เอกสาร - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์

Download Report

Transcript เอกสาร - กรมตรวจบัญชีสหกรณ์

คำสั่ งทำงปกครอง
กับกำรปฏิบัติงำนสอบบัญชี
• บุคคลซึ่งนำยทะเบียนสหกรณ์ อำศัยอำนำจตำมมำตรำ 16 (3)
แต่ งตั้งขึน้
2.1 ออกคำสั่งเป็ นหนังสื อให้คณะกรรมกำรดำเนิ นกำรสหกรณ์ ผูต้ รวจสอบ
กิจกำร ผูจ้ ดั กำร เจ้ำหน้ำที่ หรื อเชิญสมำชิกสหกรณ์มำชี้แจงข้อเท็จจริ งเกี่ยวกับกิจกำร
ของสหกรณ์ หรื อให้ส่งเอกสำรเกี่ยวกับกำรดำเนิ นงำน หรื อรำยงำนกำรประชุมของ
สหกรณ์ได้ (มำตรำ 17)
2.2 เข้ำไปตรวจสอบในสำนักงำนของสหกรณ์ในระหว่ำงเวลำทำงำนของ
สหกรณ์ และสั่งให้ผเู ้ กี่ยวข้องอำนวยควำมสะดวกหรื อช่วยเหลือ หรื อให้คำชี้ แจงได้
ตำมสมควร (มำตรำ 18 วรรคหนึ่ง)
ให้ผูส้ อบบัญ ชี ต ำมวรรคหนึ่ ง แสดงบัต รประจ ำตัว ตำมแบบที่ รั ฐมนตรี
กำหนดต่อผูซ้ ่ ึ งเกี่ ยวข้อง (มำตรำ 18 วรรคสองและวรรคสำม) (เงื่ อนไขในกำรใช้
อำนำจ)
มำตรกำรทำงอำญำ
กำรฝ่ ำฝื นหรื อขัดคำสั่งหรื อขัดขวำงกำรปฏิ บตั ิกำรของผูส้ อบบัญชี ตำมข้อ
2.1 และข้อ 2.2 ต้องระวำงโทษทำงอำญำ ปรับไม่เกิน 10,000 บำท (ตำมมำตรำ 130
และมำตรำ 131 ตำมลำดับ)
มำตรกำรทำงปกครอง
ยังไม่ มีกำรกำหนดมำตรกำรบังคับกำรปกครอง แต่นำยทะเบี ยนสหกรณ์
หรื อผูไ้ ด้รับมอบหมำยมีอำนำจออกระเบียบนำยทะเบียนสหกรณ์เพื่อใช้บั งคับอย่ำง
กฎ และมีโทษปรับเป็ นรำยวันจนกว่ำจะมีกำรดำเนิ นกำรตำมอำนำจของผูส้ อบบัญชี
หรื อระงับกำรกระทำอันเป็ นกำรขัดขวำงหรื อฝ่ ำฝื นกำรปฏิบตั ิงำนของผู้สอบบัญชี น้ ี
โดยอำศัยอำนำจตำมควำมในมำตรำ 16(8)
• หน้ ำที่หลักมีเพียงประกำรเดียว คือ ตำมมำตรำ 69
“เพือ่ ตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์ ”
• ปฏิบตั ิตำมมำตรฐำนกำรสอบบัญชีที่รับรองทัว่ ไปและตำม
ระเบียบ ที่นำยทะเบียนสหกรณ์กำหนด (ตำมมำตรำ 69
วรรคสอง)
•
กำรใช้อำนำจตำมกฎหมำยขององค์กรของรัฐ หรื อเจ้ำหน้ำที่ของ
รัฐในฝ่ ำยปกครอง
•
ฝ่ ำยปกครองเป็ นส่ วนหนึ่ งของอำนำจบริ หำรหรื อฝ่ ำย
บริ ห ำร ฝ่ ำยปกครองจึ ง หมำยถึ ง องค์ก รของรั ฐ หรื อ
เจ้ำหน้ำที่ของรัฐซึ่ งอยูใ่ นบังคับบัญชำหรื อในกำกับดูแล
ของนำยกรัฐมนตรี หรื อรัฐมนตรี คนใดคนหนึ่ง
•
•
•
ผลผลิตของกำรกระทำของฝ่ ำยปกครอง ซึ่งอำจแบ่ งออกเป็ น 2
ประเภท ได้ แก่
1) กำรกระทำทัว่ ไป เช่น พนักงำนขับรถยนต์ขบั รถ หรื อ
นำยแพทย์ผำ่ ตัดหรื อรักษำคนไข้ เป็ นต้น
2) กำรกระทำทำงปกครอง ซึ่งเป็ นเรื่ องสำคัญที่จะนำไปสู่
เรื่ องของคำสัง่ ทำงปกครอง และกำรพิจำรณำทำงปกครองจะเป็ น
ส่ วนหนึ่งของกำรกระทำทำงปกครอง
•
ผลผลิตของกำรใช้อำนำจตำมกฎหมำยขององค์กร ของรัฐ
หรื อเจ้ำหน้ำที่ของรัฐฝ่ ำยปกครอง
1) กฎ ได้แก่ พระรำชกฤษฎีกำ กฎกระทรวง ประกำศกระทรวง ข้อบัญญัติทอ้ งถิ่น ระเบียบ
ข้อบังคับ หรื อบทบัญญัติอื่นที่มีผลใช้บงั คับเป็ นกำรทัว่ ไป โดยไม่มุ่งหมำยใช้บงั คับกับกรณี
ใดหรื อบุคคลใดเป็ นกำรเฉพำะ
2) คำสั่ งทำงปกครอง หมำยควำมว่ำ กำรใช้อำนำจตำมกฎหมำยของเจ้ำหน้ำที่ที่มีผล เป็ นกำร
สร้ ำ งนิ ติสัม พัน ธ์ ข้ ึ น ระหว่ำงบุ ค คลในอัน ที่ จ ะก่ อ เปลี่ ย นแปลงโอน สงวน ระงับ หรื อ มี
ผลกระทบต่อสถำนภำพของสิ ทธิ หรื อหน้ำที่ ของบุคคล เช่ น กำรสั่งกำร กำรอนุ ญำต กำร
อนุมตั ิ
กำรวินิจฉัยอุทธรณ์ กำรรับรอง และกำรรับจดทะเบียน หรื อตัวอย่ำงที่เห็นได้ง่ำย
และใกล้ตวั ผูส้ อบบัญชีที่สุดก็คือ คำสั่งทำงปกครอง ตำมมำตรำ 17 มำตรำ 18 และมำตรำ 22
(1)-(4)
3) คำสั่ งทั่วไป หมำยควำมถึ งกำรใช้อำนำจตำมกฎหมำยของเจ้ำหน้ำที่ แต่ ไม่มีผลกระทบ
ต่ อสิ ทธิ ห รื อหน้ำที่ ของบุ คคล หรื อมิ ได้เ ป็ นกำรสร้ ำ งนิ ติ สัมพันธ์ข้ ึ น ระหว่ำ งบุ ค คล และ
หมำยถึง กำรพิจำรณำทำงปกครองด้วย
ควำมหมำยของ “กำรพิจำรณำทำงปกครอง” คือ กำร
เตรี ยมกำร และกำรดำเนินกำร ของเจ้ำหน้ำที่เพื่อจัดให้มี
คำสัง่ ทำงปกครอง
(1) คำสั่ งทำงปกครองทีอ่ ยู่อำนำจหน้ ำทีข่ องผู้สอบบัญชี
(1.1) ออกคำสัง่ เป็ นหนังสื อให้คณะกรรมกำรดำเนินกำรสหกรณ์ ผู ้
ตรวจสอบกิ จ กำร ผูจ้ ัด กำร เจ้ำ หน้ำที่ หรื อเชิ ญ สมำชิ ก สหกรณ์ ม ำชี้ แ จง
ข้อ เท็จ จริ ง เกี่ ย วกับ กิ จ กำรของสหกรณ์ หรื อ ให้ส่ ง เอกสำรเกี่ ย วกับ กำร
ดำเนินงำน หรื อรำยงำนกำรประชุมของสหกรณ์ได้ (มำตรำ 17)
(1.2) เข้ำไปตรวจสอบในสำนักงำนของสหกรณ์ในระหว่ำงเวลำทำงำน
ของสหกรณ์ได้ และสั่งให้ผเู ้ กี่ยวข้องอำนวยควำมสะดวก หรื อช่วยเหลือ หรื อ
ให้คำชี้แจงได้ตำมสมควร (มำตรำ 18 วรรคหนึ่ง)
จำกคำสั่งทำงปกครองที่เป็ นอำนำจหน้ำที่ ของผูส้ อบบัญชี
ดังกล่ำว จะเห็นได้ว่ำกระทบต่อสิ ทธิ หรื อหน้ำที่ของผูเ้ กี่ ยวข้องไม่
มำกนัก กรณี จึงอำจไม่มีควำมสำคัญเท่ำใดนัก แต่หำกมำพิจำรณำ
ถึ ง อ ำนำจหน้ ำ ที่ ข องผู้ส อบบัญ ชี ใ นส่ ว นของกำรพิ จ ำรณำทำง
ปกครอง ซึ่ งมีควำมหมำยว่ำ กำรเตรี ยมกำรหรื อกำรดำเนิ นกำรเพื่อ
จัดให้มีคำสั่งทำงปกครอง คือ กำรรำยงำนผลกำรตรวจสอบบัญชี
และเสนอควำมเห็นต่อนำยทะเบียนสหกรณ์ หรื อของนำยทะเบียน
สหกรณ์ เพื่อให้มีคำสั่งทำงปกครองตำมมำตรำ 22 (1)-(4) จะเห็ นได้
ควำมสำคัญอย่ำงยิ่ง และเป็ นข้อเสนอที่ มีผลกระทบต่อกำรดำรงอยู่
ของสหกรณ์หรื อระบบสหกรณ์อย่ำงมำก
8.1 ฝ่ ำยปกครองจะใช้อำนำจออกกฎ ออกคำสั่ง หรื อกำร
กระทำกำรใด ๆ ก็ตำมที่มีผลเป็ นกำรกระทบต่อสิ ทธิ เสรี ภำพ หรื อ
ประโยชน์อนั ชอบธรรมของบุคคลได้ต่อเมื่อมีกฎหมำย ให้อำนำจ
และเพียงเท่ำที่กฎหมำยให้อำนำจไว้เท่ำนั้น ดังนั้น กฎหมำยจึงเป็ น
ทั้งที่มำของอำนำจ และเป็ นข้อจำกัดอำนำจ
8.2 กรณี ก ฎหมำยเป็ นที่ ม ำของอ ำนำจนั้น เป็ นเรื่ องที่ เข้ำใจได้โดยง่ ำ ย และมี
แบบอย่ำงให้เห็นมำกมำย เช่น กำรออกคำสั่งโดยมีขอ้ ควำมว่ำ อำศัยอำนำจตำมควำม ในมำตรำ .....
แห่งพระรำชบัญญัติ.... เป็ นต้น แต่ในกรณี ที่กฎหมำยเป็ นข้อจำกัดอำนำจ นั้น เป็ นเรื่ องที่เข้ำใจ
ค่อนข้ำงยำกอยูบ่ ำ้ ง เพรำะบำงครั้งข้อจำกัดอำนำจในกำรกระทำของฝ่ ำยปกครอง อยูใ่ นกฎหมำยที่
ให้อำนำจในกำรกระทำนั้นเอง เช่ น กรณี รัฐธรรมนูญบัญญัติว่ำ กำรจำกัดสิ ทธิ และเสรี ภำพของ
บุคคลที่ รัฐธรรมนู ญรับรองไว้จะกระทำได้โดยอำศัย อำนำจตำมบทบัญญัติ แห่ งกฎหมำย
เฉพำะเพื่อกำรที่รัฐธรรมนูญนี้ กำหนดไว้ และเท่ำที่จำเป็ น ซึ่ งหมำยควำมว่ำ รัฐธรรมนูญให้
อำนำจ ฝ่ ำยนิ ติบญั ญัติและฝ่ ำยบริ หำรจำกัดสิ ทธิและเสรี ภำพของบุคคลได้ โดยกำรตรำเป็ น
พระรำชกำหนดหรื อพระรำชบัญญัติ เช่นนี้ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่ำวจึงเป็ นที่มำ
ของอำนำจในกำรจำกัดสิ ทธิ และเสรี ภำพของประชำชน แต่ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญก็จำกัด
อำนำจของฝ่ ำยนิ ติบญ
ั ญัติและฝ่ ำยบริ หำรในกำรตรำกฎหมำยจำกัดสิ ทธิ และเสรี ภำพ ของ
ประชำชนไว้ดว้ ยว่ำ “เฉพำะเพื่อกำรที่ รัฐธรรมนู ญกำหนดไว้ และเท่ำที่ จำเป็ น” หรื อกรณี
ตำมมำตรำ 16 (8) ให้อำนำจนำยทะเบียนสหกรณ์ออกระเบียบหรื อคำสั่งเพื่อใช้บงั คับ แก่
สหกรณ์ท้ งั ปวง โดยมีขอ้ จำกัดอำนำจไว้เฉพำะเพื่อให้มีกำรปฏิบตั ิตำมพระรำชบัญญัติฯ และ
เพื่อประโยชน์ในกำรดำเนินกิจกำรของสหกรณ์
แต่ในบำงครั้งข้อจำกัดอำนำจของฝ่ ำยปกครองในกำรใช้อำนำจตำมกฎหมำย
มิได้บญ
ั ญัติไว้ในกฎหมำยฉบับนั้นเอง เช่นนี้ แล้วฝ่ ำยปกครอง หรื อเจ้ำหน้ำที่ของรัฐก็
จะต้อ งตรวจสอบกฎหมำยที่ เ กี่ ย วข้อ งทั้ง ปวงว่ำ มี ข ้อ จ ำกัด อ ำนำจไว้ห รื อ ไม่ และ
อย่ำงไร เพื่อมิให้กำรกระทำทำงปกครองนั้นเป็ นกำรขัดต่อกฎหมำยที่เกี่ยวข้องขึ้น เช่น
กรณี กำรออกระเบียบ นำยทะเบียนสหกรณ์วำ่ ด้วยกำรตรวจสอบกิจกำรสหกรณ์ตำม
พระรำชบัญญัติสหกรณ์ ต้องตรวจสอบว่ำกำรออกระเบี ยบดังกล่ำวขัดต่อหลักกำร
ส่ งเสริ มและคุม้ ครองระบบสหกรณ์ ให้เป็ นอิสระตำมมำตรำ 84 (9) ของรัฐธรรมนูญ
แห่ งรำชอำณำจักรไทยหรื อไม่ และกำรยกเลิกระเบียบดังกล่ำวขัดต่อหลักกำรส่ งเสริ ม
องค์กรภำคเอกชนทำงเศรษฐกิ จให้มีควำมเข้มแข็งหรื อไม่ ตำมมำตรำ 86 (13) ของ
รัฐธรรมนูญเดียวกัน หรื อกรณี จะออกคำสั่งนำยทะเบียนสหกรณ์มอบอำนำจเกี่ยวกับ
กำรตรวจสอบกิจกำรสหกรณ์กต็ อ้ งตรวจสอบก่อนว่ำจะไปขัดแย้งกับกฎกระทรวงแบ่ง
ส่ วนรำชกำรรำชกำรกรมตรวจบัญชีสหกรณ์หรื อไม่เป็ นต้น
ที่ได้พยำยำมพูดถึ งข้อจำกัดอำนำจของฝ่ ำยปกครองในหลำยมิ ติ และ
มำกมำย เพื่อจะชี้นำแก่ผสู ้ อบบัญชีท้ งั หลำยได้เดินทำงมำถึงจุดสำคัญที่เกี่ยวกับ
กำรปฏิบตั ิหน้ำที่ของผูส้ อบบัญชี สหกรณ์ท้ งั หลำย กล่ำวคือ ในรัฐธรรมนู ญทุก
ฉบับที่ตรำขึ้นภำยใต้ระบอบประชำธิ ปไตยและหลักริ ติรัฐ (Rule of Law) จะมี
กำรกำหนดหลักกำรสำคัญเพื่อเป็นข้อจำกัดอำนำจของฝ่ ำยบริ หำรไว้ 2 ประกำร
ในหมวดว่ำด้วยสิ ทธิและเสรี ภำพของชนชำวไทย คือ
(1) หลักควำมเสมอภำค หลักดังกล่ำว เป็ นข้อจำกัดอำนำจของฝ่ ำยปกครอง ที่จะต้องใช้
อำนำจตำมกฎหมำยต่อประชำชนอย่ำงเสมอภำค หรื อเท่ำเทียมกัน เช่น ไม่เลือกปฏิบตั ิ
ต่อบุ คคลโดยไม่เป็ นธรรม หรื อสร้ ำงควำมไม่เที ยมกันระหว่ำงชำยกับหญิ ง เป็ นต้น
หลักกำรดังกล่ำวจะปรำกฏในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ดังนี้
- มำตรำ 26 กำรใช้อำนำจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึ งถึงศักดิ์ศรี
ควำมเป็ นมนุษย์
- มำตรำ 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมำย และได้รับควำมคุม้ ครองตำม
กฎหมำยเท่ำเทียมกัน
ชำยและหญิงมีสิทธิ์ เท่ำเทียมกัน
กำรเลือกปฏิบตั ิโดยไม่เป็ นธรรมต่อบุคคลเพรำะเหตุแห่ งควำม
แตกต่ ำงในเรื่ องถิ่ นกำเนิ ด เชื้ อ ชำติ ภำษำ เพศ อำยุ ควำมพิกำร สภำพทำงกำยหรื อ
สุ ข ภำพ สถำนะของบุ ค คล ฐำนะทำงเศรษฐกิ จ หรื อ สั ง คม ควำมเชื่ อ ทำงศำสนำ
กำรศึ ก ษำอบรม
หรื อ ควำมคิ ด เห็ น ทำงกำรเมื อ งอัน ไม่ ข ัด ต่ อ บทบัญ ญัติ แ ห่ ง
รัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้
(2) หลักควำมได้ สัดส่ วน หรือหลักพอสมควรแก่ เหตุ
หลักดังกล่ ำว เป็ นข้อจำกัดอำนำจของฝ่ ำยบริ หำรหรื อฝ่ ำยปกครองที่ จ ะต้องใช้
อ ำนำจตำมกฎหมำยโดยควำมได้สั ด ส่ ว น ไม่ ม ำกเกิ น ไปหรื อ ไม่ น้อ ยเกิ น ไปได้สัด ส่ ว น
ระหว่ำงอำนำจ หรื อมำตรกำรกับเหตุกำรณ์ หรื อโดยพอสมควรแก่เหตุ เช่น ต้องมีเหตุตำมที่
กฎหมำยก ำหนด จึ ง จะใช้อ ำนำจได้ หรื อ ใช้อ ำนำจเพี ย งเท่ ำ ที่ จ ำเป็ น ดัง จะปรำกฏใน
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ดังนี้
- มำตรำ 29 บัญญัติให้ฝ่ำยบริ หำรหรื อฝ่ ำยปกครองใช้อำนำจจำกัดสิ ทธิ เสรี ภำพ
ของบุคคลหรื อประชำชนได้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมำย และเท่ำที่จำเป็ น
- มำตรำ 43 วรรคสอง บัญญัติให้ฝ่ำยบริ หำรหรื อฝ่ ำยปกครองใช้อำนำจจำกัดสิ ทธิ
เสรี ภำพในกำรประกอบกิ จกำรหรื อประกอบอำชี พได้ เฉพำะเพื่อ ประโยชน์ในกำรรั กษำ
ควำมมัน่ คงของรัฐหรื อเศรษฐกิจของประเทศกำรคุม้ ครองประชำชนในด้ำนสำธำรณู ปโภค
กำรรั ก ษำควำมสงบเรี ย บร้ อ ยหรื อ ศี ล ธรรมอัน ดี ข องประชำชน กำรคุ ้ม ครองผู้บ ริ โ ภ ค
กำรผัง เมื อ ง กำรรั ก ษำทรั พ ยำกรธรรมชำติ ห รื อ สิ่ ง แวดล้อ ม สวัส ดิ ภ ำพของประชำชน
หรื อ เพื่ อ ป้ องกัน กำรผูก ขำด หรื อ ขจัด ควำมไม่ เ ป็ นธรรมในกำรแข่ ง ขัน เหล่ ำ นี้ ล้ว นเป็ น
ข้อจำกัดกำรใช้อำนำจตำมกฎหมำยของฝ่ ำยปกครองโดยจะใช้อำนำจจำกัดสิ ทธิ เสรี ภำพของ
ประชำชนได้ต่อเมื่อมีเหตุ หรื อเฉพำะเมื่อมีเหตุดงั กล่ำวตำมที่กำหนดในกฎหมำยนั้นเอง
นอกจำกนั้น มีกำรบัญญัติขอ้ จำกัดในทำนองเดียวกันในกำรจำกัดเสรี ภำพ
ด้ำนอื่น ๆ ของบุคคลหรื อประชำชน
ในส่ ว นของหลัก ควำมเสมอภำค เป็ นเรื่ อ งที่ เ ข้ำ ใจง่ ำ ยค่อ นข้ำ งชัด เจน
และเกี่ยวข้องกับผูส้ อบบัญชีนอ้ ยมำกแต่ในส่ วนของหลักควำมได้สัดส่ วนหรื อหลัก
พอสมควรแก่ เหตุน้ ี มีควำมสำคัญกับกำรปฏิ บตั ิ หน้ำที่ ของผูส้ อบบัญชี อย่ำงมำก
เนื่องจำกกำรปฏิบตั ิหน้ำที่ตำมกฎหมำยของผูส้ อบบัญชีเป็ นกำรกระทำทำงปกครอง
ไม่ว่ำจะเป็ นกำรออกคำสั่งทำงปกครองตำมมำตรำ 17 และมำตรำ 18
ของ
พระรำชบัญญัติสหกรณ์ หรื อเป็ นกำรพิจำรณำทำงปกครองโดยกำรเสนอรำยงำนผล
กำรสอบบัญชีเพื่อให้นำยทะเบียนสหกรณ์หรื อรองนำยทะเบียนสหกรณ์ใช้ อำนำจ
ตำมกฎหมำยสหกรณ์ มำตรำ 22 (1) – (4) เพื่อบังคับแก่สหกรณ์ จึงจำเป็ นต้อง ถูก
ตรวจสอบควำมชอบด้วยกฎหมำยของกำรกระทำทำงปกครองของผูส้ อบบัญชี โดย
ศำล หรื อโดยหน่วยตรวจสอบต่ำง ๆ อันจะนำไปสู่ ควำมรับผิดชอบในทำงวินยั ทำง
อำญำ และทำงแพ่ง ดังนั้น ผูส้ อบบัญชีตอ้ งสังวร และระลึกอยู่เสมอว่ำกำรกระทำ
ทำงปกครองของท่ำนจะต้องเป็ นไปตำมหลักควำมได้สัดส่ วน หรื อพอสมควร
แก่เหตุดว้ ย
10. หลักควำมได้ สัดส่ วน ประกอบด้ วยหลักกำรย่ อย ๆ
3 หลักด้ วยกัน คือ
1) หลักสัมฤทธิ์ผล
2) หลักควำมจำเป็ น
3) หลักควำมมีเหตุผล
โดย 3 หลักนี้ ตอ้ งพิจำรณำเรี ยงกันไปและจะต้องผ่ำนเกณฑ์ ทั้ง 3 หลักกำรกระทำ
ทำงปกครองจึงจะเป็ นกำรกระทำที่ชอบด้วยกฎหมำย เป็ นกระบวนกำรกลัน่ กรองกำรใช้อำนำจ
ทำงปกครองเช่นเดียวกับเครื่ องกรองน้ ำในสมัยโบรำณที่มีควำมหมำยและละเอียดเป็ นลำดับขั้น
ดังจะกล่ำวโดยละเอียด ดังนี้
1) หลักควำมสั มฤทธิ์ผล เป็ นหลักที่เรี ยกว่ำ Common sense หรื อสำมัญสำนึกเป็ น
หลักที่บงั คับว่ำในบรรดำมำตรกำรทั้งหลำยที่กฎหมำยให้อำนำจฝ่ ำยปกครองออกมำใช้บงั คับ
แก่รำษฎรในกรณี ใดกรณี หนึ่ ง ฝ่ ำยปกครองต้องใช้วิจำรณญำณเลือกออกมำตรกำรที่กฎหมำย
เปิ ดช่องให้ฝ่ำยปกครองใช้อยูด่ ว้ ยกัน 3 มำตรกำร จึงเป็ นดุลยพินิจของฝ่ ำยปกครองที่จะเลือก
มำตรกำรใดก็ไ ด้ใ น 3 มำตรกำรนี้ แต่ เมื่ อ มำดู กับ สถำนกำรณ์ ที่เกิ ด ขึ้ น จริ ง แล้ว ปรำกฏว่ำ
มำตรกำรที่หนึ่ ง เมื่อเลือกใช้แล้วไม่สำมำรถที่จะรักษำประโยชน์สำธำรณะที่อยูใ่ นเจตนำรมณ์
ของกฎหมำยฉบับที่ให้อำนำจนั้นได้ ผลก็คือมีกำรจำกัดสิ ทธิและเสรี ภำพของรำษฎร แต่ไม่ได้
ทำให้ประโยชน์สำธำรณะได้รับกำรรักษำเลยแม้แต่นอ้ ย แสดงว่ำมำตรกำรที่หนึ่งไม่สัมฤทธิ์ผล
ถ้ำเรำเทียบว่ำกำรจำกัดสิ ทธิ และเสรี ภำพของรำษฎรเป็ นต้นทุน ประโยชน์ที่เกิดจำกมำตรกำร
จัดสิ ทธิ และเสรี ภำพของรำษฎรเป็ นผลประกอบกำรกำรลงทุนในครั้งนี้ ขำดทุนอย่ำงสิ้ นเชิ ง
เท่ำกับมำตรกำรไม่สัมฤทธิ์ ผล เป็ นมำตรกำรทีจำกัดสิ ทธิ และเสรี ภำพของรำษฎรโดยไม่เกิ ด
ประโยชน์ จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแน่นอน
ตัวอย่ำงคือ คำพิพำกษำฎีกำที่ 1110/2512 เป็ นเรื่ องของกำรใช้มำตรกำรที่ บญั ญัติให้
อำนำจไว้ตำม พ.ร.บ.ป้ องกันกำรค้ำกำไรเกินควรฯ ซึ่ งปั จจุบนั ถูกยกเลิกไปแล้ว และแทนที่
โดย พ.ร.บ.ว่ำด้วยรำคำสิ นค้ำและบริ กำร พ.ศ.2542 เนื่องจำกมีสินค้ำบำงชนิดที่จำเป็ นแก่กำรอุปโภค
ของประชำชน จึงต้องพยุงรำคำไม่ให้สูงเกิน และมิให้มีกำรกักตุนสิ นค้ำ จึงจำเป็ นต้องตรำขึ้นเพื่อ
ควบคุมรำคำสิ นค้ำด้วยกำรป้ องกันมิให้มีกำรกักตุนสิ นค้ำที่จำเป็ น เพื่อให้มีรำคำสู งขึ้น อันเป็ น
กำรค้ำกำไรเกินควร อันเป็ นเจตนำรมณ์ของพระรำชบัญญัติฯ และเป็ นประโยชน์สำธำรณะ จึงให้
อำนำจฝ่ ำยปกครอง เมื่อเห็นว่ำสิ นค้ำใดก็ตำมที่จำเป็ นแก่กำรอุปโภคบริ โภคแล้วรำคำสู งขึ้น
อย่ำงไม่ได้สัดส่ วนกัน ระหว่ำง Demand กับ Supply มีกำรกักตุนไว้ไม่ปล่อยสิ นค้ำ เข้ำสู่
ตลำดหรื อปล่อยแต่เป็ นจำนวนน้อย เมื่อเป็ นเช่นนี้ แล้ว ฝ่ ำยปกครองต้องออกประกำศฉบับหนึ่ งเป็ น
เบื้ องต้น คือ ประกำศให้สินค้ำตัวนั้น เป็ นสิ นค้ำควบคุมในรำชกิ จจำนุ เบกษำ พอประกำศ
ดังกล่ำวแล้วตัวพระรำชบัญญัติฯ ก็ให้อำนำจฝ่ ำยปกครองออกมำตรกำรต่ำง ๆ หลำยประกำร
เกี่ ยวกับสิ นค้ำควบคุมนั้น ซึ่ งทุกมำตรกำรที่ออกมำนั้นเป็ นกำรจำกัดสิ ทธิ และเสรี ภำพของ
บุคคล ซึ่ งเป็ นสิ ทธิตำมรัฐธรรมนูญทั้งสิ้ น ข้อเท็จจริ งในทำงคดีปรำกฏว่ำ เกิดภำวะสุ กรแหละ
ขำดแคลนในจังหวัดนรำธิวำส ทำให้สุกรมีรำคำสูง ทั้งกรที่มีชีวิตก็มีรำคำสู ง พอชำแหละแล้วรำคำยิง่
สูงขึ้นไปอีก
ฝ่ ำยปกครองจึงออกประกำศให้สุกรมีชีวิตเป็ นสิ นค้ำควบคุม จำกนั้นก็ออกประกำศอีกฉบับ
หนึ่ งตำมมำกำหนดมำตรกำรห้ำมนำสุ กรมีชีวิตจำกนอกเขตเข้ำไปจำหน่ำยในเขตที่สุกรขำด
แคลน คือ เขตอำเภอตำกใบ จังหวัดนรำธิ วำส ซึ่ งกำรออกประกำศห้ำมนำสุ กรมี ชีวิตจำก
ท้องที่ อื่ นเข้ำไปจ ำหน่ ำยในท้องที่ อ ำเภอตำกใบที่ สุ กรขำดแคลน โดยเจตนำรมณ์ ของกำรออก
ประกำศ คื อ พยุงรำคำสุ กรมี ชี วิ ตไม่ ให้ม ันสู ง พอรำคำไม่ สู งพอซื้ อมำช ำแหละขำยรำคำก็ ต่ ำ
ประชำชนก็สำมำรถซื้ อมำบริ โภคได้ แต่พิจำรณำถึงผลที่เกิดขึ้นในควำมเป็ นจริ งจะเห็นได้ว่ำ
ในขณะที่สุกรในเขตอำเภอตำกใบขำดแคลนจึงมีรำคำสู ง มำตรกำรที่จะทำให้รำคำสุ กรในเขตอำเภอ
ตำกใบต่ำลงคือมำตรกำรห้ำมนำสุ กรในเขตอำเภอตำกใบออกนอกเขตพื้นที่ เลี้ยงที่อำเภอตำก
ใบต้องขำยภำยในเขตอำเภอเขตตำกใบเท่ำนั้น ห้ำมนำไปขำยที่อื่น แต่มำตรกำรที่ ใช้กลับ
ตรงกันข้ำมคือ กลับไปออกกฎ ออกประกำศห้ำมนำสุ กรมีชีวิตจำกท้องที่อื่นเข้ำมำจำหน่ำย
ในเขตอำเภอตำกใบ ซึ่ งยิง่ จะทำให้ปริ มำณสุ กรในเขตอำเภอตำกใบน้อยลงเพรำะต้อ งฆ่ำกิน
ทุกวัน และเมื่อยิง่ น้อยลงเท่ำไรรำคำสุ กรก็ตอ้ งสูงขึ้นเป็ นธรรมดำ จึงเห็นได้วำ่ เป็ นมำตรกำรที่
ทำให้รำคำสุ กรมี ชีวิตในเขตอำเภอตำกใบมี สถำนกำรณ์ ร้ำยแรงขึ้ น รำคำสุ กรมี ชีวิตยิ่งจะ
สู งขึ้ นไปอี กเพรำะปริ มำณน้อย อันเป็ นมำตรกำรที่ ไม่สัมฤทธิ์ ผล เป็ นกำรจำกัดสิ ทธิ และ
เสรี ภำพของผูค้ นแต่ไม่สำมำรถพยุงรำคำสุ กร
ไม่ให้สูงขึ้นได้เลย และยิ่งจะทำให้รำคำสู งขึ้นไปอีก นี่ เป็ นหลักสำมัญสำนึ กธรรมดำ ๆ จึง
เป็ นมำตรกำรที่ไม่สัมฤทธิ์ ผล โดยแท้จริ งแล้วไม่ตอ้ งกำรให้รำคำสุ กรมีรำคำต่ำ เพรำะผูอ้ อก
ประกำศเป็ นผูล้ ้ ียงสุ กรเสี ยเอง จึงเป็ นหลักฐำนที่บอกถึงกำรใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ มีเจตนำ
ซ่อนเร้นหรื อแอบแฝง มำตรกำรที่คณะกรรมกำรส่ วนจังหวัดนรำธิวำสออกมำใช้บงั คับฉบับนี้
จึงถูกศำลฎีกำวินิจฉัยว่ำเป็ นมำตรกำรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมำย และจำเลยในคดีอำญำนี้โดยกำร
ฝ่ ำฝื นประกำศดังกล่ำวไม่ตอ้ งรั บผิด พิพำกษำยกฟ้ อง ฏีกำนี้ คือตัวอย่ำงของหลักควำมได้
สัดส่ วน หลักกำรย่อยข้อ 1. หลักควำมสัมฤทธิ์ผล
2) หลักควำมจำเป็ น หลักนี้ บอกว่ำในบรรดำมำตรกำรทั้งหลำยซึ่ งล้วนแต่ เป็ น
มำตรกำร ที่ สั ม ฤทธิ์ ผล คื อ สำมำรถด ำเนิ น กำรให้ เ กิ ด ประโยชน์ แ ก่ ส ำธำรณะที่ อ ยู่ใ น
เจตนำรมณ์ของกฎหมำยปรำกฏเป็ นจริ งขึ้นมำได้ในทำงปฏิบตั ิน้ นั ฝ่ ำยปกครองจะต้องเลือก
มำตรกำร ที่รุนแรงน้อยที่สุด นี่ คือควำมหมำยของหลักควำมจำเป็ น คือ จำกัดสิ ทธิ และ
เสรี ภำพของรำษฎรเพียงเท่ำที่จำเป็ นแก่กำรรักษำประโยชน์สำธำรณะหรื อประโยชน์ส่วนรวม
เกินจำเป็ นมิได้ ส่ วนที่เกินจำเป็ นไม่ชอบธรรม จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หลักควำมจำเป็ นนี้
มีบญ
ั ญัติไว้ชดั แจ้ง ในมำตรำ 29 ของรัฐธรรมนู ญฉบับปั จจุบนั ซึ่ งบัญญัติว่ำกำรจำกัด
สิ ทธิ และเสรี ภำพ ของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอำศัยอำนำจ
ตำมบทบัญญัติแห่งกฎหมำยเฉพำะเพื่อกำรที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้ และเท่ำที่จำเป็ นแก่กำร
รักษำประโยชน์สำธำรณะ เพรำะฉะนั้นมำตรกำรที่ทำให้ประโยชน์สำธำรณะเป็ นจริ งขึ้นมำ
ได้ในทำงปฏิ บตั ิ สัมฤทธิ์ ผล แต่ ว่ำจำกัดสิ ทธิ และเสรี ภำพของรำษฎรเกิ นจำเป็ น คื อใช้
มำตรกำรที่รุนแรงน้อยกว่ำได้ แต่ไปเลือกใช้มำตรกำรที่รุนแรงกว่ำก็ขดั รัฐธรรมนูญได้ เช่น
ในกำรสลำยกำรชุ ม นุ ม ที่ ไ ม่ ช อบ ซึ่ งกำรชุ ม นุ ม ที่ ไ ม่ ช อบนี้ ไม่ ไ ด้รั บ ควำมคุ ้ม ครองจำก
รัฐธรรมนูญ โดยมำตรกำรที่ใช้ในกำรสลำยกำรชุมนุมมี 3 มำตรกำร สมมุติมำตรกำรแรกใช้
ระเบิดขว้ำงเข้ำไป 2 ลูก ตำยทุกคน วิธีกำรนี้สมั ฤทธิ์ผลแต่ทำลำยชีวติ ผูช้ ุมนุม มำตรกำรที่สอง
รุ นแรงน้อยกว่ำใช้ปืน M 16 ยิงเข้ำไป ซึ่งยังมี
บำงคนอำจไม่ โดนกระสุ นปื น จึ งรุ นแรงน้อยกว่ำมำตรกำรที่ หนึ่ งแต่ ก็สัมฤทธิ์ ผลเช่ นกัน
มำตรกำรที่สำม ใช้แก๊สน้ ำตำและรถดับเพลิงฉี ดน้ ำเข้ำไปในฝูงชน ซึ่ งก็เป็ นกำรกระทบสิ ทธิ
เสรี ภ ำพของประชำชนท ำให้ เ ขำได้รั บ อัน ตรำยแก่ ก ำย ซึ่ งสิ ท ธิ แ ละเสรี ภ ำพในร่ ำ งกำย
ซึ่ งรัฐธรรมนูญประกำศรับรอง ทั้งสำมมำตรกำรนี้สัมฤทธิ์ผลด้วยกันทั้งนั้น สำมำรถสลำยกำรชุมนุม
ที่ผิดกฎหมำย ซึ่ งไม่ได้รับควำมคุม้ ครองตำมรัฐธรรมนู ญได้เหมือนกันหมดทุกมำตรกำร แต่ถำ้ ฝ่ ำย
ปกครองเลือกใช้มำตรกำรที่หนึ่ งหรื อมำตรกำรที่สองก็ขดั รัฐธรรมนูญทันที ต้องเลือกมำตรกำรที่สำม
เพรำะว่ำสัมฤทธิ์ผลแต่รุนแรงน้อยที่สุดต่อสิ ทธิและเสรี ภำพของรำษฎรนี่คือหลักควำมจำเป็ น
ในกำรสลำยกำรชุ มนุ มเมื่ อวันที่ 7 ตุลำคม นั้น ศำลปกครองกลำงได้วินิจฉัยว่ำ กำรชุ มนุ ม
ดังกล่ ำวเป็ นกำรชุ มนุ มที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมำยจึ งไม่ ได้รับควำมคุ ม้ ครองตำมรั ฐธรรมนู ญ
รัฐจึงสำมำรถสลำยกำรชุมนุมได้ และได้วำงหลักมำตรกำรสลำยกำรชุมนุมจำกเบำไปหำหนัก
คื อ มี ค วำมรุ น แรงน้อ ยที่ สุ ด แต่ ก็รั ก ษำควำมสงบสุ ข ของประชำชนได้ เป็ นกำรก ำหนด
มำตรกำรสลำยกำรชุมนุมโดยใช้หลักควำมได้สัดส่ วน หลักควำมสัมฤทธิ์ ผลและหลักควำม
จำเป็ นในกำรวินิจฉัยพิพำกษำคดี
3) หลักควำมได้ สัดส่ วน หลักนี้บอกว่ำ ในบรรดำมำตรกำรที่สัมฤทธิ์ผลและเป็ นมำตรกำร
ที่จำเป็ น คือ สำมำรถรักษำประโยชน์สำธำรณะได้และรุ นแรงต่อสิ ทธิและเสรี ภำพของรำษฎร
น้อยที่ สุด แล้วก็ต ำม แต่ หำกว่ำ มำตรกำรนั้นออกมำใช้แล้ว มัน ยังก่ อให้เกิ ดประโยชน์ น้อ ย
เมื่อเปรี ยบเทียบกับควำมเสี ยหำยที่เกิดแก่สิทธิและเสรี ภำพของรำษฎร ฝ่ ำยปกครองก็ไม่อำจใช้
มำตรำนั้นได้เลย และถ้ำหำกฝ่ ำยปกครองมีมำตรกำรก่อให้เกิดขึ้น ฝ่ ำยปกครองต้องอยูเ่ ฉย ๆ
ไม่ใช้มำตรกำรนั้นหรื อไม่ใช้มำตรกำรอะไรเลย เช่น กำรสร้ำงเขื่อนหรื ออ่ำงเก็บน้ ำ ถ้ำเห็นได้
ว่ำประโยชน์มีน้อยกว่ำเมื่อเทียบกับควำมเสี ยหำย เขื่อนนั้นก็สร้ำงไม่ได้ ขัดกับหลักควำมได้
สัดส่ วนในควำมหมำยอย่ำงแคบ หรื อ เช่น กำรออก พระรำชกฤษฎีกำ กำหนดให้ทอ้ งที่ถนน
เยำวรำช เป็ นเขตปฏิรูปที่ดิน โดยอำศัยอำนำจตำม พ.ร.บ. กำรปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม
พ.ศ.2518 กำรใช้ดุลยพินิจตรำ พระรำชกฤษฎีกำดังกล่ำวไม่ขดั ต่อกฎหมำยแม่บท จึงทำได้ไม่มี
กฎหมำยห้ำมว่ำท้องที่ใดบ้ำงห้ำมนำมำดำเนินกำรปฎิรูปที่ดิน แต่ถนนเยำวรำชเพำะปลูกไม่ได้
จึ งไม่ เกิ ดประโยชน์ ไม่สมตำมเจตนำรมณ์ ของกำรปฏิรูปที่ ดิน เพื่อเกษตรกรรมและควำม
เสี ยหำย มีมำกมำย ต้องเวนคืนที่ดินของเอกชนเป็ นจำนวนมำก ต้นทุนในกำรเวนคืนหรื อค่ำ
ทดแทนที่ ดินเป็ นจำนวนมำกมำยมหำศำลเมื่ อเอำมำปฎิ รูปที่ ดินจัดสรรให้แก่เกษตรกรแล้ว
เกษตรกรก็ไม่สำมำรถเพำะปลูกได้ ท้ำยที่สุดก็ขำยทิ้ง จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยไม่ชอบ
ด้วยหลักควำมได้สัดส่ วน หลักกำรย่อยที่หนึ่ ง คือ ไม่สัมฤทธิ์ ผลของกำรออกพระรำชกฤษฎีกำ หรื อ
กรณี มำตรกำรบังคับรถแท็กซี่ทุกคันที่ขอจดทะเบียนใหม่ตอ้ งใช้แก๊ส NGV เท่ำนั้น เป็ นมำตรกำร
ที่จำกัดสิ ทธิและเสรี ภำพของผูป้ ระกอบอำชีพขับรถแท็กซี่ เมื่อออกกฎกระทรวงดังกล่ำวใช้บงั คับก็มี
คนไปฟ้ องศำลปกครอง ศำลปกครองตัดสิ นว่ำ ประโยชน์ที่ได้รับจำกกฎกระทรวงดังกล่ำว คือ
ประหยัดพลังงำน แต่วำ่ เป็ นกฎที่สร้ำงภำระให้เกิดแก่ผปู้ ระกอบอำชีพขับรถแท็กซี่ เกินสมควร
เพรำะเหตุ ว่ำไม่ มี สถำนบริ กำรเติ มน้ ำมันอย่ำงพอเพียง หลักควำมได้สัดส่ วนอย่ำงแคบนี่ เองที่
นำมำใช้ในกำรวินิจฉัย เรื่ องนี้ ตำมมำตรำ 29 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับปั จจุบนั ที่ บญั ญัติวำ่ “เท่ำที่
จำเป็ น” ถ้ำไม่สมั ฤทธิ์ผลก็ไม่จำเป็ น จำกัดเสรี ภำพเกินควำมจำเป็ น เพรำะฉะนั้นไม่ได้เป็ นเรื่ อง
ที่เป็ นหลักกฎหมำยลอย ๆ เพื่อให้เกิดควำมสวยหรู ศำลปกครองได้นำหลักควำมได้สัดส่ วนมำใช้ใน
กำรตัดสิ นคดีหลำยคดี เช่น คำพิพำกษำศำลปกครองกลำงหมำยเลขคดีแดงที่ 2253/2545 เป็ น
กรณี ฟ้องขอให้เพิกถอนประกำศกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ที่ห้ำมชำวประมงใช้อุปกรณ์บำง
ชนิ ดทำกำรประมงในฤดูวำงไข่ คือ ยังจับสัตว์น้ ำได้ แต่ห้ำมใช้อุปกรณ์บำงชนิด เช่น อวนรุ น
เพรำะว่ำจะมี ไข่ปลำติดมำกับอวนรุ นไปหมด ชำวประมงจึงฟ้ องเพิกถอนประกำศดังกล่ำว อ้ำง
ว่ำขัดรัฐธรรมนูญ จำกัด เสรี ภำพของชำวประมงในกำรประกอบอำชีพประมงและละเมิดสิ ทธิชุมชน
ศำลปกครองกลำงพิพำกษำว่ำแม้ประกำศดังกล่ำวจะเป็ นมำตรกำรที่จำกัดเสรี ภำพของบุคคล
ตำมรัฐธรรมนูญ
แต่ มำตรกำรที่ จ ำกัดสิ ทธิ และเสรี ภำพของบุ คคลไม่ จ ำเป็ นจะต้องเป็ นมำตรกำรที่ ไม่ ชอบด้วย
กฎหมำยและขัดต่อรัฐธรรมนูญเสมอไป ประกำศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฉบับนี้ไม่ขดั กับหลัก
ควำมได้สัดส่ วน โดยสำมำรถสัมฤทธิ ผลในกำรรักษำปลำไม่ให้สูญพันธุ์ปลำไว้ เป็ นประโยชน์
สำธำรณะสื บไป รวมทั้งไม่มีมำตรกำรอื่นที่รุนแรงน้อยกว่ำนี้ เพรำะชำวประมงยังสำมำรถจับปลำ
หรื อสัตว์น้ ำได้เพียงแต่หำ้ มใช้อวนรุ นเท่ำนั้นอันเป็ นไปตำมหลักควำมได้สดั ส่ วนในควำมหมำยอย่ำง
แคบ ประกำศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังกล่ ำวจึ งเป็ นกฎที่ ชอบด้วยกฎหมำยไม่ ขดั ต่ อ
รัฐธรรมนูญ และละเมิดสิ ทธิของชุมชนแต่อย่ำงใด พิพำกษำยกฟ้ อง
หลักควำมเสมอภำค เป็ นหลักที่ถูกนำมำบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปั จจุบนั หลำย
มำตรำ แต่มำตรำที่สำคัญที่สุด คือ มำตรำ 30 ซึ่งมี 3 วรรค วรรคแรก บุคคลย่อมมีเสรี ภำพบุคคล
ย่อมเสมอกับกฎหมำยเท่ำเทียมกัน วรรคสอง ชำยและหญิงมีสิทธิ เท่ำเทียมกัน และวรรคสำม
กำรเลือกปฏิบตั ิโดยไม่เป็ นธรรมต่อบุคคลเพรำะเหตุแห่งควำมแตกต่ำงเรื่ องถิ่นกำเนิด เชื้อชำติ
ภำษำ เพศ อำยุ ควำมพิกำร ฯลฯ กระทำมิได้ ซึ่งมำตรำ 30 นี้หลักกำรที่สำคัญจริ ง ๆ คือควำมใน
วรรคสำม หลักควำมเสมอภำค หลักนี้ มีควำมหมำยว่ำรัฐจะต้องปฏิบตั ิต่อบุคคลที่เหมือนกัน
อย่ำงเดี ยวกัน และปฏิบตั ิต่อบุคคลที่แตกต่ำงกันในสำระสำคัญคนละอย่ำงกัน เพรำะฉะนั้น
ปฏิ บตั ิ ต่ อคนที่ เหมื อ นกันในสำระสำคัญที่ แตกต่ ำงกันย่อมขัดต่ อ หลักควำมเสมอภำคหรื อ
ปฏิบตั ิต่อคนที่แตกต่ำงกันในสำระสำคัญอย่ำงเดียวกันก็ขดั กับหลักควำมเสมอภำคเช่นกัน อย่ำ
บอกทุกคนว่ำคนทุกคนเท่ำเทียมกันทุกกรณี เพรำะเป็ นไปไม่ได้ ในทำงปฏิบตั ิ และในชี วิต
จริ งเรำมีกำรแบ่งคนออกเป็ นประเภท เรำปฏิบตั ิต่อคนแต่ละคนประเภทแตกต่ำงกันหลำยกรณี
เช่ น เรำแยกคนออกเป็ น 2 ประเภท เช่น ผูเ้ ยำว์กบั ผูบ้ รรลุนิติภำวะ แล้วเรำก็ปฏิบตั ิต่อผูเ้ ยำว์
อย่ำงหนึ่ง ผูบ้ รรลุนิติภำวะแล้วอีกอย่ำงหนึ่ง หรื อเรำแบ่งคนเป็ น 2 ประเภท
โดยคำนึงถึง
เพศของเขำ คือ เพศชำยกับเพศหญิง แล้วปฏิบตั ิต่อเพศชำยอย่ำงหนึ่ ง เพศหญิงอีกอย่ำงหนึ่ ง
เช่น สิ ทธิลำคลอดบุตรมีได้เฉพำะเพศหญิงเท่ำนั้น ซึ่งไม่เป็ นกำรเลือกปฏิบตั ิที่ไม่เป็ น
ธรรมแต่อย่ำงใด เพรำะเป็ นกำรปฏิบตั ิ ต่อบุ คคลที่ แตกต่ำงกันด้วยสำระสำคัญที่ แตกต่ำงกัน
แต่ ถ้ำให้เพศหญิ งและเพศชำยมี สิทธิ ล ำคลอดได้เหมื อนกันย่อมขัดต่ อหลักควำมเสมอภำค
เพรำะเป็ นกำรปฏิบตั ิต่อบุคคลที่แตกต่ำงกันด้วยสำระสำคัญอย่ำงเดียวกัน กำรแบ่งคนออกเป็ น
ประเภทและปฏิบตั ิต่อคนแต่ละประเภทต่ำงกัน ทำได้และจำเป็ นต้องทำ แต่สิ่งที่รัฐธรรมนู ญ
ห้ำม คือ กำรเลื อกปฏิบตั ิ โดยไม่เป็ นธรรม นั่นก็คือ กำรปฏิบตั ิ โดยแบ่งคนออกเป็ นประเภท
โดยคำนึ งถึงอำยุ เพศ หรื ออะไรก็แล้วแต่ที่รัฐธรรมนูญกำหนด เช่น คนพุทธ คนอิสลำม ผูเ้ ยำว์
ผูบ้ รรลุนิติภำวะ คนปั กษ์ใต้ คนเหนือ ทนำยควำม ผูพ้ ิพำกษำ และปฏิบตั ิต่อคนต่ำงประเภทกัน
แตกต่ ำงกัน รั ฐธรรมนู ญห้ำมมิ ให้กระทำกำรปฏิ บตั ิ แบบนี้ เรี ยกว่ำกำรเลื อกปฏิ บ ตั ิ แบ่ งคน
ออกเป็ นประเภทและปฏิบตั ิต่อคนประเภทหนึ่ งอย่ำงหนึ่ ง และอีกประเภทหนึ่ งอีกอย่ำงหนึ่ ง
รัฐธรรมนูญไม่ได้หำ้ ม รัฐธรรมนูญห้ำมเฉพำะกำรเลือกปฏิบตั ิโดยไม่เป็ นธรรมเท่ำนั้น และเป็ น
ธรรมหรื อไม่เป็ นธรรมนั้น ดูว่ำมีเหตุผลฟั งได้หรื อไม่ จะวินิจฉัยตำมหลักควำมได้สัดส่ วนอีก
เหมือนกัน กำรเลือกปฏิบตั ิน้ นั ในเบื้องต้นเลย 1) ต้องมีเจตนำรมณ์หรื อมีเหตุผลอันชอบธรรม
คือ เพื่อประโยชน์สำธำรณะ 2) กำรเลือกปฏิบตั ิน้ นั แบ่งคนออกเป็ นหลำยประเภท โดยคำนึงถึง
เรื่ องนั้นเรื่ องนี้ แล้วจึงปฏิบตั ิต่อคนต่ำงประเภทกันแตกต่ำงกัน สำมำรถดำเนินกำรให้บรรลุตำม
เจตนำรมณ์ ที่ ช อบธรรมได้ 3) คื อจ ำเป็ น ไม่ มี วิ ธี กำรอื่ นที่ จะบรรลุ เจตนำรมณ์ ในเวลำนั้นได้
นอกเหนือจำกกำรเลือกปฏิบตั ิ
เช่ น เจ้ำพนักงำนจรำจรอำศัยอำนำจตำม พ.ร.บ. จรำจรทำงบกฯ ออกประกำศกำหนดห้ำม
ไม่ให้รถยนต์วิ่งบนถนนสำยใดสำยหนึ่ งเกินอัตรำที่กำหนดที่กฎหมำยกำหนด บนทำงด่วน
ห้ำมเกิน 80 กม./ชม. ได้ แต่ถำ้ ออกประกำศห้ำมมิให้รถยนต์สีแดงวิง่ บนทำงด่วนเกิน 60 กม./
ชม. นี่คือกำรเลือกปฏิบตั ิ คือ แบ่งคนออกเป็ นประเภทโดยคำนึงถึงสี ของรถยนต์ที่เขำขับและ
ปฏิบตั ิต่อคนต่ำงประเภทกันแตกต่ำงกัน คือ คนขับรถสี แดงห้ำมขับรถเกิน 60 กม./ชม. แต่
คนขับรถสี อื่นขับรถยนต์ได้เร็ วตำมใจชอบ จึ งเป็ นกำรเลื อกปฏิบตั ิ และเมื่ อ พิจำรณำจำก
เจตนำรมณ์ของ พ.ร.บ.จรำจรทำงบกฯ คือ กำรรักษำสวัสดิภำพในชีวติ และทรัพย์สินของผูข้ บั
ขี่รถยนต์และประชำชนผูใ้ ช้ทำงจรำจร จะเห็นได้วำ่ ประกำศห้ำมดังกล่ำวไม่สมั ฤทธิ์ผลในกำร
รักษำสวัสดิภำพในชีวติ และทรัพย์ตำมเจตนำรมณ์ของ พ.ร.บ. จรำจรทำงบกฯ เป็ นกำรกระทำ
โดยอำเภอใจ ขัดรัฐธรรมนูญ เป็ นกำรเลือกปฏิบตั ิที่ไม่เป็ นธรรมเพรำะไม่เกิดประโยชน์โดย
ใช้หลักควำมได้สดั ส่ วน นี่คือหลักควำมเสมอภำค
กำรใช้อำนำจตำมกฎหมำย 2 ฉบับ คือ แนวทำงปฏิบตั ิตำมระเบียบนำยทะเบียนสหกรณ์
ว่ำด้วยกำรสั่งกำรให้สหกรณ์ แก้ไขข้อบกพร่ องเกี่ ยวกับกำรเงิ นกำรบัญชี และกำรรำยงำนกำรใช้
อำนำจ ของนำยทะเบียนสหกรณ์ พ.ศ.2556 กำรตรวจสอบบัญชีของสหกรณ์ของผูส้ อบบัญชี
ซึ่ งจำกกำรใช้อำนำจตำมกฎหมำย 2 ฉบับดังกล่ ำว ท ำให้เกิ ดผลผลิ ตทำงกฎหมำยปกครอง 2
ประกำรคือ
(1) คำสัง่ ทำงปกครองตำมมำตรำ 17 และมำตรำ 18 แห่งพระรำชบัญญัติสหกรณ์
(2) กำรพิจ ำรณำทำงปกครอง เกี่ ยวกับ กำรรำยงำนและเสนอให้สหกรณ์ แ ก้ไ ข
ข้อบกพร่ องเกี่ ยวกับกำรเงิ นกำรบัญชี เพื่อให้นำยทะเบี ยนสหกรณ์ หรื อรองนำยทะเบี ยน
สหกรณ์ใช้อำนำจออกคำสัง่ ทำงปกครองตำมมำตรำ 22 (1)-(4)
จำกกำรกำรทำทำงปกครองทั้ง 2 ประกำรดังกล่ำว ผูส้ อบบัญชีจึงอำจถูกตรวจสอบ
ควำมชอบด้วยกฎหมำยของกำรกระทำทำงปกครองได้โดยศำลหรื อหน่วยตรวจสอบ ซึ่ งก็จะ
นำหลักกำรในรัฐธรรมนูญ โดยเฉพำะหลักควำมได้สัดส่ วนมำใช้ในกำรตรวจสอบควำมชอบ
ด้วยกฎหมำยของกำรกระทำทำงปกครองของท่ำนว่ำชอบด้วยกฎหมำยหรื อไม่ หำกพบว่ำ
กำรกระทำทำงปกครองของท่ำนไม่ชอบด้วยหลักควำมได้สัดส่ วนดังกล่ำว กำรกระทำของ
ท่ำน ก็จะเป็ นกำรกระทำที่ไม่ชอบโดยกฎหมำย
 มาตรา
๙ วรรค ๑ (๑)
ศาลปกครองมีอานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคาสัง่ ในเรื่อง
ดังต่อไปนี้
(๑) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่
ของรัฐกระทาการโดยมิชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็ นการออกกฎ คาสัง่
หรือการกระทาอื่นใดเนือ่ งจากกระทาโดยไม่มอี านาจหรือนอกเหนือ
อานาจหน้าที่หรือไม่ถกู ต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถกู ต้องตามรูปแบบ
ขัน้ ตอนหรือวิธีการอันเป็ นสาระสาคัญที่กาหนดไว้สาหรับการกระทานัน้
หรือโดยไม่สจุ ริต หรือมีลกั ษณะเป็ นการเลือกปฏิบตั ทิ ี่ไม่เป็ นธรรม หรือ
มีลกั ษณะเป็ นการสร้างขัน้ ตอนโดยไม่จาเป็ นหรือสร้างภาระให้เกิดกับ
ประชาชนเกินสมควร หรือเป็ นการใช้ดลุ พินจิ โดยมิชอบ