Transcript ปริมาณเงิน
ระบบการเงิน การธนาคาร และนโยบาย การเงิน 1. 2. 3. 4. เพื่อให้สามารถระบุและอธิบายหน้าที่ของเงินได้ เพื่อให้ทราบนิยามของอุปทานของเงิน อธิบายถึงอัตราส่ วนการสารองเงินของธนาคารพาณิ ชย์ได้ อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินสดสารองตามกฎหมาย ตัวทวีคูณเงินฝาก 5. เพื่อให้เข้าใจและสามารถอธิบายบทบาทหน้าที่ของธนาคารกลาง และเครื่ องมือที่ใช้ในการควบคุมปริ มาณเงิน และการใช้ เครื่ องมือทางการเงินเพื่อดาเนินนโยบายการเงินได้ วัตถุประสงค์ (ต่อ) 6. เพื่อให้เข้าใจถึงปัจจัยที่ทาให้เกิดความต้องการถือเงิน และปัจจัยที่ใช้ใน การตัดสิ นใจเกี่ยวกับระดับปริ มาณเงินที่ควรจะเป็ นในระบบเศรษฐกิจ 7. เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบของนโยบายการเงินที่มีต่อดอกเบี้ย ผลผลิต และการจ้างงาน 8. เพื่อให้เข้าใจและสามารถอธิบายถึงความแตกต่างของผลกระทบของ นโยบายการเงินที่เกิดจากการคาดการณ์ของประชาชนได้ ความหมายของเงิน เงิน คือ สิ่ งที่เราใช้ในการชาระค่าสิ นค้า บริ การ หลักทรัพย์ และหนี้ หน้าที่ของเงิน 1. สื่ อกลางในการแลกเปลี่ยน 2. การเก็บมูลค่า 3. หน่วยในการนับ ความหมายของเงินและสภาพคล่อง สภาพคล่อง หมายถึง ความง่ายของสิ นทรัพย์ที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็ นสื่ อกลาง ในการแลกเปลี่ยน ปริ มาณเงินในระบบเศรษฐกิจ 1. ปริ มาณเงิน M1 เป็ นปริ มาณเงินในความหมายอย่างแคบ หมายถึง ปริ มาณเงินที่หมุนเวียนอยูใ่ นมือประชาชน ประกอบด้วย ธนบัตรและ เหรี ยญกษาปณ์ และเงินฝากเผือ่ เรี ยกของประชาชนที่ระบบธนาคาร 2. ปริ มาณเงิน M2 หรื อปริ มาณเงินตามความหมายอย่างกว้าง หมายถึง ปริ มาณเงินที่หมุนเวียนอยูใ่ นมือของประชาชน ได้แก่ ธนบัตร เหรี ยญกษาปณ์ ในมือของประชาชน และเงินฝากเผือ่ เรี ยก ของประชาชนที่ระบบธนาคารแล้ว ยังรวมถึงเงินฝากออมทรัพย์อกี ด้วย ปริ มาณเงินในระบบเศรษฐกิจ (ต่อ) 3. ปริ มาณเงิน M2a คือปริ มาณเงินที่อยูใ่ นมือประชาชน ความหมาย อย่างกว้างขึ้น โดยรวมปริ มาณเงิน M2 และตัว๋ สัญญาใช้เงิน หรื ออีก นัยหนึ่ง คือ เงินที่บริ ษทั เงินทุนรับฝากจากประชาชน 4. ปริ มาณเงิน M3 คือ ปริ มาณเงินตามความหมายที่กว้างที่สุด คือ ปริ มาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชนในรู ปของเงินสด เงินฝากทุก ประเภทของสถาบันการเงินที่รับฝากจากประชาชน ซึ่งรวมถึงเงินฝาก ในรู ปของตัว๋ สัญญาใช้เงินของบริ ษทั เงินทุน บัตรเครดิตกับเงิน มีความแตกต่างกันตรงที่ เงิน คือ หลักทรัพย์ที่ทาให้ผถู ้ ือมีอานาจการซื้อ แต่ บัตรเครดิต คือ หนี้สินที่ ผูก้ ตู้ อ้ งใช้คืน บัตรเครดิต ไม่ถูกรวมในปริ มาณเงิน เพราะบัตรเครดิตเป็ นเครื่ องอานวย ความสะดวกในการอนุมตั ิเงินกู้ ซึ่งลูกค้าต้องจ่ายคืนทีหลัง ถึงแม้บตั รเครดิตไม่ใช่เงิน แต่กส็ ่ งผลกระทบต่อความต้องการถือเงิน คือ การจับจ่ายใช้สอยสามารถทาได้สะดวกโดยจ่ายทีเดียวทุกสิ้ นเดือน จึงทา ให้ประชาชนถือเงินลดลงเมื่อใช้บตั รเครดิต ระบบธนาคาร ระบบธนาคารเป็ นส่ วนสาคัญในตลาดการเงิน ธนาคารหาผลกาไร โดยให้บริ การ เช่น บริ การกูย้ มื ฝากเงิน ฝากทรัพย์สินในเซฟ หน้าที่ หลักของธนาคารคือ การเป็ นศูนย์รวมของคนที่จะออมเงินไว้ใช้ใน อนาคต และคนที่ตอ้ งการยืมเงินไปลงทุน รายได้จากการให้กยู้ มื ก็เป็ น รายได้หลักของธนาคารเช่นกัน -การกระจายเงินลงทุนอย่างมีประสิ ทธิภาพของธนาคารมี ความสาคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมาก ดังนั้น ความมีประสิ ทธิภาพของระบบธนาคารเป็ นส่ วนหนึ่งของการมี ประสิ ทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ - การรับประกันเงินฝาก - การสร้างเงินของระบบธนาคาร - ตัวทวีคูณของเงินฝาก Deposit Expansion multiplier = 1/r โดยที่ r = อัตราส่ วนเงินสดสารองตามกฎหมาย ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยกาหนดให้ธนาคารพาณิ ชย์สารองเงินสดไว้ 20% ถ้านาย ก. นาเงินไปฝากธนาคาร 1,000 บาท ธนาคาร จะต้องเก็บสารองไว้ 200 บาท และนาไปให้กยู้ มื ได้ 800 บาท Deposit Expansion Multiplier = 1 r = สัดส่ วนเงินสดสารองตามกฎหมาย r = 1/20% = 5 = 5* 1,000 = 5,000 บาท โดยที่ปริ มาณเงินเริ่ มต้นที่ 1,000 บาท และอีก 4,000 บาท เพิ่มขึ้นจากการให้กขู้ องธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย - ประวัติของธนาคารแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2482 - สถาบันแรกที่ได้เริ่ มทาหน้าที่ธนาคารกลางของประเทศไทยคือ สานักงาน ธนาคารชาติ ก่อตั้งเมื่อปี 2482 มีฐานะเป็ นส่ วนราชการ สังกัด กระทรวงการคลัง และเปิ ดดาเนินการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 โดยมี พระยาทรง สุ รรัชฎ์ อธิบดีกรมบัญชีกลางในขณะนั้น เป็ นผูอ้ านวยการ และได้เปลี่ยนฐานะมาเป็ นธนาคารกลางเมื่อปี 2485 และเปิ ดดาเนินการ เมื่อ 10 ธันวาคม 2485 โดยกาหนดให้รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงการคลัง เป็ นผูม้ ีอานาจและหน้าที่กากับกิจการของธนาคารโดยทัว่ ไป บทบาทและหน้ าที่ของ ธนาคารแห่ งประเทศไทย 1. การรักษาเสถียรภาพ ทางการเงิน 2. การกากับดูแลสถาบัน การเงิน 3. การเป็ นนายธนาคารและ ที่ปรึ กษาด้านนโยบายเศรษฐกิจ ของรัฐบาล 4. การเป็ นนายธนาคาร ของสถาบันการเงิน 5.การบริ หารเงินสารอง ระหว่างประเทศ 6. จัดพิมพ์และออกใช้ธนบัตร เครื่ องมือในการควบคุมปริ มาณเงิน 1. การกาหนดสัดส่ วนเงินสดสารองตามกฎหมาย 2. การดาเนินการซื้ อขายหลักทรัพย์ในตลาดเปิ ด 3. อัตราซื้ อลด 4. อัตราดอกเบี้ยให้กยู้ มื ระหว่างธนาคาร ความหมายและการวัดปริ มาณเงิน ปริ มาณเงินในระบบเศรษฐกิจ (money supply) อาจ หมายถึง ปริ มาณเงินตามความหมายแคบ M1 หรื อ ปริ มาณเงิน ตามความหมาย M2 ก็ได้ อุปสงค์และอุปทานของเงิน ความต้องการถือเงิน หมายถึง ความต้องการถือเงินเมื่อเปรี ยบเทียบกับการการถือ สิ นทรัพย์ตวั อื่นๆ ความต้องการถือเงินจะแปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ย เพราะในภาวะที่อตั รา ดอกเบี้ยสู ง การถือเงินจะมีตน้ ทุนสู งขึ้น เนื่องจากค่าเสี ยโอกาสของการถือ เงินจะเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยโดยตรง เช่น ถ้า r = 10% ต่อปี ถ้าเงิน 1,000 บาท ต้นทุนของเงินคือ 100 บาท แต่ถา้ r ต่า คือ 1% ต้นทุนของการถือเงินคือ 10 บาทต่อปี ดังนั้น ถ้า อัตราดอกเบี้ยสู งๆ ความต้องการถือเงินจะลดลง (กาหนดให้ iคือ อัตราดอกเบี้ยที่เป็ นตัวเงิน และให้ r คือ อัตราดอกเบี้ยที่ แท้จริ งในตลาดกูย้ มื ) อัตราดอกเบี้ยที่เป็ นตัวเงิน (i) อัตราดอกเบี้ยที่เป็ นตัวเงิน (i) Supply for money Demand for money ปริ มาณเงิน ปริ มาณเงิน ก. ความต้ องการถือ เงิน ข. ปริมาณเงิน อุปสงค์ของเงิน หรื อ ความต้องการถือเงิน (Demand for Money) John Maynard Keynes กล่าวว่า คนเราต้องการถือ เงินเพื่อ 1. การจับจ่ายใช้สอย (transaction Demand) (ขึ้นอยูก่ บั รายได้) 2. เพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน (PrecautionaryDemand) (ขึ้นอยูก่ บั รายได้) 3. เพื่อการเก็งกาไร (Speculative Demand) (จะแปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ย) (เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาของ พันธบัตรจะลดลง, ราคาของทรัพย์สินจะผกผันกับอัตราดอกเบี้ย Keynes กล่าวว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาสิ นทรัพย์อื่น (พันธบัตรรัฐบาล Bond) จะลดลง (Pb จะต่า) คนจะหันไป ซื้อ bond และถือ Bond ไว้เพื่อเก็งกาไร โดยคาดว่าราคา Bond จะสูงขึ้นในอนาคต เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง (r ) ราคา Bond จะสูงขึ้น (จากการที่ Pb แปรผกผันกับ r) จากการที่คน ถือ Bond ไว้ จะส่ งผลให้ความต้องการถือเงิน (Demand for money) ลดลง (r Pb ประชาชนจะไปถือ Bond เพื่อเก็งกาไรทาให้ ความ ต้องการถือเงิน (Demand for money) การที่ r ต่า ราคาBond จะสูง ประชาชนจะขาย Bond และหันมาถือเงินแทน ทาให้ Demand for money (Md) เพิม่ ขึ้น ดังนั้น ถ้า r (interest) สูง ความต้องการถือเงิน (Demand for money) จะต่า ถ้า r ต่า ความต้องการถือเงินจะสูง จึงทาให้เส้น Demand for money (Md) มีลกั ษณะทอดลงจากซ้ายมาขวา จากการที่ความต้องการถือเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยและเพื่อใช้ จ่ายในยามฉุกเฉิน ขึ้นอยูก่ บั รายได้ และความต้องการถือเงินเพื่อ การเก็งกาไรขึ้นอยูก่ บั อัตราดอกเบี้ย ดังนั้น ความต้องการถือเงิน (Demand for money ) จึงขึ้นอยูก่ บั รายได้และอัตราดอกเบี้ย และDemand for money (Md) เป็ น ตัวกาหนดอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน ขณะที่ปริ มาณเงินในระบบ เศรษฐกิจคงที่ ปริมาณเงิน (Supply of money) ปริ มาณเงินที่อยูใ่ น ระบบ ขึ้นอยูก่ บั การตัดสิ นใจของธนาคารกลาง หรื อธนาคารแห่ง ประเทศไทย และการวางนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ ไม่ข้ ึนกับอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น ปริ มาณเงินจึงไม่ข้ ึนกับอัตรา ดอกเบี้ย ดังรู ปที่แสดงไปแล้ว ดังนั้น เส้นของปริ มาณเงินที่มีอยูใ่ น ระบบจึงเป็ นเส้นตั้งฉากกับแกนนอน i Ms ปริ มาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ตัดสิ นใจโดยธนาคารแห่ง ประเทศไทย MS ดุลยภาพระหว่างความต้องการถือเงิน และปริ มาณเงินในระบบ อัตราดอกเบี้ยที่เป็ นตัวเงิน (i ) Ms อุปทานส่ วนเกิน i2 i0 i1 E อุปสงค์ส่วนเกิน Md Md,Ms - ถ้าอัตราดอกเบี้ย i2 ประชาชนต้องการถือเงินน้อยกว่าปริ มาณเงินใน ระบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดให้ เนื่องจากประชาชนหันไป ถือทรัพย์สินอื่นๆ เช่นพันธบัตรและหุน้ กู้ ซึ่งให้อตั ราผลตอบแทน สูงกว่า ทาให้ความต้องการพันธบัตรเพิม่ ขึ้น และราคาพันธบัตรก็ จะสูงขึ้นตาม ภาครัฐหรื อเอกชนซึ่งออกพันธบัตรจึงสามารถ กาหนดอัตราดอกเบี้ยสาหรับพันธบัตรให้ลดลงได้ อัตราดอกเบี้ยจะ ลดลงเรื่ อยๆ จนเข้าสู่ดุลยภาพที่ ie แต่ถา้ อัตราดอกเบี้ยต่ากว่าดุลยภาพ คือ i3 จุดนี้ ความต้องการ ถือเงินจะสูงกว่าระดับปริ มาณเงินที่มีอยูใ่ นระบบ ประชาชนที่ตอ้ งการ ถือเงินเพิ่มจะพยายามขายพันธบัตรออกไปเพื่อถือเป็ นเงินสด ราคา ของพันธบัตรจะลดลง หมายถึง การที่จะถึงดูดคนให้มาซื้อ พันธบัตรได้จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้น อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น เรื่ อยๆ จนเข้าสู่จุดดุลยภาพ ie ดังนั้น จะเห็นได้วา่ จุดดุลยภาพ เป็ นจุดที่ระบบเศรษฐกิจจะ ปรับตัวเข้าหาอยูต่ ลอดเวลา กลไกของนโยบายการเงิน การดาเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย 1. นโยบายการเงินแบบขยายตัว ธนาคารกลางจะรับซื้อพันธบัตรเพื่อ เพิ่มปริ มาณเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ i Ms1 Ms2 i1 i2 กราฟแสดงดุลยภาพของเงิน Md Md,Ms เมื่อธนาคารกลางรับซื้อพันธบัตร จะทาให้ปริ มาณเงินไหลเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจ ราคาพันธบัตรจะสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่เป็ นตัวเงินจะ ลดลง ปริ มาณเงินจะถูกอัดฉีดเข้าไปในระบบมากขึ้น เมื่อธนาคาร พาณิ ชย์มีเงินสารองมากขึ้น ก็จะนาเงินมาหากาไร โดยการปล่อยกู้ มากขึ้น เส้น Supply ของการให้กยู้ มื จะเคลื่อนจาก S1 ไป อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริ ง S1 เป็ น S2 S2 r1 r2 D กราฟแสดงเงินทีก่ ้ ยู มื ได้ Q1 Q2 ปริ มาณเงิน เมื่อธนาคารพาณิ ชย์ปล่อยกูม้ ากขึ้น จะทาให้อุปสงค์มวลรวมเพิ่มขึ้น จาก AD1 เป็ น AD2 ดังกราฟ AD = C +I + G + (X-M) ระดับราคา As P2 AD2 P1 AD1 Y1 Y2 รายได้ กราฟ แสดงสิ นค้ าและบริการ (GDP ทีแ่ ท้ จริง) สาเหตุทที่ าให้ อุปสงค์ มวลรวมเพิม่ ขึน้ มีดงั นี้ 1. ดอกเบี้ยต่า ทาให้เกิดความต้องการลงทุนมากขึ้น (I) และการ บริ โภคมากขึ้น (C ) โดยเฉพาะการซื้อสิ นค้าเงินผ่อน เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้ า บ้าน รถยนต์ 2. ดอกเบี้ยต่าทาให้เกิดเงินทุนไหลออก นักลงทุนต่างชาติจะ เคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังประเทศที่ให้ค่าตอบแทนดีกว่า ในขณะที่ การเคลื่อนย้ายเงินทุนออกไปก็จะต้องขายเงินบาทเพื่อแลกเป็ น สกุลเงินต่างประเทศที่จะไปลงทุน ทาให้เกิดอุปทานส่ วนเกิน ของเงินบาท ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวและทาให้การส่ งออก ได้มากขึ้น เพราะสิ นค้าของเราดูเหมือนจะถูกลงในสายตาผูน้ าเข้า และการนาเข้าลดลง (X –M) จึงเป็ นการกระตุน้ อุปสงค์มวล รวม 3. การที่ดอกเบี้ยต่าลงจะทาให้ราคาสิ นทรัพย์สูงขึ้น เช่น ราคาหุน้ ราคาบ้าน และอื่นๆ กระตุน้ ความต้องการสิ นค้าและบริ การ ราคา สิ นทรัพย์ทาให้ครัวเรื อนมีความมัง่ คัง่ มากขึ้น ซึ่งความมัง่ คัง่ ที่ เพิ่มขึ้นนี้เอง จะเป็ นตัวกระตุน้ ทาให้เพิ่มการบริ โภค เมื่อมีการ บริ โภคเพิ่มขึ้น ก็จะมีการผลิตสิ นค้าและบริ การมากขึ้น จึงเป็ นการ กระตุน้ อุปสงค์มวลรวมอีกต่อหนึ่ง การดาเนินนโยบายการเงินแบบไม่ ได้ คาดคิด ถ้าประชาชนไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีการดาเนินนโยบายการเงิน แบบขยายตัว ทาให้ตน้ ทุนที่เพิ่มขึ้นปรับตัวช้ากว่าราคาที่เพิ่มขึ้น ทาให้ธุรกิจมีกาไรมากขึ้น ธุรกิจก็จะขยายการผลิตสิ นค้าและบริ การ ในระยะสั้น ผลผลิตจะเพิม่ ขึ้นจาก Y1 เป็ น Y2 (ดังกราฟ ข้างต้น) ในระยะสั้นจะเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ดังนั้น การขยายตัวของนโยบายการเงิน สามารถทาให้ เกิด การเปลีย่ นแปลงของเศรษฐกิจจากภาวะถดถอยเข้ าสู่ ระดับการผลิต ที่มีการจ้ างงานเต็มที่ได้ LAS AS ระดับราคา P2 P1 E1 E2 AD2 AD1 Y1 Yf GDP ที่แท้จริ ง จากกราฟข้างต้น จากผลผลิตที่ Y1 เป็ นระดับที่ต่ากว่าการ ผลิตที่มีการจ้างงานเต็มที่Yf การดาเนินนโยบายการเงินแบบ ขยายตัว จะทาให้อุปสงค์มวลรวมเพิ่มขึ้นเป็ น AD2 และผลผลิต ก็เพิ่มขึ้นตาม ความต้องการสิ นค้าและบริ การเท่ากับ Yf กลไกนี้ เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ตอ้ งเข้าไปกระตุน้ อุปสงค์ มวลรวมโดยตรงเลย กราฟแสดงการใช้นโยบายการเงินขยายตัวในขณะที่ระบบ เศรษฐกิจมีการจ้างงานเต็มที่อยูแ่ ล้ว ระดับราคา LAS AS2 AS1 E3 P3 P2 E2 P1 E1 AD2 AD1 Yf Y2 GDP ที่แท้จริ ง ถ้าหากระบบเศรษฐกิจอยูใ่ นภาวะที่มีการจ้างงานเต็มที่อยูแ่ ล้ว การใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว จะทาให้อุปสงค์มวลรวมเพิ่มขึ้น และราคาสิ นค้าก็เพิม่ ขึ้นเร็ วกว่าการเปลี่ยนแปลงของต้นทุน การเพิม่ ขึ้นของ อุปสงค์มวลรวม ทาให้ปริ มาณผลผลิตที่แท้จริ งเพิม่ ขึ้นชัว่ คราวไปสู่ Y2 ซึ่งมากกว่าการผลิตที่มีการจ้างงานเต็มที่ Yf แต่ระบบเศรษฐกิจจะไม่อยูใ่ น ภาวะนี้นานนัก เมื่อใดก็ตามที่ตน้ ทุนมีการปรับตัวตามระดับเงินเฟ้ อ ก็จะทา ให้ผผู ้ ลิตลดปริ มาณการผลิตลง จาก AS1 เป็ น AS2 และในที่สุด เศรษฐกิจก็จะเข้าสู่ภาวะดุลยภาพที่จุด E2 ทาให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นเป็ น P3 และผลผลิตเข้าสู่ Yf ดังนั้น ถ้าระบบเศรษฐกิจอยูใ่ นภาวะที่มีการจ้างงานเต็มที่อยูแ่ ล้ว การใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว จะทาให้ผลผลิตเพิม่ ขึ้น ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะมีเพียงระดับราคาเท่านั้นที่ปรับตัวสูงขึ้น การดาเนินนโยบายการเงินแบบหดตัว ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายการเงินแบบหดตัวโดยไม่มีใคร คาดคิดมาก่อน โดยการขายพันธบัตรให้กบั ธนาคารพาณิ ชย์ ซึ่งจะเป็ นการลด ปริ มาณเงินและเงินสารองของธนาคารพาณิ ชย์ลง ทาให้ปริ มาณเงินในระบบ ลดลงเป็ น S2และดอกเบี้ยที่แท้จริ งเพิ่มขึ้นเป็ น r2 อัตราดอกเบี้ยที่สูงจะทาให้ประชาชนลดการลงทุนและลดการซื้อ สิ นค้าคงทนที่มีระยะเวลาการผ่อนชาระนานลง และอัตราดอกเบี้ยที่ สูงจะทาให้นกั ลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น เกิดภาวะ เงินทุนไหลเข้าอันเป็ นต้นเหตุให้ค่าเงินบาทแข็งตัว จะทาให้การ นาเข้าสิ นค้าและบริ การมากขึ้น และส่ งออกได้นอ้ ยลง ปริ มาณการ ส่ งออกลดลงและอุปสงค์มวลรวมก็จะลดลงด้วย และอัตราดอกเบี้ยที่สูงทาให้ราคาบ้านและสิ นทรัพย์อื่นๆ ถูกลง จึงทาให้ธุรกิจ ก่อสร้างเริ่ มชะงักเพราะการเก็งกาไรในอสังหาริ มทรัพย์จะลดลง ปั จจัยต่างๆ เหล่านี้ ทาให้อุปสงค์มวลรวมลดลงจากAD1 ไป AD2 และราคาลดลงไปที่ P2 และผลผลิตจะลดลงไปที่ Y2 อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริ ง S2 ระดับราคา S1 P1 r2 P2 r1 AD1 D AD2 Q2 Q1 ก. เงินกู้ยมื ได้ ปริ มาณเงินให้กยู้ มื ได้ Y2 Y1 GDP ที่แท้จริ ง ข. ตลาดสิ นค้ าและบริการ ความเหมาะสมในการใช้นโยบายการเงินหดตัวจึงขึ้นอยูก่ บั สถานการณ์ ต่างๆ เช่น สมมติวา่ ระบบเศรษฐกิจเกิดความกดดันของภาวะเงินเฟ้ อ เนื่องจากความต้องการสิ นค้าและบริ การที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน จุดดุลยภาพอยูท่ ี่จุด e1 ผลผลิตอยูท่ ี่ระดับ Y1 ซึ่ งสู งกว่ากาลัง การผลิตในระดับที่มีการจ้างงานเต็มที่ ปั ญหาที่เกิดขึ้นกับภาวะ เศรษฐกิจแบบนี้ ก็คือ เงินเฟ้ อ ระดับราคา P1 P2 LAS2 SAS1 e1 E2 AD1 AD2 Yf Y1 รายได้ประชาชาติที่แท้จริ ง การใช้นโยบายการเงินหดตัวจึง น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะสามารถควบคุมเงินเฟ้ อได้ ระดับราคาสิ นค้าปรับตัวลงอยูท่ ี่ P2 และผลิตที่ Yf ณ จุดดุลย ภาพที่ E2 ถ้าระบบเศรษฐกิจอยูใ่ นระดับการจ้างงานเต็มที่แล้ว การใช้นโยบายการเงินแบบ หดตัวจะเป็ นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ และสถานการณ์จะยิง่ แย่ไปกว่านั้น ถ้า เศรษฐกิจอยูใ่ นระดับการจ้างงานที่ต่ากว่าการจ้างงานเต็มที่ LRAS ระดับราคา SRAS E1 P1 e2 P2 Yf AD1 AD2 Y1 นโยบายการเงินแบบหดตัวจะทาให้ AD1 เคลื่อนไปเป็ น AD2 ทา ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ ภาวะถดถอย ผลผลิตจะลดลงจาก Yf ไปสู่ Y2 และจะทาให้เกิดอัตราการว่างงาน มากกว่าอัตราการว่างงานตาม ธรรมชาติ GDPที่แท้จริ ง นโยบายการเงินแบบหดตัวทีท่ าให้ เศรษฐกิจตกต่า การใช้นโยบายการเงินแบบหดตัวจะทาให้ปริ มาณเงินใน ระบบเศรษฐกิจลดลงเป็ น S2 (ตามกราฟข้างต้น) ทาให้ดอกเบี้ย ที่แท้จริ งสูงขึ้นเป็ น r2 อัตราดอกเบี้ยที่สูงจะทาให้ประชาชนลด การลงทุน และการซื้อสิ นค้าคงทนที่ตอ้ งผ่อนเป็ นระยะเวลายาว น้อยลง นอกจากนั้น อัตราดอกเบี้ยที่สูง จะทาให้นกั ลงทุนจากต่างชาติ สนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น เกิดภาวะเงินทุนไหลเข้า อันเป็ นเหตุให้ ค่าเงินบาทแข็งตัว เพราะนักลงทุนต้องซื้อเงินบาทเพื่อเข้ามาลงทุน ในไทย เงินบาทที่แข็งตัวจะทาให้จะทาให้การนาเข้าสิ นค้าและ บริ การมากขึ้นและส่ งออกได้นอ้ ยลง ปริ มาณการส่ งออกสุ ทธิลดลงและอุปสงค์มวลรวมก็ลดลงด้วย ดอกเบี้ยที่สูงทาให้ราคาบ้านและสิ นทรัพย์อื่นๆ ถูกลงจึงทาให้ธุรกิจ ก่อสร้างเริ่ มชะงักเพราะการเก็งกาไรในอสังหาริ มทรัพย์จะลดลง ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ จะทาให้อุปสงค์มวลรวมลดลงจาก AD1 ไป เป็ น AD2 และราคาลดลงไปที่ P2 และผลผลิตจะลดลงไปที่ Y2 นโยบายการเงินในระยะยาว การประยุกต์ใช้นโยบบายการเงิน ผลของนโยบายการเงินที่ถูกคาดการณ์ไว้ ล่วงหน้า อัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน 1. ความเร็ วในการหมุนเงินและระยะเวลาปรับตัวของนโยบาย การเงิน 2. การใช้อตั ราดอกเบี้ยเป็ นตัวบ่งชี้นโยบายการเงิน เส้น LM (Liquidity = Money Supply) r r LM r1 r0 Md(y2) Md(y1) Tr0 Tr1 Ms0 Md, Ms Y0 Y1 Y คือ อัตราดอกเบี้ยและรายได้ที่ทาให้ตลาดเงินอยูใ่ นดุลยภาพเมื่อปริ มาณ เงินคงที่ เส้น LM แสดงให้เห็นถึงรายได้ประชาชาติ เป็ นตัวกาหนดอัตรา ดอกเบี้ยในตลาดเงิน โดยผ่าน Demand for money เมื่อรายได้ประชาชาติ Y Tr r เพื่อลด Md และเข้าสู่ดุลยภาพในตลาดเงิน ที่ Y1r1 ที่ Y0 อัตราดอกเบี้ยที่ทาให้ตลาดเงินอยูใ่ นดุลยภาพคือ r0 เมื่อ Y จาก Y0 Y1 Tr จาก Tr0 เป็ น Tr1 เส้น Demand for money จะ shift ขนานกับเส้นเดิมไปทางขวามือ จาก Md(y0) เป็ น (Md(y1) เกิด Excess Demand for money r จะ เพิ่มขึ้น จาก r0 เป็ น r1 เพื่อลด Speculative Md ลงมา และดุลยภาพใหม่จะเกิดที่ r1Y1 แนวคิดทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม