ้ำง 6 ซม. หนำ 3 ซม. ไตแต่ละข ้ำงหนัก 150 กร ัม โครงสร ้างของไต ่ อหน่ วยไต การดู ดกลับของสารทีท่ การกรองสารและการดูดสารกลับของหน่ ว กลไกการร ักษาสมดุลของน้ าและสารต่างๆ ้ การติดเชือในระบบทางเดิ นปั สสาวะ กระเพาะปั สสาวะอ ักเสบ • พบบ่อยในเพศหญิง ้ ่ ้อนจำก • เกิดจำกกำรติดเชือแบคที เรีย ซึงปนเปื ้ สสำวะนำนๆ ร่วมกับกำรกลันปั • ผูป้ ่ วยปัสสำวะบ่อย ปวดบริเวณหัวเหน่ ำขณะ ้ หำกไม่ร ักษำ เชือจะท ำให ้ไตและกรวยไตอักเ ่ ่ องก ับไตและโรคขอ ความผิดปกติทเกี ี่ ยวเนื โรคนิ่ ว ่ เกิดจำกกำรทีตะกอนของแร่ ธำตุตำ่ งๆ รวมตัวกันเป็ นก ้อนอุดตำม หรือเกิดจำกร่ำงกำยกรองหรือกำจัดแร่ธำตุออกมำมำก ้ ำให ้มีกำรจับตัวของผลึกเป็ นก ้อนน อำจจะเกิดจำกอักเสบติดเชือท ่ สำรออกซำเลตสูง หรือเกิดจำกกำรบริโภคผักใบเขียวบำงชนิ ดทีมี ป้ องกันได ้โดยกำรรับประทำนอำหำรประเภทโปรตีน ช่วยไม่ให ้สำรออกซำเลตจับตัวเป็ นผลึกกลำยเป็ นก ้อนนิ่ ว ่ ำสะอำด ้ ดืมน ้ ้ำน เช่นผักชีฝรง่ ั มันสำปะหลัง ใบชะพลู ผักโขม ยอดพริกขี ้ ผักพืนบ ๊ ใบยอ ฟ้ ำ หัวไชเท ้ำ ใบกระเจียบ โรคไตวาย ่ ญเสียหน้ำทีกำรท ่ ภำวะทีไตสู ำงำน ทำให ้มีกำรสะสมของ เกิดควำมผิดปกติในกำรร ักษำสมดุลของนำ้ แร่ธำตุ และควำมเป็ นกรด-เบส ของสำรในร่ำงกำย ้ รุ่ นแรง , กำรสูญเสียเลือดหรือ มีสำเหตุจำก กำรติดเชือที จำนวนมำก , หรือเกิดจำกกำรเป็ นโรคเบำหวำนติดต่อกัน เป็ นเวลำนำน หรือมีนิ่วอุดตันทำงเดินปัสสำวะเป็ นเวลำน กำรร ักษำ - โดยกำรควบคุมชนิ ดและปริมำณอำหำร ่ - กำรใช ้ยำ , ฟอกเลือด , ผ่ำตัดเปลียนไต ผิวหนังกับกำรร ักษำดุลยภำพของร่ำงกำย ผิวหนังมีหน้ำทีร่ ักษำดุลยภำพให ้คงที่ เช่น ้ - ป้ องกันเชือโรค - ร ักษำอุณหภูมใิ ห ้คงที่ - ร ับควำมรู ้สึก - ขับถ่ำยของเสีย โครงสร ้ำงของผิวหนัง ดังรูป ตาแหน่ งของต่อมเหงื่อบริเว การควบคุมอุณหภู มข ิ องร่างกาย 6.3 ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบน้ าเหลืองกับการร ักษ กำรลำเลียงสำรในร่ำงกำย ่ ชวี ต ของสิงมี ิ เซลล ์เดียว และของสัตว ์ กำรลำเลียงสำรในร่ำงกำย ของคน ้ ระบบนำเหลื อง ่ ชวี ต การลาเลียงสารในร่างกายของสิงมี ิ เซล ่ ชวี ต ิ เซลล ์เดียวและหลายเซลล ์ สิงมี • ฟองน้ า ไฮดรา และพลานาเรีย • การลาเลียงสารเป็ นการลาเลียง ผ่านเซลล ์โดยตรง ไส้เดือนดิน • มีหลอดเลือดทอดยาวตลอดลาตัว • มีห่วงหลอดเลือดหรือหัวใจเทียม (pseudoheart) • เป็ นระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิ ด (closed circulatory system) แมลง(ตกแตน ั๊ , กุง้ ) มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิ ด ปลา ่ ตว ์สะเทิน • ปลำมีหวั ใจ 2 ห ้อง ในขณะทีสั ้ นำสะเทิ นบกมีหวั ใจ 3 ห ้อง ส่วนนกและสัตว ์ ้ กด ้วยนมจะมีหวั ใจ 4 ห ้อง เลียงลู การลาเลียงสารในร่างกายของคน • หัวใจ • หลอดเลือด • ส่วนประกอบของเลือด • หมู่เลือดและกำรให ้เลือด หัวใจ โครงสร ้ำงภำยนอก ของหัวใจ โครงสร ้างภายในของหัวใจ ่ คลืนไฟฟ ้ าของหัวใจ ่ ่ นไฟฟ้ ำ • ตรวจด ้วยเครืองตรวจคลื ของหัวใจ ผลของกำรบันทึกได ้กรำฟ ่ เรียกว่ำ คลืนไฟฟ้ ำของหัวใจ (Electrocardiogram) หรือ ECG หรือ EKG ่ ก. คลืนไฟฟ ้ าของหัวใจปกต ่ ข. และ ค. คลืนไฟฟ ้ าของห ความดันเลือด • ผู ใ้ หญ่จะมีความดันเลือดประมาณ 120/80 มิลล • ตัวเลขแรกหมายถึงค่าความดันเลือดสู งสุดขณะห เรียกว่า ความดันซิสโทลิก • ตัวเลขตัวหลัง หมายถึง ความดันเลือดขณะหัวใจ เรียก ความดันไดแอสโทลิก ้ ่ก ับปั จจัยต่างๆ เช่น อายุ เพ • ความดันเลือดขึนอยู น้ าหนักของร่างกาย อาหาร สภาพภู มอ ิ ากาศ แล • หลอดเลือดฝอย หลอดเลือด• หลอดเลือดอาร ์เตอรี • หลอดเลือดเวน ความดันเลือดในหลอดเลือดต่างๆ ้ การทางานของลินหลอดเลื อดเวน • หลอดเลือดเวนมีลน ิ้ อยู ่ภายในเป็ นระยะ ส่วนประกอบของเลือด ประกอบด้วย • พลาสมา 55 % • เซลล ์เม็ดเลือด 45 % ประกอบด้วย 1. เซลล ์เม็ดเลือดแดง (erythrocyte) 2. เซลล ์เม็ดเลือดขาว (leukocyte) 3. เพลตเลต (platelet) เซลล ์เม็ดเลือดแดง • มีหน้ำทีร่ ับส่งแก๊ส CO2 และ O2 • รูปร่ำงกลมแบนตรงกลำงบุ๋ม ไม่มน ี ิ วเคลียส ไม่มไี มโ ่ นโปรตีนมีเหล็กเป็ นองค ์ป • ภำยในมีฮโี มโกลบิน ซึงเป็ • สร ้ำงจำกตับ ม้ำม และไขกระดูก ่ บแล • มีอำยุประมำณ 100-120 วัน และถูกทำลำยทีตั • ชำยมีเซลล ์เม็ดเลือดแดง 5-5.5 ล ้ำนเซลล ์ต่อเลือด หญิงมีเซลล ์เม็ดเลือดแดง 4.5–5 ล ้ำนเซลล ์ต่อเลือด เซลล ์เม็ดเลือดขาว ้ • มีหน้าทีป้่ องก ันและทาลายเชือโรค ่ หรือสิงแปลกปลอม • มีป ริมาณ 5,000-10,000 เซลล ์ ต่อ 1 ลบ.มม. • สร ้างจากไขกระดู กบางชนิ ด เจริญในต่อมไทมัส • มีอายุ 2-3 วัน • แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ ่ แกรนู ลและกลุ่มทีไม่ ่ มแ กลุ่มทีมี ี กรนู ล ่ แกรนู ล กลุ่มทีมี • เรียกว่า แกรนูโลไซต ์ (granulocytes) • มีนิวเคลียสขนาดใหญ่คอดเป็ นพู สร ้าง • มีไซโทพลาสซึมค่อนข้างมาก ่ั • มีแกรนู ลกระจายอยู ่ทวไปในไซโทพลาซ • มีลก ั ษณะต่างกัน 3 ชนิ ด คือ 1. อีโอซิโนฟิ ล มีแกรนู ลสีสม ้ แดง 2. เบโซฟิ ล มีแกรนู ลสีน้ าเงิน 3. นิ วโทรฟิ ล มีแกรนู ลสีม่วงชมพู ่ าลายเชือโรคโดยวิ ้ มีหน้าทีท ธฟ ี ่ มแ กลุ่มทีไม่ ี กรนู ล • เรียกว่า อะแกรนูโลไซต ์ (agranulocytes) • มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ • มี 2 ชนิ ด คือ โมโนไซต ์ (monocyte) และลิมโฟไซต ์ (lym • โมโนไซต ์ - เจริญเป็ นแมโครฟาจ (macrophage) ้ ทาลายเชือโรคโดยวิ ธฟ ี าโกไซโทซิส • ลิมโฟไซต ์ มี 2 ชนิ ด - ลิมโฟไซต ์ชนิ ดบี หรือ เซลล ์บี (B-cell) สร ้างและเจริญในไขกระดู ก - ลิมโฟไซต ์ชนิ ดที หรือเซลล ์ที (T-cell) ่ อมไทมัส สร ้างจากไขกระดู กแล้วไปเจริญทีต่ ่ าคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด • เป็ นสิงส • บางทีเรียกว่า เศษเม็ดเลือด , เกล็ดเลือด , หรือแผ ้ วนของไซโทพลาซึมของเซ • ไม่ใช่เซลล ์แต่เป็ นชินส่ • มีอายุประมาณ 10 วัน • กระบวนการแข็งตัวของเลือดสรุปได้ดงั ภาพต่อไปน เพลตเลต พลาสมา ่ าเลียงสารอาหารทีย่ ่ อยแล้ว แ • มี ห น้ า ที ล ่ หน้าที แอนติบอดีไปให้เซลล ์ • ช่วยร ักษาสมดุลความเป็ นกรด – เบส และร ักษาระด ับอุณหภู มข ิ องร่างกาย ลักษณะ • เป็ นของเหลวใสมีสเี หลืองอ่อน ่ • ประกอบด้วยน้ า 90 – 93 % โปรตีนทีส คือไฟบริโนเจน , อ ัลบู มน ิ และโกลบู ลน ิ • ประกอบด้วยแร่ธาตุ สารอาหาร เอนไซม ่ างกายต้องกาจัดออก ได้แก่ ย และสารทีร่ หมู ่เลือดและการให้เลือด • จาแนกตามระบบ ABO ได้ 4 หมู ่ คือ A ,B , AB และ O ่ อหุ ่ ม ( ตามชนิ ดของไกลโคโปรตีน หรือแอนติเจนทีเยื ้ การกระจายหมู ่เลือดของคนไทย • แบ่งตำมระบบ ABO ได ้ดังนี ้ หมู่เลือด ร ้อยละ A B AB O 22 33 8 37 ่ : สภำกำชำดไทย พ.ศ. 2546 ทีมำ การให้เลือด • หลักกำร คือ “เลือดของ ผูใ้ ห ้ต ้องไม่มี แอนติเจนตรง กับแอนติบอดี ของผูร้ ับ” ระบบเลือด Rh • คนไทยส่วนใหญ่มแี อนติเจน Rh ่ ้มเซลล ์เม็ ดเลือดแดง เรียกว่ำ มีหม อยูท ่ เยื ี่ อหุ • ส่วนน้อยร ้อยละ 0.3 ไม่มแี อนติเจน Rh ่ อหุ ่ ้มเม็ ดเลือดแดง เรียกว่ำมี หมู่เลือด Rh ทีเยื ่ หมู่เลือด Rh- เมือได ่ ้ร ับเลือดหมู่ Rh+ • คนทีมี แอนติเจนของหมู่เลือด Rh+ ่ หมู่เลือด Rhจะกระตุ ้นให ้คนทีมี สร ้ำงแอนติบอดีตอ ่ แอนติเจน Rh การเกิดอีรโี ทรบลาสโทซิสฟี ทาลีส ( Erythroblastosis fetalis ) ระบบ น้ าเหลือง • โครงสร ้างของ ระบบน้ าเหลือง ประกอบด้วย น้ าเหลือง (lymph)หลอด น้ าเหลือง (lymph ่ vessel) ซึงบางตอน โป่ งออกเป็ นต่อม น้ าเหลือง (lymph node) ้ ้ หลอดนำเหลื องและอวัยวะนำเหลื อง น้ าเหลือง • เป็ นของเหลวที่ อยู ่ในหลอด น้ าเหลืองได้มาจาก ่ ่ ของเหลวทีอยู ระหว่างเซลล ์ • มีส่วนประกอบ กล้ายพลาสมาแต่ม ี โปรตีนน้อยกว่า • ส่วนประกอบของ น้ าเหลือง หลอดน้ าเหลือง ้ ้ • กำรลำเลียงนำเหลื องในหลอดนำเหลื องจะมีทศ ิ ทำงกำรไหลเ และเข ้ำสูร่ ะบบหมุนเวียนเลือดโดยเปิ ดเข ้ำสูห ่ ลอดเลือดเวนใก ทอนซิล (tonsil) • เป็ นต่อมน้ าเหลืองบริเวณคอ • มีลม ิ โฟไซต ์ด ักจับและทาลายจุลลินทรีย ์ ไม่ให้เข้าสู ห ่ ลอดอาหารและกล่องเสียง ้ • ถ้าทอนซิลติดเชือจะมี อาการอ ักเสบ บวม ่ จะทาหน้าทีคล ่ • ต่อมน้ าเหลืองบริเวณอืนๆ ่ ่ เพือกรองแบคที เรียและสิงแปลกปลอมไม่ ใ ต่อมไทมัส (thymus gland) • เป็ นต่อมไร ้ท่อมีตาแหน่ งอยู ่ตรงทรวงอกด้านหน้าหล • พัฒนาลิมโฟไซต ์ชนิ ดเซลล ์ที ม้าม ( Spleen ) • อยู ่บริเวณใต้กะบังลมด้านซ ้ายติดกับด้านหลังขอ • ระยะเอ็มบริโอ ม้ามผลิตเซลล ์เม็ดเลือดแดง ่ ่ของลิมโฟไซต ์ • หลังคลอดม้ามเป็ นทีอยู • สร ้างแอนติบอดีสู่กระแสเลือด ่ • ทาลายเซลล ์เม็ดเลือดแดงและเพลตเลตทีหมดอ กลไกการสร ้างภู มค ิ ม ุ ้ กัน แบ่งได้ 2 แบบ • แบบไม่จาเพาะ (nonspecific defense) • แบบจาเพาะ (specific defense) ่ กลไกการต่อต้านหรือทาลายสิงแวดล้ อม ่ ำงๆ ไ • ผิวหนังมีเคอรำตินป้ องกันกำรเข ้ำออกของสิงต่ ่ • ผิวหนังมีตอ ่ มเหงือ่ ,ต่อมไขมัน หลังสำรบำงชนิ ด เช่น กรดไขมัน กรดแลกติก ป้ องกันกำรเติบโตของจุล • ทำงเดินอำหำร ทำงเดินหำยใจ ท่อปัสสำวะ ช่องคลอด ่ มีกำรสร ้ำงเมือกและมีซเิ ลียดักจับสิงแปลกปลอม ้ ้ ้ • นำตำ นำลำย มีไลโซไซม ์ทำลำยเชือโรคบำงชนิ ดได ้ ่ กลไกการต่อต้านหรือทาลายสิงแปลกป การทางานของเซ การทางานของเซ การทางานของเซลล ์บี ,เซลล ์ที การสร ้างภู มค ิ ม ุ ้ กัน แบ่งเป็ น 2 แบบ คือ 1. ภูมค ิ ุ ้มกันก่อเอง (active immunization) เป็ นกำรกระตุ ้นให ้ร่ำงกำยสร ้ำงภูมค ิ ุ ้มกันโดยกำรนำ ่ นแอนติเจน (วัคซีน) ซึงอำจเป็ ่ ้ ่ อนกำล ทีเป็ นเชือโรคที อ่ ่ วหนัง เพือกระตุ ่ มำฉี ด / กิน / ทำทีผิ ้นให ้ร่ำงกำยสร ้ำง 2. ภูมค ิ ุ ้มกันร ับมำ (passive immunization) ่ ้มีภม เป็ นวิธใี ห ้แอนติบอดีแก่รำ่ งกำยโดยตรงเพือให ู เช่น ซีร ัมสำหร ับคอตีบ ซีร ัมแก ้พิษงู ซีร ัมแก ้พิษสุนัขบ การสร ้างภู มค ิ ม ุ ้ กัน ภู มค ิ ม ุ ้ กันก่อเอง ภู มค ิ ม ุ ้ กันร ับมา ความผิดปกติของระบบภู มค ิ ม ุ ้ กันโ โรคภู มแ ิ พ้ ( allergy ) โรคเอสแอลอี (Systemic Lup Erythematiosus : SLE ) โรคเอดส ์ (AIDS) โรคภู มแ ิ พ้ ร่างกายมีปฏิก ิรย ิ าต่อแอนติเจนบาง และก่อให้เกิดอ ันตรายต่อร่างกาย เช - แพ้สารเคมีในบ้าน - แพ้ฝุ่นละออง - แพ้เกสรดอกไม้ , อาหารทะเล ่ โรคภู มแ ิ พ้สารบางชนิ ดเกียวข้ องทา ้ อตนเอ ่ การสร ้างภู มค ิ ม ุ ้ ก ันต่อเนื อเยื เช่น โรคเอสแอลอี เป็ นควำมผิดปกติทร่ี่ ำงกำยสร ้ำงภูมค ิ ุ ้ม ต่อต ้ำนเซลล ์ของตนเอง เกิดจำกกลไกกำรควบคุมเสียไป ทำให ้ร สร ้ำงแอนติบอดีมำต่อต ้ำนแอนติเจนขอ โรคเอดส ์ จานวนผู ป ้ ่ วยเอดส ์ระหว่างปี 2535-2 ่ ่ ร ับเช จานวนเซลล ์ทีของผู ป ้ ่ วยทีได้ โรคเอดส ์ ่ อาการของภู มค เป็ นโรคทีมี ิ ม ุ ้ กันบกพร่อง ้ เกิดจากเชือไวร ัส HIV HIV เข้าไปทาลายเซลล ์ที ส่งผลให้ ่ ระบบภู มค ิ ม ุ ้ กันของร่างกายเสือม หรือบกพร่อง ร่างกายจึงอ่อนแอ ้ และติดเชือโรคต่ างๆ ่ างๆ ของร่างกาย HIV พบในสารคัดหลังต่ เช่น เลือด อสุจ ิ น้ านม น้ าตา และน้ าลาย เป็ นต้น ลักษณะพิเศษของ HIV 1. เชือ้ HIV จะทาลายเซลล ์เม็ดเลือดขาวช ่ านวนและมีการกลายพันธุ ์ได้ง่ 2. HIV เพิมจ ่ านวนอยู ่ในเซลล ์เม็ด 3. HIV เจริญและเพิมจ เซลล ์ทีผูช ้ ว ่ ย ใช้องค ์ประกอบต่างๆ ในเซ ่ ในการเพิมปริ มาณชือ้ HIV 4. HIV มีสารพันธุกรรม เป็ น RNA ่ เมือเข้ าสู เ่ ซลล ์จะสร ้างสารพันธุกรรมในร DNA ของเซลล ์