จัดทำโดย นำงสำวอัจฉรำ วงศำ เลขที่ ๗ ชั้น ม.๕/๑ เสนอต่ อ อำจำรย์ ชไมพร สุ นันท์ ภำคเรียนที่ ๒ ปี กำรศึกษำ ๒๕๕๔ โรงเรียนพระธำตุพทิ ยำคม.
Download ReportTranscript จัดทำโดย นำงสำวอัจฉรำ วงศำ เลขที่ ๗ ชั้น ม.๕/๑ เสนอต่ อ อำจำรย์ ชไมพร สุ นันท์ ภำคเรียนที่ ๒ ปี กำรศึกษำ ๒๕๕๔ โรงเรียนพระธำตุพทิ ยำคม.
จัดทำโดย นำงสำวอ ัจฉรำ วงศำ ้ั ม.๕/๑ เลขที่ ๗ ชน เสนอต่อ อำจำรย ์ชไมพร สุนน ั ท์ ภำคเรียนที่ ๒ ปี กำรศึกษำ ๒๕๕๔ นิ ยำมของไฟป่ ำ US Forest Service อ ้างโดย Brown and Davis (1973) ให ้คาจากัดความของไฟป่ า ทีใ่ ชกั้ นอย่าง แพร่หลายว่า “ไฟทีป ่ ราศจากการควบคุม ลุกลาม ื้ เพลิงธรรมชาติ ไปอย่างอิสระ แล ้วเผาผลาญเชอ ในป่ า ได ้แก่ ดินอินทรีย ์ ใบไม ้แห ้ง หญ ้า กิง่ ก ้าน ไม ้แห ้ง ท่อนไม ้ ตอไม ้ วัชพืช ไม ้พุม ่ ใบไม ้สด และในระดับหนึง่ สามารถเผาผลาญต ้นไม ้ทีย ่ ังมี ชวี ต ิ อยู่ โดยลักษณะสาคัญทีแ ่ ยกแยะไฟป่ าออกจากไฟที่ เผาตามกาหนด (Prescribe Burning) คือ ไฟป่ ามี การลุกลามอย่างอิสระ ปราศจากการควบคุม ในขณะทีไ่ ฟทีเ่ กิดจากการเผาตามกาหนดจะมีการ ควบคุมการลุกลามให ้อยูใ่ นขอบเขตทีก ่ าหนด ่ องค ์ประกอบของไฟ(สำมเหลียม ไฟ) ไฟเป็ นผลลัพธ์ทเี่ กิดจากขบวนการทางเคมี เมือ ่ มีองค์ประกอบทัง้ 3 ประการมารวมตัว ั สว่ นทีเ่ หมาะสมและเกิดการ กันในสด ั ดาปให ้เกิดไฟขึน สน ้ คือ ื้ เพลิง ได ้แก่ อินทรียส 1. เชอ ์ ารทุกชนิดทีต ่ ด ิ ่ ต ้นไม ้ ไม ้พุม ไฟได ้ เชน ่ กิง่ ไม ้ ก ้านไม ้ ตอ ั ้ ถ่าน ไม ้ กอไผ่ รวมไปถึงดินอินทรีย ์ และชน หินทีอ ่ ยูใ่ ต ้ผิวดิน 2. ความร ้อน ซงึ่ จะมาจาก 2 แหล่ง คือแหล่ง ่ ฟ้ าผ่า การเสย ี ด ความร ้อนตามธรรมชาติ เชน ี องกิง่ ไม ้และแหล่งความร ้อนจากการ สข ่ การจุดไฟในป่ าด ้วย กระทาของมนุษย์ เชน สาเหตุตา่ งๆ 3. ออกซเิ จน เป็ นก๊าซทีม ่ โี ดยทั่วไปในป่ า ซงึ่ จะมีการแปรผันตามทิศทางของลม องค์ประกอบทัง้ 3 ประการนี้ เรียกว่า สามเหลีย ่ มไฟ หากขาดองค์ประกอบใด องค์ประกอบหนึง่ ไป ไฟป่ าจะไม่เกิดขึน ้ หรือ ไฟป่ าทีเ่ กิดขึน ้ แล ้วและกาลังลุกลามอยูก ่ ็จะ ดับลง ความรู ้เรือ ่ งสามเหลีย ่ มไฟในข ้อนี้ม ี ความสาคัญอย่างยิง่ เพราะเป็ นความรู ้ ื้ เพลิงที่ ไฟป่ า แบ่งเป็ น 3 ชนิดซงึ่ ตามลักษณะของเชอ ถูกเผาไหม ้ ได ้แก่ ไฟใต ้ดิน ไฟผิวดิน และไฟเรือน ยอด (Brown and Davis,1973) 1. ไฟใต ้ดิน (Ground Fire) คือไฟทีไ่ หม ้อินทรียวัตถุท ี่ ั ้ ผิวของพืน อยูใ่ ต ้ชน ้ ป่ า เกิดขึน ้ ในป่ าบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิง่ ป่ าในเขตอบอุน ่ ทีม ่ รี ะดับความสูง มากๆ ซงึ่ อากาศหนาวเย็นทาให ้อัตราการย่อยสลาย อินทรียวัตถุตา่ จึงมีปริมาณอินทรียวัตถุสะสมอยูบ ่ น ั้ หน ้าดินแท ้ (Mineral soil) ในปริมาณมากและเป็ นชน หนา โดยอินทรียวัตถุดงั กล่าวอาจจะอยูใ่ นรูปของ ั ้ อินทรียวัตถุ duff, muck, หรือ peat ในบริเวณทีช ่ น หนามาก ไฟชนิดนีอ ้ าจไหม ้แทรกลงไปใต ้ผิวพืน ้ ป่ า (Surface Litter)ได ้หลายฟุตและลุกลามไปเรือ ่ ยๆใต ้ ้ ไม่มเี ปลว ผิวพืน ้ ป่ าในลักษณะการครุกรุน ่ อย่างชาๆ ไฟ และมีควันน ้อยมาก จึงเป็ นไฟทีต ่ รวจพบหรือ ไฟใต ้ดินโดยทั่วไปมักจะเกิดจากไฟผิวดินก่อนแล ้ว ลุกลามลงใต ้ผิวพืน ้ ป่ า ดังนัน ้ เพือ ่ ให ้เกิดความเข ้าใจที่ ั เจนไม่สบ ั สน ในทีน ชด ่ จ ี้ งึ ขอแบ่งไฟใต ้ดินออกเป็ น 2 ชนิดย่อย คือ • ไฟใต ้ดินสมบูรณ์แบบ (True Ground Fire) คือไฟที่ ไหม ้อินทรียวัตถุอยูใ่ ต ้ผิวพืน ้ ป่ าจริงๆ ดังนั น ้ เมือ ่ ยืนอยู่ บนพืน ้ ป่ าจึงไม่สามารถตรวจพบไฟได ้ ต ้องใช ้ ่ เครือ เครือ ่ งมือพิเศษ เชน ่ งตรวจจับความร ้อน เพือ ่ ั เจนของ ตรวจหาไฟชนิดนี้ ตัวอย่างทีเ่ ห็นได ้อย่างชด ั ้ ถ่านหินใต ้ดิน ไฟใต ้ดินสมบูรณ์แบบ คือ ไฟทีไ่ หม ้ชน (Coal Seam Fire) บนเกาะกาลิมันตันของประเทศ ี ซงึ่ เกิดขึน อินโดนีเซย ้ ตัง้ แต่ชว่ งการเกิดปรากฎการณ์ เอล นีนโญ่ ในปี ค.ศ. 1982 ไฟถ่านหินดังกล่าวครุกรุน ่ กินพืน ้ ทีข ่ ยายกว ้างออกไปเรือ ่ ยๆ สร ้างความ ยากลาบากในการตรวจหาขอบเขตของไฟและยังไม่ • ไฟกึง่ ผิวดินกึง่ ใต ้ดิน (Semi-Ground Fire) ได ้แก่ ไฟทีไ่ หม ้ในสองมิต ิ คือสว่ นหนึง่ ไหม ้ไปในแนว ่ เดียวกับไฟผิวดิน ระนาบไปตามผิวพืน ้ ป่ าเชน ในขณะเดียวกันอีกสว่ นหนึง่ จะไหม ้ในแนวดิง่ ั ้ อินทรียวัตถุใต ้ผิวพืน ลึกลงไปในชน ้ ป่ า ซงึ่ อาจ ไหม ้ลึกลงไปได ้หลายฟุต ไฟดังกล่าวสามารถ ่ เดียวกับไฟผิวดิน ตรวจพบได ้โดยง่ายเชน ้ ทั่วๆไป แต่การดับไฟจะต ้องใชเทคนิ คการดับ ไฟผิวดินผสมผสานกับเทคนิคการดับไฟใต ้ดิน จึงจะสามารถควบคุมไฟได ้ ตัวอย่างของไฟ ชนิดนีไ ้ ด ้แก่ไฟทีไ่ หม ้ป่ าพรุในเกาะสุมาตรา ี และเกาะกาลิมันตัน ของประเทศอินโดนีเซย 2. ไฟผิวดิน (Surface Fire) คือไฟทีไ่ หม ้ลุกลามไปตาม ื้ เพลิงบนพืน ผิวดิน โดยเผาไหม ้เชอ ้ ป่ า อันได ้แก่ ใบไม ้ กิง่ ก ้านไม ้แห ้งทีต ่ กสะสมอยูบ ่ นพืน ้ ป่ า หญ ้า ลูกไม ้เล็กๆ ไม ้พืน ้ ล่าง กอไผ่ ไม ้พุม ่ ไฟชนิดนีเ้ ป็ นไฟ ทีพ ่ บมากทีส ่ ด ุ และพบโดยทั่วไปในแทบทุกภูมภ ิ าค ของโลก ความรุนแรงของไฟจะขึน ้ อยูก ่ บ ั ชนิดและ ื้ เพลิง โดยทั่วไปไฟชนิดนีจ ประเภทของเชอ ้ ะไม่ทา อันตรายต ้นไม ้ใหญ่ถงึ ตาย แต่จะทาให ้เกิดรอยแผล ไฟไหม ้ ซงึ่ มีผลให ้อัตราการเจริญเติบโตของต ้นไม ้ ลดลง คุณภาพของเนือ ้ ไม ้ลดลง ไม ้มีรอยตาหนิ และ ทาให ้ต ้นไม ้อ่อนแอจนโรคและแมลงสามารถเข ้าทา อันตรายต ้นไม ้ได ้โดยง่าย • สาหรับประเทศไทย ไฟป่ าสว่ นใหญ่จะเป็ นไฟชนิดนี้ โดยจะมีความสูงเปลวไฟ ตัง้ แต่ 0.5 - 3 เมตร ในป่ า เต็งรัง จนถึงความสูงเปลวไฟ 5 - 6 เมตร ในป่ าเบญจ 3. ไฟเรือนยอด (Crown Fire) คือไฟทีไ่ หม ้ลุกลามจากยอด ของต ้นไม ้หรือไม ้พุม ่ ต ้นหนึง่ ไปยังยอดของต ้นไม ้หรือไม ้พุม ่ อีกต ้นหนึง่ (ภาพที่ 1.3) สว่ นใหญ่เกิดในป่ าสนในเขตอบอุน ่ ไฟชนิดนีม ้ อ ี ต ั ราการลุกลามทีร่ วดเร็วมาก และเป็ นอันตราย อย่างยิง่ สาหรับพนั กงานดับไฟป่ า ทัง้ นีเ้ นือ ่ งจากไฟมีความ รุนแรงมากและมีความสูงเปลวไฟประมาณ 10 - 30 เมตร แต่ ในบางกรณีไฟอาจมีความสูงถึง 40 - 50 เมตร โดยเท่าที่ ผ่านมาปรากฎว่ามีพนักงานดับไฟป่ า จานวนไม่น ้อยถูกไฟ ชนิดนีล ้ ้อมจนหมดทางหนีและถูกไฟครอกตายในทีส ่ ด ุ ไฟ ั ไฟผิวดินเป็ นสอ ื่ ไม่มากก็ เรือนยอดโดยทั่วไปอาจต ้องอาศย ั เจน จึงสามารถแบ่งไฟเรือนยอด น ้อย ดังนัน ้ เพือ ่ ความชด ออกเป็ น 2 ชนิดย่อย ได ้ดังนี้ ั ไฟผิวดินเป็ นสอ ื่ (Dependent • ไฟเรือนยอดทีต ่ ้องอาศย ั ไฟทีล Crown Fire) คือไฟเรือนยอดทีต ่ ้องอาศย ่ ก ุ ลามไป ตามผิวดินเป็ นตัวนาเปลวไฟขึน ้ ไปสูเ่ รือนยอดของต ้นไม ้อืน ่ ั ดาป ลักษณะของไฟ • ลุกลามไปถึงแห ้งและร ้อนจนถึงจุดสน ชนิดนี้ จะเห็นไฟผิวดินลุกลามไปก่อนแล ้วตามด ้วยไฟเรือน ยอด ั ไฟผิวดิน (Running Crown Fire) • ไฟเรือนยอดทีไ่ ม่ต ้องอาศย เกิดในป่ าทีม ่ ต ี ้นไม ้ทีต ่ ด ิ ไฟได ้ง่ายและมีเรือนยอดแน่นทึบ ่ ในป่ าสนเขตอบอุน ติดต่อกัน เชน ่ การลุกลามจะเป็ นไป ่ ก อย่างรวดเร็วและรุนแรงจากเรือนยอดหนึง่ ไปสูอ ี เรือนยอด หนึง่ ทีอ ่ ยูข ่ ้างเคียงได ้โดยตรง จึงเกิดการลุกลามไปตาม เรือนยอดอย่างต่อเนือ ่ ง ในขณะเดียวกัน ลูกไฟจากเรือน ยอดจะตกลงบนพืน ้ ป่ า ก่อให ้เกิดไฟผิวดินไปพร ้อมๆกัน ด ้วย ทาให ้ป่ าถูกเผาผลาญอย่างราบพนาสูญ การดับไฟทา ้ อ ได ้ยากมาก จาเป็ นต ้องใชเครื ่ งจักรกลหนัก และการดับไฟ ทางอากาศเข ้าชว่ ย • สาหรับประเทศไทย โอกาสเกิดไฟเรือนยอดเป็ นไปได ้ยาก ื้ ค่อนข ้างสูง ทัง้ นีเ้ นือ ่ งจากสภาพภูมอ ิ ากาศทีม ่ ค ี วามชน ประกอบกับชนิดไม ้ป่ าสว่ นใหญ่ลาต ้นไม่มน ี ้ ามันหรือยาง ซงึ่ จะทาให ้ติดไฟได ้ง่ายเหมือนไม ้สนในเขตอบอุน ่ อย่างไร ก็ตาม ในภาคเหนือของประเทศ ซงึ่ มีการปลูกสวนป่ าสน สามใบอย่างกว ้างขวางมาเป็ นเวลานาน จนในปั จจุบน ั ต ้นสน สำเหตุของกำรเกิดไฟป่ ำ ไฟป่ าเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ 1. เกิดจากธรรมชาติ ไฟป่ าทีเ่ กิดขึน ้ เองตามธรรมชาติเกิดขึน ้ จากหลาย ่ ฟ้ าผ่า กิง่ ไม ้เสย ี ดสก ี น สาเหตุ เชน ั ภูเขาไฟ ระเบิด ก ้อนหินกระทบกัน แสงแดดตกกระทบ ่ งผ่านหยดน้ า ปฏิกริยาเคมี ผลึกหิน แสงแดดสอ ในดินป่ าพรุ การลุกไหม ้ในตัวเองของสงิ่ มีชวี ต ิ (Spontaneous Combustion) แต่สาเหตุทส ี่ าคัญ คือ 1.1 ฟ้ าผ่า เป็ นสาเหตุสาคัญของการเกิดไฟป่ าในเขต อบอุน ่ ในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา พบว่ากว่าครึง่ หนึง่ ของไฟป่ าทีเ่ กิดขึน ้ มีสาเหตุมาจาก ฟ้ าผ่า ทัง้ นีโ้ ดยทีฟ ่ ้ าผ่าแบ่งออกได ้เป็ น 2 ประเภท คือ • ฟ้ าผ่าแห ้ง (Dry or Red Lightning) คือฟ้ าผ่าทีเ่ กิดขึน ้ ใน ขณะทีไ่ ม่มฝ ี นตก มักเกิดในชว่ งฤดูแล ้ง สายฟ้ าจะเป็ น ี ดง เกิดจากเมฆทีเ่ รียกว่าเมฆฟ้ าผ่า ซงึ่ เมฆดังกล่าว สแ จะมีแนวการเคลือ ่ นตัวทีแ ่ น่นอนเป็ นประจาทุกปี ฟ้ าผ่า แห ้งเป็ นสาเหตุสาคัญของไฟป่ าในเขตอบอุน ่ • ฟ้ าผ่าเปี ยก (Wet or Blue Lightning) คือฟ้ าผ่าทีเ่ กิด ควบคูไ่ ปกับการเกิดพายุฝนฟ้ าคะนอง (Thunderstorm) ดังนัน ้ ประกายไฟทีเ่ กิดจากฟ้ าผ่าจึงมักไม่ทาให ้เกิดไฟ ไหม ้ หรืออาจเกิดได ้บ ้างแต่ไม่ลก ุ ลามไปไกล ื้ สม ั พัทธ์และความชน ื้ ของเชอ ื้ เพลิง เนือ ่ งจากความชน สูง ฟ้ าผ่าในเขตร ้อนรวมถึงประเทศไทยมักจะเป็ นฟ้ าผ่า 2. สาเหตุจากมนุษย์ • ไฟป่ าทีเ่ กิดในประเทศกาลังพัฒนาในเขตร ้อนสว่ น ใหญ่จะมีสาเหตุมาจากกิจกรรมของมนุษย์ สาหรับ ประเทศไทยจากการเก็บสถิตไิ ฟป่ าตัง้ แต่ปี พ.ศ. ิ้ 73,630 ครัง้ พบว่า 2528-2542 ซงึ่ มีสถิตไิ ฟป่ าทัง้ สน เกิดจากสาเหตุตามธรรมชาติคอ ื ฟ้ าผ่าเพียง 4 ครัง้ เท่านัน ้ คือเกิดทีภ ่ ก ู ระดึง จังหวัดเลย ทีห ่ ้วยน้ าดัง ี งใหม่ ทีท จังหวัดเชย ่ า่ แซะ จังหวัดชุมพร และทีเ่ ขา ี า แห่งละหนึง่ ครัง้ ดังนัน ใหญ่ จังหวัดนครราชสม ้ จึง ถือได ้ว่าไฟป่ าในประเทศไทยทัง้ หมดเกิดจากการ กระทาของคน โดยมีสาเหตุตา่ งๆ กันไป ได ้แก่ • เก็บหาของป่ า เป็ นสาเหตุทท ี่ าให ้เกิดไฟป่ ามากทีส ่ ด ุ การเก็บหาของป่ าสว่ นใหญ่ได ้แก่ ไข่มดแดง เห็ด ใบตองตึง ไม ้ไผ่ น้ าผึง้ ผักหวาน และไม ้ฟื น การจุด ไฟสว่ นใหญ่เพือ ่ ให ้พืน ้ ป่ าโล่ง เดินสะดวก หรือให ้ แสงสว่างในระหว่างการเดินทางผ่านป่ าในเวลา • เผาไร่ เป็ นสาเหตุทส ี่ าคัญรองลงมา การเผาไร่ก็เพือ ่ กาจัดวัชพืชหรือเศษซากพืชทีเ่ หลืออยูภ ่ ายหลังการ เก็บเกีย ่ ว ทัง้ นีเ้ พือ ่ เตรียมพืน ้ ทีเ่ พาะปลูกในรอบต่อไป ทัง้ นีโ้ ดยปราศจากการทาแนวกันไฟและปราศจาก การควบคุม ไฟจึงลามเข ้าป่ าทีอ ่ ยูใ่ นบริเวณใกล ้เคียง • แกล ้งจุด ในกรณีทป ี่ ระชาชนในพืน ้ ทีม ่ ป ี ั ญหาความ ขัดแย ้งกับหน่วยงานของรัฐในพืน ้ ที่ โดยเฉพาะอย่าง ยิง่ ปั ญหาเรือ ่ งทีท ่ ากินหรือถูกจับกุมจากการกระทา ผิดในเรือ ่ งป่ าไม ้ ก็มักจะหาทางแก ้แค ้นเจ ้าหน ้าทีด ่ ้วย การเผาป่ า • ความประมาท เกิดจากการเข ้าไปพักแรมในป่ า ก่อ กองไฟแล ้วลืมดับ หรือทิง้ ก ้นบุหรีล ่ งบนพืน ้ ป่ า เป็ น ต ้น ั ว์ โดยใชวิ้ ธไี ล่เหล่า คือจุดไฟไล่ให ้สต ั ว์หนี • ล่าสต ่ น หรือจุดไฟเพือ ออกจากทีซ ่ อ ่ ให ้แมลงบินหนีไฟ นก ชนิดต่างๆ จะบินมากินแมลง แล ้วดักยิงนกอีกทอด หนึง่ หรือจุดไฟเผาทุง่ หญ ้า เพือ ่ ให ้หญ ้าใหม่แตก ั ่ กระบวนการปฏิบต ั งิ านควบคุมไฟป่ า (ศริ ,ิ 2543) มีขน ั ้ ตอนดังนี้ 1. การรวบรวมข ้อมูลไฟป่ า ได ้แก่ ข ้อมูลเกีย ่ วกับสภาพพืน ้ ทีป ่ ฏิบต ั ิ สถิตไิ ฟป่ า สภาพปั ญหาไฟป่ า และพฤติกรรมของไฟป่ า ซงึ่ ข ้อมูล ึ ษาวิจัย ข ้อมูลไฟ ดังกล่าวได ้มาจากการสารวจในพืน ้ ที่ และจากการศก ้ ป่ าเหล่านีจ ้ ะนามาใชในการวางแผนงานควบคุ มไฟป่ า 2. การจัดทาแผนงานควบคุมไฟป่ า โดยครอบคลุมกิจกรรมหลัก 2 กิจกรรม คือ การป้ องกันไฟป่ า และการดับไฟป่ า พร ้อมทัง้ กิจกรรมอืน ่ ๆ ทีเ่ ป็ นสง่ เสริมให ้การปฏิบต ั งิ านกิจกรรมหลักทัง้ สองเป็ นไปอย่างมี ิ ธิภาพ ประสท 3. การปฏิบต ั ต ิ ามแผน เป็ นการดา เนินการไปพร ้อม ๆ กันทัง้ แผน ป้ องกันไฟป่ าและแผนดับไฟป่ า ซงึ่ หากแผนและการปฏิบต ั งิ านตาม ิ ธิภาพ 100 เปอร์เซน ็ ต์ ก็จะไม่เกิดไฟป่ า จึง แผนป้ องกันไฟป่ ามีประสท ไม่ต ้องดับไฟป่ า แต่ในความเป็ นจริงไม่วา่ แผนงานและการปฏิบัตงิ าน ิ ธิภาพมากเพียงใด ก็ยงั มีโอกาสเกิด ตามแผนป้ องกันไฟป่ าจะมีประสท ไฟป่ าขึน ้ ได ้ ดังนัน ้ จึงต ้องเข ้าปฏิบต ั งิ านตามแผนดับไฟทันที 4. การประเมินผล เป็ นการประเมินผลงานการปฏิบต ั งิ านทุกขัน ้ ตอน ิ ธิภาพของการปฏิบต ิ ธิผลทีเ่ กิด เพือ ่ วิเคราะห์ประสท ั งิ าน และประสท ้ จากการปฏิบต ั งิ าน แล ้วนา มาเป็ นข ้อมูลเพือ ่ ใชในการปรั บปรุง