Transcript now

การเก็บรวบรวมขอมู
้ ล
ธรรมชาติของขอมู
้ ล
Theory
 Abstract statements that make
claims about the world and how it
works
 Research problems are usually
stated at a theoretical level
 Poverty leads to poor health.
Concepts
 Building blocks of theory which
are usually abstract and cannot be
directly measured
 poverty, poor health
Indicators
 Phenomena which point to the
existence of the concepts
 low income, poor living conditions,
restricted diet, etc.
Variables
 Components of the indicators
which can be measured
 levels of overcrowding, levels of
litter, etc.
Values
 Actual units of measurement of
the variables.
 These are data in their most
concrete form.
 numbers of people per room
Example
 Theory – Poverty leads to poor
health
 Concepts – Poverty, poor health
 Indicators of Poverty – Low income,
poor living conditions
 Variables of Poor Living Conditions –
Levels of overcrowding, levels of
litter
 Values of Levels of Overcrowding –
Numbers of people per room
แหลงข
่ อมู
้ ล
การรวบรวมขอมู
่ ข
ี อมู
่ องการ
้ ลจากแหลงที
่ ม
้ ลทีต
้
แบงเป็
่ น
1 ข้อมูลปฐมภูม ิ (Primary Data) ไดแก
้ ข
่ อมู
้ ล
ซึง่ มาจากแหลงที
่ เ่ กิดของขอมู
้ ลโดยตรง เช่น
ในการรวบรวมอายุผเข
ถารวบรวม
ู้ าอบรม
้
้
ขอมู
ละคน
ขอมู
้ ลจากผูเข
้ าอบรมแต
้
่
้ ลอายุท ี่
ไดมาเรี
ยกวาข
้
่ อมู
้ ลปฐมภูม ิ
2 ข้อมูลทุตย
ิ ภูม ิ (Secondary Data) ไดแก
้ ่
ขอมู
่ าจากแหลงที
้ ลทีม
่ ไ่ มใช
่ ่ แหลงที
่ เ่ กิดขอมู
้ ล
โดยตรง แตได
งอื
่ ทีร่ วบรวม
่ มาจากแหล
้
่ น
ขอมู
้ ลปฐมภูม ิ (Primary Data)
 คือขอมู
่ วิ
ั ตองเก็
บขึน
้ มาใหมเพื
่
้ ลใดๆ ทีผ
้ ู จย
้
่ อ
วัตถุประสงคของการวิ
จย
ั นั้นๆ
์
 เครือ
่ งมือทีใ่ ช้เก็บขอมู
้ ล ไดแก
้ ่
1) การสารวจ (Survey) เป็ นวิธก
ี ารเก็บขอมู
้ ลจาก
ประชากรเป้าหมายทีก
่ ระจายอยูในพื
น
้ ทีต
่ างๆ
อาจ
่
่
ใช้วิธ ี ดังนี้ สั งเกตการณ์ (Observation) การ
สั มภาษณ์ (Interview) และ การใช้แบบสอบถาม
(Questionnaire) แตถ
่ าเป็
้ นการเก็บขอมู
้ ลจากทุกๆ
หน่วยในประชากร เรียกวา่ การสารวจสามะโน
(Census)
2) การทดลอง (Experiments) ไดแก
้ การรวบรวม
่
สั งเกตการณ ์ (Observation)
การเก็บขอมู
้ ลแบบสั งเกตการณ ์
แบงเป็
่ น 2 ประเภท คือ
1. การสั งเกตการณแบบเข
าไปมี
ส่วน
้
์
รวม
(Participant Observation)
่
2. การสั งเกตการณแบบไม
ได
่ มี
้ ส่วนรวม
่
์
(Non-participant Observation)
สั งเกตการณ ์ (Observation)
ข้อดี
 ไดข
่ ก
ึ ซึง้ กวาวิ
ี ารอืน
่
้ อมู
้ ลทีล
่ ธก
 เป็ นขอมู
จริ
้ ลทีไ่ ดจากสถานการณ
้
์ ง
 เป็ นขอมู
่ องถึงการเปลีย
่ นแปลงของ
้ ลทีม
ขัน
้ ตอนตางๆ
่
ข้อเสี ย
อ
่ งทีศ
่ ึ กษา
 ใช้ไดเฉพาะบางเรื
้
 สิ้ นเปลือง ใช้เวลานาน
 หาบุคลากรทีจ
่ ะทาหน้าทีส
่ ั งเกตการณยาก
์
การสั มภาษณ ์ (Interview)
 เป็ นวิธก
ี ารเก็บรวบรวมขอมู
่ องอาศั
ยคาถาม
้ ลทีต
้
จากผูสั
าตอบจากผูตอบ
สามารถ
้ มภาษณและค
้
์
ถามบุคคลทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัย ยืดหยุน
่
ได้ และไดข
้ อมู
้ ลครบถวน
้
 ใช้การสั งเกตการณร
วยได
ี ด
ี่ ี
่
้
้ เป็ นวิธท
์ วมด
ทีส
่ ุดเกีย
่ วกับพฤติกรรม ความรูสึ้ กนึกคิดและ
ทัศนคติ แตอาจมี
การบิดเบือนได้ อาจได้
่
ขอมู
้ ลไมเพี
่ ยงพอหากผูถู
้ กสั มภาษณมี
์ เวลาไม่
พอ
 ช่องทางสั มภาษณ ์ เช่น
การสั มภาษณ ์ (Interview)
ขอดี
พท ์
้ ของการสั มภาษณทางโทรศั
์
 สามารถรับรูเหตุ
การณต
ทันเวลาที่
้
์ างๆ
่
เกิดขึน
้ ณ สถานทีอ
่ น
ื่
 รวดเร็ว ประหยัดคาใช
่
้จาย
่
 อาจไดข
่ ด
ุ
้ อมู
้ ลทีเ่ ป็ นความจริงมากทีส
ขอเสี
พท ์
้ ยของการสั มภาษณทางโทรศั
์
 ไมสามารถใช
ี ั งเกตการณได
่
้วิธส
์ ้
 จากัดเฉพาะผู้มีโทรศั พทเท
์ านั
่ ้น
 ใชเวลาในการสั มภาษณจากัด
การสั มภาษณ ์ (Interview)
ข้อดีของการสั มภาษณตั
่ ว
์ วตอตั
 ระบุผสั
ู้ มภาษณได
้ ่ นอน
์ แน
 ถามคาถามไดมาก
้
 ทาไดแน
้ ่ นอนตามกาหนดเวลา
ข้อเสี ยของการสั มภาษณตั
่ ว
์ วตอตั
 ขอมู
้ ลอาจถูกบิดเบือนไดง้ าย
่
 คาใช
ง
่
้จายสู
่
 ตองแข
งกั
้
่ บเวลา
 บางคนให้สั มภาษณได
้
์ ยาก
การใช้แบบสอบถาม
(Questionnaire)
 แบบสอบถาม คือชุดคาถามทีใ
่ ช้เป็ น
เครือ
่ งมือในการเก็บขอมู
้ ล สามารถ
ใช้กับกลุมตั
านวนมากได้
่ วอยางจ
่
และงายต
อการวิ
เคราะห ์
่
่
 วัตถุประสงคของการใช
้แบบสอบถาม
์
 สอบถามความจริง
 สอบถามความคิดเห็ น
 สอบถามเหตุผล
การใช้แบบสอบถาม
(Questionnaire)
ข้อดี
 ตนทุ
้ นตา่
 กระจายถึงกลุมตั
พร
กัน
่ วอยางได
่
้ อมๆ
้
 ตอบคาถามไดง
้ าย
่
 ผูตอบกล
าเปิ
้
้ ดเผยขอมู
้ ล
ข้อเสี ย
 ผูตอบไม
สนใจตอบ
การไดรั
้
่
้ บคืนตา่
 ผูตอบไม
สามารถซั
กถามปัญหาได้
้
่
 ประชากรจากัดแคกลุ
อ
่ านออกเขี
ยนได้
่ มคนที
่
่
ขอมู
ิ ภูม ิ (Secondary
้ ลทุตย
Data)
 คือขอมู
่ ผ
ี รวบรวมไว
แล
ปแบบ
้ ลใดๆ ทีม
ู้
้ วในรู
้
เอกสาร เช่น ไดจากการศึ
กษาคนคว
าจาก
้
้
้
ห้องสมุดตางๆ
สถานทีร่ าชการ
องคกร
่
์
เอกชน บุคคลตางๆ
และแหลงเอกสารอื
น
่ ๆ
่
่
 ข้อควรพิจารณาในการเก็บรวบรวมขอมู
ิ
้ ลทุตย
ภูม ิ
 เก็บจากแหลงข
่ ถือได้
่ อมู
้ ลทีเ่ ชือ
 ขอมู
นสมัย
้ ลตองทั
้
 ไมควรใชการอางอิงหลายตอมากเกินไป
3.2 ขอมู
ิ ภูม ิ
้ ลทุตย
(Secondary Data)
ข้อดีของขอมู
่ าจากเอกสาร
้ ลทีม
 สะดวกรวดเร็ว
 ไมต
าการเก็บใหม่ ทาให้ประหยัดเวลา
่ องท
้
และคาใช
่
้จาย
่
 สามารถศึ กษายอนหลั
งไดไกลเท
าที
้
้
่ เ่ อกสารนั้น
จะทาได้ ทาให้ทราบแนวโน้มการ
เปลีย
่ นแปลง
ข้อเสี ยของขอมู
่ าจากเอกสาร
้ ลทีม
 ขอมู
วนสมบู
รณพอ
้ ลไมครบถ
่
้
์
การตรวจสอบคุณภาพของ
เครือ
่ งมือ
1. การวิเคราะหทางกายภาพ
์
2. การวิเคราะหทางสถิ
ต
์
การวิเคราะหทางกายภาพ
์
 คาถามชัดเจนหรือไม่
 ภาษาทีใ
่ ช้รัดกุมเหมาะสมหรือไม่
 คาสั่ งชัดเจนหรือไม่
 ความยาวของเครือ
่ งมือเหมาะสม
หรือไม่
 รูปแบบของเครือ
่ งมือเหมาะสมหรือไม่
วิธก
ี ารทางสถิต ิ
1. ใช้ในการ
วิเคราะหคุ
์ ณภาพ
ของเครือ
่ งมือวิจย
ั
วิธก
ี ารทาง
สถิต ิ
4. ใช้ในการ
นาเสนอผลการ
วิเคราะหข
้ ล
์ อมู
2. ใช้ในการ
คัดเลือกกลุม
่
ตัวอยาง
่
3.1 สถิต ิ
เชิงบรรยาย
3. ใช้ใน
หรือเชิง
การ
พรรณนา
วิเคราะห ์
3.2 สถิต ิ
ข้อมูล
อ้างอิงหรือ
เชิงอนุ มาน
3.2.1
สถิตม
ิ ี
พารามิเ
ตอร
3.2.2์
สถิตไิ ร้
พารามิเ
ตอร ์
การวิเคราะหทางสถิ
ติ
์
ความเทีย
่ งตรง (Validity)
หมายถึง ความสามารถในการวัดไดตรง
้
กับสิ่ งทีต
่ องการจะวั
ด
้
และวัดไดครอบคลุ
มพฤติกรรมลักษณะที่
้
ตองการ
้
 ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity)
 ความตรงตามโครงสราง
(Construct
้
Validity)
 ความตรงตามเกณฑสั
์ มพันธ ์ (Criterion
Related Validity)
ความตรงตามเนื้อหา
(Content Validity)
 เครือ
่ งมือหรือแบบสอบถามทีส
่ รางขึ
น
้ ให้ตรง
้
ตามโครงสรางนั
้น มีความสอดคลอง
้
้
ระหวางเนื
้อหาสาระของเครือ
่ งมือ ทีส
่ ราง
่
้
ขึน
้ กับเนื้อหาสาระของสิ่ งทีต
่ องการวิ
จย
ั หรือ
้
วัตถุประสงคการวิ
จย
ั โดยแบบสอบถามที่
์
สรางขึ
น
้ มานั้น ตองครอบคลุ
มกรอบของ
้
้
เนื้อหา
(ตรงตามวัตถุประสงค/กรอบ
์
แนวคิด/นิยามศั พท)์
 การตรวจสอบโดยใช้ผูเชี
่ วชาญเฉพาะ
้ ย
ความตรงตามเนื้อหา
(Content Validity)
ความหมายของคะแนน IOC
+ 1
หมายถึง ขอค
้ าถามนั้น
สอดคลองกั
บวัตถุประสงคนั
้
์ ้น
 0 หมายถึง ไมแน
องกั
บ
่ ่ ใจวาสอดคล
่
้
วัตถุประสงค ์
- 1
หมายถึง ขอค
้ าถามนั้นไม่
สอดคลองกั
บวัตถุประสงคนั
้
์ ้น
ตัวอยางการหาค
าคะแนน
IOC
่
่
ความตรงตามโครงสราง
้
(Construct Validity)
 การเครือ
่ งมือหรือแบบสอบถามทีส
่ รางขึ
น
้ นั้น
้
สามารถวัดคุณลักษณะ/ขอบเขตตามโครงสรางของ
้
เรือ
่ งทีท
่ าการวิจย
ั ไดหรื
้ั ตอน
้ อไม่ โดยมีขน
ดาเนินการสรางเครื
อ
่ งมือวิจย
ั ดังนี้
้
1. ผูวิ
ั พิจารณาจากวัตถุประสงคและกรอบแนวคิ
ด
้ จย
์
การวิจย
ั เป็ นหลัก
2. การพิจารณาแนวคิดหรือทฤษฎี และนิยามศั พท ์
เฉพาะแนวทาง
3. การพิจารณาจากแบบสอบถามของผลงานวิจย
ั ที่
เกีย
่ วของด
วย
้
้
4. การพิจารณาจากจานวนประชากรหรือขนาดกลุม
ความตรงตามโครงสราง
้
(Construct Validity)
มีวธิ ก
ี ารตรวจสอบหลายวิธ ี ไดแก
้ ่
 การเปรียบเทียบคะแนนระหวางกลุ
มตั
่
่ วอยาง
่
ทีม
่ พ
ี ฤติกรรมหรือคุณลักษณะนั้นแตกตาง
่
กัน (Known-Group Technique)
 การหาคาสั
่ มประสิ ทธิส์ หสั มพันธ ์
(Correlation Coefficient)
ขอเสนอ 2 วิธี
 วิธข
ี องคารเวอร
์
์ (Carver Method)
 วิธก
ี ารหาคาสหสั
มพันธแบบฟี
(Phi่
์
้
ธข
ี องคารเวอร
Validity) ดวยวิ
้
์
์
(Carver Method)
 ทาไดโดยการน
าแบบทดสอบทีส
่ รางขึ
น
้ ไป
้
้
ทดสอบกับกลุมผู
่ ้เรียนทีเ่ รียนแลวกั
้ บกลุม
่
ผู้เรียนทีย
่ งั ไมเคยเรี
ยน
่
้
มพันธแบบฟี
Validity) วิธก
ี ารหาคาสหสั
่
์
(Phi-Correlation)
 ทาไดโดยการหาความสั
มพันธของผู
เรี
้
้ ยน 2 กลุม
่
์
คือ 1) กลุมผู
่ งั ไมได
่ เรี
้ ยนทีย
่ รั
้ บการสอนหรือไมได
่ ้
สอบกอนเรี
ยน และ 2) กลุมผู
่
่ เรี
้ ยนทีเ่ รียนแลว
้
หรือผานการสอบหลั
งเรียนแลว
่
้
ความตรงตามเกณฑสั์ มพันธ ์
(Criterion Related Validity)
 เป็ นความเทีย
่ งตรงของเครือ
่ งมือทีเ่ กิดจากการเอา
ผลหรือคะแนนทีไ่ ดจากการวั
ดดวยเครื
อ
่ งมือทีส
่ ราง
้
้
้
ขึน
้ ไปสั มพันธกั
างหนึ
่งที่
่
่
์ บเกณฑอย
์ างใดอย
เกีย
่ วของกั
บสิ่ งทีต
่ องการศึ
กษา แบงเป็
้
้
่ น 2
ประเภทยอย
คือ
่
1) ความตรงตามสภาพ (Concurrent Validity)
เกณฑ ์ : คะแนนทีม
่ อ
ี ยูในปั
จจุบน
ั  แบบทดสอบ
่
ทีส
่ ามารถวัดไดตามสภาพความเป็
นจริงของกลุม
้
่
ตัวอยาง
การทดสอบทาไดโดยน
าคะแนนของ
่
้
แบบทดสอบทีส
่ รางขึ
น
้ ใหมไปหาค
าสหสั
มพันธกั
้
่
่
์ บ
คะแนนของแบบทดสอบเดิมทีม
่ ค
ี วามเทีย
่ งตรง
ความตรงตามเกณฑสั์ มพันธ ์
(Criterion Related Validity)
2) ความตรงตามพยากรณ์ (Predictive Validity)
เกณฑ ์ : คะแนนทีจ
่ ะหาไดในอนาคตความตรงตาม
้
เกณฑสั์ มพันธ ์  การหาความสั มพันธระหว
าง
่
์
คะแนนผลการสอบกับเกณฑของความส
าเร็จทีจ
่ ะ
์
เกิดขึน
้ ในอนาคต โดยใช้คะแนนผลการสอบใน
การพยากรณในอนาคต
การทดสอบทาไดโดยการ
้
์
สรางความสั
มพันธระหว
างคะแนนที
ไ่ ดจาก
้
่
้
์
แบบทดสอบกับเกณฑที
์ ใ่ ช้ในการวัดความสาเร็จ
ความตรงตามเกณฑสั์ มพันธ ์
(Criterion Related Validity)
การแปลผล
r = 0 แสดงวาตั
่ วแปรทัง้ สองไมมี
่ ความสั มพันธ ์
กั
r นเลย
<r 0.5 แสดงวาตั
่ วแปรมีความสั มพันธกั
์ น
น
r ้ อย
0.5 < < 0.8 แสดงวาตั
่ วแปรทัง้ สองมี
ความสั มพันธกั
์ นปานกลาง
> 0.8 แสดงวาตั
่ วแปรทัง้ สองมีความสั มพันธ ์
กันสูง
r = 1 แสดงวาตั
่ วแปรทัง้ สองมีความสั มพันธกั
์ น
สรุปความตรงแตละประเภทที
จ
่ าเป็ น
่
สาหรับแบบวัดชนิดตางๆ
่
ความเชือ
่ มัน
่ (Reliability)
 หมายถึง ความคงทีใ
่ นการวัดเมือ
่ วัด
ซา้ ๆ กันหลายครัง้ จะให้คาเหมื
อนเดิม
่
หรือใกลเคี
่ ถือได้ หรือ
้ ยงกันและเชือ
กลาวได
ว
่
้ า่ มีความคงที่ (Stability)
ความเชือ
่ ถือได้ (Dependability)
ความสามารถทานายได้
(Predictability) และ ความถูกตอง
้
(Accuracy) ในการวัดสิ่ งทีต
่ องการวั
ด
้
ความเชือ
่ มัน
่ (Reliability)
วิธก
ี ารหาความเทีย
่ ง
 แบบสั มประสิ ทธิข
์ องความคงตัว (Coefficient of
Stability)
1. วิธส
ี อบซา้ (Test-Retest Method)
2. วิธค
ี ขนาน
ู่
(Parallel Form Method)
 แบบสั มประสิ ทธิข
์ องความสอดคลองภายใน
(Coefficient
้
of Internal Consistency)
1. วิธแ
ี บงครึ
ง่ (Split-half Method)
่
2. วิธวี เิ คราะหส
่
์ ่ วนยอย
 การหาความคงทีภ
่ ายในแบบคูเดอร ์ ริชารทสั
์ น
(Kuder-Richardson) (KR 20 และ KR21)
แบบสั มประสิ ทธิข
์ องความคงตัว
(Coefficient of Stability)
1. วิธส
ี อบซา้ (Test-Retest Method)
 การนาแบบวัดทีต
่ องการหาความเที
ย
่ งไปใช้วัดซา้ ใน
้
กลุมตั
ม โดยเวนระยะช
่ วอยางเดิ
่
้
่ วงเวลาหนึ่ง จากนั้น
ไปหาคาสั
อ
่ มัน
่ )
่ มประสิ ทธิสหสั มพันธ ์ (คาความเชื
่
2. วิธค
ี ูขนาน
(Parallel Form Method)
่
 การหาความเชือ
่ มัน
่ วิธน
ี ี้ทาไดโดยใช
้
้แบบทดสอบ 2
ฉบับทีเ่ หมือนกัน ทาในระยะเวลาทีห
่ างกั
นเพียง
่
เล็กน้อยแบบทดสอบทีเ่ หมือนกันในทีน
่ ี้หมายความวาทั
่ ง้
สอบวัดในสิ่ งเดียวกัน จานวนขอเท
ากั
้
่ น มีโครงสราง
้
เหมือนกัน มีความยากงายในระดั
บเดียวกัน มีวธิ ก
ี าร
่
ทดสอบ การตรวจให้คะแนนและการแปลความหมาย
ของคะแนนเหมือนกัน จากนั้นจึงนาคะแนนจากผล
สูตรการหาคาสหสั
ม
พั
น
ธ
่
์
สอดคลองภายใน
(Coefficient of
้
Internal Consistency)
1. วิธแ
ี บงครึ
ง่ (Split-half Method)
่
แบบคะแนนออกเป็ น 2 ส่วน
เป็ นฉบับแรกและ
ฉบับหลัง หรือ ฉบับขอคี
่ ละฉบับขอคู
้ แ
้ ่ ไปคานวณ
คาสั
ง่ ฉบับ ตอง
่ มประสิ ทธิสหสั มพัทธ ์ เป็ นคาครึ
่
้
นามาคานวณหาคาความเที
ย
่ งเต็มฉบับดวยสู
ตร
่
้
สเปี ยรแมน บราวน์
ตัวอยางวิ
ี บงครึ
ง่ (Spilt-half
่ ธแ
่
Method)
สอดคลองภายใน
(Coefficient of
้
Internal Consistency)
2. วิธห
ี าความเชือ
่ มัน
่ ของแบบทดสอบ
ตามวิธข
ี อง คูเดอร ์ ริชารทสั
์ น (KR
20 และ KR 21)
 ความเชือ
่ มัน
่ ของแบบทดสอบจะกระทา
โดยการนาเอาแบบทดสอบไปเก็บขอมู
้ ล
จากกลุมตั
ยงครัง้ เดียว แลว
่ วอยางเพี
่
้
คานวณหาความเชือ
่ มัน
่ ของ
แบบทดสอบสอบทัง้ ฉบับ
 เป็ นการหาคาความเที
ย
่ งของแบบวัดทีม
่ ี
่
คูเดอร ์ ริชารทสั
์ น (KR20 และ
KR21)
คูเดอร ์ ริชารทสั
์ น (KR20 และ
KR21)
ตัวอยาง
่
ตัวอยาง
่
ตัวอยาง
่
สอดคลองภายใน
(Coefficient of
้
Internal Consistency)
3. วิธห
ี าสั มประสิ ทธิแ์ อลฟา (- Coefficient)
ของครอนบัค (Cronbach)
 ดัดแปลงมาจากสูตร KR-20 นิยมใช้กับ
เครือ
่ งมือวัดประเภทแบบสอบถามชนิดมาตรา
ส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) ตัง้ แต่ 2
ระดับขึน
้ ไป วิธก
ี ารหาความเชือ
่ มัน
่ ของ
แบบสอบถามจะกระทาโดยการนาเอา
แบบสอบถามไปเก็บขอมู
้ ลจากกลุมตั
่ วอยาง
่
เพียงครัง้ เดียว แลวค
่ มัน
่
้ านวณหาความเชือ
ของแบบสอบถามทัง้ ฉบับ
 คะแนนของแบบสอบถามตองอยู
ในมาตรวั
ด
้
่
Coefficient) ของครอนบัค
(Cronbach)
= 12(282) – (52*52)
(12*12)
= 4.72
ความยากของขอสอบ
(Item
้
Difficulty)
 การหาความยากรายขอ
้ จะใช้เฉพาะ
กรณีเครือ
่ งมือการวิจย
ั เป็ นประเภท
แบบทดสอบ (Test) ทีว่ ด
ั ดาน
้
สติปญ
ั ญา (Cognitive Domain) ซึง่
โดยทัว่ ไปขอสอบที
เ่ หมาะสมควรมี
้
ความยากอยูในช
่
่ วงตัง้ แต่ 0.20 ถึง
0.80 โดยที่ คาตั
่ วเลขยิง่ เขาใกล
้
้ 1
แสดงวาข
อนั
แตถ
่ อสอบข
้
้ ้นยิง่ งาย
่
่ า้
สรุปการหาคาความเชื
อ
่ มัน
่
่
ความยากของขอสอบ
(Item
้
Difficulty)
ตัวอยางหาความยากของ
่
ขอสอบ
้
อานาจจาแนก
(Discrimination)
 เครือ
่ งมือการวิจย
ั ทีด
่ ต
ี องสามารถ
้
จาแนกสิ่ งตางๆ
ออกตามคุณลักษณะ
่
ทีต
่ องการได
้
้
 การวิเคราะหอ
์ านาจจาแนกของ
เครือ
่ งมือจะพิจารณาเป็ นรายขอ
้ ซึง่
โดยทัว่ ไปเกณฑก
่ านาจ
์ าหนดคาอ
จาแนกรายขอที
้ เ่ หมาะสมคือตัง้ แต่
0.20 ขึน
้ ไป
การหาคาความยากและค
า่
่
อานาจจาแนก
การแปลความหมายของคา่
ความยาก
การแปลความหมายของคาอ
่ านาจ
จาแนก (คา่ D)
วิธก
ี ารตรวจให้คะแนน
ตัวอยางการค
าอ
่
่ านาจจาแนก
การตรวจสอบคุณภาพของ
เครือ
่ งมือ
 ประสิ ทธิภาพ (Efficiency) เครือ
่ งมือ
การวิจย
ั ทีม
่ ป
ี ระสิ ทธิภาพ หมายถึงมี
ประสิ ทธิภาพในการใช้ไดง้ ายสะดวก
่
รวดเร็ว (Practicality) ครบถวน
้
(Completeness) และประหยัด
คาใช
่
้จาย
่
อ
่ งมือให้มีประสิ ทธิภาพใน
 การสรางเครื
้
การใช้งาน จึงตองพิ
จารณา
้
กลุมเป
่ งมือกับกลุม
่ ้ าหมายวาจะใช
่
้เครือ
่
หลักการสรางและพั
ฒนา
้
เครือ
่ งมือ
 กาหนดตัวแปรทีจ
่ ะวัด
 นิยามปฏิบต
ั ก
ิ าร (Operational Definition)
ตัวแปรทีต
่ องการวั
ด
้
 แจกแจงเนื้อหาทีจ
่ ะวัดตามนิยามปฏิบต
ั ก
ิ าร
ของตัวแปรทีจ
่ ะวัด
 ทาตารางโครงสรางเนื
้อหา
้
 เลือกชนิดและรูปแบบคาถาม
 สรางข
อค
้
้ าถามให้ครอบคลุมเนื้อหาตาม
โครงสราง
้
หลักการสรางและพั
ฒนา
้
เครือ
่ งมือ
 ตรวจสอบความเป็ นปรนัย (Objectivity)
ของคาถาม ความชัดเจนของภาษาทีใ่ ช้
 ตรวจสอบคุณภาพดานความตรงตามเนื
้อหา
้
(Content Validity)
 แกไขปรั
บปรุงขอค
้
้ าถามตามขอเสนอแนะ
้
ของผู้เชีย
่ วชาญ
 ทดลองใช้กับกลุมตั
ประมาณ 30
่ วอยาง
่
คน ทีม
่ ล
ี ก
ั ษณะคลายกั
บกลุมตั
ใ่ ช้
้
่ วอยางที
่
จริง เพือ
่ นามาวิเคราะหคุ
์ ณภาพของ
ตัวอยางขั
น
้ ตอน
่
การหาคุณภาพ
ของแบบทดสอบ
สาหรับ
บทเรียน
คอมพิวเตอร ์
Summary
ขัน
้ ตอนการเลือกกลุม
่
ตัวอยาง
่
1. กาหนด/นิยาม
ประชากรเป้าหมาย
2. รวบรวมสมาชิกทัง้ หมด
ของประชากร
3. กาหนดหน่วยของการ
สุ่มตัวอยาง
่
3.1 ใช้เกณฑ ์
3.2 ใช้สูตรคานวณ
3.3 ใช้ตาราง
4. วางแผนการเลือกกลุม
่
• ประชากรหลัก
ร้อย
• ประชากรหลัก
พัน
• ประชากรหลัก
•ไม
หมืทราบจ
่
านวนประชากร
่น
• ประชากรหลั
•ประมาณคกาสั
่ ดส่วน ->
แสน
Cochran
•ประมาณคาเฉลี
ย
่ ->
่
Cochran
•ทราบจานวนประชากร
•Taro Yamane
•Krejcie and Morgan
•ประมาณคาสั
่ ดส่วน
•ประมาณค
ย
่
่
•Taro
Yamaneาเฉลี
•Krejcie and
Morgan
Summary
ขัน
้ ตอนการเลือกกลุม
่
ตัวอยาง
่
1. กาหนด/นิยาม
ประชากรเป้าหมาย
2. รวบรวมสมาชิกทัง้ หมด
ของประชากร
3. กาหนดหน่วยของการ
สุ่มตัวอยาง
่
4. วางแผนการเลือกกลุม
่
ตัวอยาง
่
1. Simple Random
Sampling
2. Systematic Random
Sampling
3. Stratified Random
Sampling
4.
Cluster Sampling
1. Accidental
Sampling
5.
Sampling
2. Multi-stage
Quota Sampling
3. Purposive Sampling
4. Convenience
Sampling
5. Snowball Sampling
Summary
การเก็บรวบรวมขอมู
้ ล
Primary Data
 Survey
 Observation
 Interview
 Questionnaire
 Experiment
Secondary Data
 Existing Documents
 etc.
1. Content Validity
- Index Objective
Congruence: IOC
การตรวจสอบคุณภาพ 2. Construct Validity
- Carver Method
เครือ
่ งมือ
- Phi-Correlation
1. วิเคราะหทางกายภาพ
์
3. Criterion Related Validity
2. วิเคราะหทางสถิ
ติ
- Concurrent Validity
์
- Predictive Validity
2.1 ทัง้ ฉบับ
1. Coefficient of Stability
 Validity
-Test-Retest Method
 Reliability
-Parallel Form Method
2. Coefficient of Internal
2.2 รายขอ
้
Consistency
 Item Difficulty
-Split-half Method
 Item Discrimination -KR20 and KR21
-Cronbach’s Alpha
Summary
การวิเคราะหข
้ ลเชิง
์ อมู
ปริมาณ
การวิเคราะหข
์ อมู
้ ลเชิงปริมาณ:
1. การเตรียมขอมู
้ ล (Data
Preparation)
2. การนาเสนอขอมู
้ ล (Data
Presentation)
3. การวิเคราะหข
์ อมู
้ ล (Data
การเตรียมขอมู
้ ล (Data
Preparation)
การเตรียมขอมู
้ ล (Data
Preparation)
แบงเป็
้ ตอนยอย
ดังนี้
่ นขัน
่
1. การตรวจสอบความถูกตองของข
อมู
้
้ ล (Data
Checking for Accuracy) การนาขอมู
้ ลที่
ตองการมาพิ
จารณาความถูกตองของข
อมู
้
้
้ ล
2. การกรองขอมู
้ ล (Data Cleaning) เป็ น
กระบวนการทีท
่ าให้เกิดความมัน
่ ใจในคุณภาพ
ของขอมู
่ ะนามาใช้วิเคราะหว์ าถู
้ ลทีจ
่ กตอง
้
โดยการนาขอมู
้ ลทีไ่ มถู
่ กตอง
้ (Inaccurate
Data) ขอมู
้ ลมีคาผิ
่ ดพลาด (Error) หรือมีคา่
ผิดปกติ (Outliers) ออกและจัดการกับขอมู
้ ลที่
สูญหาย (Missing Data)
3. การแปลงรูปแบบขอมู
้ ล (Data
รูปแบบขอมู
้ ล
มาตรการวัด (Measurement Scales)
สามารถจาแนกมาตรการวัดขอมู
้ ลได้
เป็ น 4 มาตรา
 Nominal Scale (นามบัญญัต)ิ
 Ordinal Scale (เรียงลาดับ)
 Interval Scale (อันตรภาค/ระดับช่วง)
 Ratio Scale (อัตราส่วน)
มาตรการวัด (Measurement
Scales)
Nominal Scale (นามบัญญัต)ิ Ordinal Scale (เรียงลาดับ)
1. จัดกลุมได
1. จัดกลุมได
่
้
่
้
2. บอกระดับความมากน้อย
หรือเรียงลาดับได้
เช่น เพศ สถานสมรส
เช่น วุฒก
ิ ารศึ กษา ระดับยศ
Interval Scale (อันตรภาค/
Ratio Scale (อัตราส่วน)
ระดับช่วง)
1. จัดกลุมได
่
้
1. จัดกลุมได
2. บอกระดับความมากน้อย
่
้
2. บอกระดับความมากน้อย
หรือเรียงลาดับได้
หรือเรียงลาดับได้
3. มีคาเป็
่ ช
ี ่ วงหาง
่ นตัวเลขทีม
่
3. มีคาเป็
่ ช
ี ่ วงหาง
เทากั
่ นตัวเลขทีม
่
่ น
เทากั
4. 0 แท้
่ น
การนาเสนอขอมู
้ ล (Data
Presentation)
การนาเสนอขอมู
้ ล (Data
Presentation)
1. การนาเสนอขอมู
้ ลในรูปแบบของบทความ
2. การนาเสนอขอมู
้ ลในรูปตาราง
3. การนาเสนอขอมู
้ ลในรูปกราฟ แผนภาพ และ
แผนภูม ิ
 แผนภูมภ
ิ าพ (Pictograph)
 แผนภูมแ
ิ ทง่ (Bar Chart)
 แผนภาพวงกลม (Pie Chart)
 แผนภาพเชิงเส้น (Line Chart)
 ฮิสโตแกรม (Histogram)
 แผนภาพลาตนและใบ
(Stem and Leaf)
้
 แผนภูม ิ Scatter Plot
 แผนภูม ิ Box Plot
การนาเสนอขอมู
้ ลในรูปแบบ
ของบทความ
ในปี 2547 มหาวิทยาลัยมหาสารคามมี
บุคลากรจานวนทัง้ สิ้ น 624 คน
จาแนกตามประเภทตางๆ
ดังนี้
่
 ขาราขการสาย
ก
้
 ขาราขการสาย
ข
้
 ขาราขการสาย
ค
้
 ลูกจ้างประจา
325 คน
85 คน
127 คน
87 คน
การนาเสนอขอมู
้ ลในรูป
ตาราง
ชัน
้ ปี
จานวนนักศึ กษา
ชัน
้ ปี ท ี่ 1
50
ชัน
้ ปี ท ี่ 2
100
ชัน
้ ปี ท ี่ 3
50
รวม
200
แผนภูมภ
ิ าพ (Pictograph)
เป็ นแผนภูมท
ิ ใี่ ช้รูปสิ่ งตางๆ
เป็ นสั ญลักษณ์
่
แสดงระดับหรือปริมาณของตัวแปร นิยมใช้
มากกับขอมู
่ วกับประชากร
้ ลเกีย
แผนภูมแ
ิ ทง่ (Bar Chart)
 เป็ นแผนภูมท
ิ ใี่ ช้รูปแทงที
่ ค
ี วามกวางแต
ละแท
ง่
่ ม
้
่
เทาๆ
กันเป็ นสั ญลักษณแสดงระดั
บหรือปริมาณ
่
์
ของตัวแปร ใช้กับข้อมูลทีม
่ ค
ี าขาดตอน
ไม่
่
ตอเนื
่อง สามารถใช้เปรียบเทียบความแตกตาง
่
่
ของตัวแปรมากกวา่ 1 ตัวได้
แผนภูมวิ งกลม (Pie Chart)
• เป็ นแผนภูมท
ิ ใี่ ช้พืน
้ ทีว่ งกลมแสดงปริมาณของสิ่ ง
ตางๆ
ทาให้สามารถมองเห็ นภาพรวมของเหตุการณ์
่
ทัง้ หมดและเหตุการณย
ทีเ่ กิดขึน
้
่
์ อยๆ
• จะนาเสนอเป็ นวงกลมโดยคิดสั ดส่วนตามคาร
่ อยละ
้
โดย 100% จะมีคา่ 360 องศา
ตัวอยางแผนภู
มวิ งกลม (Pie
่
Chart)
ระดั จานวน
บ
ตรี
60
โท
40
เอก
12
รวม 112
องศา
192.86
128.58
38.57
360
แผนภูมเิ ชิงเส้น (Line Chart)
แผนภาพเชิงเส้นเดียว
่ (Simple Line Chart) เช่น กราฟแสดง
ยอดขายของสวนอาหารแห่งหนึ่งในปี 2547
ยอดขาย (10,000 บาท)
เป็ นแผนภูมท
ิ ี่
ใช้เส้นตอเนื
่ อง
่
แสดงระดับจาก
จุดหนึ่งไปยังอีก
จุดหนึ่ง นิยม
ใช้กับการ
เปลีย
่ นแปลง
หรือพัฒนาการ
ของสิ่ งใดสิ่ ง
หนึ่งในแตละ
่
ช่วงของ
ระยะเวลา ซึง่
30
20
10
0
ม.ค.
ก.พ.
มี .ค.
เม.ย.
พ.ค.
มิ .ย.
แผนภูมเิ ชิงเส้น (Line Chart)
แผนภาพเชิงซ้อน (Multiple Line Chart) เป็ นกราฟที่ แสดงการเปรียบ
เที ยบข้อมูล โดยพิจารณาถึงลักษณะข้อมูลตัง้ แต่ 2 ลักษณะขึน้ ไป เช่น
ยอดขายของสวนอาหารแห่งหนึ่ งแยกตามเดือนของปี 2546 และปี 2547
ยอดขาย (10,000 บาท)
40
30
ปี 2540
20
ปี 2542
10
0
ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย.
ฮิสโตแกรม (Histogram)
เป็ นแผนภูมเิ หมือนแผนภูมแ
ิ ทง่ แตข
่ อมู
้ ลที่
ใช้นี้จะมีลก
ั ษณะเป็ นขอมู
้ ลตอเนื
่ ่อง เหมาะ
สาหรับพิจารณาการแจกแจงของขอมู
้ ล
ตัวอยางฮิ
สโตแกรม
่
(Histogram)
 ตัวอยางของข
อมู
่
้ ลชุดหนึ่ง
ซึง่ เป็ น
คะแนนสอบคัดเลือกของนักเรียน 25
คน โดยมีคะแนนเต็ม 200 คะแนน
ผู้ทีส
่ อบไดคะแนน
ดังตอไปนี
้
้
่
โค้งหลายเหลีย
่ มของความถี่
โค้งความถี่
โค้งความถีส
่ ะสม
(Cumulative Curve)
เป็ นแผนภูมท
ิ ส
ี่ รางจากความถี
ส
่ ะสม ส่วนใหญจะ
้
่
พบการใช้ในทางการวัดผล
แผนภาพลาตนและใบ
(Stem
้
and Leaf)
เป็ นการนาเสนอ
ขอมู
้ ลโดยเรียงตาม
หลักและคาของ
่
ขอมู
้ ล และนาเสนอ
ในลักษณะการแจก
แจงขอมู
้ ล
แผนภูม ิ Scatter Plot
ภาพการกระจายของขอมู
้ ลซึง่ แสดง
ความสั มพันธระหว
างตั
วแปรเชิงปริมาณ 2-3
์
่
ตัวทีม
่ ม
ี าตรวัดเป็ นมาตรวัดแบบช่วง หรือ
อัตราภาค
แผนภูม ิ Box Plot
เป็ นแผนภูมแ
ิ สดงการกระจายของข้อมูล
และความเบของข
้
้อมูล โดยจะแสดงคา่
ตา่ สุด คามั
่ ธยฐาน คาควอไทล
่
์
เอกสารอางอิ
ง
้
 บทที่ 7 ประชากร, กลุมตั
่ วอยาง,
่ ตัวแปร,
http://202.29.15.51/technology/uploads/file/AJ/AJ%20Bun
lert/009.pdf
 บทที่ 5 ตัวแปรและสมมุตฐ
ิ าน,
http://www.edurmu.org/cai/_surawart/elearning/content/le
sson5/501.html
 ดร.สุขุม มูลเมือง, การประมาณคาและการทดสอบสมมุ
ตฐิ าน
่
(Estimation & Hypothesis Testing),
bkkthon.nara2.net/home/attach/knowledge_1317636417_
12.ppt
 บทที่ 12 ประชากรและกลุมตั
(Population and
่ วอยาง
่
Samples),
www.edu.tsu.ac.th/major/administration/data/FE511/บทที่
12 ประชากรและกลุมตั
่ วอยาง.doc
่
เอกสารอางอิ
ง
้
 Wittaya Tanaree, ประชากรและกลุมตั
Rajabhat
่ วอยาง,
่




Chaingmai University
สั ปดาหที
่ (Sampling
์ ่ 8: เทคนิคการเลือกตัวอยาง
Techniques) และขนาดตัวอยาง
(Sample Size),
่
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/article/file/39_mod5.doc
Silpchai Nilkorn, การสุ่มตัวอยางหรื
อการเลือกตัวอยาง
่
่
(Sampling),
www.pcru.ac.th/research/uploads/PDdownloads/01Concept.pdf
ขัน
้ ตอนในการดาเนินการวิจย
ั ,
icoh.anamai.moph.go.th/thai/files/KM/2554/05/ppt/03.doc
อวยพร เรืองตระกูล, การตรวจสอบคุณภาพของเครือ
่ งมือการ
วิจย
ั , http://rlc.nrct.go.th/ewt_dl.php?nid=713