ผู้ส่งสาร

Download Report

Transcript ผู้ส่งสาร

บทที่ ๑
ความรู้เบือ้ งต้ นเกีย่ วกับภาษา
หลักการใช้ ภาษาเพือ่ การสื่ อสาร
การใช้ภาษาที่มีประสิ ทธิภาพนั้นต้องสามารถสื่ อสาร
ให้บรรลุวตั ถุประสงค์และสร้างความประทับใจแก่ผรู้ ับ
สาร ดังนั้นผูส้ ื่ อสารควรศึกษาและพัฒนาทักษะการใช้
ภาษา โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในเรื่ องประเภทของภาษา
ความหมายของคา และประเภทของประโยค
ภาษา
ภาษาหมายถึง วิธีทมี่ นุษย์ ใช้ แสดงความรู้ สึกและสื่ อความคิดให้ ผ้ ูอนื่ เข้ าใจ ภาษาจาแนก
ตามวิธีการแสดงออกได้ ๒ ประเภท คือ
๑.วัจนภาษา คือภาษาใช้ ถ้อยคา เสี ยงพูดหรือเครื่องหมายแทนเสี ยงพูดที่มนุษย์ ตกลง
ใช้ ร่วมกันในสั งคมหนึ่งๆ
๒.อวัจนภาษา คือภาษาทีไ่ ม่ ใช่ การพูดเป็ นถ้ อยคา หรือเขียนเป็ นลายลักษณ์ อกั ษร แต่
เป็ นสิ่ งทีส่ ามารถสื่ อให้ เกิดความหมาย ความรู้ สึกนึกคิด ความเข้ าใจตรงกัน เช่ นภาษาท่ าทาง
ภาษาใบ้ ภาษากาย มี ๗ ประเภทคือ
๒.๑ เทศภาษา รับรู้ ได้ จากระยะห่ างระหว่ างบุคคลและสถานทีท่ ใี่ ช้ ในการสื่ อสารกัน
เช่ นการโน้ มตัวเดินผ่ านผู้ใหญ่ ให้ ห่างมากทีส่ ุ ดเพือ่ แสดงความมีสัมมาคารวะ
๒.๒กาลภาษา รับรู้ ช่วงเวลาในการสื่ อสาร เช่ น นักศึกษาเข้ าเรียนตรงเวลา แสดงถึงความตั้งใจ
เอาใจใส่ และให้ เกียรติผ้ สู อน
๒.๓เนตรภาษา รับรู้ ได้ จากสายตา เพือ่ แสดงอารมณ์ ความรู้ สึก เช่ นการหลบสายตา
เพราะกลัว หรือเขินอาย หรือมีความผิดไม่ กล้ าสู้ หน้ า
๒.๔สั มผัสภาษา รับรู้ ได้ จากการสั มผัส เช่ น การโอบกอด การจับมือ
๒.๕อาการภาษา รับรู้ จากการเคลือ่ นไหวของร่ างกาย เช่ นการไหว้ การยิม้ การเม้ มปาก
การนั่งไขว่ ห้าง การยืนเคารพธงชาติ
๒.๖วัตถุภาษา รับรู้ จากการเลือกใช้ วตั ถุเพือ่ สื่ อความหมาย เช่ นเครื่องประดับ การแต่ ง
บ้ าน การมอบดอกไม้ บัตรอวยพร
๒.๗ปริภาษา รับรู้ ได้ จากการใช้ นา้ เสี ยงแสดงออกพร้ อมกับถ้ อยคานั้น ทาห้ าสามารถ
เข้ าใจความหมายของถ้ อยคาได้ ชัดเจนยิง่ ขึน้ เช่ นความเร็ว การเน้ นเสี ยง ลากเสี ยง ความดัง
ความทุ้มแหลม
การสื่ อสารแต่ ละครั้งย่ อมใช้ วจั นภาษาควบคู่กนั ไป
ซึ่งอวัจนภาษาทีใ่ ช้ สัมพันธ์ กบั วัจนภาษาใน๕ ลักษณะด้ วยกันคือ
๑.ตรงกัน อวัจนภาษามีความหมายตรงกับถ้ อยคา เช่ น การส่ ายหน้ าปฏิเสธพร้ อมพูด
ว่ า “ไม่ ใช่ ”
๒. แย้งกัน อวัจนภาษาทีใ่ ช้ ขัดแย้งกับถ้ อยคา เช่ น การกล่าวชมว่ า วันนี้แต่ งตัวสวยแต่
สายตามองทีอ่ นื่
๓. แทนกัน อวัจนภาษาทาหน้ าที่แทนวัจนภาษา เช่ นการกวักมือแทนการเรียก การ
ปรบมือแทนการกล่าวชม
๔. เน้ นกัน อวัจนภาษาช่ วยเน้ นหรือเพิม่ นา้ หนักให้ ถ้อยคา เช่ นการบังคับเสี ยงให้ ดงั
หรือค่ อยกว่ าปกติ
คา
การใช้ ภาษาให้ ได้ ผลดีจึงควรเริ่มต้ นด้ วยการศึกษาเรื่อง คา เพราะเป็ นหน่ วยสาคัญขั้น
มูลฐานทางไวยกรณ์
พยางค์ หมายถึง เสี ยงทีเ่ ปล่ งออกมาประกอบด้ วยพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ โดย
จะมีความหมายหรือไม่ กไ็ ด้
คา หมายถึง เสี ยงทีม่ ีความหมาย ( พยางค์ +ความหมาย ) ในภาษาไทย คาๆเดียวจะมี
กีพ่ ยางค์ กไ็ ด้
การศึกษาเรื่องคานั้นควรมีความรู้ พนื้ ฐานเรื่องความหมายของคา ให้ ชัดเจนเพือ่ ให้
เข้ าใจและสามารถนาไปใช้ อย่ างถูกต้ อง ดังนี้
1.ความหมายเฉพาะของคา เช่ น
๑.๑ ความหมายโดยตรง เช่น เด็กๆไม่ชอบแม่มดในนิทานเลย
๑.๒ ความหมายโดยนัย ( ความหมายเชิงอุปมา ) เช่น วันนี้ยายแม่มดไม่มาทางานหรื อ
๑.๓ ความหมายแฝง ร่ วง ตก หล่น ลิ่วปลิว ฉิ ว เซ เก เฉ เบ้ โยเย
๑.๔ ความหมายตามปริ บท
คากริ ยา ติด มีความหมายว่า จุดไฟ ใกล้บา้ น แปะ
๑.๕ ความหมายนัยประหวัด
ปัง / สี ขาว / สี ดา / กา /หงส์ / น้ า /ไฟ
2. ความหมายของคาเมือ่ เทียบเคียงกับคาอืน่
๒.๑ คาที่มีความหมายเหมือนกัน ( คาไวพจน์ )
สุ นขั – หมา
เท้า – ตีน
๒.๒ คาที่มีความหมายตรงกันข้ าม
สะอาด – สกปรก
เชื่องช้า – ว่องไว
๒.๓ คาที่มคี วามหมายร่ วมกัน
ส่ งเสริ ม – สนับสนุน
โปรด - กรุ ณา
๒.๔ คาที่มีความหมายแคบ กว้ าง ต่ างกัน
เครื่ องครัว กระทะ จาน ชาม เขียง
เครื่ องประดับ แหวน สร้อย กาไล
สัตว์ ช้าง ม้า วัว ควาย
ประโยค
ประโยค คือ ถ้อยคาที่มีเนื้อความสมบูรณ์ ประโยคโดยทัว่ ไปประกอบด้วยส่ วนสาคัญ ๒ ส่ วน คือ
ภาคประธาน และภาคแสดง
ภาคประธาน คือส่ วนที่ผกู้ ระทากริ ยาอาการ
ภาคแสดง คือ ส่ วนที่แสดงกริ ยา หรื อส่ วนที่แสดงอาการของภาคประธานให้ได้ความสมบูรณ์ อาจประกอบด้วย
กริ ยาคาเดียว หรื อกริ ยาและกรรม ตัวอย่างนกบิน นก ( ภาคประธาน) บิน ( ภาคแสดง )การจาแนกประโยคใน
ภาษาไทย
ประโยคในภาษาไทยแบ่งได้เป็ น ๓ ลักษณะ คือ ประโยคความเดียว ประโยคความรวม และ
ประโยคความซ้อน
ประโยคความเดียว คือประโยคที่มีใจความเดียว ประกอบด้วย ภาคประธาน และภาคแสดง เช่น เขา
ร้องไห้
ประโยคความรวม คือประโยคที่รวมเอาประโยคความเดียว ๒ ประโยคขึ้นไปไว้ดว้ ยกัน โดยมี
สันธานเชื่อมประโยค ประโยคที่รวมกันนั้นอาจมีเนื้อความคล้อยตามกัน และ แล้ว ........จึงขัดแย้งกัน แต่ ส่ วน
กว่า...ก็ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรื อ มิฉะนั้น ไม่...ก็เป็ นเหตุเป็ นผลกัน เพราะ..... เนื่องจาก....จึง เช่น
ฉันไปดูหนัง และทานอาหารที่สยามสแควร์ จากนั้นก็กลับบ้าน
ประโยคความซ้ อน คือประโยคที่มีประโยคย่อยเป็ นส่ วนใดส่ วนหนึ่งของประโยคหลัก เช่น ฉันเห็น
คนถูกรถชนกลางถนนฉันเห็น ประธาน+กริ ยา คนถูกรถชนกลางถนน กรรม
บทที่ ๒
ภาษาเพือ่ การสื่ อสาร
ความหมายและความสาคัญของการสื่อสาร
การสื่อสาร คือการส่งข้ อความต่างๆ ที่เป็ นข้ อเท็จจริง ข้ อคิดเห็นหรื อการแสดงความรู้สกึ
จาก ผู้สง่ สารไปสูผ่ ้ รู ับสารด้ วยวิธีการใด วิธีการหนึง่ เพื่อให้ ผ้ รู ับสารรับรู้ เข้ าใจความหมายของ
ข้ อความที่สื่อสารและตอบสนองกลับมา
จุดประสงค์ ของการสื่อสาร
ผู้ส่งสาร ๑.แจ้ งให้ ทราบ
๒.สอน/ให้ การศึกษา
๓.สร้ างความบันเทิง/จรรโลงใจ
๔.โน้ มน้ าวใจ
ผู้รับสาร ๑.เพื่อทราบ
๒.เพื่อเรี ยนรู้
๓.เพื่อความบันเทิง/ความสุข
๔.เพื่อกระทาหรื อตัดสินใจ
องค์ ประกอบของการสื่ อสาร
•ผู้ส่งสาร
ผูส้ ่งสารได้แก่บุคคลหรื อกลุ่มบุคคลที่เป็ นผูเ้ ริ่ มต้นการติดต่อสื่ อสาร ผูส้ ่งสารที่ดีจะต้องมีจุดประสงค์ในการส่งสาร มีความรู้ ความ
เข้าใจในเรื่ องที่ตอ้ งการสื่ อสารอย่างถ่องแท้ เข้าใจความพร้อมความสามารถของผูร้ ับสาร และเลือกใช้กลวิธีสื่อสารอย่างเหมาะสม
•ผู้รับสาร
ผูร้ ับสาร ได้แก่ บุคคลหรื อกลุ่มบุคคลที่รับข้อมูลจากผูส้ ่งสาร ทาความเข้าใจกับข้อมูลที่ได้รับ และมีปฏิกริ ยาตอบสนอง ผูร้ ับสารที่ดี
จะต้องมีจุดประสงค์ในการรับสาร พร้อมรับข่าวสารต่างๆ มีสมาธิ และมีปฏิกริ ยา ตอบสนอง
•สาร
เรื่ องราว ตัวข้อมูล สาระสาคัญที่ผสู้ ่งสารส่งถึงผูร้ ับสาร ) มี ๓ ประเภท
๓.๑ สารประเภทข้อเท็จจริ ง สารที่การเป็ นองค์ความรู้ หลักเกณฑ์ หรื อข้อสรุ ปที่ผา่ นการพิสูจน์
๓.๒ สารประเภทข้อคิดเห็นสารที่เป็ นความคิดเห็นอันเป็ นลักษณะส่วนตัวของผูส้ ่งสาร ผูร้ ับสารอาจเห็นด้วยหรื อไม่ก็ มี ๓ ประเภท
๑.ข้อคิดเห็นเชิงประเมินค่า มีการบ่งชี้วา่ อะไรดี ไม่ดี มีประโยชน์หรื อมีโทษอย่างไร
๒.ข้อคิดเห็นเชิงแนะนา เป็ นการบอกกล่าวว่าสิ่ งใดควรทา ควรปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิข้นั ตอนอย่างไร และอาจบอกถึงเหตุผลของ
การกระทานั้นๆด้วย
๓.ข้อคิดเห็นเชิงตั้งข้อสังเกต เป็ นการชี้ให้เห็นลักษณะที่แฝงอยู่ ซึ่งอาจถูกมองข้ามไป อาจสังเกตพฤติกรรมของบุคคล
สัตว์ หรื อสิ่ งต่างๆที่เกิดขึ้น ตามมุมมองของผูส้ ่งสาร
๓.๓ สารประเภทแสดงความรู้สึก สารที่แสดงความรู้สึกของมนุษย์ เช่น ดีใจ เสี ยใจ รันทด ตื่นเต้น
๔. สื่ อ
การสื่ อสารแต่ละครั้งผูส้ ื่ อสารจะต้องใช้ภาษาทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษา เป็ นสื่ อกลางใน
การสื่ อสาร นอกจากใช้ภาเป็ นสื่ อกลางแล้วยังมีสื่ออีก ๔ ประเภท ที่ช่วยให้การสื่ อสารแต่ละครั้ง
ประสบผลสาเร็ จ ได้แก่
๑. สื่ อธรรมชาติ
๒. สื่ อบุคคล หรื อสื่ อมนุษย์
๓. สื่ อสิ่ งพิมพ์
๔. สื่ ออิเล็กทรอนิกส์
๕. สื่ อระคน / สื่ อเฉพาะกิจ
๕. ปฏิกริ ิยาตอบสนอง
ปฏิกิริยาตอบสนองหรื อผลของการสื่ อสาร ได้แก่การที่ผรู ้ ับสารมรปฏิกิริยาตอบสนองต่อผูส้ ่ ง
สารโดยวิธีการใดวิธีการหนึ่ ง การสื่ อสารแต่ละครั้งจะประสบความสาเร็ จ หรื อล้มเหลว
ประเภทของการสื่ อสาร
ผูส้ ื่ อสารสามารถแบ่งประเภทของการสื่ อสารได้ ๕ ประเภท
• การสื่ อสารภายในตัวบุคคล
• การสื่ อสารระหว่างบุคคล
• การสื่ อสารกลุ่มใหญ่
• การสื่ อสารในองค์กร
• การสื่ อสารมวลชน
ปัญหา / อุปสรรคของการสื่อสาร
องค์ประกอบของการสื่ อสารแต่ละส่ วนล้วนมีความสาคัญต่อกระบวนการสื่ อสาร
ทั้งสิ้ น ดังนั้น ผูท้ ี่ทาการสื่ อสารจึงต้องตระหนักถึงอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างที่ทา
การสื่ อสาร และต้องพยายามลดอุปสรรคที่เกิดขึ้น เช่น
ผู้ส่งสาร ขาดความรู ้ มีทศั นคติแง่ลบ ความพร้อม วิเคราะห์ผรู ้ ับสารผิดไป
ผู้รับสาร ขาดความเข้าใจ คิดว่าตนมีความรู ้แล้ว มีทศั นคติที่ไม่ดีต่อผูส้ ่ งสาร-ตัวสาร
สาร เลือกสารไม่เหมาะสม ซับซ้อน ยาก หรื อง่ายเกินไป
สื่ อ ใช้สื่อไม่เหมาะสม ไม่มีประสิ ทธิ ภาพ ใช้ภาษาไม่เหมาะสม
สิ่ งแวดล้อม สิ่ งแวดล้อมไม่เอื้ออานวย เกิดมลภาวะ
หลักการสื่ อสารในชีวติ ประจาวัน
การพูด การอ่าน การเขียน และ การฟัง เป็ นทักษะสาคัญสาหรับการสื่ อสารให้
สัมฤทธิ์ ผล ผูส้ ื่ อสารจึงควรฝึ กพูดและสื่ อสารให้เหมาะสมกับกาลเทศะ สามารถเลือกใช้ท้ งั
วัจนภาษา และ อวัจนภาษา ในการสื่ อความหมายให้ชดั เจน เหมาะสมละมีประสิ ทธิภาพ
เพื่อให้เกิดการยอมรับในสังคมยิง่ ขึ้น ความสามารถขั้นพื้นฐานที่ผสู ้ ื่ อสารควรมีคือ
•ทักษะการพูดทีด่ ี
•การพูดสิ่ งที่ผฟู ้ ั ง อยากฟัง ในเนื้อหาที่ผฟู ้ ังอยากฟั ง
•ควรเลือกภาษา และอารมณ์ในการพูด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และ
ให้เกียรติผฟู ้ ั ง
•สามารถเลือกใช้สื่อที่ดีและมีประสิ ทธิ ภาพ ทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษา
•รู้จกั กาลเทศะ
•ทักษะการฟังที่ดี
•ฟังอย่างเต็มใจและตั้งใจ
•จับใจความโดยการแยก ประเด็น ทัศนคติ และความรู้สึก
•พูดโต้ตอบด้วยสี หน้าและท่าทางที่ดี
บทที่ ๕
คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสาระสนเทศ
๑. คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสาระสนเทศ
๑.๑ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสาระสนเทศ
คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ ชนิดหนึ่งที่ทางานด้ วยระบบ
อิเล็กทรอนิกส์ สามารถจาข้ อมูลและคาสั่งได้ ทาให้ ทางานไปได้
โดยอัตโนมัตดิ ้ วยอัตราความเร็วที่สูงมาก ใช้ ประโยชน์ ในการ
คานวณหรือการทางานต่ างๆ ได้ เกือบทุกชนิด
๑.๒ ชนิดของคอมพิวเตอร์
๑. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ( Soper computer ) เป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่
เหมาะกับงานคานวณที่ตอ้ งมีการคานวณตัวเลขจานวนหลายล้านตัวภายในเวลา
อันรวดเร็ ว
๒. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ( Mainframe computer ) เป็ นเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่ มแรก เหตุที่เรี ยกว่า
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่ องประกอบด้วยตูข้ นาดใหญ่ที่ภายในตูม้ ี
ชิ้นส่ วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยูเ่ ป็ นจานวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปั จจุบนั
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก
๓. มินิคอมพิวเตอร์ ( Mini computer ) ร์เป็ นเครื่ องที่สามารถใช้งาน
พร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่ องปลายทางต่อได้
๑.๓ การทางานของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เป็ นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อ
ช่วยงานให้เร็ วไว สะดวก และแม่นยามากขึ้น
มีข้นั ตอนที่สาคัญคือ
ขัน้ ตอนที่ ๑
การรับข้ อมูลและคาสั่ง
ขัน้ ตอนที่ ๒
ขัน้ ตอนที่ ๓
ขัน้ ตอนที่ ๔
การประมวลผลหรือคิดคานวณ
การแสดงผลลัพธ์
การเก็บข้ อมูล
๒. ฮาร์ ดแวร์
คือ ตัวเครื่ องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์รอบข้างที่
เกี่ยวข้องต่างๆ ซึ่ งประกอบด้วยสิ่ งที่สาคัญ คือ
๑. หน่ วยประมวลผลกลาง ( CPU : Central Processing Unit )
หรื ออาจเรี ยกว่ า ไมโครโปรเซสเซอร์ หรื อ ชิป เป็ นหัวใจหลักของ
คอมพิวเตอร์
๒. หน่ วยรั บข้ อมูล ทาหน้ าที่รับข้ อมูลจากผู้เข้ าใช้ เข้ าสู่หน่ วยความจาหลัก
๓. หน่ วยแสดงผล
หมายถึง การแสดงผลออกมาให้ ผ้ ูใช้ ได้ รับทราบ
ในขณะนัน้ แต่ เมื่อเลิกการทางานหรือเลิกใช้ แล้ วผลนัน้ ก็จะหายไป
๔. หน่ วยเก็บข้ อมูลสารอง คือ อุปกรณ์ ท่ ที าหน้ าที่เก็บข้ อมูลไว้ ใช้ ใน
โอกาสต่ อไป เนื่องจากหน่ วยความจาแรม จาข้ อมูลได้ เฉพาะช่ วงที่มีการ
เปิ ดไฟ เข้ าเครื่ องคอมพิวเตอร์ เท่ านัน้ ถ้ าต้ องการเก็บข้ อมูลไว้ ใช้ ใน
โอกาสต่ อไป
๓. หน่ วยความจา ( Memory Unit )
มีหน้ าทีใ่ นการจาข้ อมูล ให้ กบั เครื่องคอมพิวเตอร์
๓.๑ หน่วยความถาวร (ROM : Read Only Memory) หรื ที่เรี ยกว่าหน่วยความจารอม เป็ น
หน่วยความจาที่สามารถจาข้อมูลได้ตลอดเวลา
๓.๒
DRAM ( ดีแรม ) และ SDRAM ( แอสดีแรม ) เป็ นหน่วยความจาชัว่ คราว (RAM) ที่
ใช้โดยทัว่ ไปสาหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเวิร์กสเตชัน
๓.๓ หน่วยความจาเสมือน ( Virtuar Memory ) ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณมีrandom access
memory (RAM) ไม่เพียงพอที่จะเรี ยกใช้โปรแกรมหรื อดาเนิ นการ Windows จะใช้
หน่วยความจาเสมือน เพื่อชดเชยแทน
๓.๔ หน่วยความจาแคช ( Memory Cache ) และ บัส ( Bus ) หน่วยความจาอย่างนึง มี
ความเร็ วในการเข้าถึงและการถ่ายโอนข้อมูลที่สูง ซึ่ งมีหน้าที่ในการเก็บข้อมูลที่เราต้องการจะใช้
งานบ่อยๆ เพื่อเวลาที่ CPU ต้องการใช้ขอ้ มูลนั้นๆ จะได้คน้ หาได้เร็ ว โดยที่ไม่จาเป็ นที่จะต้อง
ไปค้นหาจากข้อมูลทั้งหมด
๓.๕ หน่วยข้อมูลสารอง ( Secondary Storage Device ) มีการทางานร่ วมกับคอมพิวเตอร์
นั้น เมื่อต้องการเก็บบันทึกข้อมูล หรื อกลุ่มคาสั่งต่าง ๆ
ไว้ใช้ในอนาคตจะไม่สามารถเก็บไว้ในหน่วยความจาหลักได้
เนื่องจากไม่มีพ้ืนที่เพียงพอ
๔.ซอร์ ฟแวร์ ( Software )
ลาดับขัน้ ตอนการทางานที่เขียนขึน้ ด้ วยคาสั่งของคอมพิวเตอร์
คาสั่งเหล่ านี ้ เรียงกันเป็ นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คือ
• ซอฟต์ แวร์ ระบบ คือซอฟต์ แวร์ ท่ บี ริษัทผู้ผลิตสร้ างขึน้ มาเพื่อใช้
จัดการกับระบบ หน้ าที่การทางานของซอฟต์ แวร์ ระบบคือดาเนินงาน
พืน้ ฐานต่ าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่ น รับข้ อมูลจากแผงแป้น
อักขระแล้ วแปลความหมายให้ คอมพิวเตอร์ เข้ าใจ
• ซอฟต์ แวร์ ประยุกต์ เป็ นซอฟต์ แวร์ ท่ ใี ช้ กับงานด้ านต่ าง ๆ ตามความ
ต้ องการของผู้ใช้ ที่สามารถนามาใช้ ประโยชน์ ได้ โดยตรง
๕. การใช้ คอมพิวเตอร์ ทางานด้ านต่ างๆ
ดังต่อไปนี้
๕.๑ คอมพิวเตอร์ ในสถานศึกษา
๕.๒ คอมพิวเตอร์ ในงานวิศวกรรม
๕.๓ คอมพิวเตอร์ ในงานวิทยาศาสตร์
๕.๔ คอมพิวเตอร์ ในงานธุรกิจ
๕.๕ คอมพิวเตอร์ ในงานธนาคาร
๕.๖ คอมพิวเตอร์ ในร้ านค้ าปลีก
๕.๗ คอมพิวเตอร์ ในวงการแพทย์
๕.๘ คอมพิวเตอร์ ในการคมนาคม และ การสื่อสาร
๕.๙ คอมพิวเตอร์ ในงานด้ านการอุตสาหกรรม
๕.๑๐ คอมพิวเตอร์ ในวงราชการ
๖. เทคโนโลยีสาระสนเทศกับสั งคม
กล่าวคือ เทคโนโลยีสาระสนเทศที่ทาให้ เกิดการ
เปลี่ยนแปลงและมีกระทบต่อโลกอาจสร้ างได้ ทงผลดี
ั้
และผลเสียต่อโลก
บทที่ ๖ เครือข่ ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์ เนต
( Computer Networks and the Internet )
๑.๑ อินเตอร์ เน็ต หมายถึง
เครือข่ ายคอมพิวเตอร์ นานาชาติ ที่มีสายตรงเชื่อมต่ อไปยัง
สถาบันหรือหน่ วยงานต่ าง ๆ เพื่ออานวยความสะดวกให้ แก่ ผ้ ูใช้
ทั่วโลก
มุมมองด้ านองค์ ประกอบ ดังต่ อไปนีจ้ ะมีการทางานร่ วมกัน
๑.อุปกรณ์ที่มีความสามารถในการคานวณ หรื อ คอมพิวเตอร์ ( Computering
Devices )
๒.ลิงค์สื่อสาร ( Communication Link )
๓.เร้ าเตอร์ ( Router )
๔.โปรโตคอล ( Protocol )
๕.เครื อข่ายของเครื อข่าย ( Network of Network )
๑.๒ ส่วนขอบของเครื อข่าย ( Network Edge ) ส่วนขอบของ
เครื อข่าย เป็ นส่วนของโฮสต์ หรื อ ระบบปลายทาง (End System) ที่ผ้ ใู ช้
ทัว่ ไปทางานกับระบบเครื อข่ายนัน่ เอง โดย บนโฮสต์ จะมีการทางาน
โปรแกรมแอพลิเคชัน่ บนระบบเครื อข่าย
๑.๓ การเข้ าถึงเครือข่ าย และ สื่ อกายภาพ
(Access Network and Physical Media)
การเข้ าถึงระบบเครือข่ าย สามารถแบ่งกลุ่มออกเป็ น ๓ ลักษณะคือ
• การเข้ าถึงผ่านที่อยูอ่ าศัย (Residential Access)
• การเข้ าถึงผ่านที่ทางานหรื อหน่วยงาน (Institutional
Access)
• การเข้ าถึงแบบไร้ สาย (Wireless Access)
๑.๔ แกนเครือข่ าย (Network Core)
แกนเครือข่ าย คือ การเชื่อมโยงของกลุ่มอุปกรณ์ สวิทซ์ หรือเร้ า
เตอร์ และลิงค์ ที่ทาการเชื่อมโยงระหว่ างระบบปลายทาง (End
System) โดยจะมี ลักษณะการทางานแบ่ งออกเป็ น 2 รู ปแบบ คือ
๑. เครือข่ ายเซอร์ กิตสวิทซ์
เครือข่ ายแบบเซอร์ กิตสวิทซ์ มีคุณสมบัตทิ ่ สี าคัญคือ ทรัพยากร
ของระบบเครือข่ าย เช่ น บัฟเฟอร์ หรือ แบนด์ วิทธ์ จะมีการจอง ไว้
สาหรับการติดต่ อ (Call) ระหว่ างระบบปลายทาง
๒. เครือข่ ายแพ็คเก็ตสวิทซ์
เครื อข่ายแพ็คเก็ตสวิทซ์ มีคุณสมบัติที่สาคัญคือ การ
ติดต่อสื่ อสารไม่มีการสร้างเส้นทางและไม่มีการจองทรัพยากร
ตลอดเส้นทาง หรื อพูดอีกนัยหนึ่งว่าทรัพยากรบนเครื อข่ายถูกใช้
ร่ วมกัน
๓. โครงสร้ างของอินเตอร์ เน็ต
โครงสร้ างของอินเตอร์ เน็ต จะมีลักษณะสาคัญคือ
เป็ นเครือข่ าย ซ้ อน เครือข่ าย โดยมีระดับการทางานของ
เครือข่ ายที่แตกต่ างกัน (Hierarchical)
๑.๕ เวลาหน่ วง การสู ญหาย และ ทรู พทุ (Throughput)
บนเครือข่ ายแพ็คเก็ตสวิทซ์
• เวลาหน่ วง (Delay)
เวลาที่แพ็คเก็ตใช้ ไปในการเดินทางจากต้ นทาง ไปยังปลายทาง
• การสูญหาย (Loss)
การสูญหายของข้ อมูลบนเครื อข่ายแพ็คเก็ตสวิทซ์ จะมาจากผลที่คิว
(บัฟเฟอร์ ) เต็มทาให้ แพ็คเก็ตที่เข้ ามาใหม่ถกู เร้ าเตอร์ ทิ ้ง (Drop) ไป
• ทรูพุท (Throughput)
การวัดประสิทธิภาพการทางานบนระบบเครื อข่ายนัน้ จะใช้ ตวั วัดที่
สาคัญคือ ทรูพทุ ซึง่ จะเป็ นการบอกถึงอัตราการส่งข้ อมูลในขณะนัน้ ระหว่าง
เครื่ องส่งและเครื่ องรับ มีความเร็วเท่าใด
๑.๖ ชั้นโปรโตคอล (Protocol Layer)
และโมเดลการบริการ (Service Model)
การสื่อสารข้ อมูลบนระบบเครือข่ าย จะเกิดขึน้ ได้ มี
ขัน้ ตอนมากมาย เช่ นวิธีการรับส่ ง หรือการโต้ ตอบ
ระหว่ างเครื่องส่ งและเครื่องรับ
๑.๗ การโจมตีบนเครือข่ าย
หัวข้อนี้จะพูดถึงภาพรวมของการโจมตีที่เกิดขึ้นบนระบบเครื อข่าย
โดยแบ่งเป็ น ภาพ ๒ ด้านคือ
๑. การโจมตีโดยแพร่ จากมัลแวร์ (Malware) เข้ าไปที่โฮศต์
ผ่ านระบบอินเตอร์ เน็ต
๒. การโจมตีท่ เี ซิฟเวอร์ หรือโครงสร้ างของระบบเครือข่ าย
บทที่ ๗ เทคโนโลยีสารสนเทศและสื่ อการศึกษา
ความหมายและวิวฒั นาการ
๑.๑ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ( Management
Information Systems – MIS )
เป็ นระบบที่รวบรวมสารสนเทศ ซึ่งเกี่ยวข้ องกับการดาเนินงาน
ขององค์ กรให้ กับผู้ปฏิบตั งิ านและผู้บริหารเพื่อสนับสนุน
ภาระกิจที่รับผิดชอบโดยใช้ เทคโนโลยีและอุปกรณ์ สมัยใหม่
เพื่อสร้ างสารสนเทศที่มีประโยชน์ ต่อผู้ใช้
กล่ าวคือ ระบบสารสนเทศจะเกี่ยวข้ องโดยตรงกับ
องค์ การ และการจัดการเทคโนโลยี
ระบบสารสนเทศ ( Information System หรือ IS)
คือ งานประยุกต์คอมพิวเตอร์และระบบสื่ อสาร
โทรคมนาคมที่ทาหน้าที่รับข้อมูล (input) แล้วนามาประมวลผล
(process) ให้เป็ นสารสนเทศ (information) ในรู ปแบบต่าง ๆ ที่
เป็ นประโยชน์แก่การใช้งาน
ข้ อมูล ( Data )
คือ ข้ อเท็จจริงที่ถูกเก็บข้ อมูลมาโดยที่ยังไม่ ได้ ผ่านกระบวนการ
วิเคราะห์
สารสนเทศ ( Information )
คือ ข้ อมูลที่ได้ ผ่านกระบวนการประมวลผล หรือจัดระบบแล้ ว
เพื่อให้ มีความหมายและคุณค่ าสาหรับผู้ใช้
๑.๒ วิวฒ
ั นาการของระบบ
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้ มีการนาคอมพิวเตอร์ มาใช้ ในงานธุรกิจ
โดยใช้ กับงานประจาเฉพาะงาน เช่ นบัญชีเงินเดือน และใบเสร็ จ
ต่ างๆ
ในราวปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ได้ ทกี ่ วี ิจารณ์ ถึงปั ญหาของระบบ
สารสนเทศเพื่อการจัดการว่ าไม่ เหมาะสมสาหรับผู้บริหารระดับสูง
ซึ่งต้ องกาหนดกลยุทธ์ นโยบาย และทิศทางขององค์ การ ดังนัน้ จึง
มีการปรับใช้ ต่อไป
๑.๓ ระบบสารสนเทศกับวิทยาการที่เกีย่ วข้ อง
๑. การจัดทาระบบสารสนเทศเพือ่ ให้ ใช้ ประโยชน์ ได้ ตรงตามวัตถุประสงค์
จาเป็ นต้ องอาศัยวิทยาการต่ างๆ มาช่ วย คือ
•
•
•
•
วิทยาการคอมพิวเตอร์
วิทยาการจัดการ
การวิจัยดาเนินการ
วิทยาการด้ านพฤติกรรม
๒. หน้ าทีท่ างการจัดการ
คือ กระบวนการการทางานและการใช้ ทรัพยากรเพื่อให้
บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์ การที่ตงั ้ ไว้ ได้ อย่ างมี
ประสิทธิภาพ
๒.๑ ความเป็ นมาของการจัดการ
๒.๒ องค์ ประกอบหน้ าที่ทางการจัดการ
๒.๓ ความสาคัญของการจัดการต่ อองค์ การ
๒.๔ ประสิทธิผล ประสิทธิภาพและผลิตภาพของการจัดการ
แนวคิดเกีย่ วกับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
เป็ นกระบวนการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
จาเป็ นต้องอาศัยงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านวัสดุอุปกรณ์สูง เพื่อให้
ระบบหรื องานที่สร้างจะบรรลุผลสาเร็ จ ตามวัตถุประสงค์ ประได้
ประสิ ทธิภาพ
๓.๑ กลยุทธ์ ระบบสารสนเทศ คือ การกาหนดระบบ
สารสนเทศที่ต้องการว่ า ต้ องการสร้ างระบบสารสนเทศอะไร
เพราะอะไร ลักษณะและรูปแบบของสารสนเทศที่ต้องการอะไร
และระบบเหล่ านีม้ ีโครงสร้ างข้ อมูล ฐานข้ อมูลอะไร และมี
ความสัมพันธ์ อย่ างไร
๓.๒ กลยุทธ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ
คือ การกาหนดเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ เพือ่ พัฒนาสารสนเทศ โดย
ระบบสารสนเทศที่ต้องการนั้นมีกจิ กรรมหรือกระบวนการทางานใด
สรุ ปคือ กลยุทธ์ ระบบการจัดการสารสนเทศ
คือ การบริหารจัดการเพื่อให้ การจัดการจัดทา
ระบบสารสนเทศสาเร็จตามวัตถุประสงค์ และ
เป้าหมายที่ตัง้ ไว้ โดยพิจารณาว่ า จะทาได้ อย่ างไร
จึงจะเกิดประสิทธิภาพ
บทที่ ๘ การจัดการความรู้ ในสถานศึกษา
การจัดการความรู้ คือ กระบวนการที่มีระบบเกี่ยวกับการ
ประมวลข้ อมูล สารสนเทศความคิด การกระทา ตลอดจน
ประสบการณ์ ของบุคคลเพื่อสร้ างเป็ นความรู้หรื อนวัตกรรมและ
จัดเก็บโดยอาศัยช่ องทางต่ างๆ
ความแตกต่ างระหว่ างข้ อมูล สารสนเทศ และความรู้
ข้ อมูล ( Date) คือ ข้ อมูลดิบจากการทางานประจาวัน ซึ่งถือ
ว่ าเป็ นข้ อมูลในระดับปฏิบัตกิ ารและข้ อมูลดิบเหล่ านัน้ เป็ น
สารสนเทศ
วัตถุประสงค์ และประโยชน์ ของการจัดการความรู้
คือ การใช้ ประโยชน์ จากความรู้มาเพิ่มประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลในการดาเนินการขององค์ กรเพื่อสร้ างความ
ได้ เปรียบทางการแข่ งขันขององค์ กร ดังนี ้
๑. เพื่อปรับปรุ งกระบวนการดาเนินงานทางธุรกิจที่เป็ นอยู่ใน
ปั จจุบัน
๒. เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ ๆ
๓. เพื่อปรับปรุ งเทคนิค กระบวนการ โดยมีจุดหมายเพื่อพัฒนา
องค์ ความรู้ แล้ วนาความรู้นัน้ ไปใช้ ประโยชน์
ประโยชน์ ของการจัดการความรู้ได้ ๘ ประการดังนี้
•
•
•
•
•
•
•
ป้องกันความสูญหาย
เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ
ความสามารถในการปรับตัวและมีความยืดหยุ่น
ความได้ เปรียบในการแข่ งขัน
การพัฒนาทรัพย์ สิน
การยกระดับผลิตภัณฑ์
การบริการลูกค้ า
๘. การลงทุนทางทรัพยากรมนุษย์
ระบบ e – Learning
คือ การเรี ยนรู้ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การใช้ เทคโนโลยี โดยเฉพาะ
อินเทอร์ เนตเข้ ามาส่ งเสริมการเรียน การสอน ให้ เกิดประสิทธิผล
องค์ ประกอบของ e – learning
• ระบบการจัดการการศึกษา ( Management Education
System )
• เนือ้ หารายวิชา เป็ นบท และเป็ นขัน้ ตอน ( Content )
• สามารถสื่อสารระหว่ างผู้เรี ยนและผู้สอน หรื อ ระหว่ างผู้เรี ยนด้ วยกัน (
Commmunication )
• วัดผลการเรี ยน ( Evaluation )
รู ปแบบการพัฒนา e – learning ในประเทศไทย
สามารถแบ่งได้ ๓ ลักษณะ คือ
๑. รู ปแบบเอกสารเว็บ
๒. รู ปแบบ LMS
๓. รู ปแบบอิงมาตรฐานทั้งระบบและเนื้อหา
บทที่ ๙ สารสนเทศกับเรียนรู้ ทางพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนากับการศึกษา มาจากภาษาลาตินว่ า
Educare
หมายถึง การดึงออกการศึกษามิใช่ การใส่ เข้ าไป
Education มีความหมายดังนี ้
• เป็ นกระบวนการหรือการกระทาที่ให้ ความรู้หรือทักษะระบบการ
สอนหรือการเรียน
• เป็ นการได้ รับความรู้หรือทักษะผ่ านกระบวนการจากโรงเรียน
• ความรู้หรือทักษะที่ได้ รับหรือพัฒนาโดยกระบวนการเรียนรู้
พระพุทธศาสนาในแง่ ของเป้าหมายทางการศึกษา
•
•
•
•
•
•
•
•
เป็ นเป้าหมายเรื่ องการดารงชีพ
เป้าหมายด้ านการพัฒนาบุคลิกภาพ
เป้าหมายพัฒนาสติปัญญา
เป้าหมายในการพัฒนาร่างกาย
เป้าหมายในการพัฒนาด้ านศีลธรรม
เป้าหมายในการพัฒนาความรู้สกึ ซาบซึ ้งในศิลปะ
เป้าหมายด้ านพัฒนาวิญญาณ
เป้าหมายด้ านพัฒนาด้ านการเมืองการปกครอง
เทคโนโลยี สารสนเทศมีองค์ ประกอบ ๖ ส่ วน ด้ วยกัน
•
•
•
•
•
•
คอมพิวเตอร์ ฮาร์ ดแวร์ ( Hardware )
โปรแกรมหรือซอฟต์ แวร์ ( Software)
ข้ อมูล ( Date)
ระบบการสื่อสารข้ อมูล ( Date Communication
บุคลากร ( Peopleware )
ระเบียบปฏิบัตแิ ละข้ อมูล ( Procedure )
System )
สรุป
เทคโนโลยีสารสนเทศหากถือตามปฏิสัมภิทา คือ
รู้ความหมายขยายความได้ จับประเด็นสาคัญได้ ส่ ือสารถ่ ายทอด
เป็ นและใช้ ความรู้ได้ ถกู เรื่องทันเหตุการณ์ จากนัน้ นามา
วิเคราะห์ สังเคราะห์ จนกลายเป็ นองค์ ความรู้ใหม่ และ
นาเสนอออกไปให้ สังคมได้ รับรู้ หลักปฏิสัมภิทานัน้ พระสารีบุตร
ได้ อธิบายไว้ ในสัญเจตนิยวรรค อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต
โอมาเอะ ชาวญี่ปุ่น ได้กล่าวถึง ความก้าวหน้าประเภท
ต่างๆ ไว้อย่างน่าคิดว่า ใน ภูมิภาคที่หวังจะก้าวหน้าประชาชน
ต้องรู ้อย่างน้อยสามภาษาคือภาษาของตนเอง ภาษาอังกฤษ และ
ภาษาเทคโนโลยี ซึ่งในสมัยนี้คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ ประกอบกับ
ระบบอินเตอร์เนต
เทคโนโลยีสารสนเทศก็คือ วิชาการอย่ างหนึ่งที่พระควรศึกษา
และคณะสงฆ์ ควรส่ งเสริมให้ พระได้ มีโอกาสศึกษาให้ มากขึน้ โดยใช้
หลักปฏิสัมภิทา คือ รู้ จักความหมาย รู้ จักหลักการ รู้จักภาษาและ
สามารถติดต่ อได้ เพื่อจะได้ ใช้ ประโยชน์ จากเทคโนโลยีสารสนเทศ
อย่ างรู้ เท่ าทันและนาไปอธิบาย หลักธรรมของพระพุทธศาสนากับ
คนร่ วมสมัยเข้ าจะได้ และพระสงฆ์ จะอยู่ในสังคมโลกได้ อย่ างมี
ประสิทธิภาพต่ อไป
THE END