บทที่ 1 การจัดการและแนวความคิดทางการจัดการ (Management & Management Thought) ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด

Download Report

Transcript บทที่ 1 การจัดการและแนวความคิดทางการจัดการ (Management & Management Thought) ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด

บทที่ 1
การจัดการและแนวความคิดทางการจัดการ
(Management & Management Thought)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การบริหาร VS การจัดการ
(Administration VS Management)
การบริ หาร (Administration)
เป็ นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการกาหนด
นโยบายและแผนงาน ตลอดจนการกากับดูแลเพื่อให้
แน่ใจว่า ความสาเร็ จที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับนโยบาย
และแผนที่วางไว้
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การจัดการ (Management)
เป็ นกระบวนการของการนาเอานโยบายและ
แผนงานไปปฏิบตั ิ
ให้บรรลุตามเป้าหมายที่กาหนดในขั้นของการ
บริ หาร
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผูบ้ ริหาร
Top Manager
ผูจ้ ัดการ
Middle Manager
หัวหน้าคนงาน
First Line
ลาดับชั้นของการจัดการ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Manager
ความหมายของการจัดการ
Mary Parker Follett
“การจัดการเป็ นเทคนิคการทางานให้สาเร็จ โดยอาศัยผู อ้ นื่ ”
Ernest Dale
“การจัดการ คือ กระบวนการการจัดองค์การและการใช้
ทรัพยากรต่างๆ เพือ่ ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ทกี่ าหนดขึน้ ไว้
ล่วงหน้า”
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
สมพงษ์ เกษมสิน
“การจัดการเป็ นการใช้ศาสตร์และศิลปะนาเอา
ทรัพยากรการบริหาร มาประกอบตามกระบวนการ
บริหารเพือ่ ให้บรรลุวตั ถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ”
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การจัดการ
ทรัพยากร
ทางการบริหาร
- คน
- เงิน
- วัสดุ
- วิธีการ
- เครื่องจักร
การ
วางแผน
การจ ัด
องค์การ
การจ ัด
คนเข้า
ทางาน
การ
ควบคุม
การสง่ ั
การ
กระบวนการทางการจัดการ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
เป้ าหมาย
ของ
องค์การ
ทรัพยากรทางการจัดการ
(Management Resources)
•คน (Man)
•เงิน (Money)
•วัสดุ (Materials)
•วิธกี ารบริหาร(Management or Method)
•เครือ่ งจักร (Machine)
•ตลาด (Market)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Management Resources
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การจัดการเป็ นศาสตร์ (Science)
หรือศิลป์ (Art) ?
Science
Art
การจัดการเป็ นทัง้ ศิลป์ (Art) และศาสตร์ (Science)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
บทที่ 1แนวความคิด
ทางการจัดการ
(Management Thought)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ยุคที่ 1 ยุคก่ อนการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
(Pre-scientific
Management Period)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
สิ่ งแวดล้อมทางการบริ หาร ยุคก่อนปี ค.ศ. 1880
• การจัดการทรัพยากรมนุษย์ในยุคนี้ตอ้ งอาศัยอานาจหรื อการบังคับ เป็ น
ปัจจัยทางการบริ หารที่สาคัญที่สุด ได้แก่
 วิธีการใช้อานาจก็ได้แก่ การใช้แส้ โซ่ ตรวน การจาคุก ฯลฯ
 มนุษย์ในยุคนี้ ยอมทางานก็เพราะกลัวการลงโทษ
 ถูกบังคับด้วยความจาใจ
 ความสัมพันธ์ภายในหน่วยงานมีลกั ษณะเป็ นนายกับบ่าว
ั ทาส ฯลฯ
 กษัตริ ยก์ บ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
นายกับบ่าว
กษัตริย์กบั ทาส
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ยุคที่ 2 ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
(Scientific Management)
บุคคลที่มีชื่อเสี ยงในการบริ หารงานยุคนี้ มีอยูด่ ว้ ยกัน 3
คน
• Robert Owen,
• Frederick W.Taylor
• Henri Fayol
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Robert Owen
การจัดสภาพทางการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ให้
ความเห็นว่าการปรับปรุ งสภาพของพนักงานหรื อ
คนงานให้ดีข้ ึน จะส่ งผลไปสู่ การเพิม่ การผลิตและผล
กาไร ในขณะที่ผบู ้ ริ หารคนอื่นๆมุ่งที่จะใช้เงินลงทุนไป
ในการปรับปรุ งเทคนิคการผลิตมากกว่า
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Frederick Winslow
Taylor
(The Father of Scientific
Management)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
The Midvale Steel Company
ในเมือง Bethlehem มลรัฐเพนซิลวาเนีย
Taylor คัดค้านการบริหารงานแบบเก่าทีใ่ ช้
“อานาจ” (Power)
Taylor ไม่พอใจในการบริหารงานทีข่ าดประสิทธิภาพ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Taylor ได้เสนอวิธแี สวงหาหลักเกณฑ์ทดี่ ไี ว้ ดังนี้
1. ศึกษาว่างานแต่ละขัน้ ตอนนัน้ ต้องใช้เวลา (Time)
อย่างน้อยทีส่ ุดเท่าไร จึงจะสามารถทาให้สาเร็จลงได้
2. ศึกษาเกีย่ วกับการเคลือ่ นไหว (Motion) ในการทางาน
แต่ละขัน้ เพือ่ ปรับปรุงวิธกี ารทางาน เพือ่ หาทางทางานให้
สาเร็จโดยใช้พลังงานให้ประหยัดทีส่ ุดเท่าทีจ่ ะทาได้
3. แบ่งงานออกตามขัน้ ตอน เพือ่ ให้คนงานได้ทางานในขัน้ ตอนที่
เขาสามารถทาได้ดที สี่ ุดมากทีส่ ุด ฯลฯ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การจัดการจึงควรต้องเน้นทีก่ ารปรับปรุงระบบการผลิต
ทีผ่ ู บ้ ริหารควรจะต้องปฏิบตั ดิ งั นี้
1.วางวิธกี ารทางานของแต่ละคนด้วยหลักเกณฑ์ทที่ ดลอง
แล้วว่า เป็ นวิธที ดี่ ที สี่ ุด (One best way)
2.มีระบบการคัดเลือกบุคคลและจัดบรรจุบุคคลเข้า
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
3.ให้ความร่วมมือกับคนงานเสมอและคานึงถึงว่าการทางาน
ทีม่ ปี ระสิทธิภาพ
4. ผู บ้ ริหารจะต้องรับผิดชอบงานด้านการวางแผนงาน
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
A Piece Rate System
หลักการของการกาหนดค่าจ้างตามวิธกี ารนีไ้ ด้แบ่งอัตรา
ค่าจ้างเป็ น 2 แบบคือ
1. อัตราหนึง่ ใช้สาหรับผลผลิตทีย่ งั ไม่ถงึ มาตรฐาน
2. อีกอัตราหนึง่ จะใช้กบั ระดับผลผลิตทีเ่ ท่ากับหรือ
สูงกว่ามาตรฐาน
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ตัวอย่างเช่น มาตรฐานกาหนดให้คนงานต้องผลิตสินค้าได้วนั ละ
100 หน่วย (การกาหนดมาตรฐานต้องศึกษามาจาก Time
and Motion Study) อัตราค่าจ้างหน่วยละ 1.20
บาท สาหรับระดับการผลิตตัง้ แต่ 0-99 หน่วย แต่ในกรณีท ี่
คนงานผลิตได้ตงั้ แต่ 100 หน่วย หรือมากกว่า อัตราค่าจ้างต่อ
หน่วยจะเท่ากับ 1.35 บาท ดังนัน้ ถ้าคนงานผลิตสินค้าได้ 99
หน่วย เขาจะได้ผลตอบแทน 118.80 บาท (99x1.20)และใน
กรณีทคี่ นงานอีกคนหนึง่ ผลิตสินค้าได้ 100 หน่วย เขาจะได้
ผลตอบแทน 135 บาท (100x1.35)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ค.ศ. 1903 Taylor ได้เขียนหนังสือเรือ่ ง
“Shop Management”
ปี ค.ศ. 1910 ได้เขียนหนังสือซึง่ ได้รบั ความนิยมสูงสุด
ของเขาคือ
“The Principles of Scientific
Management”
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ตัวอย่างการศึกษาถึงหลักการบริหารตามหลัก
วิทยาศาสตร์ของ Taylor
1. การขนแร่เหล็ก
2. การทดลองตักวัตถุ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การขนแร่เหล็ก การทดลองของ Taylor เป็ นเรือ่ ง
ของการขนแร่เหล็กทีอ่ อกจากเตาหลอมไปยังรถบรรทุกที่
บริษทั Bethlehem Steel
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การทดลองตักวัตถุ การทดลองนีน้ าชือ่ เสียงมาให้แก่
Taylor อย่างมาก เมือ่ Taylor เข้ามาทางานที่
บริษทั Bethlehem Steel
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผูส้ นับสนุนแนวความคิดของ Taylor
บุคคลสาคัญทีส่ นับสนุนแนวความคิดของ Taylor
ก็คอื Hary L. Gantt
และสองสามีภรรยา Frank Bunker
Gilbreth and Lillian Moller
Gilbreth
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Henry L. Gantt
ควรมีการกาหนดผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษในรูปของโบนัส
สาหรับคนงานทีส่ ามารถทางานได้ตามทีม่ อบหมายในแต่ละวัน
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Frank Bunker Gilbreth
Lillian Moller Gilbreth
จัดทาภาพยนตร์แสดงการเคลือ่ นไหวของคนงาน
เพือ่ ชีใ้ ห้แสดงถึงการเคลือ่ นไหวทีส่ ูญเปล่า และไม่มผี ลทางการ
ผลิต และเคลือ่ นไหวทีจ่ าเป็ นในการทางาน ทัง้ นีโ้ ดยเรียก
ความเคลือ่ นไหวพืน้ ฐานนีว้ ่า Therblig
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Henri J. Fayol
ความแตกต่างระหว่างการศึกษาของ Fayol และTaylor
อยู่ทวี่ ่า Fayol มุ่งสนใจที่ ผู บ้ ริหารหรือผู จ้ ดั การระดับสูง
ขององค์การ ในขณะที่ Taylor มุ่งศึกษาโดยเน้นความสนใจ
ทีผ่ ู บ้ ริหารระดับต่าหรือคนงาน
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Fayol ได้แบ่งงานด้านอุ ตสาหกรรมเป็ น 6 กลุม่ ด้วยกันคือ
1. Technical (Production)
2. Commercial (Buying, Selling, and
Exchange)
3. Financial (Serch for and Optimum use of
persons)
4. Security (Protection of property and
persons)
5. Accounting (including statistics)
6. Managerial (planning organizing
commanding coordinating and controlling)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Fayol ให้ความสนใจในกลุม่ ที่ 6 เกีย่ วกับเรือ่ งการจัดการทัง้ นี้
เนือ่ งจากได้มผี ู ก้ ล่าวถึง 5 กลุม่ แรกกันมากแล้วและเขาก็ได้เน้นถึงคุณภาพ
ของผู จ้ ดั การทีด่ ตี ้องมีคุณสมบัตดิ งั นี้
1. ร่างกายทีแ่ ข็งแรง (มีสุขภาพอนามัยดี)
2. มีสติปญั ญา (มีความสามารถเข้าใจ เรียนรู้ ริเริม่ ตัดสินใจและปรับตัว)
3. มีจริยธรรม (มีความซือ่ สัตย์ รับผิดชอบ รู้จกั กาลเทศะ จงรักภักดี)
4. มีการศึกษา (มีความรู้)
5. มีความสามารถและเทคนิควิธกี ารในการจัดการ
6. มีประสบการณ์
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Fayol ได้รบั การยกย่องว่าเป็ นผู บ้ ุกเบิกแนวความคิด
เกีย่ วกับการจัดการเชิงบริหาร
(Administrative Management)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
1. หน้าที่ของนักบริหาร
(Management Functions) มีดงั นี้
1.1 การวางแผน (Planning)
1.2 การจัดองค์การ (Organizing)
1.3 การสั่งการ (Directing)
1.4 การประสานงาน (Coordination)
1.5 การควบคุม (Controlling)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
2.หลักการบริหาร
(Management Principle)
Fayol ได้วางหลักการบริหารงานเพือ่ เป็ นแนวทางใน
การปฏิบตั งิ านของผู บ้ ริหารทีใ่ ช้ได้ทวั่ ไป 14 ข้อ
ดังต่อไปนี้
1. Division of Work
2. Authority
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
3. Discipline
4. Unity of Command
5. Unity of Direction
6. Subordination of
Individual Interest to
the General Interest
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
7. Remuneration of Personnel
8. Centralization
9. Scalar Chain
10. Order
11. Equity
12. Stability of Tenture of
Personnel
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
13.Initiative
14.Esprit de Corps
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ยุคที่ 3 แนวความคิดของมนุษย์สัมพันธ์
(Human Relations)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
George Elton Mayo
Mayo เป็ นนักจิตวิทยาชาวออสเตรเลีย เริม่ งานวิชาชีพ
ในการสอนจริยธรรม ปรัชญา และตรรกวิทยา ที่
มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
“Hawthorne Experiment”
โดยแบ่งการศึกษาทดลองออกเป็ น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. Room studies
ทาการทดลองระหว่างปี ค.ศ. 1924 - 1927
2. Interviewing studies
ทาการทดลองระหว่างปี ค.ศ. 1928 - 1931
3. Observational studies ทาการทดลอง
ระหว่างปี ค.ศ. 1931 - 1932
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
1.การศึกษาทดลองภายในห้อง
(Room studies)
1.1 การปรับสภาพความชืน้ ของอุณหภูมใิ นห้องให้มสี ภาพต่างๆกัน
1.2 จัดให้ทางานและหยุดเป็ นระยะๆ
1.3 เปลีย่ นแปลงการทางานไม่ให้ทาซ้ าๆซากๆในงานอย่างเดียวกัน
นานๆ
1.4 เพิม่ ค่าจ้างแรงงานเพือ่ เป็ นเครือ่ งจูงใจ
1.5 เปลีย่ นแปลงวิธกี ารควบคุมงาน
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
2. การศึกษาโดยการสัมภาษณ์
(Interviewing studies)
การทดลองนีไ้ ด้สมั ภาษณ์คนงานในโรงงานรวม 2,000 คน
จากทุกๆ แผนกของบริษทั
ได้จดั โครงการทีป่ รึกษาพนักงานเจ้าหน้าที่
(Employee Counseling Program)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
3. การศึกษาโดยการสังเกต
(Observational studies)
1. คนงานมิใช่วตั ถุหรือสิง่ ของทีจ่ ะซื้อหามาด้วยเงิน
2. ประสิทธิภาพของการทางาน
มิได้ขน้ ึ อยู่กบั สภาพแวดล้อมทีด่ แี ต่เพียงอย่างเดียว
3. การแบ่งงานกันทาตามลักษณะเฉพาะอย่าง
(Specialization)
4. พนักงานในระดับสูง การจูงใจทางด้านจิตใจ (Mental
Motivation)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
สรุป
ทัง้ Organization Without Man
กับ Man Without Organization
ต่างก็มขี อ้ บกพร่องด้วยกันทัง้ คู่
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Mary Parker Follett
กล่าวว่าในการจัดการหรือการบริหารงาน
จาเป็ นต้องมีการประสานงาน 4 ชนิด ดังต่อไปนี้
1. การประสานงานโดยการติดต่อโดยตรงกับตัวบุคคลที่
รับผิดชอบงานนัน้ ๆ
2. การประสานงานในระยะเริม่ แรกหรือในขัน้ วางแผนกิจกรรมต่างๆ
3. การประสานงานทีเ่ ป็ นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ ซงึ่ กันและกัน
ในกิจกรรมทุกอย่างทีก่ ระทา
4. การประสานงานทีก่ ระทาเป็ นกระบวนการต่อเนือ่ ง
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Chester Irving Barnard
เป็ นบุคคลแรกทีเ่ ขียนเกีย่ วกับความสัมพันธ์ ระหว่างวัตถุ
ประสงค์ของตัวบุคคล และวัตถุ-ประสงค์ขององค์การ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Abraham Harold
Maslow
อธิบายได้ว่าเมือ่ ความต้องการนัน้ ได้รบั การ
ตอบสนองแล้ว ความต้องการของมนุษย์กจ็ ะเลือ่ น
ขึน้ ไปอีกเป็ นขัน้ ๆ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Douglas Mcgregor
แบ่งพฤติกรรมของบุคคลออกเป็ น 2 ด้านทีแ่ ตกต่างกัน
หรือทีร่ ู้จกั กันในนามของทฤษฏี X และ ทฤษฏี Y
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ทฤษฏี X (Theory X)
1. ต้องมีคนคอยควบคุมจึงจะ
ทางาน
2. พนักงานมีความทะเยอทะยาน
น้อยและไม่รบั ผิดชอบ
3. พนักงานมักจะต่อต้านการ
เปลีย่ นแปลง
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ทฤษฏี Y (Theory Y)
1. โดยธรรมชาติพนักงานชอบ
ทีจ่ ะทางาน
2. พนักงานมีเป้ าหมายและความ
กระตือรือร้น
3. พนักงานมีความเต็มใจที่
รับผิดชอบ
4. สามารถทีค่ วบคุมตนเองได้
ยุคที่ 4 ยุคของการจัดการเชิงปริมาณ
(Quantitative Management)
ระยะเวลาของยุคนีเ้ ริม่ ต้นขึน้ ในปี ค.ศ. 1950
เรือ่ ยมาจนถึง ค.ศ. 1960
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ยุคนีไ้ ด้นาเอาแนวความคิดหลายๆ ทางมารวมกันเพือ่ พัฒนาและ
แก้ไขข้อบกพร่องให้ดขี น้ ึ และเก็บรักษาส่วนดีไว้มาผสมกัน
กล่าวคือ ในการบริหารงานแบบมีกฎเกณฑ์ตามหลักการบริหารงาน
แบบวิทยาศาสตร์ให้ความสาคัญต่องานมากเกินไป
(Production Oriented)
ส่วนการบริหารตามแนวมนุษย์สมั พันธ์ ให้ความสาคัญแก่คนงาน
มากเกินไป (People Oriented) ในยุคนีก้ ล่าวว่านัก
บริหารทีด่ มี คี วามสามารถ ต้องไม่ให้ความสาคัญต่องานและคนงาน
มากจนเกินขอบเขตของความพอดี
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Herbert A. Simon
The Father of Decision
Making
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Simon ได้เสนอทฤษฎีการตัดสินใจใหม่โดยมีขอ้ สมมติฐานว่า
1. ทุกคนต่างก็มขี อ้ จากัดทัง้ ในแง่ของความรู้ความเข้าใจเกีย่ วกับ
ทางเลือกและกฎเกณฑ์ต่างๆ
2. ทุกคนจะตัดสินใจปฏิบตั ติ ามด้วยวิธงี ่ายๆ ไม่ค่อยมีระเบียบ
นักโดยใช้ความนึกคิดประกอบกับการเดา
3. ทุกคนไม่พยายามค้นหาหนทางทีจ่ ะให้ได้ผลสูงสุด แต่จะเลือก
เอาทางเลือกทีเ่ ป็ นทีถ่ ูกใจ ตามความชอบของตนเอง
4. ระดับความชอบของตนทีใ่ ช้ในการตัดสินใจ มักจะเปลีย่ นแปลง
ขึน้ ลงตามคุณค่าของทางเลือกต่างๆ ทีไ่ ด้พบเห็นใกล้ตวั ทีส่ ุด
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ยุคที่ 5 ยุคของการจัดการสมัยใหม่
(Modern Management)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
แนวคิดเรือ่ งการจัดการสมัยใหม่เป็ นแนวความคิดทางการ
จัดการทีไ่ ด้รบั การเสนอแนะและถูกกล่าวขานในช่วงเวลาทีไ่ ม่
นานมานี้ ซึง่ ส่วนใหญ่จะตระหนักถึงสภาพแวดล้อมและการ
เปลีย่ นแปลงทีม่ อี ทิ ธิพลต่อการจัดการ ซึง่ จะประยุกต์และ
ขยายขอบเขตจากแนวความคิดเดิมทีพ่ จิ ารณาปัจจัยภายใน
องค์การเท่านัน้
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ทฤษฏี เชิงระบบ (System Theory)
เสนอโดย Richard Johnson
Fremont Kast
และ James Rosenzweig
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ทฤษฏีเชิงระบบ (System Theory)
ปัจจัยนาเข้า
(inputs)ทรัพยากร
ทางกายภาพ
ทรัพยากรทางการเงิน
ทรัพยากรมนุษย์
ทรัพยากรข้อมูล
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
กระบวนการแปรสภาพ
(transformation)
หน้าที่การจัดการ
การปฏิบตั ิด้านเทค
โนโลยี่
กิจกรรมการผลิต
ผลผลิต(outputs)
สินค้าและบริการ
กาไรขาดทุน
พฤติกรรมพนักงาน
ทฤษฎี การจัดการเชิงสถานการณ์
(Contingency Theory of
Management)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การจัดการจะมีความเป็ นสากลทีส่ ามารถประยุกต์กบั ทุก
องค์การ แต่มไิ ด้หมายความว่าผู บ้ ริหารจะใช้เทคนิคการ
จัดการของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกเหตุการณ์
ผู บ้ ริหารทีป่ ระสบความสาเร็จในองค์การหนึง่ อาจจะเป็ น
ผู บ้ ริหารระดับธรรมดาเมือ่ ต้องไปบริหารธุรกิจอืน่
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
William G. Ouichi
ทาการศึกษาเปรียบเทียบการจัดการของธุรกิจอเมริกนั และ
ญีป่ ุ่น โดยสรุปเป็ นทฤษฎี A ทฤษฎี J และทฤษฎี Z
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ลักษณะขององค์การแบบอเมริกัน (A)
1. การจ้างงานระยะสัน้
2. การตัดสินใจโดยบุคคลใดบุคคลหนึง่
3. ความรับผิดชอบเฉพาะบุคคล
4. การประเมินผลและการเลือ่ นตาแหน่ง
อย่างรวดเร็ว
5. การควบคุมอย่างเป็ นทางการ
6. เส้นทางอาชีพแบบเชีย่ วชาญเฉพาะด้าน
7. แยกเป็ นส่วนๆ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ลักษณะขององค์การแบบญี่ป่ ุน (J)
1. การจ้างงานระยะยาว
2. การตัดสินใจเป็ นเอกฉันท์
3. ความรับผิดชอบแบบกลุ่ม
4. การประเมินผลและการเลือ่ นตาแหน่ง
แบบค่อยเป็ นค่อยไป
5. การควบคุมในตัวเองไม่เป็ นทางการ
6. เส้นทางอาชีพไม่เชีย่ วชาญเฉพาะด้าน
7. มีความเกีย่ วข้องกัน
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ลักษณะขององค์การแบบ Z (อเมริกันแบบ ปรับปรุง)
1. การจ้างงานตลอดชีพ
2. การตัดสินใจเป็ นเอกฉันท์
3. ความรับผิดชอบเฉพาะบุคคล
4. การประเมินผลและการเลือ่ นตาแหน่งแบบค่อยเป็ นค่อยไป
5. การควบคุมในตัวเองไม่เป็ นทางการ โดยมีการ
วัดผลอย่างชัดเจนและเป็ นทางการ
6. เส้นทางอาชีพแบบเชีย่ วชาญเฉพาะด้านในระดับปานกลาง
7. มีความเกีย่ วข้องกันในลักษณะครอบครัว
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การค้นหาความเป็ นเลิศทางการบริหาร
(In Search of Excellence)
Thomas J. Peter และ Robert H.
Waterman, Jr. ได้เขียนหนังสือเกีย่ วกับ
การบริหารทีม่ ชี อื่ เสียงมากในขณะนัน้ ชือ่
In Search of Excellence
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
คุณสมบัตดิ เี ด่นขององค์กรทีป่ ระสบความสาเร็จ 8 ประการ
ในหนังสือ In Search of Excellence
ได้แก่
1. เน้นการปฏิบัติ (A bias for action)
2. การใกล้ชิดกับลูกค้า (Close to
customer)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
3. มีความเป็ นอิ สระและเป็ นผูป้ ระกอบการ
(Autonomy and
entrepreneurship)
4. เพิม่ ประสิทธิ ภาพผ่านบุคคล
(Productivity through people)
5. ถึงลูกถึงคน สัมผัสงานอย่างใกล้ชิด
ใช้คุณค่าเป็ นแรงผลักดัน
(Hand-on and value driven)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
6. ทาแต่ธรุ กิจที่มคี วามเชี่ยวชาญ
(Stick to the knitting)
7. รูปแบบเรียบง่าย และใช้พนักงานน้อย(Simple
and lean staff)
8. เข้มงวดและผ่อนปรน หรือยืดหยุ่นในการทางาน
(Simultaneous loose-tight
properties)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การรื้อปรับระบบ (Re-engineering)
Michael Hammer
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
James Champy
James Champy และ Michael
Hammer ท่านทัง้ 2 ได้เขียนหนังสือทีโ่ ด่งดังมากใน
ยุคนีช้ อื่ “Reengineering the
Corporation” (1993)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
เสนอความคิดว่า “ถ้าองค์การจะอยู่รอดและสามารถแข่งขัน
ได้ในอนาคต ผู บ้ ริหารจะต้องตัดสินใจเปลีย่ นแปลงองค์การ
อย่างถอนรากถอนโคน” (Radical Change)
โดยปรับการดาเนินงานจากการปฏิบตั งิ านตามหน้าทีเ่ ป็ นการ
บริหารงานตามกระบวนการธุรกิจ (Business
Process Management)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
องค์การเรียนรู้และการจัดการความรู้
(Learning Organization and
Knowledge Management)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
เสนอโดย Peter M. Senge แห่ง M.I.T.
ท่านผู น้ ไ้ ี ด้เขียนหนังสือเรือ่ ง วินยั ประการทีห่ า้ ขององค์การ
เรียนรู้ (The Fifth Discipline of
Learning Organization) นักวิชาการท่าน
นีเ้ สนอแนวคิดในการมองภาพรวมขององค์การ การบริหาร
องค์ความรู้และการพฒั นาภูมปิ ญั ญาขององค์การให้ม ี
ความก้าวหน้า สามารถปรับตัวให้สูก้ บั แข่งขันได้
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผูจ้ ัดการและระดับชั้นของผูจ้ ัดการ
งานบริหาร
ผูบ้ ริหารระดับสูง
(Top Manager)
ประธาน, รองประธาน
ผูบ้ ริหารระดับกลาง
(Middle Manager)
ผูจ้ ัดการ
ผูบ้ ริหารระดับต้น
(First-Line Manager)
หัวหน้าแผนก
งานปฏิ บัติ
คนงาน (Workers)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผูบ้ ริหารระดับต้น
(First-Line Manager)
เป็ นผู ร้ บั ผิดชอบต่อการประสานงานและควบคุมของ
ผู ป้ ฏิบตั งิ าน ตลอดจนให้คาปรึกษาแนะนาแก่พนักงาน และ
คนงานผู บ้ ริหารในระดับนีป้ กติจะไม่ทางานทางด้านปฏิบตั ิ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผูบ้ ริหารระดับกลาง
(Middle Manager)
เป็ นผู ร้ บั ผิดชอบในด้านการบริหารงานและควบคุม
ผู บ้ ริหารระดับต้นให้ดาเนินงานตามนโยบาย และแผนงานทีไ่ ด้
กาหนดไว้ รวมทัง้ รายงานต่อผู บ้ ริหารระดับสูง
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผูบ้ ริหารระดับสูง
(Top Manager)
เป็ นผู ร้ บั ผิดชอบในการกาหนดนโยบายต่างๆ ของ
กิจการ มักจะทาหน้าทีใ่ นการประสานการสัง่ การทัง้ หมดของ
องค์การ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ทีท่ าให้องค์การสามารถ
บรรลุวตั ถุประสงค์
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Robert L. Katz
ได้ทาการศึกษาทักษะ (Skill) ของผู จ้ ดั การในแต่ละ
ระดับ เขาแบ่งทักษะของผู จ้ ดั การออกเป็ น 3 ชนิด คือ
(ก)Technical Skill
(ข) Human Skill
(ค) Conceptual Skill
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ระดับชั้นของผูบ้ ริหารและทักษะในการบริหาร
ทักษะด้านความคิด
ทักษะด้านความคิด
ทักษะด้านความคิด
ทักษะด้านมนุษย์
ทักษะด้านมนุษย์
ทักษะด้านมนุษย์
ทักษะด้านเทคนิค
ทักษะด้านเทคนิค
ผูบ้ ริหารระดับต้น
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผูบ้ ริหารระดับกลาง
ทักษะด้านเทคนิค
ผูบ้ ริหารระดับสูง
ระดับของ
ผูบ้ ริหาร
เก่งคิด
สูง
กลาง
ต้น
เจ้าหน้าที่ปฏิบตั ิงาน
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
เก่งคน
เก่งงาน
ความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพ
และเทคนิคการทางาน
หน้าที่ในการจัดการ
(The Functions
of Management)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Luther Gulick และ Lyndall Urwick ได้กาหนดหน้าทีข่ อง
ผู บ้ ริหารในการจัดการไว้
7 ประการ คือ
P = Planning
หมายถึงการวางแผน
O = Organizing
หมายถึงการจัดองค์การ
S = Staffing
หมายถึงการจัดคนเข้าทางาน
D = Directing
หมายถึงการอานวยการ
CO = Coordinating
หมายถึงการประสานงาน
R = Reporting
หมายถึงการรายงาน
B = Budgeting
หมายถึงการจัดทางบประมาณ
ซึง่ มักนิยมเรียกกันโดยทัว่ ไปว่า POSDCORB
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Henri Fayol ได้กาหนดหน้าทีไ่ ว้ 5 ประการ คือ
P =
Planning
หมายถึงการวางแผน
O = Organizing
หมายถึงการจัดองค์การ
C = Commanding
หมายถึงการบังคับบัญชา
C = Coordinating
หมายถึงการประสานงาน
C = Controlling
หมายถึงการควบคุม
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
Harold D. Koontz ได้กาหนดหน้าทีไ่ ว้ 5 ประการ คือ
P = Planning
O = Organizing
S = Staffing
หมายถึงการวางแผน
หมายถึงการจัดองค์การ
หมายถึงการจัดคนเข้าทางาน
D = Directing
หมายถึงการสัง่ การ
C = Controlling
หมายถึงการควบคุม
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผูจ้ ัดการในระดับสูง
การ
วางแผน
การจัด การจัดคน
องค์การ เข้าทางาน
ผูจ้ ัดการในระดับต่า
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การ
สั่งการ
การ
ควบคุม
เวลาที่ใช้ไปในการทางานของผูบ้ ริหาร
การวางแผน
ควบคุม
การจัดองค์การ
การสั่งการ
ผูบ้ ริหารระดับสูง
28%
36%
22%
ผูบ้ ริหารระดับกลาง
18%
33%
36%
ผูบ้ ริหารระดับล่าง
15%
24%
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
51%
14%
13%
10%
การ
ขอบเขตและหน้าที่ของการจัดการจะประกอบไปด้วย
1. การวางแผน
(Planning)
2. การจัดองค์การ (Organizing)
3. การจัดคนเข้าทางาน (Staffing)
4. การสั่งการ
(Directing)
5. การควบคุม
(Controlling)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการจัดการ
(Organization Environment
and Management)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
องค์การธุรกิจเป็ นระบบเปิ ด (Open System)
ทีต่ ้องดาเนินงานอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมต่างๆ ซึง่ มีทงั้
สภาพแวดล้อมทีค่ วบคุมได้และควบคุมไม่ได้ (Control
and Uncontrol)
หากจะแบ่งสภาพแวดล้อมออกจะได้เป็ น 2 ชนิดคือ
• Internal Environment)
• External Environment)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
สภาพแวดล้อมทั่วไป
สภาพแวดล้อมในการ
ดาเนินงาน
สภาพแวด
ล้อมภายใน
โครงสร้างสภาพแวดล้อมของธุรกิจ
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
1. สภาพแวดล้อมภายใน
(Internal Environment)
เป็ นปัจจัยภายในองค์การทีม่ อี ทิ ธิพลต่อการทางานของ
องค์การ ประกอบไปด้วย
• Owners and shareholders
• Board of Directors
• Employee
• Organization culture
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
2. สภาพแวดล้อมภายนอก
(External Environment)
เป็ นปัจจัยภายนอกทีส่ ่งผลมากระทบถึงศักยภาพในการ
บริหารงานขององค์การและความสามารถในการบรรลุ
เป้ าหมาย ประกอบด้วย
2.1 General Environment
2.2 Task
Environment
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
2.1 สภาพแวดล้อมทั่วไป
(General Environment)
เป็ นสิง่ แวดล้อมภายนอกทีเ่ กิดขึน้ ทัว่ ๆไป ไม่มผี ลเจาะจงเฉพาะ
กิจการขององค์การเท่านัน้ แต่มผี ลกระทบกับทุกองค์การ
• General Environment
• Political and Legal
• Economic
• Technology
• Socio-cultural
• International
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
2.2 สภาพแวดล้อมในการดาเนินงาน
(Task Environment)
เป็ นสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การทีม่ ผี ลกระทบโดยตรงต่อ
องค์การและการดาเนินงานขององค์การมากกว่าสภาพแวดล้อม
ทัว่ ไป ผู บ้ ริหารจะต้องศึกษาและทาความเข้าใจสภาพแวดล้อมใน
ระดับนีใ้ ห้ชดั เจน เพือ่ ทีจ่ ะนาโอกาสทีเ่ กิดขึน้ จากสภาพแวดล้อมมาใช้
ให้เกิดประโยชน์แก่องค์การ
สภาพภาพแวดล้อมในการดาเนินงานประกอบด้วย
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
• Customers
• Competitors
• Labors
• Suppliers
• Partners
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
การจัดการและความรับผิดชอบ
ต่อสังคมของธุรกิจ
(Management and
Social Responsibility)
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
• Economic Responsibility
• Legal Responsibility
• Ethical Responsibility
• Discretionary Responsibity
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ระดับความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์ธรุ กิจ
ความรับผิดชอบ
โดยใช้ดุลยพินิจ
ความรับผิดชอบ
ทางเศรษฐกิจ
ความ
รับผิดชอบต่อ
สังคมทั้งหมด
ความรับผิดชอบ
ทางกฎหมาย
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ความรับผิดชอบ
ทางจริยธรรม
หลักของ“ธรรมมาภิบาล”
“การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีเป็ น
แนวทางสาคัญในการจัดระเบียบให้สังคมทั้ง
ภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาชน ซึ่ ง
ครอบคลุมถึงฝ่ ายวิชาการ ฝ่ ายปฏิ บัติการ
ฝ่ ายราชการและฝ่ ายธุรกิจสามารถอยู่ร่วมกัน
อย่างสงบสุข”
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
องค์ประกอบ “ธรรมมาภิบาล” คือ
• Transparence
• Rule of Law
• Responsibility
• Equity
• Worthiness
• Participation
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด
ผ.ศ.เติมพงศ์ สุนทโรทด