Document 7123426

Download Report

Transcript Document 7123426

ขอบเขตการศึกษาของญาณวิทยา
(epistemology)
•
•
•
•
ศึกษาเรือ่ งบ่อเกิดของความรู้
ศึกษาเรือ่ งธรรมชาติของความรู้
ศึกษาเรือ่ งขอบเขตของความรู้
ศึกษาเรือ่ งความสมเหตุสมผลของความรู้
วิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์
ญาณวิทยา
ศาสนา
เศรษฐศาสตร์
ศึกษาศาสตร์
บ่อเกิดของความรู้
การหยังรู
่ ้ภายใน
ความรู้
เหตุผล
ประสบการณ์
บ่อเกิด / ที่มา
จุดเริ่มต้ น
เหตุผล+ประสบการณ์
ธรรมชาติของความรู้
ความสัมพันธ์
บุคคลเหตุ+วัตถุเหตุ
เนื้อหาของความรู้ + รูปแบบของความรู้
(ประสบการณ์)
วัตถุดิบ
(การคิดหาเหตุผล)
Fact Real Truth
สากลและจาเป็ น (universal and necessary)
Relation
วิธศี กึ ษา
Subject
ผูร้ ู้ (ผูศ้ กึ ษา)
Scientific method
เชื่อมความสัมพันธ์
ในลักษณะแยกกัน
หรือรวมกัน
Object
สิง่ ทีถ่ กู ศึกษา
Interpretation
แยกกัน
กระบวนการความรู้
ความรู ้เชิงวิชาการ
รู ้เพื่อรู ้ไม่สมั พันธ์กบั ค่าทางศีลธรรม ไม่
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม
เป็ นผลงานของการใช้เหตุผลในสมองเท่านั้น
ขอบเขตของความรู้
ขอบเขตความสามารถของมนุษย์ใน
การรับรู ้ความจริ ง
ความรู้
Space and Time
ความสมเหตุสมผลของความรู้
ทฤษฎีความจริง (Theory of Truth) หมายถึง เกณฑ์ทใ่ี ช้ตดั สินประพจน์
ใดประพจน์หนึ่งว่าจริงหรือไม่ แบ่งเป็ น 3 ทฤษฎี คือ.......
1. ทฤษฎีเชื่อมนัย (Coherence theory) ประพจน์หนึ่งจะเป็ นจริงก็
ต่อเมือ่ สอดคล้องกับความรูเ้ ดิมทีม่ อี ยู่ เช่น ความรูเ้ ดิมทีว่ า่
“ไม้ยอ่ มลอยน้า” ดังนัน้ ถ้ามีคนมาบอกเราว่า “แผ่น
กระดานลอยน้า” เราย่อมเชื่อว่าประพจน์เป็ นจริง
จุดอ่อน คือ ถ้าความรูเ้ ดิมผิดการตัดสินย่อมผิดพลาดได้
(นักปรัชญากลุ่มจิตนิยมและเหตุผลนิยม)
2. ทฤษฎีสมนัย (Correspondence theory) ประพจน์หนึ่งจะเป็ นจริงก็
ต่อเมือ่ มันตรงกับข้อเท็จจริง (fact) เช่น นายแดงกล่าวว่า
“เชียงใหม่อยูท่ างทิศเหนือของกรุงเทพฯ” เมือ่ เราดูแผนทีก่ จ็ ะ
พบว่าประพจน์น้ีเป็ นจริง
จุดอ่อน คือ ความรูท้ จ่ี ริงในปั จจุบนั อาจไม่จริงในอนาคตได้ซง่ึ ทาให้
เราไม่อาจมีความรูท้ แ่ี น่นอนตายตัวได้
(นักปรัชญากลุ่มสัจนิยม และประสบการณ์นิยม)
3. ทฤษฎีปฏิบตั ิ นิยม (Pragmatism) ประพจน์หนึ่งจะเป็ นจริงก็ต่อเมือ่
นามาใช้ในทางปฏิบตั ไิ ด้ เช่น ความจริงเกีย่ วกับการนาเมล็ดถัว่
เหลืองมาสกัดเป็ นน้ามันพืชได้
จุดอ่อน คือ มีความจริงอีกมากทีเ่ รานามาปฏิบตั ไิ ม่ได้ หรือไม่
เกิดผลทีน่ ่าพอใจ (นักปรัชญากลุ่มปฏิบตั นิ ิยม)
แหล่งที่มาของความรู้
แหล่งที่มาของความรู้ (sources of knowledge)
ของมนุษย์คืออะไร
เหตุผลนิยมมีทศั นะว่า มนุ ษย์สามารถมี
ความรูเ้ กีย่ วกับโลกได้โดยอาศัยเหตุผล
จิต
เหตุผล
ความคิด
ประสบการณ์
ความคิด
เหตุผล
วิธีการขุด
จิต
ความรู ้ในจิต
innate idea
ประสบการณ์
ความรูต้ ดิ ตัวมาตัง้ แต่เกิด
เหตุผลนิยม (Rationalism)
• มนุษย์ มีความรู้ ตดิ ตัวมาตั้งแต่ เกิด (innate idea) ซึ่งความรู้ น้ันจัดว่ า
เป็ นความรู้ ทแี่ ท้ จริง เป็ นอิสระจากประสบการณ์ (a priori
knowledge) ถือว่ าเป็ นความรู้ ทแ
ี่ น่ นอนตายตัว ทีเ่ รียกว่ า ความจริงที่
จาเป็ น (necessary truth)
• กิจกรรมทางปัญญา คือ การคิดตามเหตุผลซึ่งจะเป็ นเครื่ องมือที่
สามารถนามนุษย์ ไปสู่ ความรู้ ทแี่ น่ นอนได้
• ใช้ วธิ ีการนิรนัย (Deduction) ในการแสวงหาความรู้
นักปรัชญาในกลุ่มเหตุผลนิยม
1. เรอเน เดการ์ตส์ (Rene Decartes : 1596 – 1650)
2. บารุค สปิโนซา (Baruch Spinoza : 1632 – 1677)
3. คอทฟริด วินเฮล์ม ฟอน ไลบ์นิช (Cottfried Wilhelm
Von Leibniz : 1646 – 1716)
1
2
เราไม่อาจไว้ใจความเห็นทีเ่ ราได้ยนิ มาได้
เราต้องเริม่ สร้างปรัชญาของตัวเราเองขึน้ มา
ออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู ้ไม่วา่ จะอยูใ่ นตัวเราเองหรื อใน “มหาวิทยาลัยชีวิต”
• มีอะไรบ้างที่เราสามารถรู้ได้
อะไรคือความรูท้ แ่ี น่ นอน
•กายกับจิตมีความสัมพันธ์กนั อย่างไร
เรอเน เดการ ์ตส ์ (Rene Decartes : 1596 –
1650)
บิดาของปรั ชญาสมัยใหม่ ผู้ถือว่ า
“มนุ ษ ย์ มี ค วามรู้ ติ ด ตั ว มาตั้ ง แต่ เกิ ด ”
(Innate Idea)
ค ว า ม รู้ ใ น ใ จ ข อ ง ม นุ ษ ย์ นั้ น ก็
เหมื อ นกั บ น้ า ที่ มี อ ยู่ ใ นแผ่ น ดิ น ถ้ า รู้ จั ก
วิธีการขุดก็จะทาให้ สามารถค้ นพบน้าคือ
ความรู้ ในจิตของมนุษย์ ได้ อย่ างไม่ ยาก
ผูใ้ ดมีความคิด ผูน้ ้ นั ต้องมีอยู่ (ข้าพเจ้าคิด ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีอยู)่
ความคิด
ความสงสัย
ความสงสัยสากล
ตัวเราผูส้ งสัยมีอยู่
ตัวผูส้ งสัย
ทาหน้าทีส่ งสัย
การหาบทสรุปทีแ่ จ่มชัด
ชัดเจนทัง้ ข้อเสนอและข้อสรุป
• ความรูต้ อ้ งเป็ นสิง่ แน่นอน ถ้ายังอยู่
ในขัน้ ทีส่ งสัยได้ หรือน่าสงสัย ยังไม่
จัดเป็ นความรู้
• พืน้ ฐานความรูค้ วรเริม่ จากความจริง
ทีง่ า่ ยทีส่ ดุ และแจ่มแจ้งทีส่ ดุ แล้วไปสู่
ความจริงทีซ่ บั ซ้อนไปตามลาดับ
เดการ์ตแบ่งความรู้ออกเป็ น 3 ระดับ
1. ความรูร้ ะดับประสบการณ์
2. ความรูร้ ะดับจินตนาการ
3. ความรูร้ ะดับฝั งแน่นอยูใ่ นตัว (innate idea)
กฎ 4 ข้อ กับการแสวงหาความรู้
1.ไม่ยอมรับความจริงใดเลย เว้นแต่เห็นแจ่มแจ้งว่าจริง
2.วิเคราะห์ขอ้ ยุง่ ยากแต่ละข้อออกเป็ นหน่วยย่อยทีส่ ดุ ทีจ่ ะ
ทาได้ เพือ่ จะได้พจิ ารณาเรือ่ งนัน้ ๆ ได้ดขี น้ึ
3. ดาเนินความคิดไปตามลาดับ จากง่ายไปหากยาก
4. ตรวจดูทุกองค์ประกอบให้ถถ่ี ว้ น ครอบคลุมทุกแง่มมุ
จนได้ชอ่ื ว่าไม่มอี ะไรรอดพ้นสายตาไปได้ก่อนการตัดสิน
เมือ่ ดาเนินครบทัง้ 4 ข้อ เราสามารถได้ความรูท้ แ่ี น่นอน