“แรงจูงใจ” มาจากคำกริยาในภาษาละตินว่า
Download
Report
Transcript “แรงจูงใจ” มาจากคำกริยาในภาษาละตินว่า
ความหมาย
คาว่า “แรงจูงใจ” มาจากคากริยาในภาษาละตินว่า “Movere”(Kidd,
1973:101) ซึ่งมีความหมายตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า “to move”
อันมีความหมายว่า “เป็ นสิง่ ที่โน้มน้าวหรือมักชักนาบุคคลเกิดการกระทาหรือปฏิบตั ิการ
(To move a person to a course of action)
ดังนั้นแรงจูงใจจึงได้รบั ความสนใจมากในทุกๆวงการ
ถ้าบุคคลมีความสนใจในสิง่ ใดก็จะเลือกแสดงพฤติกรรม
ความต้องการจะเป็ นแรงกระตุน้
ค่านิ ยมที่เป็ นคุณค่าของสิง่ ต่างๆ
ทัศนคติท่มี ีต่อสิง่ ใดสิง่ หนึ่ งก็มีผลต่อพฤติกรรมนั้น
ความมุ่งหวังที่ต่างระดับกัน
การแสดงออกของความต้องการ
ความต้องการอย่างเดียวกัน
แรงจูงใจที่แตกต่างกัน
พฤติกรรมอาจสนองความต้องการได้หลายๆทาง
แรงจูงใจมี 2 ลักษณะดังนี้
แรงจูงใจภายใน (Intrinsic motives)
แรงจูงใจภายในเป็ นสิ่งผลักดันจากภายในตัวบุคคลซึ่งอาจจะเป็ นเจตคติ ความคิด
ความสนใจ ความตัง้ ใจ การมองเห็นคุณค่า ความพอใจ ความต้องการฯลฯสิ่งต่างๆดังกล่าว
นี้ มีอทิ ธิพลต่อพฤติกรรมค่อนข้างถาวรเช่นคนงานที่เห็นองค์การคือสถานที่ให้ชีวิตแก่เขา
และครอบครัวเขาก็จะจงรักภักดีต่อองค์การ และองค์การบางแห่งขาดทุนในการดาเนิ นการ
ก็ไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนที่ดีแต่ดว้ ยความผูกพันพนักงานก็ร่วมกันลดค่าใช้จา่ ยและช่วยกัน
ทางานอย่างเต็มที่
แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic motives)
แรงจูงใจภายนอกเป็ นสิ่งผลักดันภายนอกตัวบุคคลที่ม ากระตุน้
ให้เกิดพฤติกรรมอาจจะเป็ นการได้รบั รางวัล เกียรติยศชื่อเสียง คาชม
หรื อ ยกย่ อ ง แรงจู ง ใจนี้ ไม่ ค งทนถาวร บุค คลแสดงพฤติ ก รรมเพื่อ
ตอบสนองสิง่ จูงใจดังกล่าวเฉพาะกรณี ท่ตี อ้ งการสิง่ ตอบแทนเท่านั้น
แรงจู ง ใจมี ท่ี ม าจากหลายสาเหตุด ว้ ยกัน เช่ น อาจจะ
เนื่ องมาจากความต้องการหรือแรงขับหรือสิ่งเร้า หรืออาจเนื่ องมาจาก
การคาดหวังหรือจากการเก็บกดซึ่งบางทีเจ้าตัวก็ไม่รูต้ วั จะเห็นได้ว่า
การจู ง ใจให้เ กิ ด พฤติ ก รรมที่ ไ ม่ มี ก ฎเกณฑ์แ น่ นอนเนื่ องจาก
พฤติกรรมมนุ ษย์มีความซับซ้อน แรงจู งใจอย่างเดียวกันอาจทาให้
เกิ ด พฤติ ก รรมที่ ต่ า งกัน แรงจู ง ใจต่ า งกัน อาจเกิ ด พฤติ ก รรมที่
เหมือนกันก็ได้ดงั นั้นจะกล่าวถึงที่มาของแรงจูงใจที่สาคัญพอสังเขป
ดังนี้
-
ความต้องการ(Need)
แรงขับ (Drives)
สิง่ ล่อใจ (Incentives)
การตื่นตัว (Arousal)
การคาดหวัง (Expectancy)
การตัง้ เป้ าหมาย (Goal setting)
ทฤษฎีเนื้ อหาของการจูงใจ (Content
theories of
Motivation)
ทฤษฎีกระบวนการ (Process Theories)
ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory)
ทฤษฎีลาดับขัน้ ความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s
hierarchy of needs theory)
ทฤษฎีการจูงใจ ERG ของ Alderfer
ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์ของแมคคลีแลนด์(McClelland)
ทฤษฎีสองปัจจัยของเฮอร์ซเบอร์ก
ทฤษฎีความเสมอภาคหรือทฤษฎีความเท่าเทียมกันของ Adams
บุคคลจะมีการเปรียบเทียบอัตราส่วนระหว่างปัจจัยนาเข้าของตนเอง ( เช่น ความ
พยายาม ประสบการณ์ การศึกษา และความสามารถ) และผลลัพธ์ของตนเอง (เช่น
ระดับเงินเดือน การเลื่อนตาแหน่ ง การยกย่อง และปัจจัยอืน่ กับบุคคลอืน่ )
ทฤษฎีความคาดหวังของ Vroom
ทฤษฎีความคาดหวังถูกนาเสนอโดย Victor Vroom (1964) ได้
เสนอรูปแบบของความคาดหวังในการทางานซึ่งได้รบั ความนิ ยมอย่างมากในการอธิ บาย
กระบวนการจูงใจของมนุ ษย์ในการทางานโดยVroom มีความเห็นว่าการที่จะจูงใจ
ให้พนักงานทางานเพิ่มขึ้นนั้นจะต้องเข้าใจกระบวนการทางความคิดและการรับรู ข้ อง
บุคคลก่อน
ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขแบบคลาสสิก (Classical
Conditioning theory) )
โดยนักจิตวิทยาชาวรัสเชียชื่อพาฟลอฟได้ทาการวิจยั เกี่ยวกับ
reflex or respondent behavior เป็ นพฤติกรรมที่
ตอบสนองโดยอัตโนมัติ ทฤษฎีน้ ี เป็ นการเรียนรูถ้ งึ กระบวนการต่อเนื่ องที่
แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสิง่ กระตุน้ และการตอบสนอง
ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขของผลกรรมต่อพฤติกรรมของบุคคล(Operant
conditioning theory) หรือ (Instrumental
Conditional theory)
การประยุกต์ความรูเ้ รื่องการจูงใจไปใช้ในการให้คาปรึกษาแนะนาแก่เจ้าของธุรกิจ
SMEs
การนาไปใช้ในการให้คาปรึกษาแนะนาสาหรับ SME ขนาดย่อม
การนาไปใช้ในการให้คาปรึกษาแนะนาสาหรับ SMEs ขนาดกลาง
การนาแรงจูงใจมาประยุกต์ในกับงานในฝ่ ายอบรม
การนาแรงจูงใจมาประยุกต์ใช้ในการจูงใจผูใ้ ต้บงั คับบัญชา
› ต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย
› ไม่มีอคติต่อลูกน้อง
› อย่าตาหนิ ลูกน้องลับหลัง
› ทาให้เขารูว้ ่าเขากาลังอยู่ ณ จุดใด
› ให้คาชมเชยในเวลาที่เหมาะสม
› ให้ข่าวสารลูกน้องล่วงหน้าทุกครัง้ ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งกระทบ
พวกเขา
› ห่วงใยผูใ้ ต้บงั คับบัญชา
› มองคนที่ผลงาน มิใช่วธิ ีปฏิบตั ิงาน
› ออกนอกเส้นทางของตนเองเพือ่ ช่วยผูอ้ น่ื
› รับผิดชอบต่อผูอ้ น่ื
› ให้ลูกน้องแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ให้อสิ ระแก่เขา
› ทาให้ลูกน้องขยันขันแข็ง
› รูจ้ กั ผ่อนหนักผ่อนเบา
› พร้อมที่จะเรียนรูจ้ ากผูอ้ น่ื
› แสดงความเชื่อมัน่ ตนเอง
› เปิ ดให้แสดงความคิดเห็น
› แบ่งสรรและมอบหมายงาน
› เร่งเร้าให้เกิดความฉลาดและสร้างสรรค์
› สอนงานอย่างเต็มใจ
› แก้ปญั หาให้โดยไม่ตาหนิ อย่างรุนแรง
บาร์เซโลน่ า 3-1 แมนฯยู
สงครามนางฟ้ า ตอน แรงจูงใจ