ความรู้และทักษะที่ครูวิทยาศาสตร์ต้องมี โดย ผศ.ดร.สมภพ

Download Report

Transcript ความรู้และทักษะที่ครูวิทยาศาสตร์ต้องมี โดย ผศ.ดร.สมภพ

ความรู้ และทักษะทีค่ รู วทิ ยาศาสตร์ ต้งมมี
ผศ.ดร. สมภพ งินทสุ วรรณ
มหาวิทยาลัยทักษิณ
ปัญหาการศึกษาไทย
•ต้ งมปฏิรูปครูและโรมเรียนให้ ได้
ปัญหาด้ านครู
•1.ขาดแคลนครู
•2.ครูสงนไม่ ตรมวุฒิ
•3.ครูไม่ มวี ุฒิ
•4. ..........
ปัญหาด้ านครู
•ผล
• 1.ขาดความมั่นใจในการสงน
• 3.ขาดแรมจูมใจหรืงงุดมการณ์ ในการสงน
• 3.นักเรียนมีผลสั มฤทธิ์ต่า
•ครูต้งมเก่ มจึมจะสร้ ามศิษย์ ทเี่ ก่ มได้
ความรู้ และทักษะทีส่ าคัญในการพัฒนาคุณภาพครู
• 1.ต้ งมมีความรู้ ด้านเนืง้ หาวิทยาศาสตร์ รวมทั้มธรรมชาติ
ขงมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
• 1)รู้ ลกึ และรู้ กว้ าม ต้ งมหมัน่ ศึกษา ติดตามตลงดเวลา
• 2)รู้ สาระสาคัญขงมเนืง้ หาทีเ่ หมาะกับระดับช่ วมชั้นและ
มาตรฐานการเรียนรู้
• 3)รู้จริมคืงถูกต้ งมโดยไม่ มคี วามเข้ าใจทีค่ ลาดเคลืง่ น
แบบทดสงบความเข้ าใจทีค่ ลาดเคลืง่ น
• สาเหตุขงมความเข้ าใจทีค่ ลาดเคลืง่ น?
ความรู้ และทักษะทีส่ าคัญในการพัฒนาคุณภาพครู
• 2.ต้ งมมีความรู้ ด้านศาสตร์ การสงนและศิลปะ
การสงน เช่ น
• 1)รู้ธรรมชาติและหลักการเรียนรู้ (จิตวิทยา)
• 2)รู้หลักการจัดการชั้นเรียน หลักการจัดการเรียนรู้
• 3)รู้หลักสู ตรและกลวิธีการสงน
ความรู้ และทักษะทีส่ าคัญในการพัฒนาคุณภาพครู
• 3.ต้ งมรู้ บริบทขงมการจัดการศึกษา เช่ น
• 1)แผนการศึกษาชาติ นโยบาย พรบ.การศึกษา
แนวทามการจัดการศึกษาในศตวรรษที2่ 1
• 2)สภาพแวดล้งมขงมโรมเรียนและชุมชน
ทักษะทีค่ รูวทิ ยาศาสตร์ ต้งมมี
• 1.ทักษะในการจัดทาแผนการเรียนรู้
• เพืง่ ใช้ เป็ นแนวทามหรืงเข็มทิศในการจัดการเรียน
การสงนให้ ตรมตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วดั และ
กรงบเวลาที่กาหนด งาจเป็ นแผนรายคาบ รายหัวข้ง
หรืงแผนรายสาระ
• นิยมเขียนแผนแบบย้ งนกลับ(backward design)
ทักษะทีค่ รู วทิ ยาศาสตร์ ต้งมมี
• งมค์ ประกงบขงมแผนการจัดการเรียนรู้
•
•
•
•
1)มาตรฐาน ตัวชี้วดั
2)แนวความคิดหลัก
3)ความเข้ าใจที่คลาดเคลืง่ น(ถ้ ามี)
4)จุดประสมค์ การเรียนรู้ (ทั้ม3ด้ าน K-P-A)
แผนการจัดการเรียนรู้
•
•
•
•
•
•
•
5)สาระการเรียนรู้
6)หลักฐานหรืงร่ งมรงยการเรียนรู้
7)การวัดและการประเมินผล
8)การจัดกระบวนการเรียนรู้
9)สื่ ง วัสดุ งุปกรณ์ /แหล่ มเรียนรู้
10)กิจกรรมเสนงแนะ
11)บันทึกผลหลัมการสงน(ผล ปัญหา แนวทามแก้ ไข)
การจัดกระบวนการเรียนรู้
• ในสาระวิทยาศาสตร์ ให้ ใช้ วธิ ีการสื บเสาะหาความรู้
(inquiry)ซึ่มประกงบด้ วย 5 ขั้น (5E)
• 1)ขั้นสร้ ามความสนใจ(engagement)
• โดยการกระตุ้นด้ วยคาถาม สถานการณ์ ภาพ หรืงสื่ง
ต่ ามๆให้ นักเรียนสนใจและงยากเรียนรู้
การสื บเสาะหาความรู้ (ต่ ง)
• 2)ขั้นสารวจค้ นหา(exploration)
• ให้ นักเรียนได้ ทากิจกรรมสารวจตรวจสงบ สั มเกต ทดลงม
รวบรวมข้ งมูล
• 3)ขั้นงธิบายและลมข้ งสรุป(explain)
• ให้ นักเรียนพิจารณาข้ งมูลหลักฐานทีร่ วบรวมได้ ร่ วมกัน
วิเคราะห์ หาความสั มพันธ์ แปลความหมาย ลมข้ งสรุปและ
สร้ ามคางธิบายทีส่ งดคล้ งมกับข้ งมูล
การสื บเสาะหาความรู้ (ต่ ง)
• 4)ขั้นขยายความรู้ (elaboration)
• ให้ นักเรียนพิจารณาคางธิบายขงมนักเรียนใน
ขั้นที3่ กับความรู้ วทิ ยาศาสตร์ หรืงความรู้ งนื่ ๆ
ปรับปรุมคางธิบายให้ เป็ นแนวความคิดหลักทาม
วิทยาศาสตร์ ทถี่ ูกต้ งม
การสื บเสาะหาความร้ ู (ต่ ง)
• 5)ขั้นประเมินผล(evaluation)
• ให้ นักเรียนนาความรู้ ไปใช้ ในสถานการณ์งนื่
หรืงยกตัวงย่ ามการใช้ ความรู้ ในชีวติ ประจาวัน
หรืงคาถามใหม่ ทสี่ มสั ยงยากรู้ ต่งไป
ทักษะทีค่ รูวทิ ยาศาสตร์ ต้งมมี
• 3.มีทักษะในการตั้มคาถาม
• ครู วทิ ยาศาสตร์ ยุคใหม่ ต้งมมีความสามารถในการตั้มคาถามที่
กระตุ้นให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และพัฒนาความคิดระดับสู ม
คืง การคิดวิเคราะห์ การคิดสั มเคราะห์ หรืงสร้ ามสรรค์
• หรืงเรียกว่ าคาถามสร้ ามสรรค์(productive question)
• ครู ต้งมฝึ กการตั้มคาถามและงดทนงดกลั้นทีจ่ ะคงยคาตงบขงม
นักเรียน ไม่ รีบร้ งนรวบรัดและกลายเป็ นการถามเงมตงบเงม
Inquiry cycle
5. ประเมิน
Evaluation
1. สร้ ามความสนใจ
Engagement
2. สารวจและค้ นหา
Exploration
4. ขยายความรู้
Elaboration
3. งธิบายและลมข้ งสรุป
Explanation
ทักษะการถาม
• ประเภทขงมคาถามสร้ ามสรรค์
• 1.ถามเพืง่ กระตุ้นความสนใจ
• เช่ น สั มเกตเห็นงะไร รู้สึกงย่ ามไร มีงะไรเกิดขึน้
• เพืง่ ชักจูมให้ นักเรียนสั มเกต สารวจ ตรวจสงบและ
งยากเรียนรู้สิ่มใหม่
ทักษะการถาม
• 2.ถามเกีย่ วกับการวัดและการนับ
• ให้ นักเรียนตรวจสงบปริมาณ ฝึ กทักษะการใช้
เครื่งมมืงและความแม่ นยาขงมการวัด
ทักษะการถาม
• 3.ถามให้ เปรียบเทียบ
• ให้ นักเรียนสั มเกต วิเคราะห์ แยกแยะว่ ามีงะไรทีเ่ หมืงนกัน
หรืงต่ ามกัน ฝึ กจัดระบบจาแนก จัดกลุ่มหรืงงงกแบบตาราม
บันทึกข้ งมูล
• 4.ถามให้ ลมมืงปฏิบัติ
• โดยให้ คาดคะเนหรืงตั้มสมมติฐานว่ าจะเกิดงะไรขึน้ ถ้ า.......
ทักษะการถาม
• 5.ถามให้ ต้มั ปัญหา
• ให้ นักเรียนหาวิธีการหรืงงงกแบบการทดลงม เลืงก
วิธีการแก้ ปัญหา ตรวจสงบความเป็ นไปได้ คาดคะเน
คาตงบและลมมืงแก้ ปัญหาตามทีไ่ ด้ วามแผนไว้
ทักษะการถาม
• 6.ถามให้ งภิปรายหรืงแสดมความคิดเห็น
• โดยการถามด้ วยคาถามว่ า งย่ ามไร ทาไม
ทักษะการถาม
• หลักในการถาม
• 1.ถามคาถามปลายเปิ ดหรืงคาถามทีม่ คี าตงบหลายแนว
• 2.ถามงย่ ามมีเป้าหมายและต้ งมชัดเจน ตรมประเด็น
• 3.ไม่ วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ หรืงประเมินคาตงบหรืงคาถามขงม
นักเรียนเพืง่ ให้ กล้ าตงบ กล้ าแสดมความคิดเห็น โต้ แย้ ม
แสดมเหตุผล
หลักการถาม
• 4.สนใจคาตงบหรืงคาถามขงมนักเรียน โต้ ตงบงย่ าม
มีชีวติ ชีวาหรืงชี้แนะแหล่ มที่จะหาคาตงบ
• 5.ส่ มเสริมให้ นักเรียนเรียนรู้ (หาคาตงบ)ด้ วยตัวเงม
• 6.แสดมให้ นักเรียนเห็นว่ าคาถามหรืงความคิดขงม
นักเรียนมีคุณค่ า นาไปใช้ ประโยชน์ ได้
หลักการถาม
• 7.ยกย่ งม ชมเชยคาตงบหรืงคาถามที่แปลกจากคน
งืน่ ๆ
• 8.ใจกว้ าม ยงมรับความคิดเห็นที่แตกต่ าม
• 9.ใจเย็น คงยคาตงบจากนักเรียน
• 10.ถามให้ กระจาย
ทักษะทีค่ รู วทิ ยาศาสตร์ ต้งมมี
• 4.มีกลวิธีการสงนทีเ่ น้ นการเรียนรู้ ร่วมกันเป็ น
กลุ่มหรืงเรียกว่ าการเรียนแบบกลุ่มร่ วมมืงร่ วม
ใจ(Cooperative learning)
• โดยกลุ่มควรมีสมาชิก 4 คน
• เหตุผล?
กลวิธีการสงน
• กลวิธีการสงนทีแ่ นะนาให้ ครู วทิ ยาศาสตร์ นาไป
ทดลงมใช้ ได้ แก่
• 1)การจัดระบบความคิดโดยใช้ แผนผัม
• ที่นิยมกัน ได้ แก่ การเขียนแนวความคิดหลัก
(Concept map) แผนผัมความคิด(Mind map)หรืง
แผนผัมเวนน์ (Venn diagram)
กลวิธีการสงน
• ใช้ สาหรับตรวจสงบความคิดหลักขงมนักเรียนก่ งนเรียน
หรืงหลัมเรียนว่ าก่ งนเรียนหรืงหลัมจากทากิจกรรมต่ ามๆ
แล้ ว นักเรียนได้ เรียนรู้ งะไรบ้ าม มีความเข้ าใจถูกต้ งมหรืงไม่
โดยให้ เขียนแผนภาพแสดมความเชื่งมโยมสั มพันธ์ กนั ขงม
ความคิดหลัก(Concept)จากกว้ ามไปแคบ
• เป็ นการฝึ กการคิดวิเคราะห์ สั มเคราะห์ และสร้ ามสรรค์
กิจกรรมฝึ กการใช้ แผนผัมเวนน์
•
•
•
•
1.ฝึ กเปรียบเทียบความเหมืงนและความแตกต่ ามขงม2สิ่ ม
ใช้ ไดงะแกรม .... วม
3.ฝึ กเปรียบเทียบความเหมืงนและความแตกต่ ามขงม3สิ่ ม
ใช้ ไดงะแกรม.....วม
กลวิธีการสงน(ต่ ง)
• 2)การสงนแบบ ทานาย สั มเกต งธิบาย(Predict
Observe Explain = POE)
• ใช้ กระตุ้นให้ นักเรียนสนใจ งยากรู้ และตั้มใจทาการพิสูจน์ ทดลงม
โดยให้ คาดคะเนผลไว้ ก่งนโดยการวาดภาพหรืงเขียนข้ งความ
ก่ งนลมมืงทากิจกรรมเพืง่ ให้ สัมเกตงย่ ามละเงียดรงบคงบ
• และนาผลจากการสั มเกตมาเปรียบเทียบกับสิ่ มทีค่ าดคะเนหรืง
ทานายไว้ ก่งน
กิจกรรมฝึ กกลวิธีสงนแบบPOE
• 1.งุปกรณ์
•
•
•
•
1)ลูกงมชงกโกแลตMM 2 เม็ด สงมสี
2.จานแบน
3.น้า
4.สี ไม้
กิจกรรมฝึ กกลวิธีสงนแบบPOE
• วิธีการ
• 1.คาดคะเนผลทีจ่ ะเกิดขึน้ เมืง่ วามชงกโกแลตลมในจานที่ใส่
นา้ โดยวาดภาพและระบายสี
• 2.ทาการทดลงม วามชงกโกแลตลมในจานทีใ่ ส่ นา้ สั มเกตผล
• 3.วาดภาพปรากฏการณ์ ทเี่ กิดขึน้ ในวมภาพที่สงม
เปรียบเทียบผล
• 4.งธิบายผล
กิจกรรมฝึ กกลวิธีสงนแบบPOE
กิจกรรมฝึ กกลวิธีสงนแบบPOE
กลวิธีการสงน(ต่ ง)
• 3)การสงนแบบใช้ ตั๋วงงก(Exit ticket)
• เป็ นกลวิธีการสงนที่ให้ นักเรียนทาก่ งนงงกจาก
ห้ งมเรียน โดยให้ สรุปสิ่ มทีเ่ ข้ าใจหรืงทีไ่ ด้ รับจากการ
เรียนรู้และสิ่ มทีย่ มั สมสั ยหรืงงยากเรียนรู้ต่ง เพืง่ ให้
ครูประเมินว่ านักเรียนเข้ าใจงะไร งย่ ามไร แค่ไหน
ยัมไม่ เข้ าใจงะไร มีความเข้ าใจที่คลาดเคลืง่ นงย่ ามไร
และควรจะสงนงะไรเพิม่ เติม
ทักษะทีค่ รู วทิ ยาศาสตร์ ต้งมมี
• 5.ต้ งมมีเทคนิคและศิลปะในการวัดและประเมินผล
• ครู ต้งมให้ ความสาคัญกับการวัดแลประเมินผลเพืง่ ดู
พัฒนาการขงมนักเรียน(Formative)มากกว่ าการวัดและ
ประเมินเพืง่ ตัดสิ นผล(Summative)โดยประเมิน
ผลสั มฤทธิ์ท้มั รายบุคคลและรายกลุ่มตลงดเวลาและให้
ข้ งมูลป้งนกลับแก่ นักเรียนเพืง่ ให้ เห็นพัฒนาการขงม
ตนเงมโดยไม่ เปรียบเทียบกับคนงืน่
ทักษะทีค่ รู วทิ ยาศาสตร์ ต้งมมี
• และมีมาตรการจูมใจ ให้ กาลัมใจหรืงซ่ งมเสริมนักเรียนที่มี
พัฒนาการน้ งยหรืงยัมไม่ ได้ ตามเกณฑ์
• ครู ต้งมมีวธิ ีการและเครื่งมมืงทีห่ ลากหลาย ได้มาตรฐาน
มีเกณฑ์ ประเมินทีช่ ัดเจน ตรมตามตัวชี้วดั และที่สาคัญคืง
ต้ งมประเมินให้ ครบถ้ วนทุกด้ าน ทั้มด้ านความรู้ ทักษะ/
กระบวนการและคุณลักษณะทีพ่ มึ ประสมค์ และเป็ นไปตาม
สภาพทีแ่ ท้ จริม
กิจกรรมตั๋วงงก
• หลัมจากที่ได้ ฟัมบรรยายเรื่งมนีจ้ บลมแล้ว
กิจกรรมงืน่
• 1.ฝึ กทาแผนการจัดการเรียนรู้รายคาบคนละ1แผน
• 2.ฝึ กกิจกรรมการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์
ระดับประถม 2 กิจกรรม
• 1)ชั้นประถมศึกษาปี ที่1 เรื่งม การจาแนกพืชและสั ตว์
• 2)ชั้นประถมศึกษาปี ที่6 เรื่งม ระบบไหลเวียนเลืงด
• (ฝี กทาแบบจาลงมหัวใจ)
•คาถาม?